|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า เมี่ยน วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม จีน เวียดนาม ลาว ไทย |
Author |
Jess G. Pourret |
Title |
The Yao: The Mien and Mun Yao in China, Vietnam, Laos and Thailand |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
277 |
Year |
2545 |
Source |
River Books Co., Ltd. |
Abstract |
เย้าเป็นชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่มีถิ่นฐานดั้งเดิมในประเทศจีน ทำเกษตรกรรมบนพื้นที่ลุ่ม แต่เนื่องจากปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ ส่งผลให้เย้าอพยพอย่างช้า ๆ จากภาคกลางของจีนลงมาทางตอนใต้ และอพยพลงมาทางเหนือของเวียดนาม ทางเหนือของลาว และทางเหนือของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูงและปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ฝิ่น ยาสูบ และพืชผักอื่นๆ สำหรับขายและแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบที่ไม่สามารถผลิตได้เช่น เหล็ก เครื่องเงิน เกลือ เป็นต้น เย้า เมี่ยน และ Mun Yao นับถือลัทธิเต๋าซึ่งผสมผสานเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ลัทธิเต๋ามิใช่เป็นศาสนาเท่านั้นแต่ได้กลายเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคมของเย้าอยู่บนพื้นฐานของโคตรตระกูลซึ่งมีความสำคัญต่อการแต่งงานและการสร้างความสัมพันธ์ภายในสังคมในแต่ละหมู่บ้าน และสร้างอัตลักษณ์ของเย้าให้แตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ จากปัญหาทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เย้าบางส่วนต้องอพยพไปประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส และ ประเทศแคนาดา แต่เย้า เมี่ยนและ Mun Yao ก็ยังคงดำรงเอกลักษณ์ วัฒนธรรมบางประการของตนไว้ แต่อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมของพวกพวกเขาก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละพื้นที่ |
|
Focus |
ศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ของเมี่ยน (เย้า) และ Mun Yao ในจีน เวียดนาม ลาว และประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยน ซึ่งเรียกตัวเองว่า Iu Miean, Im Mien, Kim Mien, Kiem Mien และอื่นๆ และ Mun Yao ซึ่งเรียกตัวเองหลากหลาย เช่น Kim Mun ในจีน เวียดนาม ลาว และประเทศไทย เมี่ยน สามารถแบ่งออกไปเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม ถ้ากลุ่มย่อยใดอยู่ในพื้นที่หนึ่งเป็นระยะเวลานานก็จะมีการปรับและมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีพื้นฐานของวัฒนธรรมและประเพณีเย้าเป็นหลัก Mun Yao สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่รู้จักในชื่อ Kim Mun Lantien Sha และ Shanzi Yao ลาว กลุ่มที่สองคือ Kim Meun, Hauatou และ Fangcheng Yao (หน้า16-17) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เย้ามีภาษาพูดของตนเองซึ่งอยู่ในตระกูลภาษา Miao/Yao ในแต่ละกลุ่มย่อยจะพูดสำเนียงแตกต่างกัน และเย้าส่วนใหญ่สามารถพูดได้หลายภาษาตามแต่พื้นที่ที่อาศัย ส่วนใหญ่เย้าจะสามารถพูดภาษาของชนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยในแต่ละประเทศหรือพื้นที่ได้ เช่น ภาษาจีน เวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่พวกเขาพบปะและติดต่ออยู่เสมอ (หน้า 15, 59) และเย้าใช้อักษรจีนในการบันทึกเรื่องราว (หน้า 250) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ของเย้าได้รับการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรใน บันทึกชื่อว่า "Cia Sen Pong" ในบันทึกกล่าวถึงอำนาจอันชอบธรรมของเย้าที่จะอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงได้อย่างเป็นอิสระและกลุ่มชนอื่นๆ ยอมรับ บันทึกได้รับการคัดลอกและในแต่ละฉบับมีการเพิ่มเติมประวัติศาสตร์การอพยพในแต่ละพื้นที่เอาไว้รวมถึงแสดงแผนที่ ชื่อเมือง จังหวัด ที่อาศัยอยู่รวมถึงชื่อผู้ปกครองเอาไว้ (หน้า 250-251) มีข้อสันนิษฐานว่า เมี่ยนและ Mun Yao บางกลุ่มที่อาศัยอยู่ใน Guangdong อพยพจากพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง การอพยพส่วนใหญ่จะเป็นการเดินเท้า กลุ่ม Kim Mun Lantien อ้างว่าพวกเขาอพยพมาจาก Fujian และที่น่าสนใจคือตำราต่างๆ ทางศาสนามีความใกล้เคียงกับสำเนียง Fujian รวมถึง Fujian และ ไต้หวัน เป็นแหล่งกำเนิดของลัทธิเต๋าที่นิยมในหมู่คนเมี่ยน และหลายหลักฐานแสดงให้เห็นว่า Mun Yao อยู่อาศัยในพื้นที่เมือง Fujian ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะอพยพมาที่ Guangxi กลุ่ม Iu Mien กล่าวว่าพวกเขาอพยพมาถึงเมือง Guangdong โดยทางเรือ ข้างทะเลมาจาก Don Din Ho ซึ่งอยู่ใกล้กับนานกิง เรื่องราวการอพยพมักจะปรากฏในในเอกสารหลายๆ ฉบับ และ Iu Mien Kim Mien Mun Yao บางกลุ่มกล่าวว่าพวกเขาอพยพมาที่เวียดนามทางเรือเช่นกัน ในปัจจุบัน เมี่ยนและ Mun Yao อาศัยกระจายในพื้นที่กว้างใน Hunan, Guangdong, Guangxi และ Yunnan และบางส่วนอพยพไปอยู่อาศัยในเวียดนาม พื้นที่ภูเขาของยูนนาน ตลอดจนถึงชายแดนพม่า ลาวและทางเหนือของไทย (หน้า 20-35) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะบ้านเรือนของเมี่ยน และ Mun Yao มีลักษณะเฉพาะบางประการซึ่งสัมพันธ์กับสภาพทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมบนพื้นที่สูง การใช้วัสดุและขนาดของบ้านสัมพันธ์กับวัสดุที่หาได้ในแต่ละพื้นที่ และฐานะการเงินของแต่ละครอบครัว ปกติบ้านของเย้าจะสร้างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จะสร้างติดกับพื้น พื้นบ้านเป็นเป็นพื้นดิน วัสดุที่ใช้อาจจะเป็นไม้ไผ่ ดิน อิฐ บางครั้งเป็นหิน หรือคอนกรีต หลังคามุงด้วยหญ้า ไม้ กระเบื้องหรือสังกะสี ประตูด้านหน้าจะเป็นทางเข้าของผู้ชายและใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ภายในบ้านจะมีหิ้งสำหรับบูชาผีบรรพบุรุษอยู่ตรงข้ามกับประตูหลัก ภายในบ้านจะแบ่งด้านหน้าที่ที่รับแขก ภายในมีห้องนอน และห้องครัว และจะมีประตูด้านข้างสำหรับทางเข้าออกของผู้หญิง ข้างๆ บ้านจะใช้เป็นที่เก็บสัมภาระ เครื่องใช้ (หน้า 178-180) |
|
Demography |
เย้าเป็นชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่มีถิ่นฐานดั้งเดิมในประเทศจีน แต่เนื่องจากปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ ส่งผลให้เย้าอพยพอย่างช้า ๆ จากภาคกลางของจีนลงมาทางตอนใต้ และอพยพลงมาทางเหนือของเวียดนาม ทางเหนือของลาว และทางเหนือของประเทศไทย และจากปัญหาทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เย้าบางส่วนต้องอพยพไปประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส และ ประเทศแคนาดา (หน้า 11) |
|
Economy |
ในอดีตเย้า เมี่ยน และ Mun Yao เป็นกลุ่มชนที่ทำไร่ทำการเกษตรกรรมพื้นที่ราบลุ่ม แต่เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองและปัญหาการไม่มีที่ดินเพียงพอ ทำให้เกิดการแย่งที่ดินกับชาวฮั้นซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในจีน ทำให้เย้า เมี่ยน และ Mun Yao ต้องอพยพขึ้นสู่พื้นที่สูง และเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นการทำไร่หมุนเวียนเพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ (หน้า 11, 177) การทำไร่หมุนเวียนจะใช้พื้นที่ประมาณ 3-4 ปี ดินจะขาดความอุดมสมบูรณ์ก็จะย้ายไปหาพื้นที่ใหม่ในการเพาะปลูก ปัจจุบันเมี่ยน และ Mun Yao ส่วนใหญ่ยังคงทำการเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง หรือพื้นที่ราบระหว่างภูเขา และบางกลุ่มสร้างหมู่บ้านขนาดเล็ก และทำการค้าขายหรือเข้าไปทำงานในเมืองเพิ่มมากขึ้น (หน้า 177) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาเมี่ยน และ Mun Yao จำนวนมากปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ ความชำนาญในการปลูกพืชชนิดนี้ช่วยให้เย้ามีเศรษฐกิจที่ดีกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ จนกระทั่งการปลูกฝิ่นกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายในระยะเวลาไม่นานมานี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเย้าและทำให้เย้าหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เย้าปลูกพืชหลายชนิดและทำการเพาะปลูกตลอดทั้งปี พืชที่ปลูกเช่น กาแฟ ข้าวโพด ถั่ว ชา พริก ฝ้าย ยาสูบ อบเชย มันเทศ และยาสมุนไพร ฯลฯ และเย้าจะหมักเหล้าไว้ดื่มทำจากข้าวหรือข้าวโพด บางครอบครัวนำเหล้าบางส่วนมาขาย (หน้า 181) เย้าผลิตเครื่องมือและเครื่องใช้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ เช่น การผลิตเครื่องใช้ภายในครัวเรือน การเพาะปลูกฝ้ายเพื่อทอผ้า การทำกระดาษ แต่ยังคงมีการซื้อเหล็ก และเงินเพื่อนำมาทำเครื่องมือและเครื่องประดับตกแต่ง และด้วยเหตุผลที่มีสิ่งของบางอย่างที่เย้าไม่สามารถผลิตได้ทำให้เย้าต้องปรับเปลี่ยนหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อขายหรือแลกเปลี่ยนกับสิ่งของที่พวกเขาต้องการ (หน้า 177-178) การล่าสัตว์ เย้าค่อนข้างจะเป็นนักล่าสัตว์ที่ชำนาญ อาวุธที่ใช้เป็นหน้าไม้ ปืน และทำกับดักสัตว์ขนาดเล็ก และเย้ามีความรู้ความชำนาญในการถนอมเนื้อสัตว์ด้วยการรมควัน แต่ปัจจุบันสัตว์ป่าลดน้อยลงทำให้การล่าสัตว์กลายเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในอดีต (หน้า 60, 180) สัตว์เลี้ยง เมี่ยน และ Mun Yao นิยมเลี้ยงหมู เพื่อใช้เซ่นไหว้ในพิธีกรรมต่างๆ แพะ และในบางพื้นที่เลี้ยงควายเพื่อใช้ทำนาในที่ลุ่ม (หน้า 180) |
|
Social Organization |
การจัดระเบียบทางสังคมของเย้าอยู่บนพื้นฐานของสังคมหมู่บ้าน และการนับถือ โคตรตระกูล สายตระกูล และโคตรตระกูลมีบทบาทสำคัญต่อการแต่งงาน โดยเฉพาะในกลุ่มหมู่บ้านขนาดเล็ก การรับบุตรบุญธรรมที่ไม่ใช่เย้าเข้ามาเลี้ยงพบบ่อยครั้งเช่นเดียวกันกับการแต่งงานกับกลุ่มชนอื่นที่ไม่ใช่เย้า (หน้า 50) สังคมเย้าสืบสายตระกูลทางฝ่ายพ่อ เมื่อแต่งงานผู้หญิงจะเข้ามาอยู่กับครอบครัวของสามี โดยครอบครัวฝ่ายชายจะจ่ายค่าสินสอดเป็นเครื่องเงินให้กับครอบครัวเจ้าสาวเพื่อเป็นค่าทดแทนแรงงานที่ครอบครัวเจ้าสาวสูญเสียไป (หน้า 150) ประเพณีแต่งงาน พระจะประกอบพิธีกรรมแต่งงานใช้เวลาประมาณ 3 วัน จะมีการฆ่าหมู ไก่ เลี้ยงคนที่มาร่วมงาน บางครั้งจะมีคนร่วมงานมากถึง 200 คน ใน 3 วันครอบครัวฝ่ายชายจะจ่ายค่าสินสอดให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงด้วย เงิน หมู ไก่ เนื่องจากภายหลังการแต่งงานเจ้าสาวจะเข้ามาอยู่กับครอบครัวสามี แต่ถ้าหากฝ่ายชายไม่มีเงินจ่ายค่าสินสอดจะต้องเข้ามาทำงานให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงจนกระทั่งครบกำหนดก่อนที่จะออกไปสร้างครอบครัวของตนเอง เนื่องจากการแต่งงานมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง กลุ่มที่ไม่สามารถประกอบพิธีแบบสามวันได้ จึงมีการลดพิธีและขั้นตอนเหลือ 1 วัน (หน้า 56-57) การหย่าร้างหรือมีภรรยาคนที่สองกระทำได้ถ้าภรรยาคนแรกไม่สามารถมีบุตรได้ (หน้า 63) การเกิด ผู้หญิงเย้าเมื่อคลอดนิยมคลอดในท่านั่งและมีเชือกคล้องจากคานช่วยจับ เด็กที่คลอดจะได้รับการตั้งชื่อทันที แต่ชื่อของเด็กผู้หญิงจะเรียงตามลำดับกล่าวคือเป็นลูกสาวคนที่ 1, 2 หรือ 3 เป็นต้น (หน้า 63) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้อาวุโส และพระคอยดูแล และปกครอง แม้กระนั้นก็ตามแต่ละครัวเรือนยังเป็นอิสระต่อกัน การอยู่รวมกันมีความสำคัญต่อความอยู่รอด ถ้ามีการโยกย้ายปกติจะเป็นการย้ายทั้งหมู่บ้านมากกว่าที่จะเหลือ 1-2 ครัวเรือนเอาไว้ ครอบครัวเดี่ยวสามารถอยู่รอดได้ยาก เย้าในหนึ่งหมู่บ้านมักจะเป็นกลุ่มย่อยเดียวกัน ส่วนเย้ากลุ่มย่อยอื่นๆ อาจจะอาศัยอยู่ใกล้เคียง แม้ว่าเย้าจะมีหลายวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันแต่ค่อนข้างจะยึดติดกับวัฒนธรรมและประเพณีของกลุ่มย่อยของตนเอง แต่เย้าในประเทศไทยมีเพียงกลุ่มย่อยเดียวคือ Iu Mien จึงไม่ปรากฏลักษณะของการอยู่ร่วมกันกับกลุ่มย่อยอื่นๆ (หน้า 56-57) |
|
Belief System |
เมี่ยนและ Mun Yao นับถือลัทธิเต๋าและมีบางส่วนหันไปนับถือศาสนาคริสต์ ลัทธิเต๋าเข้ามาแทนที่และผสมผสานกับศาสนาดั้งเดิมซึ่งนับถืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ภูเขา ฟ้าร้อง ฝน ฯลฯ และชีวิตหลังความตาย ลัทธิเต๋าได้รวมกลายเป็นวิถีการดำเนินชีวิตในสังคมของเย้า อีกทั้งลัทธิเต๋ามีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจของเย้า ตามคำสอนของขงจื้อ การทำงานหนักในโลกนี้ช่วยให้เย้ามีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ดีกว่ากลุ่มชนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อมีคนตายพระจะตัดสินตามแนวทางของลัทธิเต๋า ถ้าวิญญาณของผู้ตายดีเขาก็จะได้ไปสู่สวรรค์ ชีวิตหลังความตายค่อนข้างสำคัญต่อเย้า ลัทธิเต๋าจึงเป็นเสมือนกุญแจไปสู่สวรรค์ถ้าพวกเขายึดถือและปฏิบัติตามแนวทางของเต๋า (หน้า 47-48) การเรียนเต๋าและการบวชเป็นพระมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และมีค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ในเทศกาลต่างๆ แต่การกระทำพิธีกรรมก็มีจุดประสงค์ที่จะนำไปสู่ความร่ำรวยและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัว อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเย้าก็ไม่สามารถจัดกิจกรรมทางศาสนาได้อย่างเต็มที่ เช่น ในช่วงที่มีปัญหาสงคราม เย้าในลาวบางส่วนต้องลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทย หรือในช่วงปลายปี ค.ศ. 1960 เมื่อจีนแดงมุ่งกลุ่มที่ทำกิจกรรมทางศาสนาเป็นเป้าหมายสำคัญ อย่างไรก็ตามลัทธิเต๋ายังคงได้รับการสืบทอดจนถึงปัจจุบันและดูเหมือนจะได้รับการสืบทอดต่อไปในอนาคต (หน้า 48) ลำดับชั้นของพระในลัทธิเต๋า พระในลัทธิเต๋ามีหลายลำดับชั้น ปกติพระจะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม สวดมนต์จัดเทศกาลต่างๆ พิธีสำคัญที่สุดคือพิธีงานศพ พระที่มียศสูงจะต้องอ่าน เขียนอักษรจีนและสามารถเข้าใจตำราได้ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่ง "Dao Gong" หรือพระของเต๋า (หน้า 50) หมอผีประกอบพิธีกรรม "Shi Gong" ไม่ได้เป็นพระแต่เป็นผู้สามารถประกอบพิธีกรรมในการเซ่นไหว้ ในกลุ่ม Kim Mun Yao แยกหน้าที่ของ พระ และหมอประกอบพิธีกรรมค่อนข้างเด่นชัด กล่าวคือ "Dao Gong" เป็นพระประกอบพิธีกรรมตามลัทธิเต๋า ในขณะที่ "Shi Gong" เป็นหมอผีทำพิธีเซ่นไหว้และพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรกรรม การรักษาโรค และพิธีต่างๆ เพื่อดำรงความสงบสุขแก่หมู่บ้าน อาจจะกล่าวได้ว่า ในสังคมเย้ามีการนับถือผีอำนาจเหนือธรรมชาติในรูปแบบของศาสนาดั้งเดิมผสมผสานเข้ากับลัทธิเต๋าจนยากที่จะแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน (หน้า 52) การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เย้าให้ความสำคัญกับการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเช่นเดียวกับคนจีน พวกเขากระทำพิธีกรรมเพื่อแสดงความนับถือต่อผีบรรพบุรุษและเพื่อให้แน่ใจว่าบรรรพบุรุษของตนได้รับพิธีกรรมที่ถูกต้องที่จะนำวิญญาณไปยังอีกโลกหนึ่ง (หน้า 54) การนับถือศาสนาคริสต์ ในปี ค.ศ. 1970-1980 มีเย้าบางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ จากการเผยแพร่ของมิชชันนารีในประเทศลาวและประเทศไทย ในปี ค.ศ. 1990 การเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ทำให้เย้ากลายเป็นคนแปลกหน้าในชุมชน อย่างไรก็ตาม เย้าที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ยังคงนับถือลัทธิเต๋าและบูชาผีบรรพบุรุษอยู่ด้วยเช่นกัน (หน้า 54) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เย้าเชื่อว่าเครื่องประดับเงินจะช่วยรักษาขวัญ วิญญาณไว้ในร่างกายมนุษย์ (หน้า 150) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องเงิน เย้ามีความสัมพันธ์กับเครื่องประดับเงิน ซึ่งถูกมองว่าแสดงความเป็นตัวตนและอัตลักษณ์ของความเป็นกลุ่มชนเย้า เมี่ยนและ Mun Yao เครื่องประดับเงินบางชิ้นจะใส่เป็นประจำทุกวันบางชิ้นจะใส่เฉพาะในงานเทศกาลสำคัญหรือใส่ไปตลาด ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย เย้าจะเก็บเครื่องเงินไว้และใส่อลูมิเนียมแทน หรือใส่เครื่องเงินน้อยลง ช่างทำเครื่องเงินส่วนใหญ่จะเป็นพระหรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นเครือญาติกับพระ (หน้า 160) รูปแบบของเครื่องเงินบางแบบสามารถสืบย้อนไปได้หลายร้อยปี แต่ช่างเงินไม่สามารถบอกความเก่าแก่และอธิบายต้นกำเนิดของสัญลักษณ์และรูปแบบต่างๆ ได้มากนัก อย่างไรก็ตามรูปแบบและสัญลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากแสดงอัตลักษณ์ของความเป็นเย้าให้ปรากฏเด่นชัด การประดับตกแต่งและวิธีการทำเครื่องเงินของเมี่ยน และ Mun Yao แตกต่างกันบ้างแต่ไม่มากนัก พวกเขายังคงใช้เทคนิคหลายแบบร่วมกัน อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเครื่องเงินปกติจะใช้ ลิ่ม ค้อน สิ่ว มีด (หน้า 160) ในยูนนาน เวียดนาม ลาว และประเทศไทย ช่างทำเครื่องเงินจะทำสัญลักษณ์ของตนเองลงบนเครื่องประดับเช่นการเขียนอักษรลงบนแหวน หรือกำไล หรือประทับตราที่ตุ้มหูรูปลูกศร และใช้สัญลักษณ์ที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม รูปแบบมีการผสมผสานเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น สัญลักษณ์ที่นิยมใช้เช่นรูปดาวหลายแฉก ปลา นก ผีเสื้อ มังกร ต่างหูรูปลูกศรเป็นต้น (หน้า 160) เครื่องประดับเงินของเย้าทางเหนือของไทย และทางเหนือของลาวมีความสัมพันธ์และคล้ายคลึงกับเครื่องเงินของเย้าทางตอนใต้ของจีนในจังหวัดยูนนาน เครื่องเงินของเย้าทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามมีความสัมพันธ์กับเครื่องเงินของเย้าใน Guangxi เครื่องเงินสามารถบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็น สถานะทางสังคม อายุ ฐานะทางเศรษฐกิจเป็นต้น (หน้า 150,157) เครื่องประดับเงินเหล่านี้เป็นมรดกที่มารดาจะยกให้กับลูกสาว และเครื่องเงินเป็นหลักประกันเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีก็จะนำออกมาขาย (หน้า 143-145) ช่างเงินเย้าในไทยและลาวทำเครื่องประดับได้อย่างประณีตสวยงามและมีคุณภาพสูงและมีการพัฒนานำเทคนิควิธีการทำจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่นการรับเทคนิคการทำเครื่องเงินของไทใหญ่ในรัฐสิบสองปันนา หรือเทคนิคการทำเครื่องเงินของคนไทยภาคเหนือเข้ามาประยุกต์ใช้ผสมผสานกับเทคนิคและรูปแบบดั้งเดิมส่งผลให้ช่างเงินมีฝีมือ และชำนาญการมากขึ้น ทำให้ช่างเงินเมี่ยนในจังหวัดน่านหลายคนเข้าไปทำงานในเมืองเชียงใหม่ หรือในกรุงเทพฯ และเริ่มทำงานอื่นๆ นอกเหนือไปจากเงิน เช่น ทองเป็นต้น (หน้า 150) ปกติเย้าจะซื้อขายเครื่องเงินกับช่างทำเครื่องเงินของตน และซื้อจากกลุ่มชนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง การแต่งกาย เสื้อผ้าเย้าแสดงอัตลักษณ์ความเป็นเย้าได้อย่างชัดเจน แต่ในปัจจุบันผู้ชายเย้าไม่ได้ใส่ชุดแบบดั้งเดิมมากนักจะใส่เฉพาะในงานโอกาสสำคัญเท่านั้น แต่ผู้หญิงเย้ายังคงใส่ชุดแบบดั้งเดิม ในแต่ละกลุ่มย่อย ในแต่ละกลุ่มย่อยมักจะมีการประดับตกแต่งเฉพาะ เช่นในกลุ่ม Tapan Yao, Coo Mun Yao, Jiantao Yao, Tsio Ban Yao และ Hong Tou Yao มีลักษณะของหมวกที่ประดับตกแต่งแตกต่างกัน ชุดและเครื่องแต่งกายสามารถบ่งบอกได้ว่าเย้าอาศัยอยู่ในพื้นที่ใด เช่น จากลักษณะของเสื้อผ้าสามารถบอกกลุ่มย่อยของ เมี่ยน "Mien Hongtou Yao" จากตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัด Gungxi ออกจากกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนทางเหนือของเวียดนาม และเสื้อผ้าสามารถบอกอัตลักษณ์ ของ Kim Mun Lantien Sha ซึ่งอยู่ทางเหนือของลาวออกจากกลุ่มที่อยู่ในสิบสองปันนา และจากกลุ่มที่อาศัยในลาว และในประเทศไทย อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าก็จะปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อม พื้นที่อาศัย ลักษณะการทำงาน ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา (หน้า 66) ผู้หญิงเย้า เมี่ยน และ Mun Yao จะใส่ชุดคลุมย้อมคราม และใส่กางเกงปักลวดลาย มีผ้าโพกหัว เสื้อผ้าจะประดับตกแต่งด้วยเงิน และพู่เป็นลวดลายต่างๆ (หน้า 66) การประดับตกแต่งลวดลายบนเสื้อผ้าของเย้าค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในวิธีการทำและการใช้สี การเย็บปักมีหลายแบบ และในกลุ่มเมี่ยนในประเทศไทยและลาวได้พัฒนาการปักลายกากบาทขึ้น ลวดลายกากบาทนี้กลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของกลุ่มย่อยในพื้นที่แถบนี้ (หน้า 66-69) สัญลักษณ์ที่ใช้ในการปักลวดลายจะมีทั้งรูปสัตว์ นก ต้นไม้ ฯลฯ สัญลักษณ์และรูปแบบบางแบบอาจจะได้รับความนิยมในช่วงระยะหนึ่ง เมี่ยนในปัจจุบันไม่ทอผ้า จะซื้อจากกลุ่มชนกลุ่มน้อยอื่นๆ แต่ยังทำการย้อมสีผ้าด้วยตัวเอง เย้าที่อยู่ในต่างประเทศจะสั่งผ้าพ่อค้าเย้าจากประเทศไทย ลาว สำหรับกลุ่ม Mun Yao ยังคงมีการทอผ้า (หน้า 72) เสื้อคลุม เมี่ยนและ Mun Yao ทุกกลุ่มย่อยจะใส่เสื้อคลุม และถ้าอากาศหนาวหรือในเทศกาลประเพณีต่างๆ บางครั้งจะใส่เสื้อคลุม 2-3 ชั้น ปกติเสื้อคลุมจะเป็นสีคราม มีแขน ผ่าด้านหน้าและด้านข้างลำตัว ประดับตกแต่งลายที่ปก แขนเสื้อและชายเสื้อ และอาจมีการประดับพู่ห้อยที่ปกคอเสื้อ หรือที่อื่นๆ ตามความนิยมของแต่ละกลุ่มย่อย แต่เสื้อคลุมจะไม่มีกระเป๋า กางเกง ผู้หญิง เมี่ยน และ Mun Yao ทุกคนจะใส่กางเกง ยกเว้น เมี่ยนกลุ่ม Yao Tien หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Tsio Ban Yao อาศัยอยู่ทางเหนือของเวียดนาม และ Mun Yao กลุ่มย่อยในไหหนาน ประเทศจีนที่ไม่ได้ใส่กางเกง ... กางเกงจะมีการปักลวดลาวหลากหลาย ปกติจะใส่กางเกงขายาว แต่จะมีกลุ่ม Yao Quan Chet ทางเหนือของเวียดนามจะใส่กางเกงแค่เข่า เสื้อรัดหน้าอก เข็มขัด ผ้ารัดเอว ปกติผู้หญิงเย้าจะมีเสื้อตัวในรัดหน้าอกใส่ภายในเสื้อคลุม และสายสร้อยประดับด้วยเงิน ใส่สำหรับประดับหน้าอก และมีเข็มขัดหรือผ้ารัดเสื้อคลุม บางแบบจะปักลวดลาย คล้ายกับเสื้อคลุม หรือทำจากผ้าไหม ลักษณะของผ้าคาดแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่มย่อยและจะมีการประดับชายทั้งสองด้าน ในเทศกาลจะมีผ้าคาดเอวพิเศษสีสันแต่ต่างไปจากปกติ (นิยมใช้สีแดงหรือสีขาว) (หน้า 110) ผ้าพันขา เมี่ยนและ Mun Yao และกลุ่มย่อยอื่น ๆ มีผ้าพันขาทำจากผ้าฝ้าย เพื่อช่วยป้องกันหนาม พุ่มไม้เมื่อเดินทาง แต่เมื่อเมี่ยนและ Mun Yao ย้ายมาอาศัยบนพื้นที่ราบผ้าพันขาก็หายไป หรืออาจจะพบเห็นใช้ในกลุ่มพระในพิธีกรรมสำคัญของลัทธิเต๋าเท่านั้น (หน้า 115) หมวก ผ้าโพกหัว เย้าใช้ผ้าโพกหัวและมีการพันหลายแบบ ปกติสีผ้าที่ใช้โพกนิยมสีดำหรือสีน้ำเงิน มีการปักลวดลายหลายแบบ และผ้าโพกหัวลักษณะพิเศษสำหรับเจ้าสาวใช้ในพิธีแต่งงานหรือพิธีสำคัญทางศาสนา (หน้า 127) ผ้าคาดรัดเด็กทารก เย้าจะใช้ผ้าคาดสำหรับรัดเด็กไวด้กับมารดาส่วนใหญ่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม ผ้าคาดจะมีสายรัด ประดับตกแต่งลวดลาย และประดับด้วยเงินในกลุ่มที่มีฐานะ เมี่ยนในประเทศไทยและลาวนิยมใช้สีแดงและสีขาวในการทำลวดลาย (หน้า 132-133) ย่าม เนื่องจากเสื้อผ้าของเย้าไม่มีกระเป๋าพวกเขาจะเก็บของที่ผ้าโพกหัว ในเสื้อรัดอก ในเข็มขัด และในย่ามสะพายไหล่ ส่วนใหญ่จะทำเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำด้วยป่าน ปอ กัญชา หรือ ผ้าฝ้ายย้อมสีคราม บางแบบทำเป็นตาข่ายใส่ของ ผู้ชายนิยมใช้ย่ามใส่สิ่งของเมื่อออกไปล่าสัตว์ ในกลุ่ม Mun Lantien จะมีการทอพิเศษโดยใช้สองสีคือสีแดงและสีน้ำเงิน (หน้า 134) เสื้อผ้าผู้ชายและเสื้อผ้าเด็ก ในอดีตจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เย้า เมี่ยน ทุกคนจะแต่งกายในแบบประเพณีนิยม ผู้ชายจะใส่เสื้อคลุมและใส่กางเกงไม่มีการปักลวดลายย้อมสีคราม เด็กเล็กจะใส่เสื้อ "Bibs" ทำจากผ้าฝ้ายและใส่หมวกที่มีการประดับตกแต่งหลากหลาย ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ผู้ชายเริ่มแต่งตัวกับชุดตะวันตก แตยังคงมีการใส่ชุดตามแบบประเพณีนิยมบ้างในเทศกาลสำคัญทางศาสนา หรือเมื่อไปตลาด และโอกาสพิเศษต่างๆ (หน้า 137) จากวัฒนธรรมของการใส่หมวกและผ้าโพกหัว ทำให้ผู้หญิงเมี่ยนนิยมถอนขนคิ้ว และโกนหัวด้านหน้า ยังคงมีการปฏิบัติอยู่ในเมี่ยนที่อาศัยในจีนและเวียดนาม แต่เมี่ยนในลาวและไทยไม่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน (หน้า 63) |
|
Folklore |
ตำนานกำเนิดมนุษย์ เย้ามีตำนานเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์โดยเชื่อว่า เทพเจ้า Pan Ku เป็นผู้สร้างโลก และในขณะนั้นมีผู้ปกครองอาณาจักรพระนามว่าพระเจ้าปิง (King Ping) มีปัญหากับผู้ปกครองอื่น ๆ ทำให้มีการประกาศรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถฆ่าพระเจ้าปิงได้ จะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและมีดินแดนของตนเอง มังกรชื่อ Pan Hung อาสาและสามารถฆ่าพระเจ้าปิงได้ จึงได้แต่งงานกับเจ้าหญิงแม้ว่าเขาจะเป็นมังกรก็ตาม ภายหลังแต่งงานมังกร Pan Hung มีบุตรชายหกคน และบุตรหญิงหกคน กลายบรรพบุรุษคนแรกของ 12 โคตรตระกูลเย้า (หน้า 18) ตำนานการอพยพ บันทึกที่สำคัญของเย้าคือ " Cia Sen Pong" ซึ่งได้รับการสืบทอดมาหลายร้อยปีและมีการคัดลอกเก็บไว้ในครัวเรือนของเย้า โดยเฉพาะในกลุ่มเมี่ยนค่อนข้างให้ความสำคัญกับบันทึกฉบับนี้ แต่ Mun ในเวียดนามมักจะมีบันทึกสำเนาฉบับย่อเก็บไว้เท่านั้น จากการคัดลอกทำให้เกิดหลายสำเนาแตกต่างกันไป บันทึกที่พบในแต่ละครัวเรือนอาจจะเก่าตั้งแต่ 10-200 ปี โดยทั่วไปบันทึกฉบับในลาวและประเทศไทยจะมีอายุน้อยกว่าบันทึกในประเทศจีน (หน้า 249) บันทึกฉบับนี้อาจจะรู้จักในชื่ออื่นๆ เช่น "Guo Shan Bang " ในประเทศจีน หรือ "Cia Sen Pong ในกลุ่มเมี่ยนในเวียดนาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเดินทางของบันทึกข้ามภูเขาไปยังพื้นที่ต่างๆ บันทึกกล่าวถึงสิทธิโดยชอบธรรมของเย้าในการตั้งถิ่นฐานได้อย่างเป็นอิสระบนพื้นที่สูง ไม่ต้องจ่ายภาษี เกณฑ์แรงงาน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มชาวจีนและกลุ่มชนอื่นๆ ในพื้นที่ นอกจากนี้ บันทึกได้สืบทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเย้า อาทิเช่น การกล่าวถึงบรรพบุรุษคนแรก คือ Pan Hung ซึ่งเป็นบิดาของทั้งสิบสองโคตรตระกูลเย้า ในบันทึกจะกล่าวถึงข้อมูลเกี่ยวกับชื่อของ 12 โคตรตระกูล สถานที่แรกเริ่มตั้งถิ่นฐาน และในบันทึกยังกล่าวถึงเส้นทางการอพยพมีภาพประกอบเรื่องราวแสดงแผนที่ เมือง จังหวัด ประเทศที่เดินทาง รวมถึงชื่อผู้ปกครอง สำเนาที่คัดลอกแต่ละฉบับจะมีการบันทึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแต่ละกลุ่มในพื้นที่ต่างๆ บันทึกเหล่านี้ทำด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น กระดาษจากเยื่อไม้ไผ่ กระดาษจากต้นหม่อน หรือเขียนบนผ้าฝ้าย และ และจะมีการประทับตรา เป็นรูปวงกลมเอาไว้ชื่อตรา "Pan Hung" ขนาดของบันทึกมี 2 ขนาด คือ ยาว 7 เมตร กว้าง 45-50 เมตร และอีกขนาดเป็นฉบับยาวประมาณ 5 เมตร (หน้า 250-251) บันทึกเรื่องราวอื่นๆ มีปรากฏเขียนไว้เช่นกันเรียกว่า "Lio Soui Po" เช่นกำเนิดเย้า แต่บันทึกเหล่านี้จะไม่มีการประทับตรา เก็บรักษาไว้ในแต่ละครัวเรือน นอกจากนี้มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมการเพาะปลูก การป้องกันสิ่งชั่วร้าย การข้ามผ่านสะพานไปสู่โลกหน้า หรือสวรรค์ บันทึกเหล่านี้มักจะเป็นกระดาษขนาดเล็ก (หน้า 251) นอกจากนี้เย้า เมี่ยน และ Mun Yao ยังมีหนังสือเกี่ยวกับศาสนาา เทศกาลประเพณี ตำราพยากรณ์ ยารักษาโรค ประวัติศาสตร์ บทเพลง กฎหมาย นิทาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับการล่าสัตว์ ฯลฯ และแต่ละครัวเรือนจะเก็บบันทึกเกี่ยวกับโคตรตระกูลของตนเอาไว้ เอกสารและบันทึกเหล่านี้ช่วยให้เย้าสามารถดำรงเอกลักษณ์และความเป็นอิสระของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอาไว้จนถึงปัจจุบัน (หน้า 252) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบ บทที่ 1 พื้นที่อยู่อาศัยและการแต่งกาย บทที่ 2 พิธีกรรมทางศาสนา บทที่ 3 การแต่งกาย บทที่ 4 เครื่องประดับตกแต่ง บทที่ 5 สภาพภูมิประเทศ เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำเกษตรกรรม บทที่ 6 เอกสาร ตำนาน เรื่องเล่า |
|
|