|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เมี่ยน,การจัดการทรัพยากร,พิธีกรรม,สุขภาพ,พะเยา |
Author |
สมเกียรติ จำลอง |
Title |
องค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรและสุขภาพของชาว "เมี่ยน" |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
50 |
Year |
2547 |
Source |
ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ) |
Abstract |
ศึกษาการจัดการทรัพยากรและสุขภาพของเมี่ยนบ้านปางพริก หมู่ที่ 3 ตำบลผาช้างน้าย อำเภอปง จังหวัดพะเยา |
|
Focus |
ศึกษาการจัดการทรัพยากรและสุขภาพของ "เมี่ยน" |
|
Ethnic Group in the Focus |
เมี่ยนซึ่งมีถิ่นกำเนิดบริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) ต่อมาถูกจีนรุกราน จึงมีการอพยพรวมกับเผ่าหนานหมาน และอพยพต่อลงมาที่มณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง แล้วในสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่นจึงอพยพลงมาทางใต้หลังเกิดสงครามระหว่างเหนือใต้ จึงผสมปนเปกับเผ่าอื่นๆ ถูกเรียกรวมว่า "โมมี่ยน" แล้วจึงถูกเรียกว่าเมี่ยนในที่สุด การอพยพเข้าไทย ลาวและเวียดนาม เกิดในช่วงราชวงศ์หมิง และภายหลังสงครามปลดแอกประเทศลาว พ.ศ. 2518 มีเมี่ยนจำนวนนับหมื่นอพยพไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศสและประเทศต่างๆ ในยุโรป (หน้า 70 - 71) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนเมี่ยนบ้านปางพริกเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2514 หลังจากเมี่ยนบ้านห้วยตอง ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ประมาณ 30 ครัวเรือน ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งปางทำไร่มาก่อน ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนเดิมไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 ชั่วโมงเดิน ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ในพื้นที่เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับรัฐบาลไทย จึงอพยพลงมาตั้งชุมชนแห่งใหม่ บางส่วนที่เหลืออยู่จึงย้ายมาตั้งชุมชนใหม่ที่ไร่พริกของตนเอง (หน้า 75) |
|
Demography |
ชุมชนเมี่ยนบ้านปางพริกมีประชากรจำนวน 50 ครัวเรือน เป็นชาย 143 คน หญิง 147 คน รวม 290 คน สมาชิกในชุมชนประกอบด้วย 5 แซ่สกุล คือ 1) แซ่จ๋าว 2) แซ่ฟ่ง 3) แซ่ฟ่าน 4) แซ่เติ๋น และ 5) แซ่ย่าง (หน้า 74) |
|
Economy |
ชุมชนเมี่ยนบ้านปางพริกส่วนใหญ่มีฐานะปานกลาง มีรายได้ไม่เกินปีละ 20,000 บาท ผู้มีฐานะดี มี 3 ครัวเรือน ประกอบอาชีพค้าขายกับการเกษตร สังคมเมี่ยนแบ่งฐานะทางเศรษฐกิจของคนในสังคมออกเป็น 4 ระดับ คือ 1) ผู้มีฐานะร่ำรวย "จ่างห้องเมี่ยน" มีเงินทอง ไร่นา เครื่องใช้อุดมสมบูรณ์ สามารถแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่นได้โดยไม่เดือดร้อน 2) ผู้มีฐานะปานกลาง "จงห้องเมี่ยน" พอมีเงินใช้จ่ายในครอบครัว ไม่ต้องหยิบยืมผู้อื่น มีไร่ สวนของตัวเอง มีข้าวของเครื่องใช้ตามสมควร สามารถเลี้ยงดูแขก ได้โดยไม่เดือดร้อน 3) ผู้มีฐานะยากจน "ห่าห้องเมี่ยน" มีฐานะไม่พอเลี้ยงตัว ต้องออกไปรับจ้างผู้อื่น หากินไปวันๆ ไม่สามารถดูแลแขกได้ 4) ผู้ที่ต้องอาศัยผู้อื่น "ห่าห้องห่าเมี่ยน" มีฐานะยากจนที่สุด ไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ส่วนใหญ่ไม่มีบ้านอยู่ ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยทำงานเพื่อแลกอาหารและที่อยู่อาศัย (หน้า 76-77) เมี่ยนบ้านปางพริกมีการติดต่อค้าขายกับคนนอกหมู่บ้านมายาวนาน ทั้งจากการปลูกและขายฝิ่น และมีพ่อค้าจีนฮ่อใช้ม้าต่างบรรทุกสินค้าเข้ามาขายในหมู่บ้าน ได้แก่ น้ำมันก๊าด ด้าย เข็มเย็บผ้า ยารักษาโรค (หน้า 77) ระบบการผลิตของเมี่ยนมีการทำไร่แบบตัดฟันโค่นเผา และเป็นการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชยาวนาน แล้วทิ้งให้ดินฟื้นตัวยาวนาน โดยเริ่มจากตัดฟันถางป่าให้เป็นแปลงเล็กๆ ทิ้งไว้จนแห้ง รอเวลาเผาเพื่อเปิดพื้นที่โล่งเตียน แล้วจึงทำการเพาะปลูกข้าว ข้าวโพด แล้วปล่อยให้ที่ดินพักฟื้น 3-5 ปี จึงกลับมาใช้อีก แต่ถ้าเป็นไร่ฝิ่น จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ 5-8 ปี จนดินเสื่อมสภาพ แล้วปล่อยให้ดินพักฟื้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ปลูกฝิ่นบางแห่งสามารถเพาะปลูกได้ยาวนาน 30-40 ปี (หน้า78-79) การปลูกข้าว เริ่มต้นในเดือนที่ 1 หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมเทศกาลปีใหม่ ทุกหลังคาจะเริ่มตัดฟันไร่สำหรับปลูกข้าวในเดือนที่ 4 ตรงกับช่วงเดือนพฤษภาคม การปลูกข้าวใช้วิธีขุดหลุมหยอดมีเครื่องมือที่ใช้ขุดหลุมเป็นท่อนไม้กลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ยาวประมาณ 1.5 เมตร ปลายไม้มีเหล็กรูปทรงไข่ตัดหุ้มสำหรับแทงดินให้เป็นหลุม ผู้ชายจะเป็นคนขุด ผู้หญิงจะเป็นคนหยอดหลุม (หน้า 80) เมี่ยนจะปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียวไว้ในแปลงเดียวกัน โดยใช้ไม้ปักเพื่อแบ่งอาณาเขตชัดเจน สำหรับข้าวเหนียวจะปลูกในพื้นที่ราบเพราะจะได้ผลผลิตดีกว่า การเกี่ยวข้าวเริ่มในเดือนที่ 9 ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน มีเครื่องมือเกี่ยวข้าวเรียก "ยิ๊บ" เป็นใบมีดสั้นๆ รูปครึ่งวงกลมเสียบแน่นอยู่ ตรงกลางไม้กลมขนาดแท่งดินสอ เก็บเข้ายุ้งฉาง เพื่อเตรียมเริ่มต้นใหม่ในปีต่อไป (หน้า 80-81) การปลูกข้าวโพด เป็นพืชสำคัญรองจากข้าวที่ทุกครัวเรือนต้องปลูก โดยจัดเตรียมพื้นที่ไว้แยกต่างหากจากข้าวและฝิ่น เริ่มปลูกในเดือนที่ 3 ประมาณเดือนเมษายน ด้วยการหยอดเมล็ด จากนั้นรอจนถึงประมาณเดือนที่ 7 หรือเดือนสิงหาคม สามารถเก็บผลผลิตได้ (หน้า 82-83) การปลูกฝิ่น มีการปลูกก่อนปี พ.ศ. 2502 เป็นพืชที่ปลูกขายเป็นรายได้ประจำปี โดยเริ่มหว่านเมล็ดฝิ่นประมาณเดือน 8 หรือกันยายน และเริ่มกรีดฝิ่นในเดือน 12-1 ตามปฏิทินเมี่ยนหรือเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ (หน้า84-85) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวเมี่ยนทั่วไปเป็นครอบครัวขยายมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 4 รุ่นอายุคน บุตรชายคนโตเมื่อแต่งงานแล้ว ยังอยู่บ้านเดียวกับบิดามารดา เพื่อเลี้ยงดูในยามแก่ จนเมื่อบิดามารดาเสียชีวิตลงจึงสามารถแยกบ้านได้ นอกจากมีเหตุจำเป็นเช่น บ้านคับแคบ หรือต้องไปประกอบอาชีพที่อื่น เมี่ยนจัดระบบการนับญาติไว้ดังนี้ 1. ญาติไกล หมายถึงสายสัมพันธ์ที่ยังนับถือเป็นญาติหรือพี่น้อง ซึ่งอาจเป็นคนในตระกูลเดียวกันหรืต่างตระกูลก็ได้ แบ่งได้หลายระดับคือ ญาติร่วมเผ่า ญาติร่วมหมู่บ้าน ญาติที่เกิดจากคนต่างตระกูลแต่งงานกัน 2. ญาติใกล้ คือเครือญาติร่วมสายโลหิตเดียวกัน และคนภายนอกที่เข้ามาอยู่ร่วมในความคุ้มครองของผีบรรพชน โดยนับขึ้นไป 2 รุ่น และนับลงมา 3 รุ่น รวมเป็น 6 รุ่น ส่วนลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วถือว่าอยู่คนละตระกูลกัน เมี่ยนจะให้ความสำคัญต่อระบบเครือญาติมาก เพราะหมายถึงคนในครอบครัวเดียวกัน ต้องรับผิดชอบต่อผีบรรพชนร่วมกัน ต้องประกอบพิธีกรรมของสายตระกูลร่วมกัน (หน้า 71-72) |
|
Political Organization |
การปกครองของเมี่ยนมี 1. หัวหน้าหมู่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในชุมชน ตัดสินคดีพิพาทในชุมชน เป็นตัวแทนของชุมชนในการติดต่อกับสังคมภายนอก หัวหน้าหมู่บ้านมาจากการเลือกตั้งของชุมชนโดยประเพณี จะทำหน้าที่จนไม่สามารถทำได้หรือเสียชีวิตลง 2. หมอผี เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมในชุมชนชี้ถูกชี้ผิดทางด้านประเพณีวัฒนธรรม หมอผีเป็นได้โดยการศึกษาเรียนรู้ 3. คณะผู้อาวุโส ที่หัวหน้าหมู่บ้านเชิญมาปรึกษากิจกรรมต่างๆ ในชุมชน เป็นคนที่มีความคิดดีสามารถให้คำปรึกษาได้ ไม่จำกัดอายุและจำนวน (หน้า 72) |
|
Belief System |
หมอผี "ซิบเมี้ยนเมี่ยน" คือผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมเพื่อสื่อสารกับผีกลุ่มต่างๆ ให้แก่สมาชิกในสังคม ซึ่งเมี่ยนจะมีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมตั้งแต่เกิดจนตาย หมอผีแบ่งได้ 2 ระดับดังนี้ 1. ระดับ "หาจ๋ายเมี้ยน" หรือหมอผีเล็ก ประกอบพิธีขนาดเล็กที่ไม่ต้องสื่อสารกับผี 2. ระดับ "จ่างจ๋ายเมี้ยน" สามารถประกอบพิธีสื่อสารกับผีได้ทุกกลุ่ม (หน้า 106) กระบวนการกลายเป็นหมอผี กำหนดให้ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นหมอผีได้ ซึ่งต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ ความรู้ความสามารถ คือความรู้ในการประกอบพิธีต่างๆ เรียนรู้ได้จากการช่วยประกอบพิธีและศึกษาจากหนังสือในการประกอบพิธีกรรม และสิทธิในการประกอบพิธีกรรม หมายถึงผียอมรับการสื่อสาร (หน้า 107) การเลื่อนระดับของหมอผี ต้องผ่านพิธีบวชเล็ก เรียก "กว่าตั๊ง" เพื่อให้มีคุณสมบัติพื้นฐานการเป็นหมอผีใหญ่ จากนั้นจึงไปขอ "เบี๊ยดฟ๊าด" เป็นการเป่าเขาควายเพื่อสื่อสารไปยังผีเทพยดา และหมอผีใหญ่ต้องผ่านพิธีบวชใหญ่ก่อน จึงเลื่อนระดับมีสิทธิสูงสุดในการประกอบพิธีกรรม ถือว่ามีสถานภาพเป็นเทพหรือเซียนที่บริสุทธิ์ (หน้า 108) เทศกาลที่สำคัญที่สุดมี 2 เทศกาลคือ เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ "เซียงเหียง" เป็นการเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์ของการเพาะปลูก สิ้นสุดการทำงานหนักในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา และเตรียมเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ ตรงกับวันตรุษของชาวจีน ใช้เวลาเฉลิมฉลอง 3 วัน มีการเซ่นไหว้บรรพชนให้ช่วยคุ้มครองลูกหลาน และเทศกาลวันแรม 14 ค่ำ เดือน 7 เป็นวันสิ้นสุดครึ่งปีแรกของปี และถือเป็นวันปีใหม่ของผี ในวันนี้ วิญญาณคนตายจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จึงเป็นโอกาสเหมาะในการตอบแทนบุญคุณต่อบรรพชน (หน้า 73) |
|
Education and Socialization |
การถ่ายทอดการเป็นหมอยาสมุนไพรให้คนในตระกูลเป็นการเรียนโดยตรงกับตัวหมอยาสมุนไพร ซึ่งมีความชำนาญเฉพาะด้านไม่เหมือนกัน วิธีการถ่ายทอดแบ่งได้ดังนี้ 1. ถ่ายทอดให้คนในสายตระกูล ถือเป็นแนวทางหลักของการถ่ายทอด และปราศจากเงื่อนไข มีการพาไปเก็บต้นยา จดจำลักษณะสรรพคุณ ส่วนที่นำมาใช้ การเก็บและผสมยา พร้อมพาไปด้วยในเวลารักษาผู้ป่วย การใช้เวลาเรียนรู้อาจยาวนานถึง10 ปี 2. ถ่ายทอดให้คนนอกตระกูล คือผู้ที่พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรบ้าง หรือผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคนั้นมาก่อน หมอยาต้องทำพิธีประสิทธิวิชา และผู้เรียนต้องเคารพหมอยา และครูของหมอยาด้วย โดยต้องเสียเงินค่าสอนตามสมควร 3. การถ่ายทอดให้บุคคลภายนอก อยู่ในดุลยพินิจของหมอยา (หน้า 101-102) |
|
Health and Medicine |
เมี่ยนจำแนกสาเหตุความเจ็บป่วยออกเป็น 1) เกิดจากสภาพแวดล้อมหรืออากาศแปรปรวน โดยเชื่อว่าภูมิอากศทำให้เราเจ็บป่วยได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม วัฒนธรรมเมี่ยนแบ่งฤดูกาลออกเป็น 4 ฤดู คือ 1.ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มในช่วงปลายมกราคม ถือเป็นช่วงอากาศร้อนทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เช่นไข้หวัด มาลาเลีย อีสุกอีใส 2. ฤดูร้อน เริ่มในเดือนที่ 4 ปลายเดือนเมษายน มีฝนตกและอากาศเปลี่ยนแปลงง่าย จึงก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย 3. ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มต้ในเดือนที่ 7 ปลายเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาว แต่จะเป็นไข้ข้าวเหลือง เชื่อว่าเกิดจากกลิ่นหอมของข้าว วิธีรักษาคือตัดต้นข้าวมามัดรวมกัน เอามาต้มให้เดือด นำน้ำมาอาบให้กับผู้ป่วยจนกว่าจะหาย ฉะนั้นเมื่อข้าวใกล้สุก เมี่ยนจะไม่นิยมไปไร่เพราะกลัวป่วยเป็นไข้ข้าวเหลือง 4. ฤดูหนาว เริ่มในเดือนที่ 10 ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน มักป่วยเป็นโรคหวัด และไอ รักษาโดยใช้ตะไคร้ ต้มเอาน้ำมาอาบ (หน้า 92-93) 2) เกิดจากผีทำ "เมี้ยนมั๊ว" ผีตามความเชื่อของเมี่ยนจำแนกได้ดังนี้ 1. ผีใหญ่ "ต้มต้องเมี้ยน" ตามความเชื่อลัทธิเต๋า เป็นส่วนหนึ่งผู้ควบคุมกลไกโลกและจักรวาล อีกส่วนหนึ่งกำเนิดจากมนุษย์ เป็นเทพบริสุทธิ์มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง ประทับอยู่บนฟ้า ผีใหญ่จะให้คุณโทษกับมนุษย์เนื่องจากคนนำรูปผีใหญ่มาใช้โดยไม่มีพิธีกรรมจริง ทำภาพผีใหญ่ให้สกปรกหรือฉีกขาดเสียหาย ทำพิธีกรรมผิดหรือไม่ปฏิบัติตามข้อห้ามในพิธีกรรม อาการที่เกิดขึ้นคือจะทำให้สลบ เป็นบ้า ป่วยหนัก 2. ผีเรือน "เปี้ยวเยเมี้ยน" เป็นผีที่อยู่ในบ้าน มี 2 กลุ่มคือผีบรรพชนที่ตายไปแล้วเรียกว่า "องถายเมี้ยน" ซึ่งหากคนในบ้านละเลยไม่เซ่นไหว้ ผีจะไม่คุ้มครองดูแล และผีที่ประจำอยู่กับพื้นที่ต่างๆ ในบ้าน เช่นผีเตาไฟ ผีประตู ผีน้ำ ผีดิน ผีบางชนิดมีความดุร้าย หากล่วงเกินอาจทำให้เจ็บป่วย 3) ขวัญ "เวิ่น" หรือ "เวิ่นแบ๊ะ" เชื่อว่าคนที่เกิดมามีขวัญประจำตัวทุกคนขวัญทำให้เจ้าของเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่น หากขวัญไม่อยู่ติดกับร่างกายจะทำให้เจ้าของขวัญมีอาการตัวเหลือง อ่อนเพลีย มีกำลังน้อย และถึงแก่ชีวิตหากขวัญหนีไปเกิดใหม่ในท้องคนอื่นหรือไปเกิดใหม่ในที่อื่น 4) ฝีงเมี้ยน/เปี้ยงเมี้ยน เป็นผีประจำตัวของทุกคน โดยเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาจากดินแดนดอกไม้ จึงมีผีดอกไม้คอยดูแล เมี่ยนจึงไม่นิยมดุว่าเด็ก เพราะจะทำให้ผีประจำตัวตกใจกลัวและหนีออกจากร่าง ทำให้เด็กตายได้ และต้องมีพิธีไหว้ผีทุกปี 5) คุณไสย "ปู๋งเจียม" คือการเสกสิ่งของเช่นก้อนหิน หนังสัตว์เข้าไปอยู่ในร่างกายคนอื่น เป็นวิชาที่เรียนมาจากเผ่าอื่น จะทำให้คนนั้นถึงแก่ชีวิต แก้ไขโดยให้หมอผีใช้คาถารักษา 6) เวิ่นเฉียไอ๊ "ชะตาตก" ชีวิตคนย่อมมีชะตาชีวิตขึ้นสูงต่ำสลับกันไป ยามชะตาชีวิตขึ้นสูง ชีวิตจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น แต่ถ้าชะตาชีวิตตกต่ำ ชีวิตก็จะเกิดความลำบากเจ็บป่วย ต้องแก้ไขด้วยการทำพิธี "ชางเวิ่น" หรือ "โจ้วเวิ่น" โดยให้หมอผีประกอบพิธีกรรม 7) เคราะห์ร้าย "เห้นโต้" ในวงจรชีวิตจะมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ที่แทรกเข้ามาเป็นครั้งคราว เคราะห์บางคนผ่านง่ายผ่านยากขึ้นอยู่กับชะตาชีวิต ซึ่งจะมีผีบรรพชนบอกเหตุให้รู้ล่วงหน้า เช่นเห็นหยดเลือดใหม่ๆ ในบ้านโดยไม่มีที่มา เห็นเสือโคร่งเวลากลางวัน แสดงว่ารุนแรงมาก เห็นคนสังวาสกันเวลากลางวัน แสดงว่าค่อนข้างรุนแรง เห็นไก่ตัวเมียขันแสดงว่าไม่ค่อยรุนแรง ทางแก้ไขคือทำพิธีส่งเคราะห์ "ฝูงไกว่" ให้หมอผีประกอบพิธีกรรม ถ้าเป็นเคราะห์เล็กแก้ไขโดยผูกข้อมือเรียกขวัญ (หน้า 98-99) 8) เกิดเองตามธรรมชาติ หรือ "ป้วนซินแปง" เป็นความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่ได้เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นกินอาหารเป็นพิษ ความประมาท (หน้า 99) การค้นหาสาเหตุความเจ็บป่วย มีการทำพิธี 2 แบบ คือ พิธีแบบใหญ่ "โบ๊วต้มโบ๊ว" ใช้ในกรณีเจ็บป่วยอาการหนัก ต้องใช้หมอผีเข้าทรง สอบถามสาเหตุจากร่างทรงแล้วแก้ไขตามกรณี และพิธีแบบเล็ก "โบ๊วบะกว่าตอน" ใช้ในกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือเจ็บป่วยธรรมดา ผ่านทางเครื่องมือหรืออุปกรณ์เสี่ยงทาย ได้แก่ หวี ก้อนหิน และท่อนไม้ขนาดข้อมือ โดยมีเชือกผูกตรงกลาง เมื่อถามถึงผีตัวใดแล้วพบว่าเครื่องมือมีอาการแกว่ง แสดงว่าผีตนนั้นทำให้เจ็บป่วย การรักษาด้วยสมุนไพร ถือว่าเป็นยาของผู้หญิง คือความรู้ในเรื่องการใช้ยาสมุนไพรเป็นความรู้ของผู้หญิง เป็นความรู้ที่จดจำกันต่อๆ มา ซึ่งมีการจำแนกตัวยาสมุนไพรเป็น 2 แบบ คือ ยาร้อนและยาเย็น วิธีใช้ยาสมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วยมีหลายวิธี เช่น ดองกับสุราดื่ม ต้มดื่ม ต้มอาบ แช่ ทา พอก แปะ ประกอบอาหารรับประทาน (หน้า 99-100) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ด้วยเงื่อนไขการจำกัดการเคลื่อนย้ายที่ดินทำกิน การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และการผลิตที่ตอบสนองระบบตลาดและต้องพึ่งปัจจัยการผลิตจากภายนอกมากขึ้น ระบบการทำไร่แบบดั้งเดิมจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยสรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงการผลิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 2 ด้าน คือ 1) การใช้ที่ดินในระบบไร่ถาวร เพราะไม่สามารถย้ายที่ทำกินจึงหันมาปลูกไม้ผลเช่น ลิ้นจี่ ส้มเขียวหวาน บางส่วนอาจปลูกพืชเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น ฝ้าย ข้าวโพด พริกหากมีที่ดินไม่พอต้องออกไปรับจ้าง ปัจจุบันไม่มีประเพณีการจับจองพื้นที่ทำไร่ เพราะไม่มีพื้นที่ป่าให้บุกเบิกอีกต่อไป 2) ความหลากหลายของพันธุ์พืชในไร่ถาวร ขณะที่จำนวนที่ดินลดน้อยลง แต่เมี่ยนจำนวนหนึ่งยังคงปลูกข้าว ข้าวโพดเพื่อบริโภคและเลี้ยงสัตว์ มีความพยายามสร้างหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร จะมีการปลูกพืชผักในไร่ถาวร อย่างไรก็ตามความหลากหลายของพันธุ์พืชในไร่ถาวรลดน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต (หน้า 90-92) ปัจจุบันนี้มีคนให้ความสนใจกับกับการเป็นหมอยาสมุนไพรและหมอผีน้อยมาก เนื่องจากสภาพสังคมเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปจากเดิม บีบบังคับให้เมี่ยนมุ่งทำกิจกรรมที่หวังผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าการเป็นหมอสมุนไพรและหมอผี ทำให้ความรู้เรื่องยาสมุนไพรและหมอผีค่อยลดหายลง (หน้า 109-110) |
|
Map/Illustration |
ภาพหญิงเมี่ยนกำลังเก็บผักกะหล่ำปลี และพืชผักอื่นๆ ในบริเวณไร่ข้าว (หน้า 86) ภาพหญิงเมี่ยนกำลังตากดอกไม้กวาดริมถนนเพื่อทำไม้กวาด (หน้า 86) ภาพภูมินิเวศน์ของบ้านปางพริก (หน้า 89) ภาพป่าอนุรักษ์ของหมู่บ้าน (หน้า 89) ภาพหมอสมุนไพรเมี่ยน (หน้า 101) ภาพหญิงเมี่ยนกำลังเก็บสมุนไพร (หน้า 105) |
|
|