|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,สุขภาพ,การรักษาพยาบาล,พะเยา,เชียงราย |
Author |
ทรงวิทย์ เชื่อมสกุล |
Title |
"ดลั๊งชั่ว" แนวคิดในการจัดการความเจ็บป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ "ม้ง" |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
31 |
Year |
2547 |
Source |
ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ) "นิเวศน์วิทยาชาติพันธุ์ ทรัพยากรชีวภาพและสิทธิชุมชน" ศูนย์ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่ : บริ |
Abstract |
บทความนี้ศึกษาแนวคิดการจัดการความเจ็บป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่บ้านขุนห้วยไคร้ ซึ่งเชื่อว่าการเจ็บป่วยต่างๆ มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1) ผีทำหรือผีแกล้ง (ดล๊างอัว) 2) ขวัญหาย (ปลี่ป๊ง) 3) คุณไสยหรือมนต์ดำ (จอดลั๊ง)
4) อากาศเปลี่ยนแปลง (ฟั้จัว(ฮ)หลง) 5) ลมไหลย้อนกลับ (จัว(ต)จ๋อ)
6) กินผิด (น่อจือหุ) คือการกินอาหารบางอย่างไม่ถูกกับร่างกายในบางเวลา 7) เลือดไม่ดี (ฉังตือยวน)
8) เชื้อโรค (กั๊งม้อ) 9) ความประมาทและเคราะห์ร้าย
และจะทำการรักษาตามสาเหตุของความเจ็บป่วยโดยหมอผีหรือหมอสมุนไพร
- การทำพิธีไล่หรือขอขมา ต้องใช้สัตว์เพื่อแลกกับชีวิตของผู้ป่วย
- ให้หมอผีทำพิธีเรียกขวัญกลับคืนสู่ร่างโดยเร็ว
- ต้องให้เจ้าของผีที่ทำคุณไสยไปทำพิธีเอาผีออกให้
- เอาเลือดไม่ดีออก
- ใช้สมุนไพร |
|
Focus |
ศึกษาแนวคิดการจัดการความเจ็บป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง บ้านขุนห้วยไคร้ รอยต่อระหว่างอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง ม้งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือม้งน้ำเงินหรือม้งเขียว (ม้งจั๊ว) และม้งขาว (ม้งเด้อ) จำแนกตามลักษณะการแต่งกายและสำเนียงภาษา (หน้า 37 - 39) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
นักภาษาศาสตร์ในสมัยก่อนส่วนใหญ่นิยมจัดภาษาม้งไว้ในตระกูลเดียวกับภาษาจีน (Semitic) หรือในตระกูลจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) เพราะเห็นว่าม้งและเมี่ยนมีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายชาวจีน แต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา นักภาษาศาสตร์เห็นว่าม้ง-เมี่ยนมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวจีนในแง่ของการถ่ายทอดวัฒนธรรมเท่านั้น จึงได้แยกภาษาม้งและเมี่ยนออกเป็นอีกกลุ่มภาษาหนึ่ง ภาษาม้งเป็นคำโดด (Isolating Language) ที่มีเสียงก้อง มีคำศัพท์จำนวนมากที่นำมาจากภาษาจีน และชนชาติอื่นๆ ที่ม้งสัมพันธ์ด้วย เช่น ไทย ลาว เวียดนาม (หน้า 39-40) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ตามประวัติศาสตร์ของจีนได้กล่าวถึงม้งที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำเชียงเจียง ในช่วง 220 ปีก่อนคริสต์กาล ถึง 220 ปีหลังคริสต์กาล ม้งอาศัยอยู่ทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน ติดกับตะวันออกของมณฑลกุ้ยโจว ซึ่งมีการต่อสู้ต่อต้านการรุกรานจากจีนมาโดยตลอด ในที่สุดก็พ่ายแพ้และถูกบังคับให้ยอมรับวัฒนธรรมจีน หลังจากนั้นม้งส่วนหนึ่งจึงอพยพไปยังทิศตะวันตก ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 จึงได้มีม้งจำนวนมากอพยพลงมาทางตอนใต้ ข้ามภูเขามาในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางภาคเหนือของพม่า ไทย ลาว และเวียดนาม
ในช่วงหลังสงครามเวียดนาม อเมริกาถอนทหารออกจากอินโดจีน ม้งจำนวนมากได้อพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ก่อนที่จะอพยพไปยังประเทศที่ 3 หรือถูกส่งกลับภูมิลำเนาเดิม ปัจจุบันมีม้งกว่า 140,000 คน อพยพไปอยู่อเมริกา 20,000 คนอยู่ในฝรั่งเศส 1,800 คนอยู่ในออสเตรเลีย ในแคนาดาประมาณ 800 คน นิวซีแลนด์ 500 คน ยังมีม้งกระจายตามประเทศต่างๆ เช่นเยอรมัน ญี่ปุ่น อาเจนตินาประเทศละ 200 - 300 คน
สำหรับม้งในประเทศไทย เข้ามาครั้งแรกเมื่อประมาณ ค.ศ. 1889 มาจากลาวเข้าทางอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และอำเภอทุ่งช้างจังหวัดน่าน ปัจจุบันมีม้งจำนวนทั้งสิ้น 124,211 คน กระจายอยู่ใน 12 จังหวัดภาคเหนือ มีมากที่เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ตากและเพชรบูรณ์ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่จังหวัดเลย (หน้า 37 - 39)
บรรพบุรุษของม้งขุนห้วยไคร้คือม้งที่อพยพเข้ามาเป็นกลุ่มแรกๆ เมื่อประมาณเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา อพยพข้ามแดนไปมาบนพื้นฐานของการทำไร่ย้ายที่ (Shifting Cultivation) บนภูเขาเขตรอยต่อชายแดนไทย ลาว ก่อนปี พ.ศ. 2511 บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านเดิมเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านม้งและเมี่ยน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับคนภายนอกน้อยมาก มีการพึ่งพาตนเองสูง แต่ยังมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากับหมู่บ้านข้างเคียงบ้าง เช่น ฝิ่น
พื้นที่หมู่บ้านยังเป็นเขตปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มีการปลุกระดมมวลชนและต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างรุนแรง ทำให้ม้งบางกลุ่มอพยพออกมาตั้งหมู่บ้านบริเวณอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และมีการอพยพตามมาอีกหลายครั้ง
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2524 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุติการสู้รบ พื้นที่บริเวณนี้จึงกับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง คนที่เคยเป็นเจ้าของไร่นาเดิมกลับเข้าไปทำกินอีกครั้ง ในช่วงแรกเข้ามาประมาณ 30 หลังคาเรือน โดยสร้างบ้านเพื่ออยู่ชั่วคราว เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย ในปีพ.ศ. 2538 จึงมีการประกาศให้เป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ (หน้า41-43) |
|
Settlement Pattern |
ม้งมักตั้งหมู่บ้านอยู่ในระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล เนื่องจากความสูงระดับนี้เหมาะกับการปลูกฝิ่น ในอดีต ม้งเคลื่อนย้ายหมู่บ้านบ่อยครั้ง เมื่อที่ดินทำกินเสื่อมคุณภาพลง และสาเหตุอื่นๆ เช่น ย้ายเนื่องมาจากปัญหาสงครามทางการเมืองระหว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นต้น
การหาที่ตั้งหมู่บ้านจะต้องดูความเหมาะสมจากความเชื่อที่ว่าต้องมีภูเขาด้านหลังของหมู่บ้าน ต้องหันไปทางทิศตะวันตกที่ไม่มีภูเขาบดบังขวางกั้น ส่วนด้านหลังของหมู่บ้านเป็นทิศตะวันออก ต้องเป็นภูเขาสูง มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์สำหรับการบริโภค และต้องขออนุญาตเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา ซึ่งเชื่อว่าผืนดินแต่ละแห่งมีเจ้าที่ดูแลรักษาอยู่ หากเจ้าที่ไม่อนุญาต ก็ต้องแสวงหาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ (หน้า 40) |
|
Demography |
ปัจจุบันบ้านขุนห้วยไคร้มีจำนวน 61 หลังคาเรือน 73 ครอบครัว มีประชากรรวม 482 คน มี 8 สกุลแซ่หลักๆ คือ 1) แซ่หาง 2) แซ่ย่าง 3) แซ่จาง 4) แซ่ลี 5) แซ่โซ้ง 6) แซว่าง 7) แซ่หมัว และ 8) แซ่กือ (หน้า 43) |
|
Economy |
ระบบการผลิตในอดีตของม้งเป็นการทำไร่บนที่สูง ในรูปแบบของการตัดฟันโค่นเผา (Long Cultivation-Very Long or Abandonment) เป็นการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชอย่างยาวนาน แล้วทิ้งให้ป่าพักฟื้นตัวอย่างยาวนาน โดยเริ่มตัดถางป่าให้เป็นแปลงเล็กๆ ตัดฟันไม้ใหญ่ลงแล้วทิ้งไว้จนแห้ง แล้วเผาให้พื้นที่โล่งเตียน จากนั้นจึงเพาะปลูกพืชระยะสั้น เช่นข้าวโพด ข้าว ฝิ่น
ในแต่ละหลังคาเรือนจะมีผืนไร่ 2-3 ผืนเป็นหลัก คือ ไร่ข้าว ไร่ข้าวโพด และไร่ฝิ่น ในไร่ข้าวโพดและไร่ฝิ่นผสมกันรวมทั้งพืชผักเพื่อการยังชีพ เมื่อหมดรอบปีหนึ่ง จะปล่อยไร่ข้าวทิ้งร้างแล้วหาผืนดินใหม่ที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มต้นสร่างไร่ข้าวผืนใหม่
วัฏจักรการทำเกษตรผืนไร่ 3 ผืน เริ่มต้นด้วยการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม จากความอุดมสมบูรณ์ ความหนาวเย็น ความชื้นสูง แล้วตัดฟันทิ้งไว้หนึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนครึ่งเดือน จึงเผา จากนั้นจึงปลูกข้าวและหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ซึ่งจะแตกดอกออกผลในช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม ในช่วงนี้ต้องเตรียมพลิกหน้าดินเพื่อปลูกฝิ่น จะเริ่มปลูกฝิ่นพันธุ์เบาและพืชผักระหว่างแนวข้าวโพด จนถึงเดือนกันยายนเตรียมเกี่ยวข้าวพันธุ์เบาในไร่ เดือนตุลาคมจึงลงฝิ่นพันธุ์หนัก เสร็จแล้วเกี่ยวข้าวพันธุ์เบา เตรียมไว้สำหรับงานปีใหม่ จากนั้นจึงรอเกี่ยวข้าวปี ถือว่าเสร็จงานในไร่ รอจนถึงเวลาดอกฝิ่นร่วงโรยพร้อมถูกกรีดซึ่งอยู่ในช่วงมกราคม - กุมภาพันธ์ แล้วจึงเริ่มต้นฤดูกาลใหม่
ม้งจะมีการแบ่งแรงงานอย่างชัดเจนระหว่างหน่วยครัวเรือน เครือญาติกับหน่วยครอบครัว โดยจะใช้แรงงานครัวเรือนปลูกไร่ข้าว และแลกเปลี่ยนแรงงานในระบบเครือญาติ ส่วนครอบครัวเป็นแรงงานปลูกฝิ่นเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเท่านั้น (หน้า44-46)
ม้งบ้านขุนห้วยไคร้ปัจจุบันส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม คือปลูกข้าวไร่เพื่อบริโภค ส่วนที่นามีเพียง 15 หลังคาเรือน รวมพื้นที่นาประมาณ 110 ไร่ ส่วนใหญ่ข้าวไม่พอกินตลอดปี เมื่อว่างเว้นจากนาจะรับจ้างทั่วไปทั้งในหมู่บ้านเดียวกันและต่างหมู่บ้าน ส่วนพืชเงินสด ปัจจุบันนิยมปลูกไม้ผลคือมะม่วง ลิ้นจี่ และปลูกพืชเศรษฐกิจระยะสั้น เช่นขิง แต่ไม่นิยมปลูกกระหล่ำ เพราะมีปัญหาแมลงรบกวน
รายจ่ายของม้งขุนห้วยไคร้มาจากการส่งลูกหลานออกไปเรียนหนังสือ และค่าใช้จ่ายรายวัน ทำให้มีหนี้สินกันทุกครอบครัว เฉลี่ยประมาณ 5-6 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มวัยรุ่นและวัยกลางคนบางส่วนอพยพออกไปเป็นแรงงานทั้งในตัวจังหวัดและกรุงเทพฯ (หน้า 43-44) |
|
Belief System |
วิญญาณของคนตายจะมี 4 ตน วิญญาณตนแรกจะไปอยู่กับวิญญาณของบรรพชนที่ตายไป ตนที่ 2 จะเฝ้าหลุมศพของตนเอง ตนที่ 3 จะไปจุติเกิดใหม่ ส่วนตนที่ 4 จะกลับมาสิงสถิตอยู่ในบ้านเดิมเมื่อถูกฝังครบ 13 วัน เพื่อคอยคุ้มครองให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข (หน้า 55)
ม้งบ้านขุนห้วยไคร้ ร้อยละ 90 นับถือวิญญาณบรรพชน (Ancestor Spirit) ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิม และมี 8 หลังคาเรือน และมูเซออีก 4 หลังคาเรือน นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนศาสนาพุทธได้ผสมกับกลุ่มที่นับถือวิญญาณบรรพชนมากขึ้นผ่านระบบโรงเรียนและพระสงฆ์ที่อยู่ในหมู่บ้าน (หน้า 43)
ม้งบ้านขุนห้วยไคร้มีพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับการผลิตหลักๆ 2 แบบคือ 1) ไลเส้งเต้ เส้งแชว หรือเลี้ยงเจ้าที่เจ้าทาง ทำในช่วงเริ่มกิจกรรมแต่ละขั้นตอนของการผลิต ถือว่าเป็นการบอกกล่าวให้เจ้าที่คุ้มครองดูแลทุกคนไมให้เกิดอันตราย โดยจะแบ่งข้าวและกับข้าวใส่ไว้ในใบตอง แล้วทำพิธีบอกกล่าวแก่ผีเจ้าที่ก่อนเริ่มอาหารมื้อกลางวัน และ 2) พิธีฟี๊แหย่ง-เป๊าแหย่ง คือการบนบานแก้บนในฤดูกาลทำไร่เพื่อให้ผลผลิตเจริญเติบโตดี การประกอบพิธีจะใช้หมูหรือไก่ตามแต่ที่ตนบนไว้ (หน้า 51) |
|
Education and Socialization |
กล่าวถึงการเรียนรู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพร ส่วนมากเป็นการถ่ายทอดให้กับลูกหลาน เป็นคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ ซึ่งมีหลักการว่าหากเอาไปใช้ในทางที่ผิดอาจเกิดอันตรายจากการลงโทษของผี การถ่ายทอดหรือเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพรมีดังนี้ 1. เรียนรู้จากบรรพชนและญาติที่ใกล้ชิด 2. เรียนรู้จากเพื่อนและคนใกล้ชิด 3. เรียนรู้จากครูสมุนไพร ผู้เรียนต้องเสียเงินให้กับครูสมุนไพร 4. ยาผีบอก ญาติผู้ป่วยอาจได้รับการบอกวิธีรักษาจากผีบรรพบุรุษ โดยผ่านทางความฝัน 5. เรียนจากสัตว์ โดยการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ 6. เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก (หน้า 64-67) |
|
Health and Medicine |
ม้งบ้านขุนห้วยไคร้มีความเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยต่างๆ มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1) ผีทำหรือผีแกล้ง (ดล๊างอัว) ผีมีอยู่ทั่วไปและสามารถทำให้คนเจ็บป่วยได้ ในแต่ละบ้าน เช่นมีผีบรรพบุรุษ และผีป่า เช่นผีต้นไม้ ผีประจำภูเขา ผีน้ำ ผีจอมปลวก ผีประจำสัตว์ใหญ่ ฯลฯ ซึ่งดุร้าย มี 4 ชนิด คือ ผีจอมปลวก ผีต้นน้ำ อยู่ตามแหล่งกำเนิดแม่น้ำลำห้วย หากไปตัดต้นไม้บริเวณต้นน้ำหรือทำให้น้ำสกปรกจะทำให้ผีน้ำโกรธและทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ ผีต้นไม้ใหญ่ การตัด โค่น ฟันหรือปัสสาวะรดก็จะทำให้ผีโกรธได้ และผีแผ่นดินเลื่อน หรือผีแยกแผ่นดิน บริเวณที่ดินมีการเคลื่อนตัวแยกเป็นร่องลึกเกิดจากการกระทำของผี ห้ามเข้าใกล้ ผีทั้ง 4 ชนิดดุร้ายมาก การทำพิธีไล่หรือขอขมาทำได้ยาก ต้องใช้สัตว์ใหญ่เช่นหมูเพื่อแลกกับชีวิตของผู้ป่วย ไม่เช่นนั้นอาจเสียชีวิตได้ นอกจากผีดุร้ายยังมีผีธรรมดาทั่วไป เช่นผีป่าเขา ผีตายโหง ผีบรรพชน ผีอาศัยอยู่ตามวัดหรือศาลเจ้า หากทำให้โกรธอาจเกิดอาการเจ็บป่วยได้
2) ขวัญหาย (ปลี่ป๊ง) ทุกคนและสัตว์ทุกตัวจะมีขวัญประจำตัว หากขวัญหายไปจากร่างจะเกิดความเจ็บป่วยและตายในที่สุด ต้องให้หมอผีทำพิธีเรียกขวัญกลับคืนสู่ร่างโดยเร็ว
3) คุณไสยหรือมนต์ดำ (จอดลั๊ง) เกิดจากคนในหมู่บ้านหรือคนอื่นเรียนคุณไสยหรือมนต์ดำจากขมุ เป็นการเรียนวิธีเลี้ยงผี ซึ่งหากมีใครไปทำให้เจ้าของผีไม่พอใจอาจปล่อยผีไปทำร้ายให้เจ็บป่วยหรือตาย ต้องให้เจ้าของไปทำพิธีเอาผีออกให้
4) อากาศเปลี่ยนแปลง (ฟั้จัว(ฮ)หลง) เช่น เป็นไข้หวัดหรือไอ เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
5) ลมไหลย้อนกลับ (จัว(ต)จ๋อ) ในร่างกายคนเรามีลมซึ่งต้องไหลในทิศทางเดียวกัน หากเมื่อใดที่ลมไหลย้อนกลับหรือตีกันเองจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด ปวดท้องกะทันหัน
6) กินผิด (น่อจือหุ) คือการกินอาหารบางอย่างไม่ถูกกับร่างกายในบางเวลา เช่น ดื่มน้ำเย็นในขณะอากาศร้อน หรือแพ้อาหารบางอย่าง
7) เลือดไม่ดี (ฉังตือยวน) หากมีเลือดไม่ดีในร่างกายจะทำเกิดอาการเจ็บป่วย ต้องเอาเลือดไม่ดีออก เช่นเมื่อปวดศรีษะ โดยใช้ปลายเขาสัตว์ที่กลวงคือเขาแพะหรือวัว ดูดให้เลือดมาคั่งบริเวณหน้าผากจะทำให้หายปวดศรีษะ
8) เชื้อโรค (กั๊งม้อ) อาหารสกปรก ไม่สะอาดจะมีเชื้อโรค ทำให้เกิดอาการปวดท้องไม่สบาย
9) ความประมาทและเคราะห์ร้าย เช่นถูกมีดบาด ของมีคม ความประมาทและเคราะห์ร้ายบางครั้งไม่สามารถแยกจากกันได้
เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย หากรักษาอาการเบื้องต้นไม่ได้ผลจะต้องหาผู้เชี่ยวชาญมารักษาคือ หมอยาสมุนไพร และหมอผี มี 2 ประเภทคือ เน้งหมั่วดู๊ (หมอผีตาดำ) เป็นร่างทรงของผี เวลาทำพิธีต้องใช้ผ้าสีดำปิดตา เป็นได้ทั้งชายและหญิง อาการเจ็บป่วยอาจเกิดจาก ซึหยี่ (ผีดีที่มีอำนาจมากที่สุด) ต้องการให้คนนั้นเป็นหมอผีต่อ โดยพิธีจะจุดธูปเทียนและตีล่อ (เครื่องมือของหมอผี) บริเวณที่ผู้ป่วยนอนอยู่ หากเป็นซึหยี่ทำให้ป่วย ผู้ป่วยจะมีอาการสั่นโดยอัตโนมัติ เมื่อตื่นขึ้นมาอาการจะดีขึ้น ทำเช่นเดิมอีก 3-4 วัน ผู้ป่วยจะกลายเป็นหมอผีคนต่อไป และเน้งหมั่วเด้อ (ผีตาขาว) หรือหมอผีเรียน ปกติเป็นผู้ชาย จะไม่สามารถเข้าทรงได้ แต่จะทำพิธีกรรมง่ายๆ รักษาคนป่วย
- นอกจากนี้ยังมีหมอทำนาย (ไซ้ใหญ่) คือผู้มีความรู้พิเศษในการติดต่อกับวิญญาณถามสาเหตุของการเจ็บป่วยมาจากผีตนใด การทำนายมี 3 วิธีคือ 1. ให้ไข่ทำนาย 2. ใช้ตะเกียบทำนาย และ 3. ใช้เมล็ดถั่วทำนาย
- หมอผีดูเวลา (ชั่ว (ฮ) ญึ) มีความชำนาญในการดูเวลาหรือเหตุการณ์แล้วเอามาทำนายหรือคาดคะเนเหตุการณ์ ส่วนใหญ่จะดูเกี่ยวกับคน สัตว์ หรือสิ่งของที่สูญหาย
- หมอคาถา (เขอก๊ง) เป็นผู้มีวิชาอาคมในการรักษาพยาบาลตามจารีตประเพณี เช่น คาถาต่อกระดูก ห้ามเลือด ปวดท้องกะทันหัน ผู้ใดจะเป็นหมอรักษาโรคใดจะต้องป่วยเป็นโรคนั้นเสียก่อน (หน้า 54-61)
สมุนไพรของม้งมี 2 ประเภทคือ 1) สมุนไพรเลี้ยง คือสมุนไพรที่ปลูกเอง และ 2) สมุนไพรป่า ไม่สามารถปลูกได้ หมอสมุนไพรจะรู้จักสมุนไพรจำนวนมาก มีหิ้งผีสำหรับบูชาผีสมุนไพร การไปเก็บสมุนไพรป่าแต่ละครั้ง จะต้องทำพิธีเซ่นไหว้และขออนุญาตผีสมุนไพรก่อนทุกครั้ง (หน้า 62-63) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้ชายม้งน้ำเงิน ใส่กางเกงสีดำ ขายาวถึงข้อเท้า มีเป้ายานถึงน่อง ปลายขากางเกงมีลวดลายปักเป็นรูปก้นหอยหลากสี ทั้ง แดง น้ำเงิน ฟ้า ส้ม เขียวและสีบานเย็น สลับกันไปตลอดปลายขากางเกง ส่วนเสื้อสีดำหรือสีน้ำเงินแขนยาว เอวสั้นประมาณครึ่งเอว ชายเสื้อบริเวณปักเป็นรูป ก้นหอยและดอกหลากสีเช่นเดียวกับปลายขากางเกง ประดับด้วยเหรียญ ฟรังค์ขนาดเล็ก กระดุมทำด้วยผ้าหรือเหรียญขนาดเล็ก ติดไว้บริเวณต้นแขนซ้าย ผ้าบริเวณหน้าอกปักรูปก้นหอยและลายดอกหลากสี เสื้อผู้ชายไม่มีปก คอเสื้อ ปลายแขนเสื้ออาจมีลายปักรูปก้นหอย ปกติมีคนละ 1-2 ชุดเท่านั้น โดยแม่ พี่สาว น้องสาวจะเย็บให้ และสวมใส่ชุดดังกล่าวเฉพาะงานรื่นเริงปีใหม่และพิธีกรรมต่างๆ เช่นพิธีแต่งงานและพิธีศพ
ส่วนผู้หญิงม้งใส่กระโปรงจีบประมาณถึงหัวเข่ามีลายดอกและก้นหอยปักด้วยมือหลายสี มีผ้าสีดำ (เสว์) สีน้ำเงินหรือสีฟ้าปิดด้านหน้าตั้งแต่เอวถึงน่อง อีกด้านของผ้าจะต่อเป็นผ้าพันเอวสีแดงหรือสีน้ำเงิน ส่วนเสื้อสวมสีดำหรือสีน้ำเงิน ฟ้า มีลายปักดอกหลากสี บริเวณหน้าอกและชายผ้ารอบเอว ปกคอเสื้อคล้ายแบบทหารเรือมีความกว้างยาวประมาณ 1 คืบ ปักลายก้นหอย และดอกสีแดง น้ำเงิน เขียว ฟ้า ขาว ส้ม และบานเย็นทั้งด้านในและด้านนอก
ส่วนชาย-หญิง ม้งขาวจะสวมกางเกงขาก๊วยสีดำ ฟ้า หรือน้ำเงิน และสวมเสื้อแบบชาวจีน กางเกงของผู้หญิงจะมีผ้าสีฟ้าหรือน้ำเงิน ความยาวตั้งแต่เอวถึงประมาณครึ่งน่อง ปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหนึ่งของผ้าจะต่อเป็นผ้าพันเอว อย่างไรก็ตาม เมื่อมีพิธีสำคัญ ผู้หญิงจะใส่กระโปรงสีขาวที่ทำจากใยกัญชงไม่มีลายปัก ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าม้งขาว (หน้า 39) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพภูมินิเวศน์บ้านขุนห้วยไคร้ แสดงให้เห็นพื้นที่ตั้งหมู่บ้าน พื้นที่ทำกินและพื้นที่ป่า (หน้า 45)
ภาพแม่บ้านม้งกำลังเตรียมอาหารให้กับหมู ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม (หน้า 45) |
|
|