สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,สุขภาพ,แพทย์พื้นบ้าน,สถานภาพทางสังคม,การจัดการทรัพยากร,แม่ฮ่องสอน
Author ทวิช จตุวรพฤกษ์
Title เกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งหมอยา
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 41 Year 2547
Source ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ)
Abstract

ลีซอ หรือ ลีซู มีภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ร้อนและพื้นที่เย็น นอกจากนี้ยังมีการจำแนกพื้นที่เขตบ้านอันเป็นพื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัย ที่ทำกินและที่ฝังศพ ส่วนพื้นที่เขตป่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีเจ้าของ ยังไม่มีการบุกเบิก ทุกคนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ภายในไร่นาของลีซู มีการปลูกพืชผสมผสานระหว่างพืชเชิงเดี่ยวเช่น กระเทียม หอม และพืชไร่ สวนผลไม้ แปลงผักสวนครัว ตลอดจนสมุนไพรเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร ในด้านการแพทย์ ลีซูมีภูมิปัญญาการดูแลรักษา ความเจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากธรรมชาติและอำนาจเหนือธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องขวัญทั้ง 9 ในตัวคน นอกจากนี้การเป็นหมอยาจะต้องมีการเรียนรู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนานจากครูอาจารย์ที่เป็นผู้รู้ในหมู่บ้าน มีข้อห้ามและจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัดกำกับหมอยาในปัจจุบันการรักษาพยาบาลสมัยใหม่จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ชาวบ้านยังคงให้การยอมรับหมอยาพื้นบ้านลีซูเช่นเดิมหมอยาได้มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับระบบตลาด และยังคงยึดมั่นในหลักปฏิบัติของหมอยาอย่างสม่ำเสมอ

Focus

ศึกษาระบบการผลิต การจัดการทรัพยากร และการแพทย์พื้นบ้านของลีซอ บ้านไทรงาม หมู่ 10 ตำบลแม่นาเติง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลีซอเรียกตนเองว่า "ลีซู" (Lisu) จัดอยู่ในกลุ่มมองโกลอยด์ หากแบ่งตามหลักภาษาศาสตร์ลีซอจะอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) กลุ่มย่อยธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman)

ลีซอส่วนใหญ่อยู่ในเขตมณฑลยูนนาน ประเทศจีน รัฐฉาน พม่า มีบางส่วนอยู่ในแคว้นอัสสัมประเทศอินเดีย และภาคเหนือของประเทศไทย กระจายตัวในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก ลำปาง กำแพงเพชร พะเยา สุโขทัย และเพชรบูรณ์ มีประชากรประมาณ 31,000 คน (หน้า 114)

ถ้าแบ่งตามลักษณะการแต่งกาย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือลีซอดำ ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศพม่า และลีซอลายซึ่งอยู่ที่อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีลีซอดำอยู่บ้างซึ่งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายมาจากพม่าประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันเปลี่ยนมาแต่งชุดลายเกือบหมดแล้ว แต่ยังคงใช้ภาษาพูดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง (หน้า 113)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลีซออยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) กลุ่มย่อยธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) (หน้า 113)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

มีผู้สันนิษฐานว่าบริเวณที่ตั้งบ้านไทรงามน่าจะเคยป็นที่ตั้งของชุมชนลัวะโบราณ โดยอิงจากหลักฐานโบราณคดีหรือร่องรอยประวัติศาสตร์ เศษชิ้นส่วนซากเจดีย์เก่ามีอยู่กระจัดกระจาย ในช่วงการให้สัมปทานป่าไม้ บริเวณบ้านไทรงามเคยเป็นปางไม้หรือที่พักหมอนไม้มาก่อน โดยค้นพบทางลากไม้เก่าเป็นบางช่วง เมื่อบริษัทสัมปทานออกไปชาวบ้านจึงเข้ามาจับจองที่ดิน จากคำบอกเล่าของชาวบ้านบางคน เล่าว่าเป็นคนบ้านแม่นะ ได้เข้ามาจับจองบุกเบิกที่ดินทำกิน ทำได้ไม่กี่ปีก็ขายให้กับลีซอ ซึ่งขณะนั้นตั้งบ้านเรือนห่างออกไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร เนื่องจากถูกผีต้นไทรรบกวน ตอนนั้นมีลีซอ 5 คน 5 ครอบครัวจนถึงปี 2523 ลีซอจึงตัดสินใจอพยพมาจากดอยอ้นมาตั้งบ้านเรือนจนถึงปัจจุบัน เดิมชาวบ้านไทรงามอยู่ดอยอ้นซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร มีอากาศหนาวเย็นเหมาะสำหรับการปลูกฝิ่น การตั้งถิ่นฐานเกิดขึ้นในปี 2515 มีกลุ่มเครือญาติที่มาบุกเบิก 2 กลุ่มตามแหล่งที่มาและผู้นำ หลังจากนั้นราวปี 2523 ชาวบ้านทั้งหมดเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ที่บ้านไทรงาม เนื่องจากราชการได้ปราบปรามการปลูกฝิ่นอย่างหนัก หลังจากนั้นจึงมีลีซอจากที่อื่นๆ เข้ามาสมทบมากขึ้น (หน้า 120)

Settlement Pattern

ความเชื่อในการตั้งบ้านเรือนของลีซอ บ้านทุกหลังจะหันหน้าไปทางทิศเดียวกัน โดยประตูบ้านแต่ละหลัง จะต้องไม่อยู่ในในแนวสายตาเดียวกัน หมู่บ้านจะหันหลังพิงภูเขา บริเวณภูเขาเป็นที่ตั้งของ "อาปาหมุฮี" หรือศาลผีเสื้อบ้าน (ประกอบด้วยผีปู่ตา ผีเจ้าที่ "อิ๊ด่ามา" และผีประจำถิ่น-ขั่วสือ) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาวชุมชนรวมถึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านที่จะมาบนบานหรือบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอความช่วยเหลือ คุ้มครอง และขจัดเภทภัยต่างๆ ส่วนพื้นที่ป่าบริเวณนี้จะถูกสงวนเอาไว้เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน (หน้า 117)

Demography

บ้านไทรงามมีประชากรทั้งหมด 316 คน 61 ครัวเรือน เป็นชาย 171 คน เป็นหญิง 145 คน ในจำนวนนี้เป็นประชากรวัยแรงงาน 37.1 % คืออยู่ในวัยเด็ก (อายุระหว่าง 0-10 ปี) 100 คน (31.7%) และเป็นประชากรสูงวัย (อายุมากกว่า 60 ปี) 17 คน (5.4%) (หน้า 120-121)

Economy

ระบบการถือครองที่ดินของลีซอมีครัวเรือนเป็นหน่วยการจัดการที่ดินและถือครองที่ดิน ในอดีตครอบครัวมีสิทธิบุกเบิกพื้นที่ป่าที่ไม่มีใครถือครองมาได้อย่างไม่จำกัด ในลักษณะ "ใครไปก่อนได้ก่อน" โดยจะเริ่มเดินสำรวจป่า เมื่อพบพื้นที่เหมาะสม จะทำเครื่องหมายจับจองเอาไว้ และจะต้องเข้าไปใช้ทำกินภายใน 1 ปี หากไม่ได้ใช้ ครัวเรือนอื่นจะสามารถเข้าไปได้ แต่สิทธิ์การถือครองที่ดินนั้นยังคงอยู่ เว้นแต่จะยกให้คนอื่น หรือย้ายออกจากพื้นที่ไป สิทธิในที่ดินของลีซอ ไม่ได้หมายถึงเป็นเจ้าของทุกอย่างทั้งหมด หากแต่เป็นผลผลิตที่เกิดจากตนเองลงแรงปลูกหรือสร้าง (หน้า 121) ในอดีต ลีซอจะให้ความสำคัญกับการปลูกข้าว ข้าวโพดมากกว่าฝิ่น เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักสำหรับการบริโภค ในช่วงแรกของการย้ายเข้ามาอยู่ ลีซอส่วนใหญ่ทำไร่บนภูเขาแบบย้ายที่ เนื่องจากพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาวบ้านใช้วิธีบุกเบิกป่าใหม่เสมอ เมื่อเกิดปัญหาผลผลิตข้าวตกต่ำ เฉลี่ยประมาณ 3 - 8 ปี ต่อมาด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร ประชากร และแรงกดดันจากราชการ ทำให้การเพาะปลูกแบบย้ายที่ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป มีการแก้ปัญหาด้วยการอพยพย้ายออกไปบางส่วนเพื่อให้ครัวเรือนที่ยังอยู่สามารถผลิตต่อไปได้ (หน้า 123 - 125) รายได้ของลีซอบ้านไทรงามมาจากการทำอาชีพเกษตรเป็นหลัก โดยมีวิธีการผลิตแบบไร่หมุนเวียน มีการปลูกข้าวไร่สำหรับบริโภคในครัวเรือน ปลูกข้าวโพดเลี้ยงหมู วัว เป็ด ไก่ เพื่อขาย ลีซอบ้านไทรงามเริ่มปลูกพืชเงินสดเมื่อปี พ.ศ. 2536 หลังจากกรมป่าไม้ประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าไม่นาน พืชที่ปลูกเช่น กระเทียม ขิง พริกขี้หนู เผือก ถั่วแดง ปัจจุบันไม่สามารถปลูกข้าวพอกินได้ตลอดปี จึงต้องออกมาทำงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน ส่วนกลุ่มผู้หญิงจะทำงานเย็บผ้าขาย (หน้า 121 - 122)

Social Organization

ระบบเครือญาติ เป็นหน่วยการจัดองค์กรที่สำคัญโดยมีครัวเรือนเป็นหน่วยการจัดการทรัพยากร เพื่อให้มีอาหารกินพอเพียง และพิทักษ์ปกป้องทรัพย์สินของครอบครัว กลุ่มเครือญาติขนาดใหญ่ในชุมชน นอกจากเป็นรากฐานการผลิตแล้ว ยังเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองในชุมชน เห็นได้จากการคัดเลือกผู้นำในชุมชนทั้งทางการปกครอง (ผู้ใหญ่บ้าน) และการเสี่ยงทายหาตัวผู้นำทางความเชื่อและพิธีกรรมของชุมชน (หมอเมือง) มักจะตกอยู่กับแซ่สกุลที่มีสมาชิกจำนวนมากเสมอ ลีซอมีทั้งบ้านที่มีครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยายมีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์ทั้งแบบการสืบสายเลือดและการเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานตามประเพณี การตั้งครอบครัว ลูกเขยจะแยกไปตั้งครอบครัวของตนเองได้ก็ต่อเมื่อชำระเงินค่าสินสอดและค่าแต่งงานให้ครบถ้วนตามที่ตกลงกันไว้ ถ้ายังค้างชำระอยู่ ลูกเขยจะต้องช่วยพ่อตาแม่ยาย ทำงานตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้

ลีซอนับถือญาติตามสายสกุลบิดา บุตรชายเป็นผู้สืบสกุล เป็นหลักประกันว่าเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณยังคงมีที่สิงสถิตคอยปกป้องคุ้มครองบุตรหลานโดยรับเครื่องเซ่นเป็นการตอบแทน ในครอบครัวขยายจะมีบิดามารดาเป็นหัวหน้าครอบครัว หากแต่ไม่มีบิดามารดาหัวหน้าครอบครัวจะเป็นของพี่ชายคนโต ลีซอมีข้อห้ามไม่ให้คนแซ่สกุลเดียวกันแต่งานกัน ดังนั้นการตั้งบ้านเรือนอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนจะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย 3 ตระกูลขึ้นไป

นอกจากการนิยมแต่งงานภายในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันแล้ว ลีซอยังนิยมให้บุตรสาวแต่งงานกับชาวจีน ต่อมาจึงนิยมให้แต่งงานกับจีนฮ่อและไทใหญ่ ส่วนผู้ชายนิยมแต่งงานกับผู้หญิงลีซอด้วยกันเอง หากไม่สามารถหาได้ก็จะหาผู้หญิงมูเซอร์ ด้วยเหตุนี้ปรากฏว่าแซ่สกุลของลีซอที่มีเชื้อสายของชาวจีนปะปนอยู่มาก และไม่น้อยที่มีภรรยาเป็นลาหู่หรืออาข่า (หน้า 115-116)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ลีซอเชื่อว่า ความเป็นคนของลีซอมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ

1) พละกำลัง ที่ได้รับมาจากหวู่ซาโดยกำเนิด (มี๊) ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับโชคชะตา วาสนา ทำให้แต่ละคนสูงต่ำ ดำขาวต่างกัน 

2) ศักยภาพภายในการจัดการหรือ "โดะ" หมายถึงความสามารถในการผลิต การใช้ความรู้ การนำภูมิปัญญาไปปรับ ดัดแปลงในการดำรงชีวิต ทางสังคมและวัฒนธรรม เช่นการจัดความสัมพันธ์กับผู้อื่น กฎเกณฑ์สังคม การจัดการทรัพยากรให้สอดคล้องและเหมาะสม (หน้า 115)

Education and Socialization

ลีซอมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องยาและการรักษาโรค 3 รูปแบบ คือ

1) หมอยาเป็นผู้คัดเลือกผู้สืบทอด โดยพิจารณาคนในครอบครัวก่อน หรือภายในเครือญาติ จะไม่ถ่ายทอดให้กับคนนอกเครือญาติ

2) ถ่ายทอดให้กับผู้ป่วยที่รักษาโรคหายแล้ว โดยจะถ่ายทอดตัวยาหรือวิธีรักษา ซึ่งผู้ป่วยจะต้องตอบแทนค่าขันตั้งครู

3) ถ่ายทอดให้กับคนนอก จะมีการถ่ายทอดเป็นเรื่องๆ มีการจ่ายค่าครูเป็นค่าตอบแทน (หน้า 147)

การถ่ายทอดความรู้เรื่องยาสมุนไพร หากเป็นการใช้ตัวยาเดี่ยวๆ จะไม่ยุ่งยากในการใช้ และมีการถ่ายทอดได้ง่าย แต่ถ้าหากเป็นสูตรตัวยา ซึ่งตกทอดมาเฉพาะตระกูล จะเป็นความรู้เฉพาะตัว ซึ่งจะมีการถ่ายทอดให้แก่กันยากกว่า

คุณสมบัติของการเป็นหมอยาที่ดี คือ ต้องมีความสนใจจริงจังและต่อเนื่อง มีสติปัญญา จิตใจดี ไม่โลภมาก และมีข้อห้ามของการเป็นหมอยาคือ ต้องรักษาผู้ป่วยทุกคนไม่ยกเว้น ไม่เรียกค่ารักษาแพงเกินไป ไม่บอกตำราให้ผู้อื่น และต้องหาผู้สืบทอดไม่ให้ความรู้สูญหาย (หน้า 149-150)

Health and Medicine

ความเจ็บป่วยของลีซอ (นาเผียะ) หมายถึงอาการที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ส่วนอาการเล็กน้อยสามารถหายได้เอง (อิ๊เคือ) และมีการจำแนกตามอาการและการเยียวยาออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) ความเจ็บป่วยที่รักษาหรือไม่รักษาก็เสียชีวิต

2) หากรักษาจะหายได้ แต่หากไม่รักษาก็จะเสียชีวิต และ

3) ความเจ็บป่วยที่รักษาหรือไม่รักษาก็สามารถหายเองได้ เช่นไข้หวัด

ส่วนการรักษาแบ่งได้ 2 ประเภท คือ การรักษาด้วยสมุนไพร และการรักษาด้วยพิธีกรรม นอกจากนี้ ลีซอยังจำแนก

สาเหตุความเจ็บป่วยออกเป็น 8 อย่าง คือ
1) การกินผิด จะทำให้เจ็บป่วยฉับพลันหรือสะสมเรื้อรังจนเกิดโรคภายหลัง

2) การรักษาความเจ็บป่วยจากการกินผิดอื่นๆ

3) ถูกของมีคม

4) เลือดไม่ดี เป็นการไหลเวียนผิดปกติของเลือด ส่งผลให้ความเข้มข้นของเลือดผิดปกติ รักษาโดยทำให้ร่างกายอบอุ่น

5) ฝุ ความผิดปกติจากธาตุภายในร่างกาย มี 5 ชนิดคือ บวม, ผอม, บวมน้ำ ท้องมาน, กินไม่อิ่ม กินไม่เลือก และกระดูกผุ

6) ถูกทำคุณไสย (ไต่)

7) ชะตากรรมหรือเคราะห์กรรม

8) ถูกผีทำ

การวินิจฉัยโรคทำได้หลายวิธี เช่น
1) การทำนายด้วยกระดูกไก่

2) การเสี่ยงทายด้วยการใช้กระดาษ

3) การเสี่ยงทายโดยการเป่าน้ำ

4) การคาดเดาด้วยประสบการณ์ และ

5) การทำนายด้วยไข่

มนุษย์จะมีขวัญอยู่ 9 แห่ง หากขวัญไม่อยู่กับตัวจะเกิดความเจ็บป่วย ต้องแก้ไขด้วยการทำพิธีเรียกขวัญ หรือพิธีเพิ่มพลังชีวิต เช่น วอฮาคัว เอ๋อเปาะ เป่าฝู และลึฮาปา (หน้า 134 - 138)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

กล่าวเพียงผู้หญิงลีซอดำใช้ผ้าสีดำมาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม และผู้หญิงลีซอลาย ใช้ผ้าหลากสีมาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม (หน้า113)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลีซอเรียกตนเองว่า "ลีซู" มีความหมายสองนัยที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของกลุ่ม คือกลุ่มคนที่มีเกณฑ์คุณค่าหรือจารีตประเพณีเป็นของตัวเอง รักอิสระ ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติใคร ลีซอบางคนอธิบายว่า "ลี" มาจาก "อิ๊หลี่" เทียบเคียงได้กับ "ฮีต คอง" ส่วน "ซู" แปลว่าคน ลีซู จึงหมายถึงกลุ่มคนที่มีชีวิต วัฒนธรรม และกฎเกณฑ์คุณค่าตามจารีต ประเพณีเป็นของตนเอง ส่วนอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงกลุ่มคนที่ไม่ยอมสยบต่อความครอบงำ หากเผชิญกับอำนาจครอบงำที่เหนือกว่า ลีซอเลือกที่จะอพยพย้ายหนีมากกว่าจะยอมอยู่ใต้อำนาจ (หน้า 114)

Social Cultural and Identity Change

รัฐและระบบตลาด ทำให้ลีซอบ้านไทรงาม ไม่อาจดำเนินวิถีแบบลีซอดั้งเดิมได้ การจำกัดและควบคุมการใช้ทรัพยากรของรัฐ ทำให้ลีซอใกล้กับศูนย์กลางอำนาจมากขึ้น ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหมู่บ้านได้อีกต่อไป การผลิตต้องตอบสนองระบบตลาดมากขึ้น

ขณะเดียวกันชุมชนก็ได้รับความสะดวกจากการรักษาพยาบาลสมัยใหม่ และระบบโรงเรียน ความเชื่อที่เคยอธิบายสาเหตุความเจ็บป่วยเริ่มเสื่อมคลาย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีความรู้เรื่องการรักษาแบบดั้งเดิม ยังคงยึดมั่นในข้อกำหนดของการเป็นหมอรักษา เช่นไม่เรียกร้องเงินทอง ถือว่าเป็นผู้ช่วยเหลือผู้อื่น จึงเป็นสร้างสถานภาพและการยอมรับจากคนในชุมชนให้กับหมอรักษาแบบดั้งเดิมว่าเป็นคนมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี (หน้า 150-154)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปที่ตั้งหมู่บ้านและบริเวณโดยรอบ (หน้า 118) รูปบริเวณป่าอนุรักษ์พิธีกรรมของหมู่บ้าน (หน้า 118) รูปเส้นทางคมนาคมระหว่างหมู่บ้านและเมือง (หน้า (119) รูปการเก็บพืชผักในไร่ (หน้า 125) รูปการเก็บรักษาพันธุ์ข้าวโพดของลีซอ (หน้า 130) รูปการไหว้ผีข้าวไร่ (หน้า 137) รูปการทำนายความเจ็บป่วยจากกระดูกไก่ (หน้า 137)

Text Analyst ชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช Date of Report 04 เม.ย 2556
TAG ลีซู, สุขภาพ, แพทย์พื้นบ้าน, สถานภาพทางสังคม, การจัดการทรัพยากร, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง