|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),สังคม,วัฒนธรรม,กาญจนบุรี |
Author |
พิพัฒน์ เรืองงาม |
Title |
ชาวกะเหรี่ยงและวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
11 |
Year |
2533 |
Source |
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
กะเหรี่ยงที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นกะเหรี่ยงที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีรูปแบบสังคม วั ฒนธรรมที่เด่นชัด เช่น การนิยมสักตามร่างกาย การสูบยาเส้น การกินหมาก ซึ่งเชื่อว่าจะป้องกันโรค กันแมลงได้ การแต่งกายที่มีเอกลักษณ์มีความแตกต่างระหว่างหญิงที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่ง การเจาะหู หรือแม้กระทั่งรูปแบบบ้านเรือนที่ทำจากไม้ไผ่มีหิ้งบูชาผี ตามความเชื่อเรื่องผี ซึ่งกลายเป็นกรอบทางสังคมที่คอยควบคุมกะเหรี่ยง ชายและหญิงที่ยังไม่แต่งงานกันจะถูกเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ หากมีการล่วงละเมิดมีเพศสัมพันธ์จะต้องขอขมา มิฉะนั้น อาจถูกลงโทษถึงขั้นไล่ออกจากหมู่บ้าน โดยที่สังคมกะเหรี่ยงนั้นถือฝ่ายหญิงเป็นหลักในการสืบสกุล |
|
Focus |
เน้นการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงในแง่วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ลักษณะวัฒนธรรมรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแต่งงาน ความสัมพันธ์ บ้านเรือน เครื่องมือเครื่องใช้ การแต่งกาย เพื่อจัดทำสารานุกรมวัฒนธรรมภูมิภาคตะวันตก |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง เป็นชนชาติเก่าแก่ชนชาติหนึ่งที่มีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตนเอง กะเหรี่ยงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายชนชาติไต สีผิวมีตั้งแต่ผิวเหลืองจนถึงผิวสีน้ำตาลคล้ำ รูปร่างค่อนข้างเหลี่ยม หน้าแบน จมูกแบนกว้าง มักไม่มีสันจมูกมีโหนกแก้มสูง ตาหยีเล็กน้อย ส่วนใหญ่ผมสีดำเหยียดตรง เส้นผมใหญ่และหนา บางคนผมหยักศก ส่วนใหญ่ไม่นิยมไว้หนวดเครา นอกจากผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าในงานพิธีหรือพวกฤาษี (หน้า 39, 41) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน กล่าวเพียงว่า กะเหรี่ยงมีภาษาเป็นของตนเอง (หน้า 39) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ได้มีการสันนิษฐานว่าชนชาติกะเหรี่ยงเดิมอาศัยอยู่ทางตะวันออกของทิเบตปัจจุบัน ต่อมาได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตประเทศจีน เมื่อประมาณปี ค.ศ.1276 ปีก่อนคริสตกาล แล้วในปี ค.ศ.751 ราชวงศ์จิ๋นได้ส่งกองทัพเข้าตีชนชาตินี้จนแตกหนีลงมาตามลำน้ำโขง และสาละวิน แล้วเข้ามาตั้งรัฐขึ้น 2 รัฐ คือ รัฐกะยาของเผ่ากะเหรี่ยงแดง และรัฐก่อตูเลของเผ่ากะเหรี่ยงขาว นอกจากนี้ ยังกระจายกันอยู่ในบริเวณตอนเหนือของพม่าแถบรัฐฉานตลอดมาจนถึงบริเวณชายแดนไทย - พม่า ตลอดแนวเขาถนนธงชัย ตะนาวศรี จรดปากแม่น้ำกระบุรี จังหวัดระนอง กะเหรี่ยงอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสำคัญคือการอพยพเข้ามาสมัยพระเจ้าอลองพญา (อองเจยะ) ทำสงครามกวาดล้างมอญ ซึ่งในช่วงเวลานั้นกะเหรี่ยงเป็นพันธมิตรกับมอญ และให้ความช่วยเหลือในการต่อสู้กับกองทัพพระเจ้าอลองพญา สงครามครั้งนั้นทำให้ต้องอพยพเข้ามาประเทศไทย ครั้งใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ.1885 เมื่อจักรวรรดินิยมอังกฤษพยายามปราบปรามกะเหรี่ยง ในปัจจุบันนี้ยังคงมีรัฐอิสระของกะเหรี่ยงอยู่ในประเทศสาธารณรัฐสหภาพพม่า บริเวณที่เรียกว่ารัฐกะยา ของเผ่ากะเหรี่ยงแดง กะเหรี่ยงกลุ่มนี้ได้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่ามาเป็นเวลานาน 37 ปี (1997) เพื่อเรียกร้องความเป็นเอกราช ภายใต้การนำของสภาปฏิบัติกะเหรี่ยง โดยการนำของกลุ่มประธานาธิบดีซอ เม เรห์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะตั้งรัฐอิสระของกะเหรี่ยงในนามของ "รัฐสหภาพกะเหรี่ยง" (หน้า 39, 40) ส่วนความเป็นมาของกะเหรี่ยงในอำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี มีคำบอกเล่าสืบกันว่าเดิมกะเหรี่ยงบริเวณดังกล่าวอาศัยอยู่ที่บ้านเมกะวะ เขตมะละแหม่ง ประเทศพม่า ต่อมาในปี ค.ศ.1788 ได้เริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ห้วยซองกะเลีย อำเภอสังขละบุรี และมีการอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนกระจายกันออกไปตามลำห้วย ลำธารจนจำนวนเพิ่มขึ้น (หน้า 39, 40) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงอยู่ในบริเวณที่ราบระหว่างหุบเขา ตามปกติจะมีขนาดเล็ก และมีลำธารหรือห้วยไหล่ผ่านอย่างน้อยหนึ่งสายเสมอ การมีลำธารไหลผ่านข้าง ๆ หมู่บ้านทำให้กะเหรี่ยงไม่จำเป็นต้องทำการชลประทาน เพื่อการหาน้ำมาบริโภคหรือทำการเกษตร นอกจากนี้สภาพภูมิศาสตร์ที่มีสายน้ำ หุบเขานั้นยังเป็นตัวกำหนดการสร้างบ้านเรือนด้วย เนื่องจากพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาในบริเวณภาคตะวันตกของไทยมีป่าไผ่จำนวนมาก และมีไผ่ลำต้นใหญ่นั้นส่วนมากเป็นไผ่บง ลำต้นโตมีเนื้อหนาเหมาะแก่การสร้างบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ ของกะเหรี่ยง (หน้า 43-44) (ลักษณะบ้านเรือนดูหัวข้อ Art and Crafts) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม มีการทำไร่ข้าวเพื่อการบริโภคในหมู่บ้าน มีการทอผ้า นอกจากนี้ในวิถีการบริโภคนั้นกะเหรี่ยงยังชีพด้วยการล่าสัตว์ หาของป่า พิจารณาได้จากเครื่องมือเครื่องใช้ในการล่าสัตว์ที่มีมากมาย (หน้า 43, 47) |
|
Social Organization |
สังคมกะเหรี่ยงถือฝ่ายหญิงเป็นหลักในการสืบสกุล โดยการแต่งงาน เฉลี่ยอายุระหว่าง 14-30 ปี หนุ่มสาวกะเหรี่ยงจะรู้สึกว่าตนเองเป็นหนุ่มสาวแล้วก็ต่อเมื่อได้ร่วมร้องเพลงในงานศพ เพราะถือว่างานศพคืองานที่คนหนุ่มสาวจะได้มีโอกาสพบเจอกัน และเกี้ยวพาราสีกัน ด้วยบทเพลงอย่างมีไหวพริบ ทีเรียกว่า "ซอ" นอกจากนี้โอกาสอื่นๆ ที่หนุ่มสาวจะเจอกัน เช่น การไปลงแขกปลูกหรือเก็บเกี่ยวข้าว หากพึงพอใจกันก็จะนั่งคุยจนดึก แต่ห้ามถูกเนื้อต้องตัวกัน โดยเฉพาะการล่วงละเมิดถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ เมื่อประกอบพิธีแต่งงานเสร็จแล้วจะต้องบอกกล่าว และเลี้ยงผีเรือน สมัยก่อนโทษของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งรุนแรงมากและจะต้องถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน และถูกปรับไหมทั้งชาย-หญิง จึงต้องทำพิธีขอขมาต่อผีประจำตระกูลและผีประจำหมู่บ้าน เป็นกฎที่ชาวบ้านยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด (หน้า 46, 49) |
|
Political Organization |
ในช่วงมีการอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนในอำเภอสังขละบุรี และทองผาภูมิกันมากขึ้น ทำให้เจ้าเมืองกาญจนบุรีเห็นว่าเป็นบ้านเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง จึงแต่งตั้งให้หัวหน้ากะเหรี่ยงเป็นเจ้าเมืองสังขละบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีสุวรรณคีรี (พวะโพ่) สืบตำแหน่งเจ้าเมืองต่อมาอีก 3 คน จนถึง ร.ศ.120 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องถิ่น เลิกระบบเจ้าเมืองมาใช้การปกครองในระบบนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านแทน เมืองสังขละบุรีจึงได้เปลี่ยนเป็นอำเภอสังขละบุรี เจ้าเมืองสังขละบุรีองค์สุดท้าย พระยาศรีสุวรรณคีรีคนที่ 4 (ทะเจียบโปรย เสตะพันธ์) จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอคนแรก ซึ่งในปัจจุบันเชื้อสายของตระกูลเสตะพันธ์เฉพาะที่อยู่ในอำเภอสังขละบุรี ยังคงเป็นผู้นำที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรีอยู่และยังสืบทอดประเพณี การทำบุญของกะเหรี่ยงที่ตกทอดมาแต่อดีต (หน้า 40, 41) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงมีความเชื่อเรื่องผี ในบ้านของกะเหรี่ยงทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของบ้านจะเป็นที่ตั้งหิ้งผี ซึ่งห้ามไม่ให้นอนหันหัวไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด และความเชื่อเรื่องบันไดบ้าน บ้านคนเป็นต้องเป็นเลขคี่ ศาลเก็บศพเป็นเลขคู่ นอกจากนี้บันไดบ้านยังถือเป็นที่ฝังรกของลูกสาวเจ้าของบ้านทุกคน ซึ่งเชื่อว่าหากผู้มาเยือนก้าวขึ้นบันไดแล้วหักแสดงว่านำโชคลาภมาให้ หากตอนลงบันไดหักแสดงว่านำโชคลาภออกไป เจ้าของบ้านจะไม่พอใจ (หน้า 44, 47) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การกินหมาก กะเหรี่ยงเชื่อว่าหมากจะทำให้ไม่เป็นโรคทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงนิยมกินหมากตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่มสาว เช่นเดียวกับการสูบยา ซึ่งเชื่อว่ายาเส้นที่สูบสามารถป้องกัน การรบกวนของแมลงจำพวกยุงและริ้นได้ (หน้า 42, 43) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายแบบประเพณีของกะเหรี่ยงในอำเภอสังขละบุรี ชายใส่เสื้อสีแดงบานเย็นหรือสีขาว ตอนล่างเสื้อทอยกดอกเป็นตาราง มีพู่ห้อยเป็นระยะๆ แขนเสื้อสั้น คอเสื้อเป็นคอแหลมไม่นิยมเสื้อดำ และนั่งโสร่ง (ทะด๋ง) ส่วนผู้หญิงถ้าเป็นหญิงสาวจะนุ่งกระโปรงยาวสีขาวกรอมเท้า บางคนจะทอเป็นลวดลายสีแดงเป็นแนวตั้งไม่ทอยกเป็นตาราง มีพู่ห้อยเป็นระยะๆ แขนเสื้อสั้น คอแหลม หากแต่งงานแล้วจะใช้เสื้อผ้าสองท่อน คือใส่เสื้อแบบผู้ชาย แล้วนุ่งผ้าซิ่น (นิ) ที่ทอยกดอกเป็นลายขวาง เครื่องประดับที่ใช้ ได้แก่ สร้อยคอทำจากเงิน รูปร่างคล้ายเมล็ดข้าว ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารร้อยด้วยเส้นฝ้าย เรียงกันจนเต็มเส้นหลายๆ เส้น เรียกว่า "เพ่ยจี่" และใส่กำไลข้อมือทำจากเงิน คนที่ได้เข้าพิธีแต่งงานแล้วจึงจะมีกำไลใส่ทั้งสองข้าง กำไลส่วนใหญ่ไม่มีลาย ผู้หญิงมักรวบผมไว้ตรงกลางศีรษะแต่เยื้องไปทางท้ายทอยแล้วประดับปิ่น และช่อที่ทำขึ้นจากเงินเรียกว่า "คุฉุ" นอกจากนี้ ทั้งชายและหญิงจะเจาะหูตั้งแต่เด็ก ๆ โดยการบีบติ่งหูแล้วใช้เข็มเย็บผ้าแทง ซึ่งผู้หญิงเท่านั้นที่จะใส่ต่างหู ผู้ชายจะผูกด้ายแดง นอกจากนี้ทั้งชายและหญิงนิยมสักตามร่างกาย (ฉิซี่) ด้วยหมึกสีดำ สักบริเวณข้อมือ หัวไหล่ทั้งสองข้าง หน้าผาก กระหม่อมเป็นยันต์ป้องกันงูกัด ส่วนการสักอย่างอื่นนั้นผู้ชายนิยมสักบริเวณแผ่นหลังทั้งหมด เป็นยันต์และรูปสัตว์ต่าง ๆ บางคนอาจสักตั้งแต่บริเวณโคนแขนไปจนถึงศอก และโคนขาเป็นลวดลายต่าง ๆ เหมือนเสื้อผ้า ด้านสถาปัตยกรรมบ้านจะเป็นเรือนเครื่องผูก ใช้ไม้ไผ่ขนาดประมาณ 27x27 ฟุต บ้านแต่ละหลังจะมีเสาอย่างน้อย 16 ต้น มีการสร้างชานหน้าและหลังออกไปอีกด้านละ 1 ช่วงเสา พื้นใช้ฟากไม้ไผ่ (พี่ดะ) ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกทำเป็นหิ้งผี บูชาด้วยต้นโพว่ไจ่ หรือต้นลิ้นมังกร หน้าต่างบ้านนิยมรูปย่อมุมทั้งย่อมุมไม้ 8 และ 12 ไม่นิยมรูปสี่เหลี่ยม ด้านหัตถกรรมจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการล่าสัตว์เช่น มีดสั้นปลายแหลม มีดยาว (คลิปะโท่) ธนู หน้าไม้ เป็นต้น ด้านการแสดง มีการรำตงซึ่งผู้แสดงเป็นผู้หญิงจำนวนอย่างน้อย 12 คน ใช้เครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น แมนโดริน (รับอิทธิพลจากพม่า) ระนาดเหล็ก (ปาปาล่า) กลองขนาดเล็ก (เป้าว) ฉาบ (ป้าจี้) และฆ้องชนิดต่างๆ (หน้า 41, 42, 44, 45, 47, 48) |
|
Folklore |
การแสดงรำตง เป็นการร้องเพลงเล่าเรื่องราวตำนาน นิทานต่างๆ ของชนเผ่า (คล้ายกับหมอรำของชาวอีสาน) โดยมีเนื้อหาที่บอกให้คนฟังอนุรักษ์ วัฒนธรรมการแต่งกายของกะเหรี่ยง เป็นต้น (หน้า 48) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เชื้อสายของกะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetanstoeke) ตามสายของชนชาติโลโล หรือหลอหลอ (LoLo) และอยู่ในสาขาของกลุ่มทิเบต-พม่า (Tibeto-Berman) ในทางวิชาการได้แบ่งกะเหรี่ยงออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงสะกอ (Skaw) กะเหรี่ยงโปว์ (P'wo) กะเหรี่ยงตองสู หรือ กะเหรี่ยงพะโค (Thung Tsu) และกะเหรี่ยงบเว หรือกะเหรี่ยงคยา (B'Ghwe) ชื่อเรียกชนชาตินี้มีด้วยกันหลายคำ ชาวจีนโบราณเรียกว่าชนชาติโจว ในพม่าเรียกว่า "กะยิ่น" ส่วนชาวล้านนาของไทยและรัฐฉานของพม่าเรียกว่า "ยาง" ซึ่งต่างจากคนไทยแถวเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ที่เรียกว่า "กะหร่าง" แต่สำหรับคนไทยภาคกลางเรียกว่า "กะเหรี่ยง" |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|