|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลาบรี มราบรี,การจัดกลุ่มชาติพันธุ์,ผีตองเหลือง,น่าน |
Author |
นิพัทธเวช สืบแสง |
Title |
ปัญหาการจัดกลุ่มเชื้อชาติของผีตองเหลือง |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มละบริ ยุมบรี มลาบรี มละบริ มลา มละ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
11 |
Year |
2524 |
Source |
ข่าวสารศูนย์วิจัยภูเขา 5,2 (2524) |
Abstract |
กล่าวถึงการจัดกลุ่มชาติพันธุ์ผีตองเหลือง หรือ มลาบรี ว่าอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ใด และมีชีวิตอยู่อย่างไร ตลอดจนได้เล่าความเป็นมาของผีตองเหลือง หลังจากที่ได้โยกย้ายไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆในหลายจังหวัด ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีกหลายแห่ง ในหลายอำเภอของจังหวัดน่านกระทั่งถึงปัจจุบัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
มลาบรี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในไทย ซึ่งเรียกตนเองว่า "มราบรี" หมายถึง "คนป่า" ซึ่งมาจากคำว่า "มรา" หมายถึง คน และ "บรี" หมายถึงป่า (หน้า 2) สำหรับการจัดกลุ่มนั้นนักวิชาการ ได้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เช่นจัดกลุ่มผีตองเหลืองว่า เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม (Primitive) หรือ มองโกลอยด์ดั้งเดิม (Proto-Mongoloids) ที่มีประชากรเป็นจำนวนมากมาก่อน และมีความเกี่ยวพันกับชาวจากุน (Jakun) ช่วงยุคต้นของมาเลเซียตอนใต้ (หน้า 4) บางแนวคิดจัดเป็นกลุ่มย่อยในกลุ่มภาษาปะหล่อง-ว้าเหมือนกับ ขมุ และเลม็ด บ้างก็จัดให้อยู่ในตระกูล มอญ-เขมรที่เป็นตระกูลที่อยู่ในกลุ่มออสโตรเอเชียติก (หน้า 4) นักวิชาการบางท่านได้จัดกลุ่มผีตองเหลือง อยู่ในกลุ่มภาษาลาวเหนือ อันเป็นกลุ่มหนึ่งในตระกูลภาษามอญ-เขมร (หน้า 4) ทั้งนี้ นักวิชาการได้ตั้งข้อสังเกต กลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า "มราบรี" กับ " ยุมบรี" นี้เป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกันหรือเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะคนภายนอกเรียกว่า "ผีตองเหลือง" เหมือนกัน ยังมีการย้ายที่อยู่ และดำรงขีวิตคล้ายกันอีกด้วย ( หน้า 6 ) ตามหลักฐานแล้ว นักวิชาการยืนยันว่า กลุ่มชนเร่ร่อนหาของป่าล่าสัตว์ในภาคเหนือของไทย มีเพียงกลุ่มเดียวซึ่งเรียกตนเองว่า "มราบรี " (หน้า 8) ส่วนคนชาติพันธุ์แม้ว จะเรียก มลาบรี ว่า "ม้ากู่" (หน้า 8) หมายถึง "อยู่ในป่า" หรือ "ไม่เชื่อง" (หน้า 9 ) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอยู่ในกลุ่มลาวเหนือที่อยู่ในตระกูลภาษามอญ-เขมร (หน้า 4) ภาษาคล้ายกับภาษาถิ่น 45 คำ ขมุ 35 คำ เขม็ด(เลม็ด) 20 คำ ละว้า(ลัวะ) 14 คำ มอญ 13 คำ (หน้า 5) ภาษาผีตองเหลือง เป็นส่วนหนึ่งของภาษาในสาขาออสโตเอเซี่ยน (หน้า 6) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
จะสร้างที่อยู่ไม่ถาวร โดยจะทำเพิงติดพื้นดินมุงด้วยใบไม้สด เมื่อใบไม้เหลือง และแห้ง ก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่น (หน้า 2) |
|
Demography |
ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จ.น่าน ระบุว่า ปี 1980 ประชากรมลาบรีมีจำนวน 81 คน ( หน้า 7 ) |
|
Economy |
ดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์ หาของป่า ไม่เพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ (หน้า 2,6) |
|
Social Organization |
ดำรงชีวิตในป่า และไม่ค่อยพบปะกับคนนอกเผ่า เมื่อมีคนภายนอกเข้ามาพื้นที่อยู่อาศัย ก็จะระมัดระวังตัว หลบหนีหายเข้าป่าอย่างเร็วไว |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
นิทานความเป็นมาของมลาบรี เรื่องนี้ระบุว่า มลาบรีแต่เดิมเป็นคนเผ่าถิ่น อาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริฝั่งแม่น้ำโขง ในประเทศลาว ได้มีพี่น้องเผ่าถิ่นชาย หญิง ที่เติบโตมาด้วยกัน แต่พอโตเป็นหนุ่มสาว ทั้งสองกลับมีความรักต่อกัน เหมือนกับคนรักทั่วไป เมื่อพ่อกับแม่รู้เรื่อง จึงได้ตักเตือนและห้ามลูกไม่ให้ทำอย่างนี้เพราะผิดประเพณี (หน้า 9) แต่ทั้งสองก็แอบมีความสัมพันธ์ต่อกันแบบชู้สาว จนกระทั่งพ่อ แม่ และคนในหมู่บ้านรู้ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ชาวบ้านจึงตัดสินปัญหาโดยนำเชือกมาขึงระหว่าง สองฝั่งแม่น้ำโขงและทำอู่ (เปล) 2 อัน จากนั้นก็ผูกอู่ทั้งสองอันที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วก็ให้พี่น้องชายหญิงอยู่ในอู่ทั้งสองอัน (หน้า 10) ชาวบ้านจึงอธิษฐานว่า หากทั้ง 2 คนนี้จะได้ครองรักเป็นผัว เมียกันก็ให้อู่ลอยเข้าหากัน แต่ไม่ให้กลับมาในหมู่บ้าน แต่ถ้าหากทั้งสองจะไม่ได้เป็นผัว เมียกัน ก็ขอให้อู่จมน้ำ และให้ตาย เมื่อตัดเชือก แต่เหตุการณ์นี้ลงเอยว่า อู่ลอยเข้าหากัน และลอยเข้าหาฝั่ง ทั้งสองพี่น้องจึงขึ้นฝั่งหายไป แล้วอาศัยอยู่ในป่า กระทั่งมีลูกหลาน ต่อมาถูกเรียกว่า "ผีตองเหลือง" ( หน้า 10 |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|