สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลเวือะ,สตรี,บทบาท,การพัฒนา,แม่ฮ่องสอน
Author นุศิษฏ์ จินดาศรี
Title บทบาทของสตรีในสังคมชาวเขาเผ่าลัวะ กรณีศึกษาชาวขาเผ่าลัวะ บ้านอมพาย ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร Total Pages 11 Year 2536
Source ข่าวสารสถาบันวิจัยชาวเขา ปี ที่ 17 ฉบับ 1,2 ม.ค.-มิ.ย 2536
Abstract

กล่าวถึงบทบาทของสตรีลัวะ บ้านอมพาย ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงวัยต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็ก วัยสาว วัยแต่งงานมีครอบครัว และวัยชรา ว่ามีบทบาทอย่างไรในครอบครัว ทั้งในการทำงานบ้าน การทำงานในไร่ การเลี้ยงลูก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสังคมวัฒนรรม เศรษฐกิจของลัวะ

Focus

ศึกษาบทบาทและความสำคัญของสตรีลัวะในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของ ชุมชนลัวะ บ้านอมพาย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 28)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลัวะ บ้านอมพาย อ.แม่สะรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 28)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

กลุ่มที่เน้นในการศึกษาประกอบด้วย 1 ) วัยเด็ก 7-13 ปี 2) วัยสาว 14-20 ปี 3) แต่งงานแล้วพักอยู่กับสามีที่บ้านพ่อแม่ของสามี 4 ) แต่งงานแล้วมีบ้านของตนเอง 5) แต่งงานแล้วมีบ้านเป็นของตนองและมีครอบครัวของลูกชายอยู่ด้วย 6) แต่งงานแล้วมีบ้านและอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนสุดท้อง (หน้า 28)

Economy

ลัวะบ้านอมพายมีอาชีพหลักคือ ปลูกพืช ซึ่งมี 4 ชนิดที่สำคัญได้แก่ 1 ) ข้าวไร่ 2 ) ข้าวนาดำ 3 ) กระหล่ำปลี 4 ) ถั่วแดงหลวง ( หน้า 30) 1 ) การทำไร่ข้าว จะทำในช่วงมีนาคม-เมษายน จะเตรียมพื้นที่พื่อปลูกข้าวไร่ กลางเดือนมษายน-ต้นพฤษภาคม เมื่อฝนตกชาวบ้านก็จะขุดหลุมแล้วหยอดเมล็ดพันุ์ข้าว โดยแต่ละหลุมจะหยอด 4-5 เมล็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะดูข้าวที่งอก หากเกินจำนวนที่หยอดก็จะถอนให้เหลือ 4 ต้น ประมาณ 1 เดือน เมื่อหญ้าอ่อนขึ้นระหว่างต้นข้าว ก็จะนำเกลือผสมน้ำในอัตรา 3 ต่อ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้หญ้าอ่อนตาย ( หน้า30 ) เมื่อปลูกข้าวได้ประมาณ 2 เดือน จะดูแลไม่ให้ข้าวล้มเพื่อให้ข้าวออกรวงให้เมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม เก็บเกี่ยวผลผลิต (หน้า 31) อย่างไรก็ดี การทำไร่ข้าวของลัวะแต่เดิมจะทำแบบไร่หมุนวียน ใช้พื้นที่ปลูก (cyclical bush fallow) โดยฟัน โค่น เผา (Swidden) และปลูกข้าวไร่ปีละครั้งจากนั้นจะปล่อยให้พื้นดินพักฟื้น 7-10 ปี จึงจะกลับมาทำที่เดิม การปลูกข้าวแบบนี้ให้ผลผลิตไม่มาก โดยจะให้เพียง 21.57 ถังต่อไร่ (หน้า 31) การปลูกในทุกวันนี้จะทำแบบหมุนวียน การใช้พื้นที่ (Rotation landuse) และจะผลัดเปลี่ยนกับปลูกพืชชนิดอื่น เช่น กระหล่ำปลี ถั่วแดง การปลูกแบบนี้จะให้ผลผลิตที่ดีโดยข้าวมล็ดพันธุ์ 1 ถัง จะให้ผลผลิต 60-80 ถัง (หน้า 31) 2 ) การทำนาดำ การเตรียมพื้นดินจะอยู่ในเดือนมิถุนายน และจะปลูกข้าวในระหว่างดือนกรกฎาคม-สิงหาคม การถอนกล้าและปลูกข้าวลัวะจะช่วยหลือกันโดยแลกเปลี่ยนแรงงาน หรือ ลงแขกในกลุ่มญาติพี่น้อง (หน้า 32,36) การเก็บเกี่ยวจะอยู่ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และในกลุ่มญาติๆ จะมาลงแขกช่วยกันเกี่ยวข้าว การทำนาดำทุกวันนี้ ชาวบ้านไม่ค่อยทำเพราะทำยากกว่าทำไร่ข้าว และให้ผลผลิตน้อยกว่าไร่ข้าว ดังนั้น ลัวะจึงให้กะเหรี่ยงเช่าที่ทำนาดำโดยเก็บค่าเช่าเป็นข้าวในอัตรา 1 ต่อ 3 ส่วน (หน้า 32) 3 ) ไร่กระหล่ำปลี เริ่มตั้งแต่กลางเดือนเมษายน หรือเดือนพฤษภาคม (หน้า 32) หากแรงงานในบ้านไม่เพียงพอ ก็จะจ้างแรงงานมาทำงานเพิ่มโดยจะจ้างประมาณ 50-70 บาทต่อวัน การปลูกจะปลูกประมาณ 3 ครั้งต่อปี คือครั้งที่หนึ่งในระหว่างเดือนพฤษภาคม ครั้งที่สองในระหว่างเดือนกรกฎาคม และช่วงที่สามในเดือนกันยายน (หน้า 33) ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 3,000 ก.ก ถึง5,000 ก.ก ( หน้า 33 ) สำหรับราคากระหล่ำปลีจะมีราคาเฉลี่ยต่ำสุด ก.ก ละ 1 บาท ราคาสูงสุดประมาณ 10 บาท สำหรับราคาเฉลี่ยจะมีราคา กิโลกรัมละ 3 บาท ซึ่งรายได้หากไม่หักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีรายได้อยู่ที่ 10,000 บาทต่อไร่ ( หน้า 34) 4) ไร่ถั่วแดง ส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่ที่เคยปลูกกระหล่ำปลี มาก่อน โดยจะถางโคนกระหล่ำปลีออกก่อน ประมาณ 2-3 วันจึงจะปลูก โดยจะขุดหลุมห่างกันประมาณ 15 ซม. แล้วใส่ปุ๋ยเคมีและหยอดเม็ดถั่วแดง หลุมละ 2 เมล็ด แล้วกลบดินบางๆ เมื่อปลูกได้ 1 เดือนจะกำจัดวัชพืช และจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนธันวาคม เมล็ดถั่วแดง 1 ถัง จะให้ผลผลิต 15 ถัง ถ้าปลูก หนึ่งไร่จะให้ผลผลิต 100 ก.ก. ( หน้า 34)

Social Organization

สังคมลัวะ ยังเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่น การแลกเปลี่ยนแรงงานมื่อเพาะปลูก เช่น การลงแขกโดยจะผลัดเปลี่ยนช่วยกันตอนทำนาดำ การปลูกข้าวไร่ ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิต แม้ว่าทุกวันนี้การทำงานลงแขกจะน้อยลง เพราะลัวะปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ก็ยังมีปรากฏในการทำงานบางอย่าง การแลกเปลี่ยนแรงงานจะให้ใครไปช่วยก็ได้ เช่นลูกที่เป็นหนุ่ม สาว หรือหากสามีไม่ว่างก็ให้ภรรยา ไปแทนได้ การทำงานแบบนี้ นอกจากจะเป็นการการแบ่งแรงงานช่วยเหลือกันทำงานแล้ว หนุ่มสาวก็จะถือโอกาสพบปะสนทนากัน รู้จักกัน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การแต่งงานอยู่ร่วมกันในอนาคต (หน้า 36) 1) หญิงวัยเด็ก อายุ 7-13 ปี วัยนี้กำลังรียนการศึกษาภาคบังคับในโรงเรียนบ้านอมพาย จะมีหน้าที่ช่วยครอบครัว คือทำงานบ้านเช่น ตักน้ำ หุงข้าว ลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงน้อง (หน้า 28) เมื่อพ่อแม่ปลูกพืชศรษฐกิจก็จะช่วยทำงานในไร่เกือบทั้งปี (หน้า 29) เด็กหญิงในวัยนี้จะมีความรับผิดชอบในการทำงานมากกว่า เด็กชายที่อยู่ในวัยเดียวกัน (หน้า 29) 2) หญิงวัย 14-20 ปี เป็นวัยที่เลยวัยเรียนภาคบังคับ ช่วยครอบครัวทำงาน เช่น งานบ้าน ตักน้ำ หาฟืน และทำงานในไร่ ทำนา ทำข้าวไร่ ปลูกกระหล่ำปลี ปลูกถั่วแดง เป็นต้น ( หน้า 29 ) 3) ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและอยู่บ้านพ่อแม่ของสามี ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะอยู่กับครอบครัวสามี และช่วยหลืองานบ้านและงานในไร่ โดยต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่สามี ซึ่งถือว่าเป็นที่เคารพของลูกสะใภ้ (หน้า 36) 4) หญิงที่มีครอบครัว และมีบ้านของตนเอง ผู้หญิงจะทำงานและเก็บเงินพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน หากมีลูกอ่อน สามีก็จะมาช่วยดูแลลูกอีกแรง ผู้หญิงลัวะจะมีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูก โดยตอนกลางวันทำงานในไร่ และใช้เวลาในช่วงเย็นดูแลลูก (หน้า 37) 5) ผู้หญิงที่มีบ้านและครัวเรือนเป็นของตนเองและมีครอบครัวของลูกชายมาอยู่ด้วย ผู้หญิงในวัยนี้จะเป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่ดูแลลูกหลานในบ้าน และอบรมลูกสะใภ้ให้ปฏิบัติตามจารีตประเพณี ผู้หญิงในวัยนี้จะมีอำนาจในครัวเรือนทั้งหมด โดยจะให้คำปรึกษาลูกๆ ทั้งการปฏิบัติตัว และการเลือกคู่ครอง (หน้า 38) 6) ผู้หญิงที่มีบ้านและครัวเรือนและอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนสุดท้องของตน ผู้หญิงในวัยนี้จะอยู่ในวัยชรา หากร่างกายแข็งแรงก็จะเป็นคนรับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน และทำงานบ้าน เช่น หุงข้าวเลี้ยงลูกหลาน เป็นต้น แต่ถ้าหากร่างกายไม่แข็งแรง เพราะชรามาก ก็จะให้ลูกชายและลูกสะใภ้เป็นคนดูแล เมื่อเสียชีวิตบ้านและที่ดินทำกินก็จะเป็นของลูกชายคนสุดท้อง (หน้า 38)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

งานศพ ในงานศพจะไม่เลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่เป็นคนในหมู่บ้าน แต่จะเลี้ยงแต่แขกที่เดินทางมาร่วมงานจากหมู่บ้านไกลๆ ในตอนกลางคืนมีหญิงชรา คนหนุ่มสาวที่เป็นญาติ มาสวดให้คนตาย หลังจากสวดก็จะพักค้างคืนจนถึงเช้า ก็จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งโดยมากจะเก็บศพไว้ที่บ้าน 3 วัน จึงจะนำศพไปฝัง (หน้า 35)

Education and Socialization

เด็กนักรียนในหมู่บ้าน อายุ 7-13 ปี จะเรียนการศึกษาภาคบังคับที่โรงเรียนบ้านอมพาย โรงรียนแห่งนี้ได้ทุนอาหารกลางวันเดือนละ 10,000 บาท จากมูลนิธิของประเทศฝรั่งเศส (หน้า28)

Health and Medicine

หญิงลัวะตอนตั้งครรภ์จะยังคงทำงานตามปกติ แต่จะลดการทำงานก่อนจะคลอดลูกประมาณ 1 เดือนและจะพักผ่อนอยู่บ้านเพื่อเตรียมคลอดลูก และจะออกไปทำงานหลังจากคลอดลูกได้ประมาณ 5 วัน (หน้า 36) โดยจะให้ปู่ย่าดูแลลูก หากลูกหิวนมก็จะบีบน้ำนมบรรจุใส่ขวดไว้ให้ลูกดื่ม (หน้า 37)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การทอผ้าของลัวะ แต่ก่อนจะทอกันมาก ทุกวันนี้ยังมีอยู่แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือบางส่วนจะซื้อด้ายมาจากตลาด หญิงลัวะก่อนแต่งงานจะทอผ้า เพื่อมอบแก่ญาติของสามี การทอผ้าจะทอในหน้าแล้ง และนำผ้านั้นมาตัดเสื้อผ้า (หน้า 35) การร้องเพลง หนุ่มสาวจะมาร่วมกันสวดในงานศพเหมือนกับ ร่วมกันร้องเพลงในงานแต่งงาน เนื้อเพลงจะบรรยายถึงชีวิต เช่นความผิดหวังกับความสมหวังในความรัก ( หน้า 35 )

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลัวะกับกะเหรี่ยง หากช่วงปลูกกระหล่ำปลี แรงงานของลัวะไม่พอ จะจ้างแรงงานกะเหรี่ยง จากหมู่บ้านอื่น โดยจะคิดค่าแรงวันละ 50 ถึง 70 บาทต่อวัน ( หน้า 33 )

Social Cultural and Identity Change

ทุกวันนี้ลัวะ บ้านอมพายบางคนนิยมซื้อเสื้อผ้าจากตลาด เนื่องจากราคาไม่แพง และหาซื้อสะดวก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังชอบเสื้อผ้าที่ทอเอง เพราะทนทานกว่าเสื้อผ้าที่ซื้อจากตลาด (หน้า 35)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 06 ม.ค. 2566
TAG ลเวือะ, สตรี, บทบาท, การพัฒนา, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง