|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,สตรี,บทบาท,การพัฒนา,แม่ฮ่องสอน |
Author |
นุศิษฏ์ จินดาศรี |
Title |
บทบาทของสตรีในสังคมชาวเขาเผ่าลัวะ กรณีศึกษาชาวขาเผ่าลัวะ บ้านอมพาย ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร |
Total Pages |
11 |
Year |
2536 |
Source |
ข่าวสารสถาบันวิจัยชาวเขา ปี ที่ 17 ฉบับ 1,2 ม.ค.-มิ.ย 2536 |
Abstract |
กล่าวถึงบทบาทของสตรีลัวะ บ้านอมพาย ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงวัยต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็ก วัยสาว วัยแต่งงานมีครอบครัว และวัยชรา ว่ามีบทบาทอย่างไรในครอบครัว ทั้งในการทำงานบ้าน การทำงานในไร่ การเลี้ยงลูก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสังคมวัฒนรรม เศรษฐกิจของลัวะ |
|
Focus |
ศึกษาบทบาทและความสำคัญของสตรีลัวะในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของ ชุมชนลัวะ บ้านอมพาย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 28) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลัวะ บ้านอมพาย อ.แม่สะรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 28) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
กลุ่มที่เน้นในการศึกษาประกอบด้วย 1 ) วัยเด็ก 7-13 ปี 2) วัยสาว 14-20 ปี 3) แต่งงานแล้วพักอยู่กับสามีที่บ้านพ่อแม่ของสามี 4 ) แต่งงานแล้วมีบ้านของตนเอง 5) แต่งงานแล้วมีบ้านเป็นของตนองและมีครอบครัวของลูกชายอยู่ด้วย 6) แต่งงานแล้วมีบ้านและอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนสุดท้อง (หน้า 28) |
|
Economy |
ลัวะบ้านอมพายมีอาชีพหลักคือ ปลูกพืช ซึ่งมี 4 ชนิดที่สำคัญได้แก่ 1 ) ข้าวไร่ 2 ) ข้าวนาดำ 3 ) กระหล่ำปลี 4 ) ถั่วแดงหลวง ( หน้า 30) 1 ) การทำไร่ข้าว จะทำในช่วงมีนาคม-เมษายน จะเตรียมพื้นที่พื่อปลูกข้าวไร่ กลางเดือนมษายน-ต้นพฤษภาคม เมื่อฝนตกชาวบ้านก็จะขุดหลุมแล้วหยอดเมล็ดพันุ์ข้าว โดยแต่ละหลุมจะหยอด 4-5 เมล็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะดูข้าวที่งอก หากเกินจำนวนที่หยอดก็จะถอนให้เหลือ 4 ต้น ประมาณ 1 เดือน เมื่อหญ้าอ่อนขึ้นระหว่างต้นข้าว ก็จะนำเกลือผสมน้ำในอัตรา 3 ต่อ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้หญ้าอ่อนตาย ( หน้า30 ) เมื่อปลูกข้าวได้ประมาณ 2 เดือน จะดูแลไม่ให้ข้าวล้มเพื่อให้ข้าวออกรวงให้เมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม เก็บเกี่ยวผลผลิต (หน้า 31) อย่างไรก็ดี การทำไร่ข้าวของลัวะแต่เดิมจะทำแบบไร่หมุนวียน ใช้พื้นที่ปลูก (cyclical bush fallow) โดยฟัน โค่น เผา (Swidden) และปลูกข้าวไร่ปีละครั้งจากนั้นจะปล่อยให้พื้นดินพักฟื้น 7-10 ปี จึงจะกลับมาทำที่เดิม การปลูกข้าวแบบนี้ให้ผลผลิตไม่มาก โดยจะให้เพียง 21.57 ถังต่อไร่ (หน้า 31) การปลูกในทุกวันนี้จะทำแบบหมุนวียน การใช้พื้นที่ (Rotation landuse) และจะผลัดเปลี่ยนกับปลูกพืชชนิดอื่น เช่น กระหล่ำปลี ถั่วแดง การปลูกแบบนี้จะให้ผลผลิตที่ดีโดยข้าวมล็ดพันธุ์ 1 ถัง จะให้ผลผลิต 60-80 ถัง (หน้า 31) 2 ) การทำนาดำ การเตรียมพื้นดินจะอยู่ในเดือนมิถุนายน และจะปลูกข้าวในระหว่างดือนกรกฎาคม-สิงหาคม การถอนกล้าและปลูกข้าวลัวะจะช่วยหลือกันโดยแลกเปลี่ยนแรงงาน หรือ ลงแขกในกลุ่มญาติพี่น้อง (หน้า 32,36) การเก็บเกี่ยวจะอยู่ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และในกลุ่มญาติๆ จะมาลงแขกช่วยกันเกี่ยวข้าว การทำนาดำทุกวันนี้ ชาวบ้านไม่ค่อยทำเพราะทำยากกว่าทำไร่ข้าว และให้ผลผลิตน้อยกว่าไร่ข้าว ดังนั้น ลัวะจึงให้กะเหรี่ยงเช่าที่ทำนาดำโดยเก็บค่าเช่าเป็นข้าวในอัตรา 1 ต่อ 3 ส่วน (หน้า 32) 3 ) ไร่กระหล่ำปลี เริ่มตั้งแต่กลางเดือนเมษายน หรือเดือนพฤษภาคม (หน้า 32) หากแรงงานในบ้านไม่เพียงพอ ก็จะจ้างแรงงานมาทำงานเพิ่มโดยจะจ้างประมาณ 50-70 บาทต่อวัน การปลูกจะปลูกประมาณ 3 ครั้งต่อปี คือครั้งที่หนึ่งในระหว่างเดือนพฤษภาคม ครั้งที่สองในระหว่างเดือนกรกฎาคม และช่วงที่สามในเดือนกันยายน (หน้า 33) ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 3,000 ก.ก ถึง5,000 ก.ก ( หน้า 33 ) สำหรับราคากระหล่ำปลีจะมีราคาเฉลี่ยต่ำสุด ก.ก ละ 1 บาท ราคาสูงสุดประมาณ 10 บาท สำหรับราคาเฉลี่ยจะมีราคา กิโลกรัมละ 3 บาท ซึ่งรายได้หากไม่หักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีรายได้อยู่ที่ 10,000 บาทต่อไร่ ( หน้า 34) 4) ไร่ถั่วแดง ส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่ที่เคยปลูกกระหล่ำปลี มาก่อน โดยจะถางโคนกระหล่ำปลีออกก่อน ประมาณ 2-3 วันจึงจะปลูก โดยจะขุดหลุมห่างกันประมาณ 15 ซม. แล้วใส่ปุ๋ยเคมีและหยอดเม็ดถั่วแดง หลุมละ 2 เมล็ด แล้วกลบดินบางๆ เมื่อปลูกได้ 1 เดือนจะกำจัดวัชพืช และจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนธันวาคม เมล็ดถั่วแดง 1 ถัง จะให้ผลผลิต 15 ถัง ถ้าปลูก หนึ่งไร่จะให้ผลผลิต 100 ก.ก. ( หน้า 34) |
|
Social Organization |
สังคมลัวะ ยังเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่น การแลกเปลี่ยนแรงงานมื่อเพาะปลูก เช่น การลงแขกโดยจะผลัดเปลี่ยนช่วยกันตอนทำนาดำ การปลูกข้าวไร่ ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิต แม้ว่าทุกวันนี้การทำงานลงแขกจะน้อยลง เพราะลัวะปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ก็ยังมีปรากฏในการทำงานบางอย่าง การแลกเปลี่ยนแรงงานจะให้ใครไปช่วยก็ได้ เช่นลูกที่เป็นหนุ่ม สาว หรือหากสามีไม่ว่างก็ให้ภรรยา ไปแทนได้ การทำงานแบบนี้ นอกจากจะเป็นการการแบ่งแรงงานช่วยเหลือกันทำงานแล้ว หนุ่มสาวก็จะถือโอกาสพบปะสนทนากัน รู้จักกัน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การแต่งงานอยู่ร่วมกันในอนาคต (หน้า 36) 1) หญิงวัยเด็ก อายุ 7-13 ปี วัยนี้กำลังรียนการศึกษาภาคบังคับในโรงเรียนบ้านอมพาย จะมีหน้าที่ช่วยครอบครัว คือทำงานบ้านเช่น ตักน้ำ หุงข้าว ลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงน้อง (หน้า 28) เมื่อพ่อแม่ปลูกพืชศรษฐกิจก็จะช่วยทำงานในไร่เกือบทั้งปี (หน้า 29) เด็กหญิงในวัยนี้จะมีความรับผิดชอบในการทำงานมากกว่า เด็กชายที่อยู่ในวัยเดียวกัน (หน้า 29) 2) หญิงวัย 14-20 ปี เป็นวัยที่เลยวัยเรียนภาคบังคับ ช่วยครอบครัวทำงาน เช่น งานบ้าน ตักน้ำ หาฟืน และทำงานในไร่ ทำนา ทำข้าวไร่ ปลูกกระหล่ำปลี ปลูกถั่วแดง เป็นต้น ( หน้า 29 ) 3) ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและอยู่บ้านพ่อแม่ของสามี ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะอยู่กับครอบครัวสามี และช่วยหลืองานบ้านและงานในไร่ โดยต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่สามี ซึ่งถือว่าเป็นที่เคารพของลูกสะใภ้ (หน้า 36) 4) หญิงที่มีครอบครัว และมีบ้านของตนเอง ผู้หญิงจะทำงานและเก็บเงินพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน หากมีลูกอ่อน สามีก็จะมาช่วยดูแลลูกอีกแรง ผู้หญิงลัวะจะมีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูก โดยตอนกลางวันทำงานในไร่ และใช้เวลาในช่วงเย็นดูแลลูก (หน้า 37) 5) ผู้หญิงที่มีบ้านและครัวเรือนเป็นของตนเองและมีครอบครัวของลูกชายมาอยู่ด้วย ผู้หญิงในวัยนี้จะเป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่ดูแลลูกหลานในบ้าน และอบรมลูกสะใภ้ให้ปฏิบัติตามจารีตประเพณี ผู้หญิงในวัยนี้จะมีอำนาจในครัวเรือนทั้งหมด โดยจะให้คำปรึกษาลูกๆ ทั้งการปฏิบัติตัว และการเลือกคู่ครอง (หน้า 38) 6) ผู้หญิงที่มีบ้านและครัวเรือนและอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนสุดท้องของตน ผู้หญิงในวัยนี้จะอยู่ในวัยชรา หากร่างกายแข็งแรงก็จะเป็นคนรับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน และทำงานบ้าน เช่น หุงข้าวเลี้ยงลูกหลาน เป็นต้น แต่ถ้าหากร่างกายไม่แข็งแรง เพราะชรามาก ก็จะให้ลูกชายและลูกสะใภ้เป็นคนดูแล เมื่อเสียชีวิตบ้านและที่ดินทำกินก็จะเป็นของลูกชายคนสุดท้อง (หน้า 38) |
|
Belief System |
งานศพ ในงานศพจะไม่เลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่เป็นคนในหมู่บ้าน แต่จะเลี้ยงแต่แขกที่เดินทางมาร่วมงานจากหมู่บ้านไกลๆ ในตอนกลางคืนมีหญิงชรา คนหนุ่มสาวที่เป็นญาติ มาสวดให้คนตาย หลังจากสวดก็จะพักค้างคืนจนถึงเช้า ก็จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งโดยมากจะเก็บศพไว้ที่บ้าน 3 วัน จึงจะนำศพไปฝัง (หน้า 35) |
|
Education and Socialization |
เด็กนักรียนในหมู่บ้าน อายุ 7-13 ปี จะเรียนการศึกษาภาคบังคับที่โรงเรียนบ้านอมพาย โรงรียนแห่งนี้ได้ทุนอาหารกลางวันเดือนละ 10,000 บาท จากมูลนิธิของประเทศฝรั่งเศส (หน้า28) |
|
Health and Medicine |
หญิงลัวะตอนตั้งครรภ์จะยังคงทำงานตามปกติ แต่จะลดการทำงานก่อนจะคลอดลูกประมาณ 1 เดือนและจะพักผ่อนอยู่บ้านเพื่อเตรียมคลอดลูก และจะออกไปทำงานหลังจากคลอดลูกได้ประมาณ 5 วัน (หน้า 36) โดยจะให้ปู่ย่าดูแลลูก หากลูกหิวนมก็จะบีบน้ำนมบรรจุใส่ขวดไว้ให้ลูกดื่ม (หน้า 37) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การทอผ้าของลัวะ แต่ก่อนจะทอกันมาก ทุกวันนี้ยังมีอยู่แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือบางส่วนจะซื้อด้ายมาจากตลาด หญิงลัวะก่อนแต่งงานจะทอผ้า เพื่อมอบแก่ญาติของสามี การทอผ้าจะทอในหน้าแล้ง และนำผ้านั้นมาตัดเสื้อผ้า (หน้า 35) การร้องเพลง หนุ่มสาวจะมาร่วมกันสวดในงานศพเหมือนกับ ร่วมกันร้องเพลงในงานแต่งงาน เนื้อเพลงจะบรรยายถึงชีวิต เช่นความผิดหวังกับความสมหวังในความรัก ( หน้า 35 ) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลัวะกับกะเหรี่ยง หากช่วงปลูกกระหล่ำปลี แรงงานของลัวะไม่พอ จะจ้างแรงงานกะเหรี่ยง จากหมู่บ้านอื่น โดยจะคิดค่าแรงวันละ 50 ถึง 70 บาทต่อวัน ( หน้า 33 ) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ทุกวันนี้ลัวะ บ้านอมพายบางคนนิยมซื้อเสื้อผ้าจากตลาด เนื่องจากราคาไม่แพง และหาซื้อสะดวก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังชอบเสื้อผ้าที่ทอเอง เพราะทนทานกว่าเสื้อผ้าที่ซื้อจากตลาด (หน้า 35) |
|
|