สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,วิถีชีวิต,สังคม,วัฒนธรรม,ภาคเหนือ
Author Chob Kacha-ananda
Title Thailand Yao : Past, Present and Future
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร Total Pages 333 Year 2538
Source Institute for the study of Languages and Cultures of Asia and Africa, Tokyo
Abstract

เย้าอพยพเข้ามาในประเทศไทยจากลาวเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่าน อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา ลำปาง ตาก และมีบางกลุ่มอพยพลงไปในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร และสุโขทัย เย้ามีระบบเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน เพาะปลูกข้าว, ข้าวโพด และการเพาะปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เย้ายังเพาะปลูกพืชอื่น ๆ เช่น พริก พริกไทย มัน เพื่อใช้ในครัวเรือนและค้าขาย ภายหลังการแต่งงงาน ผู้หญิงเย้าจะปลี่ยนมานับถือโคตรตระกูลและย้ายมาอยู่กับครอบครัวของสามี ลักษณะครอบครัวเย้าเป็นครอบครัวขยายใน 1 ครัวเรือนอาจจะมีหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ชายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบสมาชิกในครัวเรือนทุกคน การจัดระเบียบทางสังคมหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้ที่รู้กฎระเบียบข้อปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้าน และมีหัวหน้าหมู่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านตามระเบียบการปกครองของรัฐไทย นอกจากนี้เย้านับถือผู้อาวุโส มีสภาผู้อาวุโสคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำหัวหน้าหมู่บ้านและช่วยตัดสินใจเรื่องต่างๆ เย้านับถือผี ผีบรรพบุรุษ อำนาจเหนือธรรมชาติ และลัทธิเต๋าซึ่งได้รับมาจากจีนเมื่อประมาณ 600 ปีมาแล้ว ทั้งสองระบบความเชื่อผสมผสานจนกลายเป็นความเชื่อเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของเย้า เย้าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การตาย หรือให้ความโชคดี อุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผี อำนาจเหนือธรรมชาติ และมนุษย์ โดยการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ ด้วยการฆ่าหมู ไก่ หมอผีจะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน ในปัจจุบันมีเย้าบางส่วนหันไปนับถือศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ สถานะทางสังคมของเย้าที่อาศัยในประเทศไทยปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะมีบัตรประชาชนถือสัญชาติไทยแต่บางครั้งยังถูกเรียกว่าเป็นชาวเขา อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับกลุ่มชนบนพื้นที่สูงอื่นๆ เย้าเป็นกลุ่มที่ได้รับสัณชาติไทยและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่ากลุ่มชนบนพื้นที่สูงอื่นๆ ค่อนข้างมาก

Focus

วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมเย้าในประเทศไทย จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เย้าในประเทศไทย

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาเย้าเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร แต่เย้าในประเทศไทยได้รับการศึกษา สามารถพูด อ่านและเขียนภาษาไทย ได้ ในช่วงเสร็จสิ้นการทำไร่ เย้าจะไปเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องหมู่บ้านใกล้เคียง ในช่วงเวลานี้จะมีการเขียนจดหมายติดต่อกันใช้ทั้งภาษาจีนและภาษาไทย (หน้า 131) จากตารางความสามารถการใช้ภาษาไทย หน้า 132 แสดงให้เห็นว่าเย้าส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยได้มากกว่าเขียนและอ่าน และในจังหวัดเชียงใหม่มีประชากรเย้าที่พูดอ่านและเขียนภาษาไทยได้มากที่สุด (หน้า 132)

Study Period (Data Collection)

ค.ศ.1994

History of the Group and Community

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์เย้ายังไม่ปรากฏมากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะสืบค้นเรื่องราวในอดีตของเย้าเพราะไม่มีการบันทึกเอกสารไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมากนัก อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของเย้าได้มีการสืบทอดผ่านตำนาน และบางครั้งก็เป็นการบันทึกจากคำบอกเล่า (หน้า 1) เย้าที่อพยพเข้าในประเทศไทยทั้งหมดอพยพมาจากประเทศลาวและพม่า แต่ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าเข้ามาครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตาม จากบันทึกของ G.M.T Osborn (1967: 261) เย้าเข้ามาในประเทศไทยอย่างน้อย 100 ปีมาแล้ว และเย้าอพยพเข้ามาในประเทศลาวในช่วงปี ค.ศ.1850 โดยได้อยู่อาศัยในลาวระยะหนึ่งก่อนที่จะอพยพเข้ามาในประเทศไทย (หน้า 21) เย้าอพยพเข้ามาในประเทศไทยจากลาวเมื่อประมาณ 100 ปี ที่ผ่านมา กลุ่มเย้าซึ่งมี Tang Jan Kuan เป็นหัวหน้า ได้อพยพจากเมือง Muang Hun มายังพื้นที่ Pu Wea อำเภอ Lae จังหวัดน่าน Tang Jan Kuan ได้หาของป่าเป็นเครื่องบรรณาการแก่เจ้าเมืองน่านแลกเปลี่ยนกับสิทธิในการทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูง และเขาได้รับยศจากเจ้าเมืองน่านเป็น "พระยาคีรีสมบัติ" พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ Pu Wae เพียง 1 ปี (ค.ศ.189ุ5-1896) ก่อนที่จะย้ายไปยังดอย "Nam Wow" อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ประมาณ 13 ปี (ค.ศ.189ุ7-1910) หลังจากนั้นเนื่องจากสภาพดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์เขาได้อพยพไปยังพื้นที่ป่าช้างน้อย อาศัยอยู่เป็นเวลาประมาณ 9 ปี (ค.ศ.1911-1920 ) ก่อนที่จะย้ายไปพื้นที่ใกล้แม่น้ำงึม " Ngim" ประมาณ 7 ปี (ค.ศ.1921-1928 ) ต่อมาย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านภูลังกาเป็นเวลา 38 ปี (ค.ศ 1929-1967) และย้ายต่อไปอยู่ที่ปางคาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.1968-1995 ปัจจุบัน) (หน้า 1-8)

Settlement Pattern

เย้าตัดสินใจเลือกหมู่บ้านจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ต้องมีป่าไม้สำหรับสร้างบ้าน และเป็นพื้นที่มีดินอุดมสมบูรณ์สำหรับการเพาะปลูก และอยู่ไม่ใกล้กับหมู่บ้านอื่น ๆ มากนัก หมู่บ้านตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดชันซึ่งมีการคำนึงถึงทิศทางลมเพราะมักมีพายุและลมแรงในช่วงฤดูฝน และประการสำคัญเย้านิยมสร้างหมู่บ้านโดยมีภูเขาอยู่ด้านหลัง แต่ไม่เลือกพื้นที่แคบระหว่างสองลำธารมาบรรจบกัน พวกเขาเรียกพื้นที่นี้ว่า "Kaeng Saeng" ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่อับและเป็นพื้นที่ที่สิ่งไม่ดีมารวมตัวกัน จะทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย (หน้า 49-50) บ้านเย้านิยมสร้างด้วยไม้ไผ่ มีเสาไม้ เสากลางบ้านจะเป็นเสาต้นที่สูงที่สุด ฝาบ้านทำด้วยไม่ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา หรือสังกะสี (หน้า 56-58) โครงสร้างบ้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ด้านหน้าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นพื้นที่สำหรับผู้ชาย ส่วนที่สองเป็นพื้นที่สำหรับผู้หญิง ในพื้นที่ส่วนของผู้ชายถือเป็นพื้นที่สำคัญที่สุดของบ้าน และเป็นที่ตั้งของหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ และพื้นที่สำหรับแขกที่มาพัก โดยปกติผู้หญิงจะไม่เข้ามาในพื้นที่ส่วนของผู้ชายถ้าไม่จำเป็น พื้นที่ส่วนของผู้หญิงจะรวมไปถึงพื้นที่ห้องครัว ถัดออกไปจะเป็นพื้นที่สำหรับทำการซักล้าง ปกติบ้านเย้าจะมี 3 ประตู ประตูหลักอยู่หน้าบ้าน มีประตูด้านขวาเรียกประตูนี้ว่าประตูผี จะใช้เฉพาะในพิธีแต่งงานและงานศพ และประตูหลัง บ้านเย้าไม่นิยมทำหน้าต่าง ห้องนอนจะสร้างตามจำนวนสมาชิกของครอบครัว ห้องนอนของลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน จะเป็นห้องที่ใกล้ประตูที่สุดเพื่อให้ผู้ชายสามารถเข้ามาได้ในเวลากลางคืน ห้องนอนถือเป็นห้องส่วนตัวจะไม่เปิดให้แขกเข้ามา (หน้า 58-61)

Demography

ในปี ค.ศ.1965 มีจำนวนประชากรเย้าประมาณ 10,200 คน ใน 74 หมู่บ้าน ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในปี ค.ศ. 1972 จำนวนประชากรเย้าเพิ่มขึ้นเป็น 19,990 คน 2,589 ครัวเรือน 111 หมู่บ้าน และในปี ค.ศ. 1990 จำนวนประชากรเย้าทั้งหมด 35,652 คน 4,823 ครัวเรือน 181 หมู่บ้าน (หน้า 15-17)

Economy

เย้ามีระบบเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน เพาะปลูกข้าว, ข้าวโพด และการเพาะปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ สำหรับแลกเปลี่ยนสิ่งของและค้าขาย นอกจากนี้ เย้ายังเพาะปลูกพืชอื่น ๆ เช่น พริก พริกไทย มัน การเลือกพื้นที่ในการเพาะปลูก - การเลือกพื้นที่ในการเพาะปลูก มีความสัมพันธ์กับความสูงของพื้นที่ ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร หรือสูงกว่า เป็นพื้นที่เหมาะสมในการเพาะปลูกฝิ่น ที่ระดับความสูง 800-1,200 เมตร เป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกข้าวโพด และที่ระดับความสูงต่ำกว่า 800 เมตรเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกข้าว ความสูงในระดับนี้พบโดยทั่วไปในพื้นที่ทางภาคเหนือของไทย ความสูงระดับ 1,200 เมตรไม่พบมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่บริเวณรอยต่อชายแดนไทย (หน้า 84-85) - เย้ามักไม่เลือกพื้นที่ที่ดินขาดแร่ธาตุ ลักษณะของดินที่เหมาะสมในการปลูกฝิ่นเป็นดินที่ผสมหินปูน สีดินเป็นสีดำหรือสีแดงดำ ไม่มีทรายปนมากนักและต้องซับน้ำได้ดี อุณหภูมิและหมอกมีความสำคัญเช่นกัน หากเป็นพื้นที่ที่มีหมอกมากจนถึงตอนสาย จะเหมาะสมในการเพาะปลูกฝิ่น - การเพาะปลูกในแต่ละพื้นที่จะใช้เพียง 1 ปี และเปลี่ยนไปใช้พื้นที่อื่น ทิ้งพื้นที่เก่าไว้ประมาณ 10 - 15 ปี ก่อนที่จะกลับมาใช้พื้นที่เดิมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม บางครั้งจะกลับมาใช้พื้นที่เก่าเร็วขึ้นเนื่องจากมีที่ดินจำกัด (หน้า 87) ปัจจัยในการเลือกพื้นที่ใหม่ในการเพาะปลูก 1) หาพื้นที่ใหม่ภายหลังจาก 5 ปีของการทำไร่หมุนเวียนเนื่องจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์ 2) เมื่อมีสัตว์ แมลง หนู รบกวนพื้นที่ 3) เกิดโรคระบาดทำให้ต้องอพยพ ปกติการอพยพมักจะโยกย้ายไปไม่ไกลจากพื้นที่เดิมมากนักประมาณ 3-4 ชั่วโมงโดยการเดินเท้า แต่ในบางครั้งก็จะอพยพไปยังพื้นที่อื่น ๆ ห่างไกลออกไปเช่นกัน 4) เมื่อมีแรงงานเพิ่มในครอบครัวก็จะเพิ่มพื้นที่ในการเพาะปลูกเช่นกัน การปรับปรุงดิน เย้ารู้จักการปรับปรุงดินโดยการฝังใบไม้ หญ้าคาในพื้นที่ หรือทำการเผาก่อนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มแร่ธาตุให้กับดิน รวมถึง การปลูกถั่ว ใส่มูลสัตว์ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน การเพาะปลูกข้าวโพด ข้าวโพดเป็นพืชสำคัญของเย้า เป็นอาหารทั้งสำหรับครัวเรือนและใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ปกติข้าวโพดจะทำการเพาะปลูกในพื้นที่ลาดชัน 15-45 องศา ความสูง 800-1,000 เมตร สูงกว่าพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าวเล็กน้อย พื้นที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกข้าวโพดอาจจะใช้พื้นที่เดิมที่เคยปลูกข้าวหรือปลูกฝิ่นมาก่อน ข้าวโพดบางชนิดจะนำมาหมักเป็นเหล้า ใช้ดื่มในงานเลี้ยงในเทศกาลต่างๆ เครื่องมือที่ใช้ในการทำไร่ เช่น ขวาน มีด สำหรับตัดต้นไม้ จอบสำหรับขุดกำจัดวัชพืช และมีดสำหรับกรีดฝิ่น (หน้า 94) การจัดการแรงงาน ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานภายในแต่ละครัวเรือน แต่ในหมู่บ้านจะช่วยกันทำงานในพื้นที่สาธารณะ และช่วยเหลือครอบครัวหญิงม่ายที่ไม่มีครอบครัวสนับสนุน (หน้า 94) ปธิทินการทำเกษตรกรรม - มกราคม เลือกพื้นที่สำหรับทำการเพาะปลูก ปกติจะเลือกพื้นที่ใกล้กัน เมื่อมีการเลือกพื้นที่จะมีการทำเครื่องหมายที่ต้นไม้ใหญ่ให้คนอื่นได้รับรู้ป้องกันการใช้พื้นที่ อย่างไรก็ตามใน 1 พื้นที่อาจจะมี 2-3 เครื่องหมาย การแบ่งเขตแดนของแต่ละพื้นที่จะเป็นการตกลงร่วมกันและจัดแบ่งตามสภาพภูมิประเทศ เช่น แบ่งตามแนวลำธารไหลผ่าน เป็นต้น - กุมภาพันธ์ เริ่มทำการถางไร่ ผู้ชายจะทำการตัดต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้เล็กและพุ่มไม้จะเป็นงานของผู้หญิงและเด็ก ๆ เมื่อถางไร่เสร็จจะปล่อยพื้นที่ไว้ให้แห้ง และทำการเผาไร่ต่อไป โดยทั่วไปถ้าพื้นที่เพาะปลูกติดกันจะเผาพร้อมกัน - มีนาคม ปกติในเดือนนี้เย้าจะไม่ทำงานในไร่ เป็นช่วงเวลาของการจัดงานเทศกาลต่างๆ ในหมู่บ้าน - เมษายน เผาไร่ เป็นงานที่ทำได้ทั้งชายและหญิง การเผาครั้งแรกมักทำโดยผู้ชายหลายครัวเรือนช่วยกัน ในการเผาปัจจัยสำคัญที่ต้องระวังคือทิศทางลม การเผาครั้งที่สอง เป็นงานของแต่ละครัวเรือน ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่โดนเผาจะใช้เป็นรั้วป้องกันสัตว์ใหญ่เข้ามาทำลายผลผลิต - พฤษภาคม สร้างกระท่อมในไร่ นิยมสร้างใกล้แหล่งน้ำ และทำการเตรียมการเพาะปลูก ผู้ชายขุดหลุม ผู้หญิงหยอดเมล็ดพันธุ์ ในการปลูกจะเริ่มที่ตีนเขาและค่อยๆ สูงขึ้นไปจนถึงยอดเขา - มิถุนายน ปลูกถั่วเหลืองและกำจัดวัชพืชในนาข้าว - กรกฎาคม กำจัดวัชพืชในไร่และทำการขายหมู - สิงหาคม เก็บเกี่ยวข้าวโพด และเข้าป่าตัดไม้ไผ่ทำเป็นฟากสำหรับสร้างกระท่อมและใช้ปูบ้าน - กันยายน เก็บเกี่ยวข้าวเบา และเริ่มปลูกฝิ่น - ตุลาคม ฤดูเก็บเกี่ยว - พฤศจิกายน เก็บเกี่ยวข้าว ทุกครัวเรือนจะช่วยกัน ในช่วงเวลานี้ความสัมพันธ์ในครัวเรือนและหมู่บ้านมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยเหลือด้านแรงงาน - ธันวาคม เก็บเกี่ยวข้าว (หน้า 102 -108) การเลี้ยงสัตว์ : เย้าเลี้ยง หมู ไก่ เป็ด ห่าน เป็นอาหารและขาย และใช้ในพิธีกรรมเซ่นไหว้ผี และผีบรรพบุรุษ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงม้า ล่อใช้เป็นพาหนะและลำเลียงผลผลิต (หน้า 115) การหาของป่า : เย้านิยมหาหน่อไม้ ผักป่าใช้ในการประกอบอาหารในครัวเรือน (หน้า 114) การค้าขาย : เย้าค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องของการค้าขาย มีการค้าขายทั้งภายในหมู่บ้านและกับภายนอกหมู่บ้าน ข้าวและข้าวโพดที่เหลือจากครัวเรือนจะนำออกมาขาย รวมถึงพืชอื่น ๆ และฝิ่น เมื่อมีการสร้างถนนในปี ค.ศ. 1967 การคมนาคมสะดวกทำให้การค้าขายเป็นไปได้สะดวกมากยิ่งขึ้น มีการปลูกข้าวโพดเป็นจำนวนมากและนำไปขายในตลาดบนพื้นที่ราบ ในหมู่บ้านจะมีร้านค้าขายของใช้ต่างๆ ให้กับคนในหมู่บ้าน เช่น แบตเตอรี่ ถ่าน ยา น้ำมัน น้ำตาล เกลือ ฯลฯ พ่อค้าในหมู่บ้านมีทั้งที่เป็นเย้า คนไทยภาคเหนือ หรือคนจีน สำหรับพ่อค้าจากภายนอกหมู่บ้านจะเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเฉพาะในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวฝิ่น จะมีการเปิดร้านค้าเชื่อให้กับคนที่ทำงานในไร่ฝิ่นโดยจะจ่ายเงินภายหลังจากเสร็จฤดูเก็บเกี่ยว การค้าขายในปัจจุบันค่อนข้างเติบโตอย่างรวดเร็ว เย้าบางคนเข้ามาเปิดร้านค้าในเมืองเพื่อขายผลผลิต และเดินทางออกมาขายผลผลิตในตลาดภายนอกมากยิ่งขึ้น (หน้า 120-126)

Social Organization

การแต่งงาน 3 วัน " Tom Ching Ja" เย้าจะเลือกวันฤกษ์ดีสำหรับจัดงานแต่งงานโดยดูจากดวงของคู่บ่าวสาว และครอบครัวฝ่ายชายจะให้เกลือกับครอบครัวฝ่ายหญิงสำหรับแจกให้กับแขกที่มาร่วมงานเป็นเหมือนบัตรเชิญ บางครั้งจะใช้บัตรเชิญจากกระดาษทำในเมือง - วันที่ 1 เจ้าสาวจะเดินทางพร้อมกับเพื่อนเจ้าสาวและญาติไปยังหมู่บ้านของเจ้าบ่าว แต่ในวันนี้เจ้าสาวจะไม่เข้าหมู่บ้านเนื่องจากมีข้อห้ามเอาไว้ และเจ้าสาวไม่สามารถผ่านพื้นที่สูงของหมู่บ้าน เนื่องจากเป็นพื้นที่อาศัยของผี และสิ่งเหนือธรรมชาติ เจ้าสาวจะหยุดพักสำหรับแต่งตัว สำหรับบ้านเจ้าบ่าวหมอผีจะประกอบพิธีกรรมหน้าหิ้งผีบรรพบุรุษ ในวันนี้ จะเชิญแขกมาร่วมงานรวมถึงแขกฝ่ายเจ้าสาวจะถูกเชิญเข้าบ้านทางประตูด้านข้าง แต่เจ้าสาวจะอยู่ที่พื้นที่ถัดจากประตูข้าง ซึ่งสร้างพิเศษขึ้นสำหรับงานแต่งงาน - วันที่ 2 เจ้าสาวจะเข้าบ้านเจ้าบ่าวทางประตูหลัง " spirit door" เรียกว่า " Tom Keng" โดยมีพี่สาวน้องสาวหรือญาติผู้หญิงของเจ้าบ่าวเป็นผู้จูงมือเข้าบ้าน ทำความเคารพผีบรรพบุรุษ ในวันที่สองญาติทั้งสองฝ่ายจะได้ทำความรู้จักกันโดยเฉพาะในหมู่หนุ่มสาวซึ่งนำไปสู่การแต่งงานต่อไป และในวันที่สองนี้หมอผีจะประกอบพิธีกรรม และเจ้าสาวจะอยู่ในห้องไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ในการแต่งงานเจ้าสาวจะใส่หมวกซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษ โดยไม่สามารถถอดหมวกออกไปตลอดสองวัน เป็นการวัดความอดทนของเจ้าสาว - วันที่ 3 พ่อแม่ของคู่แต่งงานทั้งสองฝ่ายรวมถึงญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองปรึกษาเรื่องค่าสินสอด รวมถึงเรื่องการนับถือโคตรตระกูล และในวันนี้ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องนำห่อเกลือกลับมาเพื่อให้ฝ่ายเจ้าบ่าวนับจำนวนแขกที่จะมาร่วมงาน ครอบครัวของเจ้าบ่าวจะต้องแจกเนื้อหมูให้กับแขกทุกคนที่เข้ามาร่วมงาน ช่วงเวลาสำคัญของงานแต่งงานอยู่ที่คืนที่สาม แขกจะถูกเชิญให้นั่งที่เก้าอี้เพื่อให้คู่บ่าวสาวแสดงความเคารพ ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจะสั่งสอนอบรมหน้าที่การเป็นสามีภรรยาที่ดีให้กับคู่บ่าวสาว สามีเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องทำงานหนัก ดูแลภรรยาเมื่อภรรยาเจ็บป่วย จัดหาเสื้อผ้าและเครื่องมือให้กับภรรยา และเมื่อต้องการมีภรรยาคนที่สองจะต้องได้รับการยอมรับจากภรรยาคนแรก ภรรยาต้องเคารพสามี ดูแลครอบครัวสามี ทำอาหาร ซ่อมเสื้อผ้า และรู้จักอดทนอดกลั้น การแต่งงานขนาดเล็ก " Ching Ja Ton" งานแต่งงานขนาดเล็กจะเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยปกติจะเป็นงานแต่งงานที่เจ้าบ่าวเปลี่ยนมาอยู่ในโคตรตระกูลของเจ้าสาว หรือเนื่องจากเจ้าบ่าวไม่สามารถจ่ายค่าสินสอดได้ก็จะจ่ายส่วนหนึ่งและทำงานให้กับครอบครัวเจ้าสาวทุก ๆ ปี จนกว่าจะครบค่าสินสอด - การแต่งงานครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นเมื่อภรรยาไม่มีบุตรหรือคู่แต่งงานเสียชีวิต เนื่องจากเย้ามีความเชื่อว่าผู้ที่ไม่มีบุตรสืบทอดโคตรตระกูลเมื่อตายจะต้องทนทุกข์ทรมานในโลกวิญญาณ ในกรณีที่ไม่มีบุตรจะรับบุตรบุญธรรมหรือแต่งงานใหม่แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากภรรยาคนแรก สำหรับหญิงม่ายที่ยังอายุน้อยครอบครัวของสามีสามารถเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องคู่แต่งงานใหม่ให้ได้และมักจะเรียกค่าสินสอดเท่ากับที่เรียกกับเมื่อแต่งงานครั้งแรก - ภายหลังการแต่งงานเจ้าสาวจะอยู่กับครอบครัวเจ้าบ่าว และครอบครัวของเจ้าสาวได้รับค่าสินสอดทดแทน ยกเว้นในกรณีที่ตกลงให้ฝ่ายชายเปลี่ยนมานับถือโคตรตระกูลของฝ่ายหญิงก็จะอาศัยอยู่กับครอบครัวภรรยา (หน้า 214-225) การจัดระเบียบทางสังคม : แม้ว่าเย้าจะไม่มีกฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ในหมู่บ้านมีระบบการจัดระเบียบทางสังคม หมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้ที่รู้กฎระเบียบข้อปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้าน นอกจากนี้เย้านับถือผู้อาวุโส เช่นหัวหน้าหมู่บ้าน หมอผีผู้ประกอบพิธีกรรม เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ถือเป็นผู้มีความรู้ในกฎ ระเบียบข้อปฏิบัติมากกว่าผู้เยาว์ (หน้า 249) สิทธิในการถือครองที่ดิน : ที่ดินรอบ ๆ หมู่บ้านถือเป็นที่ดินส่วนรวมของหมู่บ้าน ทุกคนมีสิทธิ์ใช้พื้นที่ส่วนรวมร่วมกัน แต่พื้นที่ในการทำไร่จะเป็นของแต่ละครอบครัว แม้ว่าจะปล่อยทิ้งไว้ก็สามารถกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ถ้าหากครอบครัวย้ายออกจากหมู่บ้าน สิทธิในในการถือครองที่ดินก็จะหมดลง พื้นที่จะเป็นของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านมีอำนาจในการจัดสรรที่ดินนี้ให้ครอบครัวอื่น แต่ตามปกติจะให้ครอบครัวเครือญาติของผู้ถือครองที่ดินก่อน และให้สมาชิกในหมู่บ้านก่อนที่จะให้คนนอกหมู่บ้าน (หน้า 242) มรดก : เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตจากไร่จะแบ่งปันให้กับลูกชายทุกคนในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน ปกติหัวหน้าครอบครัวเป็นคนเก็บเงินแต่ลูกชายคนที่ขายผลผลิตเป็นผู้มีสิทธิในการใช้เงินจำนวนนี้ก่อนคนอื่น ๆ ในครอบครัว สำหรับการเก็บเกี่ยวฝิ่นถือเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ภรรยาและลูกมีสิทธิ์ในการรับมรดก แต่ถ้าลูกยังเล็กมารดาจะเป็นผู้ดูแล แต่ถ้าลูกชายโตมีครอบครัวก็จะเป็นผู้ดูแล เมื่อแม่ม่ายแต่งานใหม่จะไม่มีสิทธิ์ในการถือครองที่ดินของครอบครัวเดิมอีกจะต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหม่ (หน้า 243-244)

Political Organization

หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ดูแลสมาชิกภายในครัวเรือน ภายใน 1 ครัวเรือนอาจจะประกอบด้วยครอบครัวมากกว่า 1 ครอบครัว ที่นับถือโคตรตระกูลเดียวกัน หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ชายมักจะเป็นพ่อ ปู่ เป็นต้น ในระดับหมู่บ้านจะมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ปกครอง ซึ่งจะได้รับความช่วยเหลือในการตัดสินใจและปกครองหมู่บ้านจากผู้อาวุโสภายในหมู่บ้าน (หน้า 235) ไม่มีหัวหน้าเย้าที่มีอำนาจเหนือเย้าทุกกลุ่ม แต่หัวหน้าบางคนได้รับการยอมรับกับกลุ่มคนบางคนในหมู่บ้าน และอาจจะรวมถึงหมู่บ้านอื่นๆ เช่น Tang Chan Kuan หัวหน้ากลุ่มเย้าที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มเย้ารวมถึงม้งและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยในพื้นที่บริเวณนี้ และเขาได้รับยศเป็นพระยาคีรีสมบัติ จากเจ้าเมืองน่าน (หน้า 236) การสืบทอดตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมักจะเป็นการสืบทอดจากพ่อถึงลูกชาย เช่น ลูกชายของพระยาคีรีสมบัติ เป็นกำนันป่าช้างน้อยและมีอำนาจเป็นที่ยอมรับในพื้นที่แถบนี้ เนื่องจากผู้คนในหมู่บ้านมักจะเลือกสนับสนุนคนในโคตรตระกูล "Tang" เป็นหัวหน้า อย่างไรก็ตาม ในหมู่บ้านอื่น ๆ โดยทั่วไป ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน จะมีการเลือกบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในโคตรตระกูลเดียวตลอด มักจะเลือกบุคคลที่มีความสามารถในการพูดภาษาไทยได้และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐ (หน้า 237) และปรากฏบ่อยครั้งที่หมู่บ้านมีหัวหน้าหมู่บ้าน 2 คน กล่าวคือ หัวหน้าหมู่บ้านแบบประเพณีดั้งเดิมและผู้ใหญ่บ้านติดต่อกับรัฐ ในการมีสองหัวหน้าหมู่บ้านมักก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ง่ายทำให้เกิดกรณีการแยกออกเป็นสองหมู่บ้านบ่อยครั้ง (หน้า 238) เย้าและกลุ่มชนบนพื้นที่สูงของประเทศไทยต้องการสัญชาติไทยเนื่องจากมีความสำคัญในการถือสิทธิการครองที่ดิน รัฐบาลจะออกบัตรประชาชนให้กับผู้ที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน หรือผู้ที่เกิดในประเทศไทย เย้ามักประสบปัญหาเมื่อพวกเขามีบัตรประชาชนแล้วแต่โยกย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่อำเภออื่น และไม้ได้แจ้งให้กับผู้ใหญ่บ้านหรือเจ้าหน้าที่ได้รับทราบ เพราะพวกเขาไม่ทราบว่าบัตรจะหมดอายุทุก 5 ปี ทำให้ถูกคัดออกชื่อจากทะเบียนบ้านเมื่อมีการเลือกตั้ง (หน้า 232-233)

Belief System

เย้านับถือผี ผีบรรพบุรุษ อำนาจเหนือธรรมชาติ และลัทธิเต๋าซึ่งได้รับมาจากจีนเมื่อประมาณ 600 ปีมาแล้ว ทั้งสองระบบความเชื่อผสมผสานจนกลายเป็นความเชื่อเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของเย้า - เย้าเชื่อว่า ผี อำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การตาย แต่ก็ให้ความโชคดี อุดมสมบูรณ์แก่มนุษย์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผี อำนาจเหนือธรรมชาติและมนุษย์ โดยการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ ด้วยการฆ่าหมู ไก่ หมอผีจะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน (หน้า 258-260) การตาย - เย้าเชื่อว่าวิญญาณ " Spirits" เป็นสาเหตุให้เกิดการตาย พวกเย้าเชื่อว่าโลกแบ่งออกเป็นโลกมนุษย์ และโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณทุกอย่างเหมือนกับโลกมนุษย์ เมื่อคนตายจะเดินทางไปโลกวิญญาณ ถ้าเขาประพฤติไม่ดีจะต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อให้วิญญาณบริสุทธิ์ก่อนที่จะไปสู่โลกวิญญาณ และเย้าเชื่อว่าวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในโลกมนุษย์ได้รับการแนะนำจากผี และผีบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยในโลกวิญญาณ ทำให้ต้องมีการเซ่นไหว้ผี และผีบรรพบุรุษเพื่อให้ดำเนินชีวิตไปได้ด้วยดี - เมื่อมีการตายถ้าเป็นเด็กจะทำการฝังแต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ผ่านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จะทำการเผา งานศพจะจัดขึ้นภายในหมู่บ้าน ยกเว้นในกรณีที่คนตายนอกหมู่บ้านศพจะอยู่ที่ที่เขาตาย แต่จะจัดงานศพที่บ้านของผู้ตาย งานศพจะจัดประมาณ 2 วัน เพื่อให้ญาติที่อยู่หมู่บ้านอื่น ๆ สามารถมาร่วมพิธีกรรมได้ ยกเว้นงานศพของเด็กจะจัดเพียงหนึ่งวัน ศพของผู้ตายจะถูกปิดตาโดยลูกชายคนโต และใส่เหรียญเงินกับข้าวในปากเพื่อให้ผู้ตายได้ใช้ขณะเดินทางไปยังโลกวิญญาณ เสื้อผ้าของผู้ตายจัดเตรียมโดยภรรยาของผู้ตาย ในงานศพจะยิงปืน 3 นัด เพื่อเป็นการเปิดทางไปยังโลกวิญญาณ และเป็นการบอกกล่าวให้คนในหมู่บ้านได้รับทราบ ในช่วงงานศพจะมีการฆ่าหมูเลี้ยงผู้มาร่วมงานและมีการจัดดนตรีประกอบงานศพ - หมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมจะทำการคัดเลือกชายหกคนทำโลงศพ ปกติจะทำจากไม้สน เนื่องจากสามารถเผาติดไฟได้ง่าย สำหรับในกรณีที่เป็นการฝัง หลุมศพจะถูกขุดโดยชายต่างโคตรตระกูล สำหรับการกลบหลุม หมอผีจะเป็นผู้กลบคนแรก ต่อมาจะเป็นญาติพี่น้องของผู้ตาย ศีรษะของผู้ตายมักจะหันไปทางภูเขา (หน้า 251-256) การนับถือศาสนาคริสต์ : มิชชันนารีมีความพยายามที่จะเปลี่ยนให้เย้านับถือศาสนาคริสต์ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1915 เป็นต้นมามีมิชชันนารีเข้ามาในพื้นที่ทางภาคเหนือของจังหวัดแพร่ และในปี ค.ศ. 1966 มีเย้าประมาณ 500 คนใน 17 หมู่บ้านเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ในปี ค.ศ.1980 มีเย้า 1,200 คน ใน 28 หมู่บ้านทางภาคเหนือของไทยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ การนับถือศาสนาพุทธ : ศาสนาพุทธเข้ามาในราวปี ค.ศ. 1965 ในพื้นที่สูง เย้าและกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงกลุ่มอื่น ๆ เข้าร่วมโครงการธรรมจาริก เด็ก ๆ บวชเป็นสามเณรเพื่อโอกาสในการศึกษาเล่าเรียน (หน้า 258-263)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ - เสื้อผ้าเป็นสัญลักษณ์แสดงอัตลักษณ์ของกลุ่ม ผู้หญิงเย้าจะต้องเรียนรู้การเย็บปักถักร้อย เริ่มเรียนตั้งแต่อายุ 5-6 ปี และจะต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับงานแต่งงานของตนเอง ในอดีตเย้าเพาะปลูกฝ้ายและทอผ้าด้วยตนเอง ปัจจุบัน ซื้อผ้ามาจากตลาดจากกลุ่มไทใหญ่ในเชียงตุงหรือกลุ่มคนไทยภาคเหนือ อ. เชียงคำ จ. พะเยา แต่ยังนิยมย้อมผ้าเอง ส่วนใหญ่จะย้อมเป็นสีคราม เทคนิคในการปักกากบาท เริ่มพัฒนาและเป็นที่นิยมในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมาและกลายเป็นลายมาตรฐานที่มีการปักโดยทั่วไปในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการปักลวดลายดอกไม้ รูปร่างสัตว์ หมี เสือ แมว ฯลฯ - ผู้ชายเย้า ใส่เสื้อ "Tunic" ย้อมเป็นสีดำ หรือสีคราม เสื้อจะยาวจนถึงสะโพก มีกระดุมเงินประดับและมีเสื้อคลุม นิยมสีแดงและสีดำ กางเกง เป็นทรงจีนยาวถึงตาตุ่ม ใช้เข็มขัดหนัง ในบางพื้นที่จะพันขาด้วยผ้า - ผู้หญิงเย้า จะใส่กางเกงยาวถึงตาตุ่มมีเสื้อคลุม และผ้าพันเอว มีการประดับลวดลายที่กางเกง เสื้อคลุม และผ้าโพกหัว ชุดสำหรับเด็จจะใส่เหมือนกับชุดผู้ใหญ่ เด็กทารกจะใส่เฉพาะหมวก นิยมทำหมวกทรงสามเหลี่ยมมีการประดับพู่ห้อย และขนสัตว์ หมวกนี้จะไม่ใส่เมื่อเด็กอายุมากกว่า 10 ปี นอกจากนี้ มีการทำผ้าสำหรับรัดตัดทารกติดกับมารดา ขนาดกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร ยาว 80 เซนติเมตร ย้อมเป็นสีดำหรือสีคราม (หน้า 71-78) - ชุดในพิธีกรรม หมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมจะใส่เสื้อพิเศษ ในงานเทศกาล เป็นชุดคลุมไม่มีแขน สวมทับกับเสื้อผ้าปกติ และใช้ผ้าคาดเอวสีขาว มีการประดับด้วยลูกปัด และมีหมวกแบบพิเศษในในพิธีกรรมสำคัญ เสื้อผ้าเหล่านี้จะส่งทอดให้กับหมอผีรุ่นต่อไป บางครัวเรือนอาจจะมีเก็บไว้และมอบให้กับลูกหลาน (หน้า 79) -การะเป๋าสะพายไหล่ เนื่องจากชุดเย้าไม่มีกระเป๋าจึงมีการทำย่ามและกระเป๋าสะพายไหล่ ปกติจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสนิยมสีดำสลับสีขาว ใช้ใส่สิ่งของและเครื่องประดับ (หน้า 80) -เครื่องประดับ ในโอกาสสำคัญ เทศกาลต่างๆ ผู้หญิงและเด็กนิยมใส่เครื่องประดับ เช่นสร้อย ตุ้มหูลูกศร กำไล ฯลฯ แต่ไม่นิยมใส่เมื่อต้องทำงาน (หน้า 80)

Folklore

เย้าเชื่อว่าทุกสิ่งสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า ท้องฟ้าเป็นรูปแปดเหลี่ยม ประกอบด้วย 33 ชั้น พื้นดินเป็นรูปสี่เหลี่ยม ประกอบด้วย 48 ชั้น และในช่วงเวลาที่มีการสร้างท้องฟ้าและพื้นดินได้มีการสร้างภูเขา แม่น้ำ ทะเล ต้นไม้ ทุ่งหญ้า ข้าว ฯลฯ นอกจากนี้เย้าเชื่อว่าเทพเจ้าเป็นผู้สร้างวัฒนธรรม ประเพณีข้อปฏิบัติต่างๆ กำหนดให้ผู้ชายต้องโพกหัว ผู้หญิงโกนหัวรอบ เทพเจ้าสร้างเสื้อผ้ารวมถึงเป็นให้หญิงและชายแต่งงานกัน (หน้า 267) หัวหน้าของ 12 โคตรตระกูลมาจาก Pan Hu ซึ่งปรากฏในตำนานทางประวัติศาสตร์ เมื่อ Pan Hu ช่วยจักรพรรดิจีนปราบปรามศัตรู เย้าจึงมีสิทธิในการครอบครองพื้นที่สูง เมื่อเดินทางไปยังพื้นที่สูงต่าง ๆ จะได้รับกระดาษ "passport" จากหัวหน้าแสดงอำนาจของหัวหน้าผู้ปกครองที่ทุกคนต้องนับถือ (หน้า 235)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

แม้ว่าเย้าจะมีบัตรประชาชนถือสัญชาติไทยแต่บางครั้งยังถูกเรียกว่าเป็นชาวเขา อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับกลุ่มชนบนพื้นที่สูงอื่น ๆ เย้าเป็นผู้ที่ได้รับสัญชาติไทยสูงกว่ากลุ่มชนบนพื้นที่สูงกลุ่มอื่น ๆ ค่อนข้างมาก (หน้า 233)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ความสามารถการใช้ภาษาไทย หน้า 132

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG เย้า, วิถีชีวิต, สังคม, วัฒนธรรม, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง