|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,อัตลักษณ์ชาติ,การระบุชาติพันธุ์,เชียงราย |
Author |
Tatsuki Kataoka |
Title |
The Formation of Ethnic and National Identity: A Case Study of the Lahu in Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
7 |
Year |
2544 |
Source |
http://www.api-fellowships.org/pdffiles/part%%20id%20D.pdf. |
Abstract |
บทความนี้ ผู้เขียนตรวจสอบแนวคิดเชิงทฤษฎี 2 ประเด็น ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์การก่อรูปอัตลักษณ์ของชาติ และชาติพันธุ์ คือ "ความยืดหยุ่นของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์" และ ความเป็นไปได้ของ "ความคิดชาตินิยมกระแสรองที่มาจากรากหญ้า" ด้วยการศึกษาความคิดเกี่ยวกับประเพณีและการจำแนก/บ่งบอกชาติพันธุ์ของล่าหู่ท่ามกลางกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง "ประเพณี" กับ "ความเป็นล่าหู่" ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา จากหมู่บ้านล่าหู่ 2 แห่งที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์และประเพณีทางศาสนาของจีน ผู้เขียนพบว่าเกณฑ์การจำแนกชาติพันธุ์ความเป็นล่าหู่ยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมเนียมประเพณี (awli) เป็นตัวกำหนดความเป็นล่าหู่โดยไม่ได้คำนึงถึงความเชื่อศาสนา ขณะเดียวกันความเป็นล่าหู่ก็ไม่ได้ถูกกำหนดโดยธรรมเนียมประเพณีเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยกำเนิดและคุณสมบัติของคู่สมรสด้วย |
|
Focus |
ศึกษาความคิดเกี่ยวกับ "ประเพณี" ('custom') และการระบุบอกชาติพันธุ์ (ethnic identification) ของล่าหู่ท่ามกลางกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง "ประเพณี" กับ "ความเป็นล่าหู่" ('Lahu-ness') ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา โดยศึกษาหมู่บ้านล่าหู่ 2 แห่งที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ และประเพณีทางศาสนาของจีน (น.171) |
|
Ethnic Group in the Focus |
หมู่บ้านล่าหู่ 2 แห่งที่ได้รับอิทธิพลศาสนาคริสต์กับประเพณีทางศาสนาของจีน ในจังหวัดเชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้าน R เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในประเทศพม่า มีทหารจีนพรรคก๊กมินตั๋งเข้ามาในหมู่บ้าน แต่งงานกับผู้หญิงล่าหู่และอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ทหารเหล่านี้สู้รบกับรัฐบาลพม่า พวกเขาปิดบังตนเอง บอกว่าเป็นคนล่าหู่เพื่อหลบหนีการปราบปราม การอาศัยอยู่กับล่าหู่ ใช้ภาษาล่าหู่ ทำให้ทหารจีนก๊กมินตั๋งรุ่นต่อ ๆ มากลายเป็นคนล่าหู่ (น.172) หมู่บ้าน M ไม่ได้กล่าวถึงประวัติหมู่บ้าน กล่าวแต่เพียงว่า นับถือศาสนาคริสต์นิกายอเมริกันแบบติสท์ (American Baptist) มานานแล้ว (น.171) |
|
Demography |
หมู่บ้าน M มีครัวเรือนที่นับถือศาสนาคริสต์(นิกายอเมริกันแบบติสต์) 48 ครัวเรือน (น.171) นอกจากนั้นยังมีคนจีน ว้า (Wa) อาข่า (Akha) อาเข่อ (Akheu) และคะฉิ่น (Kachin) ที่อพยพเข้าอยู่ในหมู่บ้านหลังแต่งงานด้วย (น.172) หมู่บ้าน R มีครัวเรือน 100 ครัวเรือน ในจำนวนนี้มี 70 ครัวเรือนที่ปฏิบัติตามประเพณีทางศาสนาของจีน (น.171) |
|
Belief System |
คำ "aw li" ในภาษาล่าหู่หมายถึง ธรรมเนียมประเพณี (li เป็นคำจากภาษาจีนหมายถึง มารยาท) แต่ในบริบทเฉพาะ จะมีความหมายโดยนัยหมายถึง ศาสนา ซึ่งมีความหมายกว้างกว่า "religion" ในทัศนะคนตะวันตก สำหรับล่าหู่แล้ว aw li หมายรวมถึงมารยาท (courtesy) วัฒนธรรม กฎหมายจารีต และศาสนา aw li จึงเป็นระบบกฏระเบียบโดยรวมที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ (น.171) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เรื่องเล่า "ตัวหนังสือ" ครั้งหนึ่งกื่อชา (G'ui Sha) เทพเจ้าผู้สร้างโลกแต่งตั้งล่าหู่เป็นผู้ปกครองโลกและให้หนังสือซึ่งเขียนบนขนมที่ทำจากแป้งข้าว (rice cake) แก่ล่าหู่ แต่พวกเขาไม่ระมัดระวังและกินขนมที่ทำจากแป้งอันนั้น กื่อชาจึงโกรธ และให้ล่าหู่พ้นจากตำแหน่งผู้ปกครอง และทำให้พวกเขาขมขื่นที่ไม่มีตัวหนังสือ ทั้งยังถูกกดขี่จากกลุ่มอื่น เมื่อไรที่หนังสือกลับคืนมา กื่อชาก็จะปรากฏกายอีกครั้งหนึ่งเพื่อคืนอิสระเอกราชให้แก่ล่าหู่ (น.173) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเป็นล่าหู่ (Lahu-ness) กรณีหมู่บ้าน R ชาวบ้านมองตนเองเป็นคนล่าหู่ แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามประเพณีจีน - Heh pa aw li เช่น ตรุษจีน ซ่อมแซมหลุมศพ ไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลกลางปี นอกจากนั้น ยังจุดธูปไหว้หิ้งบรรพบุรุษที่ตั้งในบ้านทุกวันที่ 1 และวันที่ 15 ของเดือนตามธรรมเนียมจีนด้วย คนจีนได้กลายเป็นล่าหู่ ขณะที่ยังคงธรรมเนียมประเพณีเดิมของตน คู่สมรสที่เป็นล่าหู่ได้แทนที่ Lahu aw li ดั้งเดิมด้วยธรรมเนียมประเพณีจีน โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ล่าหู่ไว้ ชาวบ้านพูดคล่องทั้งภาษาล่าหู่และภาษาจีนยูนนาน ทุกคนเป็นล่าหู่ในทะเบียนรัฐ แต่เป็นจีนยูนนานในบัญชีรายชื่อของโครงการความช่วยเหลือไต้หวัน ผู้เขียนเห็นว่า การระบุชาติพันธุ์ยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้ (flexible) และการระบุชาติพันธุ์ก็ไม่ได้สลับสับเปลี่ยน (switched) จากจีนเป็นล่าหู่ หากทว่าเพิ่มเกณฑ์การจำแนกเข้าไป อัตลักษณ์ชาติพันธุ์อันสลับซับซ้อนไม่ได้ถูกกำหนดด้วยธรรมเนียมประเพณีอย่างเดียวเท่านั้น คนคนหนึ่งอาจจะเป็นล่าหู่โดยการเกิด และเป็นคนจีนในแง่ของธรรมเนียมประเพณี เกณฑ์การระบุชาติพันธุ์อาจจะถูกเพิ่มเติมโดยไม่ต้องสับเปลี่ยนธรรมเนียมประเพณี และบางครั้งมันอาจจะยังคงอยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะมีการสลับสับเปลี่ยนธรรมเนียมประเพณี (น.172) ในกรณีหมู่บ้าน M ซึ่งเป็นหมู่บ้านคริสเตียน การปฏิบัติตามประเพณีล่าหู่ หรือ Lahu aw li ไม่ได้หมายถึงศาสนา ทั้งนี้ เพราะกฏระเบียบในการแต่งงาน การแลกเปลี่ยนเชิงพิธีกรรมระหว่างงานฉลองปีใหม่ และกฎหมายตามจารีตประเพณีดั้งเดิมไม่ใช่เรื่องทางศาสนา ชาวบ้านแยกธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเรื่องทางศาสนาและโลกออกจากกัน พวกเขาใช้คำ bon li shin li สำหรับศาสนาโดยหมายถึง ประเพณีการสวด (custom of blessing) และใช้คำ chaw li va li ในความหมาย ประเพณีของมนุษย์(custom of human being) ดังนั้นในแง่นี้ การสวดมนต์กับพระเจ้าในช่วงพิธีกรรมประจำปี เช่น ปีใหม่และการเก็บเกี่ยว จึงไม่ใช่ประเพณีล่าหู่ แต่เป็นการปฏิบัติทางศาสนา ส่วนการเต้นรำปีใหม่ การแลกเปลี่ยนขนมที่ทำจากข้าว และการรดน้ำบนมือผู้อาวุโสเป็นประเพณีล่าหู่ที่ไม่มีความหมายทางศาสนา (น.172) ผู้เขียนเห็นว่า การเปลี่ยนจาก Lahu awli ไปเป็นคริสตศาสนิกชนจึงไม่ได้เป็นการแทนที่ระบบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมทั้งหมดในแง่ของพรมแดนชาติพันธุ์ แต่ทำให้เกิดการแยกธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมออกเป็นศาสนา และธรรมเนียมประเพณีทางโลก หลังการเปลี่ยนความเชื่อ ล่าหู่ที่นับถือคริสต์ยังคงเป็นล่าหู่ ไม่ใช่เพราะศาสนาคริสต์ทำหน้าที่เป็นพรมแดนชาติพันธุ์ แต่เป็นเพราะธรรมเนียมประเพณีทางโลกยังเป็นตัวกำหนดความเป็นล่าหู่โดยไม่ได้คำนึงถึงความเชื่อศาสนา ขณะที่ในกรณีผู้อพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านก็แสดงให้เห็นลักษณะพิเศษของการจำแนกชาติพันธุ์ความเป็นล่าหู่ว่า ไม่ได้ถูกกำหนดโดยธรรมเนียมประเพณีเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยกำเนิดและคุณสมบัติของคู่สมรสด้วย (น.173) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในหมู่บ้าน M ผู้เขียนเห็นว่า การหันมานับถือศาสนาคริสต์ทำให้ความคิดเรื่อง aw li แบ่งแยกส่วนที่ "ศักดิ์สิทธิ" กับส่วนทาง "โลก" (the 'sacred' and the 'secular') ออกจากกัน หรือแยกส่วนระหว่างศาสนาที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและ "ประเพณี" ที่ควบคุมความสัมพันธ์ของมนุษย์ (น.172) |
|
Other Issues |
ผู้เขียนเปรียบเทียบตำแหน่งแห่งที่ (place) ของการศึกษา "วัฒนธรรมชาวเขา" ในประเทศไทยกับญี่ปุ่นว่ามีจุดสนใจสำคัญ คือ วัฒนธรรมชาติแบบพหุลักษณ์ที่มีรากฐานจากชาวนาชาวไร่ (current peasant-based pluralistic models of national culture ) (น.174) นักวิชาการไทยในสำนัก "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" (the 'local wisdom' school) ปฏิเสธความรู้เชิงวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกและทุนนิยมสมัยใหม่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความรู้นี้ ขณะที่ให้คุณค่าต่อลักษณะเฉพาะของวิธีคิดที่มิใช่ตัวอักษรของชาวนาชาวไร่ในการเผชิญหน้ากับ "ความเป็นสากล" ของความรู้แบบตะวันตก (the 'universality' of Western knowledge) เช่นเดียวกับ Kunio Yanagita ผู้ก่อตั้งการศึกษานิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่สนใจความเชื่อทางศาสนาของชาวบ้านทั่วไป (jomin or 'common man') ในแง่ของการต่อสู้เพื่อสร้าง "ความคิดชาตินิยมจากข้างล่าง" สำหรับเผชิญ "ความคิดชาตินิยมแบบราชการ" หรือ "ความคิดชาตินิยมจากข้างบน" ซึ่งปรากฏในศาสนาชินโตแบบรัฐ (state Shintoism) นักวิชาการไทยเน้น "ชาติ" (nation) มากกว่า "รัฐ" (state) และท้าทายความคิดที่มีลักษณะจากบนลงล่างของ "ความคิดชาตินิยมแบบราชการ" โดยเสนอ "ความรู้ที่เป็นทางเลือกหรือความรู้กระแสรอง" ของชาติที่มาจากคนกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม (น.174-175) |
|
|