|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,การจัดการทรัพยากร,เชียงใหม่ |
Author |
อรัญญา ศิริผล |
Title |
“Masala-alenam” : A Resource Management of the Lua at Hoh Village |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
37 |
Year |
2547 |
Source |
ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ) |
Abstract |
ลัวะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่มาดั้งเดิมในแถบจังหวัดเชียงใหม่และน่าน ต่อมาอพยพขึ้นไปอยู่บนดอยมากขึ้น มีระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียน 5 - 7 รอบ มีการเพาะปลูกพืชพันธุ์ที่หลากหลาย และจัดวางผังในแปลงเดียวกัน และมีภูมิปัญญาในการรักษาทั้งแบบสมุนไพรและพิธีกรรม ซึ่งปัจจุบันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง |
|
Focus |
ศึกษาการจัดการทรัพยากรของลัวะบ้านเฮาะ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลัวะเรียกตัวเองว่า "ละเวีย" อาศัยอยู่ในแถบภาคเหนือตอนบน ครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และน่าน เชื่อกันว่าลัวะ เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมในดินแดนล้านนาบริเวณเมืองเชียงใหม่หรือบนดอยสุเทพ ไม่ได้อพยพมาจากที่อื่น แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้ต้องอพยพไปอยู่ในที่ต่างๆ (หน้า 236) ปัจจุบันสามารถจัดกลุ่มลัวะตามการอพยพและแหล่งที่อยู่อาศัย ดังนี้ 1) ลัวะที่อยู่ที่ราบ มี 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่เมืองก๊ะ แม่ริม หางดง จังหวัดเชียงใหม่ กับกลุ่มที่อพยพลงมาจากดอยในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา คือลัวะที่ อำเภอสันป่าตอง บ้านหัวริน บ้านดง บ้านทุ่งเกี๋ยน บ้านเปียง บ้านหนองบึ๋ง บ้านอุเม็ง เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากบ้านบ่อสลี อำเภอฮอด และบ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม จอมทอง บ้านห้วยไม้ อพยพมาจากแม่แจ่ม ปัจจุบันมีความใกล้ชิดกับคนเมืองอย่างแยกไม่ออก 2) ลัวะที่อยู่บนภูเขา จังหวัดเชียงใหม่ แถบอำเภอแม่แจ่ม แม่สะเรียง แม่ลาน้อย ในแนวเทือกเขาถนนธงชัยกลาง และบ่อหลวง ถือว่าเป็นบริเวณที่มีลัวะรวมกลุ่มอาศัยอยู่มากที่สุด คือ บ้านเฮาะ บ้านกอกน้อย บ้านกอกหลวง บ้านมืดหลอง บ้านแปะ บ้านของ บ้านละอา บ้านละอูบ บ้านดง บ้านตู บ้านช่วงหม้อ บ้านอมพาย บ้านเดิน และบ้านสาม รวมทั้งหมดประมาณ 700 หลังคาเรือน อาศัยปะปนอยู่กับปกาเกอะญอ มีศูนย์กลางอยู่ที่บ้านอมพาย และลัวะจังหวัดน่าน ซึ่งลัวะถือว่าเป็นกลุ่มเดียวกับถิ่น (หน้า 236-238) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลัวะอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร จัดอยู่ในกลุ่มภาษาใหญ่ออสโตร-เอเชียติก ในกลุ่มเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์มาล ถิ่น ไพร ขมุ และมาลบรี (หน้า 237) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ลัวะบ้านเฮาะและอีกหลายบ้านบริเวณเทือกเขาตั้งรกรากในถิ่นปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 300 ปี มีประวัติเล่าว่าสืบเชื้อสายมาจากขุนหลวงวิลังคะ ผู้นำลัวะคนสุดท้ายของอาณาจักรลัวะ ก่อนหนีขึ้นไปอาศัยบนภูเขา ซึ่งเชื้อสายของขุนหลวงวิลังคะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เชื้อขุน หรือสะมัง และเชื้อละเวอะ หรือลัวะธรรมดา (หน้า 241) สำหรับต้นตระกูลลัวะที่เริ่มเดินทางเข้ามาตั้งรกรากในบริเวณนี้ คือ เจือยึงโกละ แรกเริ่มตั้งหมู่บ้านมีเพียง 4 หลังคาเรือน ต่อมาลัวะสายตระกูลเจือยึงเยื๊อก ที่เคยอยู่ที่บ้านกองบอด และเจือยึงเผือะจากบ้านแม่ตูม ได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกัน มีอยู่ประมาณ 10 หลังคาเรือน ครัวเรือนละประมาณ 10 - 15 คน จากนั้น ประมาณ 100 ปี ก่อนหน้า ปกาเกอะญอจากบ้านอุเม็ง บ้านแม่แฮในเขตอำเภอแม่แจ่ม ได้อพยพเข้ามาอาศัยและแต่งงานผสมกับลัวะบ้านเฮาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลัวะเรียกปกาเกอะญอกลุ่มนี้ว่า "หย่องยาง" (หน้า 241) |
|
Settlement Pattern |
ปัจจุบันลัวะตั้งถิ่นฐานบนภูเขาระดับความสูง 1,000 เมตรใกล้ต้นน้ำลำธาร ขนาดครัวเรือน 20-100 ครัวเรือน ตั้งบ้านเรียงรายตามแนวสันเขา ตัวบ้านเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร ด้านล่างเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ และเก็บไม้ฟืน ปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคาทรงจั่วมุงด้วยหญ้าคายาวเกือบถึงพื้นดิน บนหน้าจั่วประดับด้วยกาแล ลัวะจะไม่สร้างบ้านให้แนวหลังคาบ้านขนานกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ เพราะจะทำให้บ้านร้อน (หน้า 238) |
|
Demography |
ในชุมชนบ้านเฮาะ แบ่งเป็นบ้านเฮาะเก่า กับบ้านเฮาะใหม่ บ้านเฮาะเก่ามีประชากร 68 หลังคาเรือน เป็นชาย 201 คน หญิง 168 คน ในจำนวนนี้ นับถือศาสนาคริสต์ 36 หลังคาเรือน ส่วนหมู่บ้านเฮาะใหม่มี 16 หลังคาเรือน รวมชุมชนเฮาะทั้งสิ้น 84 หลังคาเรือน (หน้า 241) |
|
Economy |
ลัวะบ้านเฮาะส่วนใหญ่ทำไร่หมุนเวียน และทำนาขั้นบันไดเพื่อปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ เก็บหาของป่า เพื่อการยังชีพ แต่ปัจจุบัน รายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับจ้างเป็นแรงงานภายนอกหมู่บ้าน และการทำงานการเกษตรเข้มข้น บ้านเฮาะสามารถแบ่งระดับฐานะได้ 3 กลุ่มคือ กลุ่มฐานะดี มีรายได้ปีละ 20,000 บาท จำนวนประมาณ 15 หลังคาเรือนเป็นกลุ่มที่ปลูกข้าวได้ผลผลิตดี มีรายได้จากลูกชายหรือลูกสาวไปทำงานรับจ้างในเมืองแล้วส่งเงินกลับมา กลุ่มฐานะปานกลาง มีรายได้ปีละประมาณ 15,000 บาท ประมาณ 45 หลังคาเรือน เป็นกลุ่มที่ปลูกข้าวพอได้ผลผลิต แต่บางครั้งอาจไม่พอกิน มีการออกไปหารายได้รับจ้างภายนอก และกลุ่มฐานะยากจน ประมาณ 10 หลังคาเรือน ปลูกข้าวไม่พอกิน ไม่มีแรงงานไปรับจ้างภายนอก ส่วนรายได้จากการทอผ้า ผู้หญิงจะเป็นผู้ทอเสื้อผ้า ถุงย่าม ผ้าซิ่น โดยมีพ่อค้าจากแม่แจ่มมารับซื้อ แต่เป็นรายได้ไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีการทำการเกษตรเพื่อขาย เช่นพริกแห้ง กะหล่ำปลี ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อ 4 - 5 ปีก่อน ซึ่งราคายังมีความผันผวน เสี่ยงต่อการขาดทุน และมีการเลี้ยงวัว ควาย เดิมเลี้ยงปล่อยให้หากินเอง แต่ระยะหลังไปทำลายพืชไร่ จึงมีการกั้นคอก และปัจจุบันมีเลี้ยงเพียง 4 - 6 ครัวเรือน (หน้า 242 - 244) ระบบการผลิตแบบดั้งเดิมของลัวะ เป็นการทำไร่ในพื้นที่หนึ่งในระยะสั้นเพียงปีเดียว แต่ปล่อยให้ป่าฟื้นตัวเวลานาน ประมาณ 7 - 12 ปี ลัวะทำการเกษตรแบบ Swedden Cultivation of dry grain คือ ปลูกพืชอายุสั้นเช่นข้าว ข้าวโพด พริกไทย ฝิ่น กาแฟ ผลไม้ และแบ่งออกเป็นระบบใหญ่ คือ ระบบไร่หมุนเวียน และระบบการทำนา (หน้า 246) ระบบไร่หมุนเวียน "เมสะละ" มีพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน 7 แปลง เมื่อทำครบ 1 ฤดูกาล จะปล่อยทิ้งไว้ 6 ปี จะกลับมาตัดฟันทำไร่ใหม่ในปีที่ 7 เวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้ผืนดินมีเวลาพักฟื้นกลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้ง การทำไร่ของลัวะจะรวมเป็นผืนเดียวกันทั้งชุมชน เป็นกิจกรรมที่เน้นความร่วมมือของทั้งชุมชน แต่ละครอบครัวจะมีพื้นที่ทำไร่ชัดเจน ด้วยการสืบทอดจากบรรพบุรุษ ขั้นตอนการทำไร่หมุนเวียน เริ่มจากเดือนมกราคม จะมีการประชุมที่ดิน มาตกลงเรื่องที่ดินที่จะเพาะปลูก และเป็นการเฉลี่ยให้แต่ละครอบครัวสามารถมีพื้นที่ทำกินได้อย่างเพียงพอ และเกิดความเป็นธรรมในชุมชน โดยมีเจ้าที่ดิน หรือ "จาวงาว" และผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะเป็นผู้จัดการที่ดิน มีการเชิญเจ้าที่มาทำพิธีกรรม บอกกล่าวเจ้าที่ ในเดือนกุมภาพันธ์จะเริ่มตัดฟันไร่ แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณเดือนหรือเดือนครึ่ง แล้วเผาอีกครั้ง การตัดฟันไร่จะเหลือตอไว้ประมาณ 1 เมตร และมีพิธีกรรมเซ่นไหว้ผี หลังจากนั้น รอให้ฝนตก จึงเริ่มทำการเพาะปลูก ในพื้นที่มีการปลูกพันธุ์ข้าวหลายพันธุ์ จึงต้องจัดผังพื้นที่เพาะปลูกไม่ให้ปะปนกัน แล้วยังปลูกพืชผักชนิดอื่นผสมลงไปด้วย เมื่อข้าวสูงขนาด 1 ศอกหรือ 2 เดือน จะมีการเลี้ยงผีไร่อีกครั้ง เดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่ข้าวโพดออกฝัก และข้าวบางพันธุ์สามารถเก็บเกี่ยวได้ ในเดือนตุลาคมจึงเป็นช่วงเก็บเกี่ยวทั้งหมด เมื่อเสร็จฤดูกาลเพาะปลูก พื้นที่นี้จะถูกทิ้งไว้ 6 ปี ให้พักฟื้นกลับมาเป็นป่าอีกครั้ง โดยชาวบ้านสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากไร่เหล่าได้จากการเก็บหาของป่าและเก็บไม้ฟืน (หน้า 250 - 254) การทำนาของลัวะจะอยู่ระหว่างหุบเขา มีน้ำไหลผ่าน ซึ่งเริ่มมีการทำนาประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา จะทำหลังปลูกข้าวในไร่เสร็จประมาณ 2 เดือน มีพันธุ์ข้าวพื้นเมือง 2 สายพันธุ์ แต่ปัจจุบันใช้พันธุ์ข้าวกข. กับพันธุ์พื้นเมือง (หน้า 254) ปัจจุบันบ้านเฮาะมีนาประมาณ 30 - 50 ไร่ มีเจ้าของประมาณ 10 ราย รายละ 2 - 3 ไร่เท่านั้น สามารถปลูกข้าวเฉลี่ยไร่ละ 200 ถัง นาถือเป็นกรรมสิทธิ์ของครอบครัว หากครอบครัวอื่นจะมาขอใช้ต้องเช่านา (หน้า 257) ความหลากหลายของการจัดการพันธุ์พืช ลัวะบ้านเฮาะมีการคัดเลือกสายพันธุ์ มีการปลูกพืชหลายชนิดพันธุ์ลงในผืนเดียวกัน ตลอดจนจัดผังการเพาะปลูก การเรียนรู้คุณสมบัติของพืช ดิน น้ำ เป็นความรู้ของลัวะที่สั่งสมกันมา ลัวะมีการแบ่งลักษณะดินออกเป็น 5 ชนิด คือ ดินดำ ดินเหนียวสีดำ ดินแดง ดินเหนียวสีแดง ดินนาหรือดินสีเทาสำหรับปลูกข้าว (หน้า 257 - 259) ลัวะมีการจำแนกป่าออกเป็น 6 แบบ คือ 1) ป่าช้า เป็นบริเวณที่ห้ามตัดไม้เด็ดขาด 2) ป่าใช้สอย เข้าไปใช้ประโยชน์ได้เช่น สร้างบ้าน หาฟืนโดยมีกฏระเบียบควบคุม 3) ป่าต้นน้ำ ห้ามตัดเด็ดขาดเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี 4) ป่าพิธีกรรม เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ประกอบพิธีกรรม ในเวลาปกติจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว 5) ป่ากันไฟ และเป็นแหล่งอาหารและยาของชาวบ้านด้วย และ 6) ป่าเหล่า สามารถใช้ประโยชน์เก็บฟืน ตัดไม้ แบบมีกฏเกณฑ์ในการใช้ประโยชน์ (หน้า 261 - 262) |
|
Social Organization |
ดูหัวข้อการจัดองค์กรทางการเมือง |
|
Political Organization |
บ้านเฮาะแบ่งกลุ่มผู้นำในหมู่บ้านออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือผู้นำตามระบบการปกครองของรัฐ คือ "ผู้ใหญ่บ้าน" และ "จาวงาว" ผู้นำทางพิธีกรรม ซึ่งเป็นผู้นำที่สืบทอดตามสายตระกูลของบ้านเฮาะโดยเฉพาะ ถือเป็น "บ้านหัวผี" สืบทอดจากพ่อสู่ลูกชาย หากไม่มีลูกชาย ก็จะต้องมีลูกคนใดคนหนึ่งของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายรับผิดชอบในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของชุมชน โดยจะเป็นบ้านหลักที่จัดเตรียมข้าวของในการประกอบพิธีกรรม เนื่องจากลัวะบ้านเฮาะเป็น "ละเวอะ" หรือลัวะธรรมดา ไม่มีเชื้อขุนแบบสะมัง หมู่บ้านจึงไม่มีผู้นำทางพิธีกรรมสูงสุด เหมือนบ้านมืดหลอง หรือบ้านแปะ แต่เมื่อมีการประกอบพิธีกรรมใหญ่ โดยเฉพาะ "พิธีกรรมเสาผี" ลัวะบ้านเฮาะจะไปร่วมงานกับลัวะบ้านมืดหลองและบ้านแปะด้วย (หน้า 242) |
|
Belief System |
พิธีกรรมความเชื่อของลัวะ เกี่ยวข้องกับการผลิต และวิถีชีวิตในชุมชน และครอบครัว พิธีที่เกี่ยวกับการผลิตได้แก่ "พิธีก่อนฟันไร่" เป็นพิธีกรรมระดับครอบครัว เลี้ยงด้วยไก่ 2 ตัว เหล้า ข้าวเพื่อขอให้ผีไร่ ออกไปอยู่ข้างนอกไร่ก่อน เพราะจะทำไร่บริเวณนี้ พิธีกรรมเผาไร่ "พิธีนกต๊ะงอ" แปลว่าผีไฟ ทำในระดับชุมชนเป็นประจำทุกปี ซึ่งต้องเลี้ยงผีทั้งหมด 9 ตัว ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองชุมชน "พิธีกรรมหยอดข้าว" ต้องทำพิธีเลี้ยงผีเจ้าที่ ให้ข้าวงอกงามสมบูรณ์ ซึ่งต้องรอให้ "จาวงาว" เป็นผู้หยอดข้าวก่อน บ้านอื่นจึงสามารถหยอดได้ พิธีกรรมระหว่างการเอาหญ้า มีทั้งระดับครอบครัวและชุมชน จะมีการเลี้ยงผีเจ้าที่ มีตะแหลวติดไว้ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ห้ามคนเข้าออกหมู่บ้าน "พิธีกรรมเกี่ยวข้าว" จะทำในระดับครอบครัวก่อนเกี่ยวข้าว "พิธีกรรมนวดข้าว" เลี้ยงผีไร่ในบริเวณที่นวดข้าว พิธีเก็บข้าวเข้ายุ้งข้าว เป็นการเลี้ยงผีหลองข้าว พิธีหลังเก็บข้าวเข้ายุ้ง เป็นการเฉลิมฉลองเสร็จสิ้นฤดูกาลทำนา พิธีกรรมในไร่ประจำ เป็นพิธีระดับครอบครัว เช่นพิธีเผาไร่ (หน้า 259 - 261) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ลัวะมีระบบความคิดจำแนกสาเหตุการเกิดโรคดังนี้ 1) เกิดจากธรรมชาติ เช่นอากาศเปลี่ยน เป็นหวัด จะรักษาได้ด้วยสมุนไพร 2) เกิดจากการกินผิด กินของแสลง หรือกินของดิบ สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพร 3) เกิดจากอุบัติเหตุ ได้รับบาดแผล สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพร 4) เกิดจากขวัญหาย เชื่อว่ามี 32 ขวัญ ขวัญจะชอบออกไปเที่ยว โดยมีผีเรือน ผีบรรพบุรุษ คอยดูแลรักษาให้รอดพ้นจากผีร้าย จะมีเพียงขวัญเดียวเท่านั้นที่ไม่ออกไปเที่ยว แต่ถ้าลัวะคนใดทำผิดจารีต ขวัญจะได้รับการลงโทษ ไม่ได้รับการดูแลรักษา ทำให้เกิดความเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ แก้ไขโดยผูกข้อมือเรียกขวัญกลับคืนมา 5) เกิดจากผีทำ เพราะไม่ทำผิดผี ผิดกฏจารีตประเพณี การหาสาเหตุจะเริ่มจากการค้นหาสาเหตุกันเองภายในครอบครัว แล้วรักษาด้วยสมุนไพร หากสาเหตุมาจากผีทำก็จะทำการเลี้ยงผี หากไม่หาย จะต้องไปหาผู้รู้ ซึ่งเป็นหมอพื้นบ้าน ลัวะมีวิธีการรักษาแบบต่างๆ ดังนี้ 1) การรักษาด้วยพืชสมุนไพร เป็นการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ลัวะมีความรู้ในการใช้สมุนไพรอยู่หลายชนิด และถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัวะ ซึ่งสามารถหาสมุนไพรได้บริเวณรอบบ้าน ในไร่ นา และตามป่า ผู้มีความรู้เรื่องสมุนไพรส่วนใหญ่คือผู้หญิง ที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัว จึงต้องหาความรู้เรื่องการรักษาพยาบาลเบื้องต้น สำหรับหมอยา จะเป็นคนที่มีสถานะพิเศษ จะได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และยังได้รับคัดเลือกจากผี เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เป็นผู้สืบทอดพิธีกรรมการรักษารูปแบบต่างๆ (หน้า 266-268) 2) การรักษาโรคของหมอผี ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ต้องแก้ไขด้วยการเลี้ยงผี เซ่นไหว้ ขอขมา การทำนาย (สะโป๊ก) เป็นการทำนายจากไข่หรือข้าวสาร เป็นการพิจารณาไข่ขาว หรือนับเมล็ดข้าวสาร บางคนใช้เงินรูปีเป็นตัวทำนาย พิจารณาหาสาเหตุความเจ็บป่วย "พิธีมัดมือเรียกขวัญ" (โก๊กกะบือปุ๊กเต๊อะ) เพื่อเรียกขวัญผู้ป่วยให้กลับคืนร่าง ให้หายป่วย เครื่องประกอบพิธีมีไก่ น้ำหรือเหล้า ข้าวสุก ระหว่างพิธีหมอจะดูดีของไก่ว่าเปลี่ยนสีหรือไม่ ถ้ามีสีเขียวถือว่าดี แต่ถ้าเป็นสีขาวขุ่นแสดงว่าไม่สบาย "พิธีต่อผี" (หรือการส่งผี) มีทั้งส่งแบบไล่ผี โดยใช้เลือดหมา และส่งผีแบบไม่รุนแรง โดยใช้ไก่ เหล้า บุหรี่ พิธีเป่าคาถา เป็นการรักษาแผลภายนอก โดยการใช้ปลวกทาที่แผล แล้วท่องคาถา หากไม่หายจะใช้น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา แก่นหมากแทน ส่วนการรักษาเกี่ยวกับกระดูกจะใช้ขมิ้น (หน้า 269 - 270) การจำแนกผีที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย เช่น ผีละมัง หมอผีต้องไปไหว้ผีที่ต้นละมัง เพื่อขอให้รักษาโรคภัย โดยต้องเลี้ยงวัว ควาย เหล้า ข้าว เสร็จแล้วจึงแจกจ่ายเนื้อให้ชาวบ้าน ผีหัวเสา "นกจู" เมื่อมีคนในครอบครัวเจ็บป่วย เป็นการเลี้ยงผีหัวเสาที่อยู่ในบ้าน ผี "นกอลาจุ๊ก" เป็นพิธีกรรมเลี้ยงผีเรือน เมื่อฝันไม่ดี "ผีนกลำบุ๊กกูลุ้ย" พิธีเลี้ยงผีที่มารบกวนเด็ก พิธีส่งเคราะห์ "นกตาวเคาะ" จะทำต่อเมื่อทั้งหมู่บ้านเกิดโรคระบาด หรือชุมชนได้รับเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น (หน้า 270 - 271) หมอผีจะมีกฎข้อห้ามสำหรับการประพฤติปฏิบัติ เช่น ต้องมีศีลของการไหว้ครู มีการกำกับด้วยการถ่ายทอดให้กับคนดีมีศีลธรรม และกำกับด้วยจารีตการรับเงินค่ารักษา และต้องไหว้ผีครูทุกครั้งที่รักษา หมอผีจะมีหิ้งผีครูตั้งไว้ที่บ้าน มีการเลี้ยงใหญ่ทุกปี ในช่วงทำพิธี ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าร่วม หากหมอผีทำให้ผีครูไม่พอใจอาจทำให้หมอผีเจ็บป่วยได้ (หน้า 271 - 272) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้หญิงสวมเสื้อแขนสั้นกุ๊น ตัวเสื้อทำจากผ้าทอมือที่เย็บติดกันเป็นผืนเดียว ส่วนผ้านุ่งซิ่น มักนุ่งแบบลำตัว มีสีพื้นเป็นสีดำ มีลายผ้าเป็นแถบยาวแนวนอนขั้นตลอด ลายผ้าบนซิ่นเกิดจากการมัดลายขนาดต่างๆ กัน ผู้หญิงยังมีผ้าพันแขนผ้าพันแข้ง ด้านบนของผ้าพันแข้ง ประดับด้วยกำไลเส้นเล็กๆ ทำจากฝ้ายเคลือบยางรักหรือน้ำมันสีดำ และมีกำไลทองเหลืองสวมซ้ำ สวมกำไลต้นแขนและกำไลข้อมือ เครื่องประดับสำคัญของลัวะคือสร้อยเงินเม็ด และสร้อยลูกปัดพลาสติกสีส้มแดงเหลืองร้อยประกอบรวมกันหลายเส้น และประดับด้วยต่างหูเงิน ส่วนผู้ชายสวมเสื้อแขนยาวทอมือ นุ่งกางเกงขาก๊วยยาวสีขาว โพกศรีษะด้วยผ้าสีแดงหรือชมพู ทั้งนี้ เป็นการแต่งกายแบบลักษณะดั้งเดิม ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก ใช้แต่ในช่วงมีพิธีกรรมสำคัญเท่านั้น (หน้า 238 - 239) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลัวะบ้านเฮาะมีความสัมพันธ์อันดีกับปกาเกอะญอที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานร่วมกับลัวะบ้านเฮาะ จนมีการแต่งงานและดองญาติกันอย่างแนบแน่นจนถึงปัจจุบัน ในอดีตลัวะบ้านเฮาะมักเดินทางออกไปภายนอกหมู่บ้านเมื่อประสบปัญหาขาดแคลน นอกเหนือจากการเดินทางซื้อขายแลกเปลี่ยน เช่นพริก ไม้เกี๊ยะ ของป่า เดินทางไปเมืองแม่แจ่มเพื่อติดต่อกับคนพื้นราบ หรือไปยังเขตแม่ลาน้อย เพื่อแลกเปลี่ยนอาหาร โดยมีการติดต่อกับปกาเกอะญอและลัวะบ้านอื่น (หน้า 245) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลัวะบ้านเฮาะมีการปรับตัวของการรักษาพื้นบ้านโดยมีลักษณะทวนกระแสการเข้ามาของตลาดมากขึ้น การรักษาแบบดั้งเดิมเริ่มได้รับการผลิตความหมายใหม่ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาพยาบาลมากขึ้น โดยสอดคล้องกับระบบการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดความตึงเครียดจากการผลิตอย่างเข้มข้น มีการใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และก่อให้เกิดโรคภัยได้ง่ายขึ้น (หน้า 274) |
|
Map/Illustration |
รูปพื้นที่ไร่เหล่าเดิมที่บางส่วนปล่อยเป็นพื้นที่ป่า (หน้า 247) รูปไร่เหล่าอายุ 5 ปี ทิ้งไว้อีก 2 ปีจึงสามารถนำมาปลูกพืชได้ (หน้า 247) รูปหมอยาลัวะกับสมุนไพร (หน้า 265) รูปการใช้ประโยชน์เก็บไม้ฟืนที่ไร่เหล่า (หน้า 265) |
|
|