|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน,การปกครอง,มูลนาย,ไพร่,Houaphan |
Author |
ปรารถนา แซ่อึ๊ง |
Title |
การปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและชาวพวนในราชอาณาจักรไทยระหว่าง พ.ศ. 2322-2436 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
133 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
งานวิจัยนี้ศึกษาเรื่อง การปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและคนพวนในราชอาณาจักรไทยระหว่าง พ.ศ. 2322-2436 ซึ่งมีการใช้นโยบายการปกครองแบบเมืองประเทศราชในระยะแรกด้วยการให้เมืองพวนส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้ และไม่มีการจัดการปกครองที่เข้มงวดนัก แต่ต่อมาได้ใช้วิธีการกวาดต้อนคนพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เพื่อไม่ให้เหลือเป็นกำลังแก่ญวนซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของไทยในเวลานั้น การกวาดต้อนคนพวนมานี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกพลัดถิ่น เพราะมีการรวบรวมให้อาศัยอยู่ด้วยกัน และการปกครองคนพวนของทางการไทยก็ให้คนพวนปกครองกันเองภายใต้การดูแลของขุนนางไทยในระบบไพร่ (มูลนายและไพร่) เช่นเดียวกับการปกครองคนไทย คนพวนจึงรู้สึกเป็นอิสระไม่คิดว่าถูกกดขี่และจงรักภักดีต่อไทย ประกอบกับการทำมาหากินในเมืองไทยมีความอุดมสมบูรณ์กว่าที่เมืองพวน คนพวนจึงไม่คิดหลบหนีกลับไป รวมทั้งอุปนิสัย และประเพณีต่างๆ ของคนไทยและคนพวนมีความคล้ายกันจึงสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ พวนที่อาศัยอยู่ในไทยนับว่ามีบทบาทสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ ในเรื่องการเป็นแรงงานและการส่งส่วย รวมทั้งมีบทบาททางการเมืองในการเป็นกำลังในกองทัพยามมีสงคราม |
|
Focus |
นโยบายการปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและชาวพวนในฐานะเป็นเมืองขึ้นของไทย นโยบายการกวาดต้อนคนพวนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย และ รูปแบบการปกครองคนพวนที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ.2322-2436 |
|
Ethnic Group in the Focus |
พวนหรือที่ฝรั่งเศสเรียกว่า ผู้เอิน (POU-EUNE) เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของเมืองพวน มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับลาวพวกอื่นๆ แต่มีลักษณะเด่นตรงที่มีผิวขาวกว่า ส่วนข่ากลุ่มที่อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในเมืองพวน คือ ข่า ขะมุ เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของเมืองพวน รวมทั้งแม้ว เย้า ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามยอดเขาและไหล่เขาบริเวณเมืองพวน (หน้า 4-5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พวนมีภาษาพูดเฉพาะของตน โดยมีสำเนียงที่แตกต่างจากภาษาพูดของลาวกลุ่มอื่นเล็กน้อย (หน้า 4) ภาษาพวนเป็นภาษาในตระกูลไต (Tai) มีลักษณะคล้ายภาษาอีสานในเรื่องการออกเสียง และคำบางคำในภาษาพวนเป็นคำเดียวกันและมีความหมายเดียวกันกับภาษาอีสาน เช่น ภาษาไทยภาคกลาง : นินทา ภาษาอีสาน : เว้าขวัญ ภาษาพวน : เว้าขวัญ ภาษาไทยภาคกลาง : ช้อน ภาษาอีสาน : บ่วง ภาษาพวน : บ่วง สำหรับภาษาเขียน หรืออักษรพวน แบ่งได้เป็น 2 ชนิด 1.อักษรธรรม เป็นอักษรสำหรับบันทึกเรื่องราวทางศาสนา และคัมภีร์ของพวน 2.อักษรไทยน้อย เป็นอักษรสำหรับเขียนเรื่องราวทางโลก เช่น นิทาน โดยนิยมนำมาอ่านด้วยทำนองที่ไพเราะในการอยู่เป็นเพื่อนศพ เรียกว่า "งันเฮือนดี" (หน้า 104-107) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เมืองพวนมีสถานะเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรล้านช้างทั้งช่วงเวลาที่หลวงพระบางและเวียงจันทน์เป็นราชธานีเป็นเมืองขึ้นของญวน และกลายเป็นเมืองขึ้นของไทยในเวลาต่อมา โดยเมืองพวนต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้เจ้าประเทศราชเหล่านี้ แต่เมืองพวนก็มีอิสระในการปกครองตนเองและมีอำนาจในการดูแลกิจการภายในของตน เช่น การแต่งตั้งเจ้าเมืองพวนเป็นผู้นำในการปกครอง (บทนำ ก) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของพวนในเมืองไทยเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยกรุงธนบุรี โดยพวนที่ถูกกวาดต้อนไปตั้งถิ่นฐานในเขตหัวเมืองชั้นในได้ตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มแยกจากชุมชนคนไทย แต่ก็ยังคงตั้งบ้านเรือนสลับกับหมู่บ้านคนไทย การปลูกบ้านของพวนนั้นจะปลูกรวมกันเป็นหมู่บ้าน แต่นิยมเรียกว่าบ้าน และตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อหมู่บ้านเดิมในเมืองพวน เช่น บ้านเซ่า บ้านกล้วย (หน้า 53, 56) ลักษณะบ้านเรือนของพวนจะเป็นไม้ มีหลังคาทรงมะนิลาที่ส่วนใหญ่มุงด้วยหญ้า หากเป็นบ้านผู้มีฐานะดีหรือวัด จะมุงด้วยกระเบื้องดินเผา หรือกระเบื้องไม้ ที่เรียกว่า "ไม้แป้นเกล็ด" บ้านมีใต้ถุนสูงเพื่อใช้ทำเป็นคอกวัว ควาย เล้าเป็ด ไก่ และเพื่อใช้ตั้งเครื่องทอผ้าที่เรียกว่า "กี่" ด้านภายในบ้านแต่ละหลังจะมีห้องตั้งแต่สามห้องขึ้นไปขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว มีพื้นและฝาบ้านเป็นไม้กระดาน หากเป็นบ้านคนทั่วไปจะปูพื้นบ้านด้วยไม้ไผ่สับเป็นแผ่น เรียกว่า "ฟาก" และมีเสื่อสานด้วยหวายทับอีกชั้น ส่วนฝาบ้านจะใช้ไม้ไผ่ที่ลำเล็กและบางกว่าฟาก เรียกว่า "ไม้เฮี้ย" ทั้งนี้บ้านจะตั้งหันไปทางทิศตะวันตก มีชานยื่นออกมาสำหรับนั่งเล่น และต้อนรับแขก และมีบันไดอยู่นอกชาน ส่วนเรือนครัวอยู่ภายในบ้าน (หน้า 70) สำหรับการปลูกบ้านของคนพวนจะขอแรงญาติและเพื่อนบ้านมาช่วยกันปลูกซึ่งต้องไปเลือกไม้จากในป่ามาทำเสาเรือน และเมื่อเลือกได้แล้ว ก่อนจะตัดไม้ต้องนำหมาก 1 คำ บุหรี่ 1 มวน ไปทำการขอไม้ซึ่งเรียกว่า "การทำพลี" โดยพวนมีความเชื่อว่าหากตัดไม้ขาดออกจากต้นแต่ไม้ล้มลงไม่ถึงพื้นเพราะปลายไปพาดอยู่กับต้นอื่นก็จะไม่สามารถนำไม้ต้นนั้นมาใช้เป็นเสาเรือนได้ต้องเลือกกันใหม่ ทั้งนี้ ก่อนที่จะปลูกบ้าน เจ้าของบ้านต้องปลูกเพิงเป็นที่พักชั่วคราวไว้อยู่ก่อนเรียกว่า "ลงผาม" ซึ่งถือกันเป็นประเพณีที่ต้องลงผามเพื่อเอาฤกษ์ชัย สำหรับฤกษ์ดีที่ใช้ปลูกบ้านคือยามเช้าตรู่ เพราะตามประเพณีของพวนนั้นเมื่อได้ฤกษ์ดีเพื่อยกเสาเอกสำหรับสร้างบ้านแล้วจะต้องปลูกให้เสร็จและทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ภายในวันเดียวกัน (หน้า 100) |
|
Demography |
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองพวนตกเป็นเมืองขึ้นของไทย จึงมีการปราบและกวาดต้อนคนพวนให้เข้ามาอยู่ในไทยและให้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ริมพระนครด้านตะวันออก (บริเวณโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงในปัจจุบัน) (หน้า 23) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยไม่สามารถปกครองเมืองพวนได้อย่างใกล้ชิด จึงมีนโยบายเกลี้ยกล่อมและกวาดต้อนคนพวนเข้ามาในไทยอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีจำนวนราว 6,000 คน ทั้งนี้คนพวนได้ถูกส่งไปพักไว้ที่เมืองหนองคายก่อน แล้วจึงถูกส่งต่อมายังกรุงเทพฯ และเมืองต่างๆ ในเขตหัวเมืองชั้นใน ได้แก่ เมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทรา และเมืองเพชรบุรี แต่ยังมีพวนส่วนหนึ่งหลบหนีกลับไปยังเมืองพวน จากนั้นคนพวนที่เหลือจึงถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าทร่านในเขตเมืองพนมสารคาม (หน้า 33) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเกรงว่าคนพวนที่ยังเหลืออยู่ที่เมืองหนองคายจะหนีกลับไปยังเมืองพวนแล้วหันไปเข้ากับฝ่ายญวน ดังนั้น พวนกลุ่มที่เหลือทั้งหมดทั้งที่อยู่ที่เมืองหนองคายจำนวน 488 คน ที่ห้วยหลวงจำนวน 204 คน และที่เมืองหนองหารจำนวน 353คน จึงถูกส่งลงมายังกรุงเทพฯ และหลังจากนั้นจึงได้มีการย้ายคนพวนเหล่านี้ไปอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี (หน้า 34) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีนโยบายการกวาดต้อนด้วยกำลังทหารและการเกลี้ยกล่อมคนพวนเข้ามาในไทยด้วยการสั่งการให้คนพวนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยเป็นผู้ชักชวนญาติพี่น้องที่เมืองพวน ด้วยการส่งหนังสือไปแจ้งว่าคนพวนที่อยู่ในไทยมีความเป็นอยู่สุขสบายดี และหากมีคนพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเป็นจำนวนมาก ทางการไทยจะจัดหา สถานที่ให้คนพวนอยู่รวมกันโดยเฉพาะด้วย ดังนั้นจึงมีพวนอพยพเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น (หน้า 36) |
|
Economy |
สินค้าเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้เมืองพวนคือ ไม้มีค่าอย่างไม้สัก และไม้สน สัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ หมี แรด วัวกระทิง เลียงผา กวาง และแร่ธาตุที่มีค่า ได้แก่ เหล็ก ตะกั่ว ทองคำ รวมทั้งพืชเศรษฐกิจอย่าง ข้าว ข้าวโพด ฝ้าย ยาสูบ ละหุ่ง มะพร้าวและฝิ่น ทั้งนี้อาชีพหลักของพวนส่วนใหญ่คือการทำนา (หน้า 4) สำหรับบทบาททางเศรษฐกิจของพวนที่ตั้งถิ่นฐานในไทยก็คือ การส่งส่วยประเภทต่างๆ ให้แก่รัฐบาล เช่น พวนบ้านท่าทร่านจะต้องส่งส่วยทองให้กับรัฐเพื่อนำไปใช้ก่อสร้างวัดและสิ่งสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะพื้นที่บ้านท่าทร่าน เมืองพนมสารคามซึ่งขึ้นกับเมืองฉะเชิงเทรานั้นมีแหล่งแร่ทองคำอยู่ และคนพวนก็มีความชำนาญในการทำส่วยทองมาแต่เดิม นอกจากนี้พวนยังต้องส่งเงินแทนสิ่งของหากไม่สามารถส่งส่วยได้ตามที่ทางการกำหนด พวนจึงเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจและกำลังแรงงานให้กับไทยในการเป็นเวรยามในเมืองที่ตนตั้งถิ่นฐาน และการถูกเกณฑ์มาทำงานเป็นครั้งคราวอีกด้วย เช่น การปรับปรุงเส้นทางคมนาคมด้วยการถางหญ้า การทำนาเพื่อส่งเมล็ดข้าวให้ทางการ การสร้างวัดและการซ่อมสร้างพระราชวัง เป็นต้น (หน้า 62-63) และเมื่อพวนว่างเว้นจากการรับใช้ราชการ ก็จะทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้การทำนาของคนพวนได้ผลดีมาก เพราะพื้นที่ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่นั้นเป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำสมบูรณ์ดี ซึ่งการทำนาจะใช้วิธี "สักหลุม" คือการใช้ไม้ไผ่ปลายแหลมขุดดินให้เป็นหลุมแล้วจึงหยอดเมล็ดข้าวลงไป (หน้า 67-68) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของพวนที่ตั้งถิ่นฐานในไทยนั้น จะถูกควบคุมอยู่ภายใต้ระบบไพร่ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับคือ 1. มูลนาย ทำหน้าที่ปกครองพวนด้วยกัน ซึ่งมูลนายนี้ยังแบ่งเป็น 2 ระดับคือ - มูลนายระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ ได้แก่ปลัดเมือง นายกองลาวที่มีศักดินาตั้งแต่ 400 ไร่ ขึ้นไปและมีสิทธิพิเศษ เช่น การได้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ขณะเสด็จออกว่าราชการ และบุตรของนายมูลจะต้องถวายตัวรับราชการต่อไปจึงไม่ต้องเป็นไพร่ เป็นต้น - มูลนายระดับล่างที่ได้รับการแต่งตั้งจากมูลนายระดับสูง ซึ่งมีศักดินาตั้งแต่ 30-400 ไร่มีหน้าที่ควบคุมกำลังคนคือไพร่ มูลนายระดับล่างนี้มีตำแหน่งเป็น ขุน หมื่น และยังเป็นฐานอำนาจของมูลนายระดับสูงด้วย ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้ที่มาดำรงตำแหน่งต่างๆ จะเลือกจากผู้ที่มีเชื้อสายพวนและเป็นที่รักใคร่ของคนพวนด้วยกัน และยังต้องเป็นผู้ที่สามารถเก็บส่วยส่งให้รัฐไทยได้ด้วย มูลนายพวนนี้จะมีอำนาจและสิทธิพิเศษเช่นเดียวกับมูลนายไทย ทว่าการแต่งตั้งต้องมาจากพระมหากษัตริย์เท่านั้นและต้องอยู่ในความดูแลของขุนนางไทยระดับสูง (หน้า 56-57) ตำแหน่งของมูลนายพวนระดับต่างๆ มีดังนี้ ปลัดเมือง เรียกว่า ปลัดลาว มีหน้าที่ช่วยราชการเจ้าเมือง ดูแลความเป็นอยู่ของคนพวนไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน จางวางลาว ผู้ที่สามารถเก็บส่วยได้ครบหรือมากขึ้นจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจางวางลาว ซึ่งมีความใกล้ชิดกับคนพวนในเมืองนั้นๆ มาก และทำหน้าที่ควบคุมกองลาวต่างๆ ในเมืองนั้น นายกองลาว เนื่องจากพวนในเขตหัวเมืองชั้นในต้องสังกัดกองลาวต่างๆ ที่ตั้งขึ้นในแต่ละเมือง นายกองลาวจึงมีหน้าที่ควบคุมกองกำลังพวนในบังคับบัญชาของตนตั้งแต่มูลนายจนถึงไพร่ทั้งหมดในกอง นายกองลาวต้องเป็นผู้ที่รัฐบาลไว้วางใจและเป็นที่รักใคร่ของคนพวน ปลัดกองลาว เป็นตำแหน่งรองลงมาจากนายกองลาว มีหน้าที่ช่วยนายกองควบคุมคนพวนในกองของตน (หน้า 59) 2. ไพร่ พวนทุกคนที่ไม่ใช่ขุนนางหรือมูลนายจะต้องถูกสักข้อมือบอกสังกัดที่ตนอยู่ โดยจะมีสถานะเป็นไพร่หรือเลกลาว และแบ่งเป็น 2 ประเภท คือไพร่สมหรือเลกสม และ ไพร่หลวงหรือเลกหลวง ทั้งนี้พวนส่วนใหญ่จะมีสถานะเป็นไพร่หลวง ส่วนไพร่สมมีอยู่เป็นจำนวนน้อยเฉพาะที่มีเมืองเพชรบุรีเท่านั้น สำหรับไพร่หลวงยังแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ เพื่อง่ายต่อการควบคุมดังนี้ เลกลาวคงเมือง คือพวนที่สังกัดในกองลาวคงเมือง(กองลาวที่ประจำอยู่ในเมือง) และไม่มีสิทธิออกไปต่างเมือง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เมืองนั้นๆ กลายเป็นเมืองร้าง เลกลาวเข้าเดือน คือพวนที่เป็นไพร่หลวงสังกัดกองลาวเข้าเดือน มีหน้าที่ทำงานให้กับเมืองที่ตนอาศัยอยู่และต้องมาทำงานเดือนเว้นเดือน หากไม่มาต้องส่งเงินมาแทน เลกลาวกองนอก คือพวนที่สังกัดกองลาวกองนอก มีหน้าที่ส่งส่วยให้รัฐตามที่กำหนดไว้ เช่น ส่วยกระวาน ส่วยดีบุก รวมทั้งเลกลาวกองช้างที่ต้องจัดหาช้างไว้ใช้ในราชการ เลกลาวกองนากองไร่ มีหน้าที่ทำไร่ทำนา เป็นต้น เลกลาวกองด่าน คือพวนที่สังกัดกองลาวกองด่าน มีหน้าที่คอยลาดตระเวนตรวจตราเขตแดนกับเมืองใกล้เคียง และเมื่อใดที่รัฐบาลต้องการส่วยก็ต้องส่งส่วยให้ด้วย (หน้า 60-61) นอกจากนี้ เมื่อถึงยามสงคราม พวนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยทั้งที่เป็นไพร่และมูลนายจะต้องเข้าร่วมกับกองทัพไทยเพื่อป้องกันบ้านเมืองด้วย นับว่า พวนมีบทบาททางการเมืองในไทยในการเข้าร่วมกับกองทัพไทยทำศึกสงครามและการลาดตระเวนรักษาความเรียบร้อยในเมืองที่ตนตั้งถิ่นฐานอยู่ (หน้า 61-62) |
|
Political Organization |
ไทยได้เข้าไปมีบทบาทในการปกครองเมืองพวนครั้งแรกสมัยกรุงธนบุรี เนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีเวียงจันทน์และสามารถยึดได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2322 จากนั้นกองทัพไทยได้ยกทัพต่อไปจนถึงเมืองพวนและยึดเมืองพวนเป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จในปีเดียวกัน (หน้า 10) ช่วงเวลานี้เมืองพวนอยู่ภายใต้การปกครองของไทย แต่ด้วยระยะทางจากกรุงเทพฯ ที่ห่างไกลเมืองพวนมาก ทำให้ไทยไม่สามารถปกครองเมืองพวนได้อย่างใกล้ชิด จึงทำให้ญวนที่มีอาณาเขตติดกับเมืองพวนทางทิศตะวันออกสามารถขยายอิทธิพลเข้ามายังเมืองพวน ซึ่งเมืองพวนก็ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านจึงยอมตกเป็นเมืองขึ้นของญวนและต้องยอมส่งเครื่องราชบรรณาการแก่ญวนในเวลาเดียวกับการส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับไทยทุกสามปี (เอกสารของไทยในภายหลังเรียกเมืองที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า "เมืองสองฝ่ายฟ้า") (หน้า 23) ดังนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระองค์จึงมอบหมายให้กษัตริย์เวียงจันทน์ในรัชสมัยของเจ้านันทเสนดูแลเมืองพวนแทนไทย ซึ่งเวลาที่เมืองพวนเริ่มหันไปขึ้นกับญวน (พ.ศ.2325 และ พ.ศ.2335) ก็จะถูกกองทัพเวียงจันทน์ปราบและกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในไทย โดยตั้งหลักแหล่งอยู่ริมพระนครด้านตะวันออก (บริเวณโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงในปัจจุบัน) (หน้า 23,25) แต่ต่อมาในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์กษัตริย์เวียงจันทน์ได้ก่อการกบฎกับไทยในปี พ.ศ.2369 ซึ่งส่งผลต่อการปกครองเมืองพวนของไทยเป็นอย่างมาก ไทยจึงยกทัพไปปราบทำให้เจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ต้องหลบหนีไปพึ่งญวนและยกเมืองพวนให้กับญวน เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการช่วยเหลือให้กลับไปครองเวียงจันทน์ได้ตามเดิม ภายหลังไทยจึงยกทัพไปยึดเอาเมืองพวนกลับมาได้ในปี พ.ศ.2378 โดยมอบให้เมืองหลวงพระบางซึ่งมีความภักดีต่อกรุงเทพฯ เป็นผู้ดูแลเมืองพวนแทน ขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้กวาดต้อนคนพวนทั้งหมดเข้ามาในไทยเพื่อไม่ให้เหลือเป็นกำลังแก่ญวน โดยส่งไปตั้งถิ่นฐานทั้งในกรุงเทพฯ และ เขตหัวเมืองชั้นในได้แก่ เมืองลพบุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทราแต่ก็ยังคงมีพวนจำนวนหนึ่งหนีกลับไปอยู่ที่เมืองพวน (หน้า 32-33) ต่อมาในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองพวนยังคงนำส่งเครื่องราชบรรณาการ ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองที่ส่งผ่านมายังหลวงพระบางเพื่อนำมามาถวายที่กรุงเทพฯ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังคงไม่วางพระทัยจึงดำเนินนโยบายกวาดต้อนด้วยการใช้กำลังทหารและเกลี้ยกล่อมคนพวนเข้ามาในไทย โดยให้พวนที่ตั้งถิ่นฐานในไทยอยู่แล้วเป็นผู้ชักชวนญาติพี่น้องโดยมีหนังสือแจ้งว่ามีความเป็นอยู่สุขสบายดี ซึ่งรัฐจะจัดหาสถานที่ให้พวนอยู่รวมกันโดยเฉพาะ (หน้า 35-36) ครั้นเมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยต้องพบกับปัญหาทั้งจากการคุกคามของฝรั่งเศสและการทำศึกกับฮ่อ (ฮ่อเป็นโจรกลุ่มหนึ่งที่ปล้นสะดมอยู่ชายพระราชอาณาเขตทางด้านลาวและตังเกี๋ยเมื่อ พ.ศ.2413-2431) ที่ส่งผลกระทบต่อการปกครองพวน เนื่องจากฮ่อได้ได้เข้ามารุกรานในเขตเมืองพวน กระทั่งไทยได้มีการช่วยปราบฮ่อที่เข้ามารุกรานเมืองพวนได้จึงส่งผลให้ไทยมีอำนาจเหนือเมืองพวนเพียงผู้เดียวในเวลานั้น (หน้า 38-39) แต่ทว่าเมืองพวนก็ยังคงมีสถานะเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้า กล่าวคืออยู่ภายใต้อำนาจทั้งของไทยและญวน ประกอบกับไทยยังไม่ได้จัดระบบการปกครองภายในเมืองพวนให้เรียบร้อย จึงมีการจัดการปกครองภายในเมืองพวนใหม่เพื่อไม่ให้พวนหันกลับไปเข้ากับฝ่ายญวนที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2426 ซึ่งฝรั่งเศสมีความสนใจในดินแดนทางเหนือของลาว ได้แก่ สิบสองจุไท หัวพันทั้งห้าทั้งหก และเมืองพวน โดยฝรั่งเศสมักอ้างสิทธิของญวนเหนือเมืองพวน ดังนั้นฝรั่งเศสจึงอ้างสิทธิทุกประการเหนือดินแดนพวนด้วย นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังส่งกำลังทหารเข้ามาตั้งค่ายในเมืองพวนเป็นผลให้เกิดข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดนเมืองพวนกับไทย (หน้า 41-43) ท้ายที่สุดเมืองพวนได้ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสที่เข้ามามีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการใช้กำลังทหารและนโยบายเรือปืนบังคับให้ไทยสละดินแดนฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขงทั้งหมดให้กับฝรั่งเศส ซึ่งไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเป็นผลให้อำนาจการปกครองที่ไทยมีต่อเมืองพวนสิ้นสุดลง (หน้า 52) |
|
Belief System |
พวนนับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่อยู่ในเมืองพวน ต่อมาเมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย จึงมีการสร้างวัดเพื่อประกอบศาสนกิจ ซึ่งจะมีวัดประจำหมู่บ้านอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน (หน้า 66) และในวันพระ ผู้เฒ่าจะนุ่งขาวเพื่อไปรักษาศีล ฟังเทศน์ที่วัด รวมทั้งการไปร่วมงานบุญต่างๆ เป็นประจำ และพวนนิยมให้ลูกหลานบวชเป็นพระโดยเชื่อว่าจะทำให้พ่อ แม่ได้ไปสวรรค์ ดังนั้น ผู้ชายพวนเกือบทุกคนจะบวชเมื่ออายุถึงพร้อมที่จะบวช (หน้า68-69) ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนพวนที่อยู่ในไทยจะมีประเพณีการปฏิบัติดังนี้คือ เมื่อได้เกี่ยวข้าวและนวดข้าวแล้วจะมีการทำขวัญข้าวบริเวณหัวนาของตนก่อนที่จำนำข้าวไปเก็บในยุ้งข้าว เรียกว่าการสู่ขวัญข้าว ซึ่งเป็นการเชิญขวัญจากนาข้าวไปยังยุ้งข้าวที่บ้าน สิ่งของที่นำมาใช้ในพิธี ได้แก่ กระด้ง เคียว ไข่ต้ม เกลือ น้ำ ข้าวกองเล็กๆ และต้นข้าวที่นำมามัดเป็นตุ๊กตาต้นข้าวตัวเล็กๆ เพื่อใช้ในการเชิญขวัญข้าวให้เข้ามาอยู่ในตุ๊กตาแล้วนำออกจากนากลับมายังบ้าน โดยขณะที่ถือตุ๊กตามาระหว่างทางนั้น ห้ามผู้ที่ถือมาพูดคุยกับใครเพราะจะทำให้ขวัญข้าวตกใจออกจากตุ๊กตากลับไปที่นา ต่อเมื่อนำข้าวทั้งหมดและตุ๊กตาต้นข้าวใส่ไว้ในยุ้งข้าวและปิดประตูแล้วจึงจะพูดคุยได้ หลังจากที่ทำขวัญข้าวแล้ว เมื่อมีฤกษ์ดีจะมีการทำขวัญยุ้งข้าวอีกครั้ง เรียกว่า "สู่ขวัญข้าวมาเงีย/มาเงียข้าว" โดยมีสิ่งของในการประกอบพิธีดังนี้ น้ำหอม ไก่ต้ม และขนมหวาน หลังจากนั้นต้องไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด เรียกว่า "ทำบุญตักบาตรข้าวใหม่" จึงถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นการทำนาในปีหนึ่งๆ (หน้า 68) นอกจากนี้พวนยังมีความเชื่อตามประเพณีและศาสนาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันดังนี้ 1.ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เช่น การบวช มีทั้งการบวชเป็นภิกษุ เรียกว่า อุปสมบท และการบวชเป็นสามเณร เรียกว่า บรรพชา ซึ่งนิยมบวชในเดือนที่สี่หรือเดือนมีนาคม โดยผู้ชายส่วนใหญ่จะบวชเมื่อเข้าสู่วัยที่สมควร (สามเณรจะบวชเมื่ออายุ13-15 ปี) คนพวนเชื่อว่า การบวชนั้นจะช่วยให้ใกล้ชิดพุทธศาสนาและช่วยให้พ่อแม่พ้นจากการตกนรก (หน้า 114) การทำศพ คนพวนจะไม่เก็บศพคนตายไว้หลายวัน หากมีผู้ตายในตอนเช้า ก็จะนำไปเผาหรือฝังตอนเย็น โดยญาติผู้ตายจะช่วยกันอาบน้ำศพแล้วนำศพนอนหันไปทางทิศใต้หรือทิศตะวันตก แล้วนำผ้ามาขึงรอบศพเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรียกว่า "ดอย" เป็นการป้องกันไม่ให้แมวกระโดดข้ามเพราะเชื่อว่าถ้ามีแมวกระโดดข้ามแล้วศพจะลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงนำศพไปบรรจุในโลง เรียกว่า "โมง" และมีการนิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมว่าต้องนิมนต์พระมาสวดทันทีห้ามรอให้ศพเย็น ส่วนภายในบ้านผู้ตายต้องมีการตั้งขันน้ำส้มป่อยไว้ที่เชิงบันไดสำหรับให้ผู้ที่มาร่วมงานศพใช้พรมศรีษะก่อนกลับบ้านเพราะเชื่อว่าจะทำให้ผีสางที่เกาะอยู่ตามตัวหลุดออกไป สำหรับการเผาศพไม่ว่าจะมีการจัดพิธีที่บ้านหรือวัดก็ต้องย้ายศพมาเผาที่ป่าช้าที่วัด โดยเจ้าของบ้านต้องนำน้ำร้อนมาราดบริเวณที่จะตั้งศพเพื่อไล่วิญญาณที่อยู่ตรงนั้นออกไปก่อน และระหว่างเคลื่อนย้ายศพต้องโปรยข้าวตอกดอกไม้ไปตลอดทางจนถึงวัดเพื่อให้วิญญาณคนตายติดตามมาได้ถูก เมื่อมาถึงป่าช้าจึงนำศพมาตั้งบนกองฟืน เรียกว่า "กองฟอน" แล้วจึงจัดการเผาศพ หากว่าศพนั้นเป็นหญิงที่ตายขณะตั้งครรภ์ต้องนำไปฝังเท่านั้น ภายหลังพิธีเสร็จสิ้นแล้ว ญาติผู้ตายต้องนิมนต์พระสงฆ์ 5 รูปมาเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านในเย็นวันเดียวกัน เรียกพิธีนี้ว่า "ตั้งมังคะละ" เพื่อความเป็นมงคลของบ้าน จากนั้นจะต้องทำบุญ 7 วันที่บ้านด้วย (หน้า 114-115) ประเพณีลงข่วง ข่วงหมายถึงที่โล่งแจ้งสำหรับรวมคน 20-30 คน เพื่อทำงานใดงานหนึ่ง การลงข่วงก็คือการนัดเพื่อนบ้านให้ออกมาทำงานพร้อมกันและยังเป็นการนัดพบของหนุ่มสาวด้วย การลงข่วงจะรวมกันเป็น "ล้อง" อันหมายถึงการรวมกันของบ้านใกล้เคียงกัน งานส่วนใหญ่ที่มารวมกันทำก็คือ การทอผ้า ปั่นด้าย การซ้อมข้าว การแคะเม็ดมะขาม เป็นต้น ทั้งนี้ก่อนการลงข่วงต้องมีการเก็บหลัว หรือ เศษใบไม้เพื่อนำมาก่อกองไฟ โดยในตอนเย็นผู้หญิงจะเดินเก็บหลัวเพื่อให้ผู้ชายรู้ว่าจะมีการลงข่วง การมาร่วมวงของหนุ่มๆ จะต้องร้องเพลงหรือเป่าปากเพื่อให้ผู้หญิงรู้และเตรียมการต้อนรับด้วยการนำน้ำดื่มหรืออาจมีขนมหวานมาวางบริเวณงาน ระหว่างการทำงานจะมีการพูดคุยสนุกสนานกันจนดึก จากนั้นหนุ่มๆ จึงไปส่งสาวๆ กลับบ้าน (หน้า 119) 2. ประเพณีเกี่ยวกับศาสนา เช่น ประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นงานบุญใหญ่ในเดือนอ้ายซึ่งเป็นช่วงที่อากาศแล้งและผู้คนว่างจากการทำนาจึงมีการเดินทางไปหาญาติที่หมู่บ้านใกล้เคียง และมีการทำข้าวจี่ไว้เป็นเสบียง (ข้าวจี่คือข้าวเหนียวปิ้งที่ปั้นเป็นก้อนกลมแล้วนำไปอังไฟจนเหลือง) เวลานี้ชาวบ้านต่างพากันนึกถึงพระภิกษุว่าจะไม่มีใครถวายอาหารเมื่อผู้คนต้องเดินทางออกจากหมู่บ้าน จึงมีการทำข้าวจี่ส่วนหนึ่งไปถวายพระจนเกิดเป็นประเพณีขึ้น ทั้งนี้วันที่ใช้ทำพิธี ชาวบ้านจะกำหนดกับพระภิกษุล่วงหน้าและคืนก่อนที่จะทำบุญ พระภิกษุจะตีกลองปลุกชาวบ้านขึ้นมาทำข้าวจี่ ส่วนวันทำบุญพระภิกษุจะตีกลองตอน 7 โมงเช้าเพื่อเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านไปที่วัด สำหรับข้าวจี่ที่ใช้ทำบุญนี้ต้องทำขึ้นเป็นพิเศษขนาดเท่าไข่ห่านแล้วสอดไส้ด้วยน้ำตาลอ้อย (หน้า 116) ประเพณีทำบุญข้าวห่อหรือข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับและผีไม่มีญาติ ประเพณีนี้จัดในวันพระกลางเดือน 9 โดยในตอนเช้าจะนำข้าวปลามาถวายพระ จากนั้นจึงกลับบ้านไปนำข้าวห่อ ซึ่งประกอบด้วยห่อข้าวที่มีกล้วยหั่นเป็นแว่น กระยาสารท ขนม และ ห่อหมากพลูที่แต่ละห่อมีรายชื่อผู้ตายที่ต้องการอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทั้งห่อข้าวและห่อหมากพลูนี้ต้องนำไปไว้ตามโคนต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณวัด และตามทุ่งนา ส่วนรายชื่อผู้ตายต้องนำไปให้พระบังสุกุลแล้วนำไปเผาไฟ จากนั้นจึงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ ทั้งนี้คนพวนเชื่อว่าเมื่อใกล้วันพระ ผีจะได้รับอนุญาติให้มารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องของตน (หน้า 118) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
หมอยาของพวนเป็นแพทย์แผนโบราณที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น และรักษาคนไข้ตามบ้าน มีวิธีรักษาโดยการตรวจดูอาการคนไข้แล้วจึงค้นหาสรรพคุณของยาที่ตรงกับอาการจากตำราที่นำติดตัวไป แล้วจะคัดลอกชื่อยา (ส่วนมากเป็นรากไม้ ใบไม้ที่มีทั่วป่า) ให้ญาติคนไข้ไปหามา หากยานั้นสามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นก็จะให้กินต่อไปจนหาย แต่ถ้ายาที่หามาได้มีสรรพคุณไม่ตรงกับโรคต้องดูตำรากันใหม่ แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้นอีก ญาติคนไข้จะต้อง "ตั้งคาย" ด้วยการจัดเตรียมเงินทองและทำพิธีบูชาครูเพื่อให้หมอดูแลคนไข้อย่างเต็มที่จนกว่าคนไข้จะอาการดีขึ้น เมื่ออาการดีขึ้นแล้วญาติคนไข้จะนำขันข้าวไปให้หมอเรียกว่า "คืนขันข้าว" และหมอยาจะทำพิธีบูชาครูอีกครั้งและคืนเงินขันข้าวครึ่งหนึ่งให้ญาติคนไข้ หากว่าหลังจากตั้งขันข้าวแล้วอาการคนไข้ยังไม่ดีขึ้น หมอยาอาจบอกเลิกการรักษาได้แล้วบอกให้ญาติคนไข้คว่ำขันข้าว ทั้งนี้ญาติคนไข้สามารถคว่ำขันข้าวได้เองก่อนที่คนไข้จะเสียชีวิตหากว่าอาการของคนไข้หนักมากจนอาจถึงแก่ความตาย เพราะคนพวนถือว่าไม่ควรให้คนไข้ "ตายทับขันข้าว" นอกจากนี้ การรักษาอาการเจ็บป่วยบางครั้งยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผีสางด้วย เช่น หากเด็กร้องไห้มากจนพ่อแม่ปลอบโยนไม่สำเร็จ ก็ต้องไปเชิญแม่เฒ่าอายุ 60-70 ปี มาทำพิธีทิ้งข้าว ด้วยการปั้นข้าวสุกเป็นก้อน เพื่อใช้ลูบตามตัวเด็กจากศรีษะถึงปลายมือ ปลายเท้า ขณะเดียวกันก็เรียกผีสางให้มากินก้อนข้าวแล้วจากไปเสีย อย่ามากวนเด็กอีก เมื่อแม่เฒ่ากล่าวเสร็จแล้วจะบ้วนน้ำลายใส่ก้อนข้าวแล้วโยนทิ้งไปทางทิศตะวันตก เป็นต้น (หน้า 107-108) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้หญิงพวนนิยมนุ่งผ้าซิ่นตีนจกและผ้าลายตามขวาง ห่มผ้าแถบหรือใช้ผ้าขาวม้ารัดอกที่เรียกว่า "แห้งตู้" เกล้ามวยผม และสวมกำไล (หน้า 69) ส่วนผู้ชายพวนนุ่งกางเกง ใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่าหรือคาดเอว แต่เมื่อเวลาออกไปทำนา ทั้งชายและหญิงต้องสวมเสื้อสีดำหรือสีน้ำเงิน โดยผู้ชายสวมเสื้อแค่ศอกไม่รัดตัว ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อรัดตัวแขนยาวถึงข้อมือ และมีกระดุมเสื้อที่เป็นเงินโบราณหนักเม็ดละ 1 สลึง หรือ 1 เฟื้อง แต่ถ้าใครไม่มีกระดุมโบราณก็จะจ้างช่างทำเลียบแบบแทน ผ้าที่ใช้ย้อมสีจากรากไม้ ใบไม้ เปลือกไม้ ดอกไม้ ผลไม้ เพื่อให้ได้สีธรรมชาติ เช่น สีดำได้จากลูกมะเกลือ สำหรับการแต่งกายของเด็กพวน เด็กผู้ชายจะสวมกางเกงและเสื้อที่ทอเอง และสวมกำไลเท้าจนอายุ 16ปี จึงเลิกสวม ส่วนเด็กผู้หญิงสวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าซิ่นหรือโจงกระเบน สวมกำไลมือ เรียกว่า "กองแหน" และ กำไลเท้า เรียกว่า "กำไลข่ง" ที่ทำจากทองคำ โดยจะเลิกสวมเมื่อแต่งงานเพราะมีประเพณีว่าเมื่อหญิงแต่งงานแล้วจะไม่ประดับร่างกายด้วยเครื่องเงินและทอง ยกเว้นเมื่อไปเยี่ยมพ่อ แม่ของสามี (หน้า 69) พวนนิยมแต่งกายด้วยผ้าทอที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ ลายเบี้ยง ลายตะขอ ลายซุ้มปราสาท เป็นต้น (หน้า 4) ผ้าทอของพวนจะทอด้วยฝ้ายที่ปลูกและนำมาย้อมสีเองและทอด้วยกี่กระตุก สำหรับลวดลายผ้าทอของพวนมี 5 แบบ ดังนี้ 1.ผ้าลายน้ำไหลหรือสายฝนที่ได้แนวความคิดมาจากลักษณะของน้ำที่ไหลแรงหรือสายฝน สีของผ้าเป็นสีเข้มและสีของลายจะอ่อนกว่าเล็กน้อย ลายจะเป็นเส้นหยักขนาดเล็กมากตลอดทั้งผืน ความงามของลายน้ำไหลอยู่ที่ความระยิบระยับของลวดลาย 2.ผ้ามัดหมี่ลายโลด เป็นผ้าที่มีลวดลายและดอกกระจายเต็มผืน ลวดลายจะอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน บางผืนจะมีสีพื้นและสีของลายกลมกลืนกัน แต่บางผืนก็จะมีสีที่ตัดกัน แต่ชายผ้าจะเป็นสีพื้นเรียบ 3.ผ้ามัดหมี่ลายเปี่ยง เป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นดอกชัดเจน และลายดอกจะวางอยู่ในแถบที่วางห่างกันประมาณ1เท่าครึ่งของความกว้างของแถบลาย ช่องระหว่างแถบเป็นผ้าพื้นสีสดใสที่อาจมีเส้นหมี่ยอดสีเหลือง ดำ แดง ขาว ที่ทำด้วยการมัดย้อมนำมาทอแทรกลงไประหว่างแถบอยู่บ้าง 4.ผ้ามัดหมี่ลายล้าย เป็นผ้าที่มีลวดลายดอกอยู่ในแถบเช่นเดียวกับหมี่ลายเปี่ยง แต่มีแถบที่แคบกว่า ตรงที่ว่างระหว่างแถบจะมีเส้นหนาประมาณหมี่สี่ลำที่อาจย้อมสีเดียวหรือมัดหมี่สี่สี ได้แก่ เหลือง ขาว ดำ แดง ทอแทรกเป็นระยะซึ่งจะทอแบบยกขิตหรือไม่ยกก็ได้ เส้นแถบสี่สีจะให้ความรู้สึกคล้ายระลอกคลื่นในทะเล 5.ผ้าแบบมีเชิง สีของผ้าเป็นสีพื้นเรียบสีเข้ม มีลวดลายเล็กๆ บ้าง ส่วนด้านล่างของผ้าทอด้วยไหมสีสดเป็นรูปเลขาคณิต บางผืนอาจมีเนื้อที่ของเชิงที่กว้างและทอด้วยลวดลายหรูหรา (หน้า 102-104) สำหรับเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของพวนที่ปรากฎในวัดที่สร้างขึ้นเป็นวัดประจำหมู่บ้านในไทยนั้น พบว่ามีการสร้างพระประธานตามแบบศิลปะล้านช้าง และการจัดวางพระประธานที่มีความเรียบง่าย ต่างจากความเชื่อตามพุทธศาสนาแบบไทย ตามฝาผนังของพระอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงพวนนุ่งผ้าซิ่นตีนจกและผ้าลายตามขวาง เกล้ามวยผม และสวมกำไล (หน้า 66-67) |
|
Folklore |
ตำนานเมืองพวนกล่าวไว้ว่า ขุนบัลลินนัว กษัตริย์องค์แรกในแผ่นดินลาวมีโอรสพระองค์แรกเป็นเจ้าเมืองหลวงพระบาง องค์ที่สองเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์ องค์ที่สามเป็นเจ้าเมืองพวน องค์ที่สี่เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่และองค์ที่ห้าเป็นเจ้าเมืองเขมร เจ้าเมืองพวนพระองค์แรกมีพระนามว่า เจ้าหลวง เมื่อเจ้าหลวงสิ้นพระชนม์ เจ้าชมภูพระโอรสของเจ้าหลวงได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน แต่สถานะของเมืองพวนเวลานั้นตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองหลวงพระบางจึงต้องส่งเครื่องราชบรรณาการแก่หลวงพระบางทุกปี ขณะเดียวกันเจ้านันทเสน เจ้าเมืองเวียงจันทน์ได้ยกทัพมาตีเมืองพวนและรับสั่งให้ประหารชีวิตเจ้าชมภู แต่เกิดปาฏิหารย์ขึ้นขณะจะทำการประหารชีวิต ดังนั้น เจ้านันทเสนจึงปล่อยตัวเจ้าชมภูให้กลับไปปกครองเมืองพวน หากแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้เมืองเวียงจันทน์ด้วย เมื่อเจ้าชมภูสิ้นพระชนม์ เจ้าเสียงโอรสของเจ้าชมภูจึงขึ้นครองราชย์แทน กระทั่งเจ้าเสียงสิ้นพระชนม์จึงได้เจ้าน้อยพระโอรสของเจ้าเสียงขึ้นครองราชย์ หลังจากนั้นเจ้าก่ำพระโอรสของเจ้าน้อยได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าเมืองพวนตามลำดับ (หน้า 6) ส่วนพงศาวดารล้านช้างและพงศวดารเมืองพวนได้กล่าวถึงผู้ก่อตั้งเมืองพวนว่าชื่อ ขุนเจ็ดเจือง เป็นผู้สร้างเมืองพวน และขุนลอเป็นผู้สร้างเมืองหลวงพระบางได้แบ่งเขตแดนระหว่างเมืองพวนและเมืองหลวงพระบางโดยสาบานต่อกันว่าจะไม่แย่งชิงดินแดนกัน แต่ในช่วงปีศักราช 945 เจ้าเมืองคำเกิดได้กระทำความผิดต่อเจ้าเมืองพวนจึงต้องยกดินแดนเมืองคำเกิดทั้งหมดให้เมืองพวนเนื่องจากไม่มีค่าปรับไหม ในปีศักราช 1542 เจ้าสุวรรณบัลลังก์ได้ขึ้นครองเมืองหลวงพระบาง และแบ่งดินแดนบางส่วนให้แก่เมืองพวน รวมทั้งในปีศักราช 1560 เจ้าเชฐวังโศได้ยกดินแดนหลวงพระบางบางส่วนให้แก่เมืองพวนอีก จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เมืองพวนมีอาณาเขตขยายมาจนจรดกับทางตอนเหนือของเมืองเวียงจันทน์ (หน้า 6,8) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยระยะแรกยังคงถูกปกครองจากทางการไทยด้วยระบบไพร่และมีการกำหนดเขตที่อยู่อาศัย โดยไม่อนุญาตให้ย้ายไปอยู่เมืองต่างๆ ตามใจ ดังนั้นจึงยังไม่มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตเป็นแบบไทย จนเมื่อระบบไพร่ถูกยกเลิก ทำให้พวนสามารถย้ายถิ่นได้ง่ายขึ้นจึงทำให้เกิดความใกล้ชิดกับสังคมคนไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการที่ทั้งพวนและไทยมีประเพณีต่างๆ คล้ายกัน จึงเกิดการผสมกลมกลืนระหว่างพวนกับไทยมาจนปัจจุบัน (หน้า 70) |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองพวน หน้า 1 2. แผนที่แสดงการกวาดต้อนชาวพวนเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย หน้า 54 3. แผนที่แสดงที่ตั้งของชาวพวนในราชอาณาจักรไทย หน้า 55 4. ภาพผ้าลายสิบสองดอกหรือสิบสองขอ หน้า 125 |
|
|