สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject พวน,การปกครอง,มูลนาย,ไพร่,Houaphan
Author ปรารถนา แซ่อึ๊ง
Title การปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและชาวพวนในราชอาณาจักรไทยระหว่าง พ.ศ. 2322-2436
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทยพวน ไทพวน คนพวน, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 133 Year 2543
Source หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

งานวิจัยนี้ศึกษาเรื่อง การปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและคนพวนในราชอาณาจักรไทยระหว่าง พ.ศ. 2322-2436 ซึ่งมีการใช้นโยบายการปกครองแบบเมืองประเทศราชในระยะแรกด้วยการให้เมืองพวนส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้ และไม่มีการจัดการปกครองที่เข้มงวดนัก แต่ต่อมาได้ใช้วิธีการกวาดต้อนคนพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เพื่อไม่ให้เหลือเป็นกำลังแก่ญวนซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของไทยในเวลานั้น การกวาดต้อนคนพวนมานี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกพลัดถิ่น เพราะมีการรวบรวมให้อาศัยอยู่ด้วยกัน และการปกครองคนพวนของทางการไทยก็ให้คนพวนปกครองกันเองภายใต้การดูแลของขุนนางไทยในระบบไพร่ (มูลนายและไพร่) เช่นเดียวกับการปกครองคนไทย คนพวนจึงรู้สึกเป็นอิสระไม่คิดว่าถูกกดขี่และจงรักภักดีต่อไทย ประกอบกับการทำมาหากินในเมืองไทยมีความอุดมสมบูรณ์กว่าที่เมืองพวน คนพวนจึงไม่คิดหลบหนีกลับไป รวมทั้งอุปนิสัย และประเพณีต่างๆ ของคนไทยและคนพวนมีความคล้ายกันจึงสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ พวนที่อาศัยอยู่ในไทยนับว่ามีบทบาทสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ ในเรื่องการเป็นแรงงานและการส่งส่วย รวมทั้งมีบทบาททางการเมืองในการเป็นกำลังในกองทัพยามมีสงคราม

Focus

นโยบายการปกครองของไทยที่มีต่อเมืองพวนและชาวพวนในฐานะเป็นเมืองขึ้นของไทย นโยบายการกวาดต้อนคนพวนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย และ รูปแบบการปกครองคนพวนที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ.2322-2436

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

พวนหรือที่ฝรั่งเศสเรียกว่า ผู้เอิน (POU-EUNE) เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของเมืองพวน มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับลาวพวกอื่นๆ แต่มีลักษณะเด่นตรงที่มีผิวขาวกว่า ส่วนข่ากลุ่มที่อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในเมืองพวน คือ ข่า ขะมุ เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของเมืองพวน รวมทั้งแม้ว เย้า ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามยอดเขาและไหล่เขาบริเวณเมืองพวน (หน้า 4-5)

Language and Linguistic Affiliations

พวนมีภาษาพูดเฉพาะของตน โดยมีสำเนียงที่แตกต่างจากภาษาพูดของลาวกลุ่มอื่นเล็กน้อย (หน้า 4) ภาษาพวนเป็นภาษาในตระกูลไต (Tai) มีลักษณะคล้ายภาษาอีสานในเรื่องการออกเสียง และคำบางคำในภาษาพวนเป็นคำเดียวกันและมีความหมายเดียวกันกับภาษาอีสาน เช่น ภาษาไทยภาคกลาง : นินทา ภาษาอีสาน : เว้าขวัญ ภาษาพวน : เว้าขวัญ ภาษาไทยภาคกลาง : ช้อน ภาษาอีสาน : บ่วง ภาษาพวน : บ่วง สำหรับภาษาเขียน หรืออักษรพวน แบ่งได้เป็น 2 ชนิด 1.อักษรธรรม เป็นอักษรสำหรับบันทึกเรื่องราวทางศาสนา และคัมภีร์ของพวน 2.อักษรไทยน้อย เป็นอักษรสำหรับเขียนเรื่องราวทางโลก เช่น นิทาน โดยนิยมนำมาอ่านด้วยทำนองที่ไพเราะในการอยู่เป็นเพื่อนศพ เรียกว่า "งันเฮือนดี" (หน้า 104-107)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

เมืองพวนมีสถานะเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรล้านช้างทั้งช่วงเวลาที่หลวงพระบางและเวียงจันทน์เป็นราชธานีเป็นเมืองขึ้นของญวน และกลายเป็นเมืองขึ้นของไทยในเวลาต่อมา โดยเมืองพวนต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้เจ้าประเทศราชเหล่านี้ แต่เมืองพวนก็มีอิสระในการปกครองตนเองและมีอำนาจในการดูแลกิจการภายในของตน เช่น การแต่งตั้งเจ้าเมืองพวนเป็นผู้นำในการปกครอง (บทนำ ก)

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานของพวนในเมืองไทยเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยกรุงธนบุรี โดยพวนที่ถูกกวาดต้อนไปตั้งถิ่นฐานในเขตหัวเมืองชั้นในได้ตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มแยกจากชุมชนคนไทย แต่ก็ยังคงตั้งบ้านเรือนสลับกับหมู่บ้านคนไทย การปลูกบ้านของพวนนั้นจะปลูกรวมกันเป็นหมู่บ้าน แต่นิยมเรียกว่าบ้าน และตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อหมู่บ้านเดิมในเมืองพวน เช่น บ้านเซ่า บ้านกล้วย (หน้า 53, 56) ลักษณะบ้านเรือนของพวนจะเป็นไม้ มีหลังคาทรงมะนิลาที่ส่วนใหญ่มุงด้วยหญ้า หากเป็นบ้านผู้มีฐานะดีหรือวัด จะมุงด้วยกระเบื้องดินเผา หรือกระเบื้องไม้ ที่เรียกว่า "ไม้แป้นเกล็ด" บ้านมีใต้ถุนสูงเพื่อใช้ทำเป็นคอกวัว ควาย เล้าเป็ด ไก่ และเพื่อใช้ตั้งเครื่องทอผ้าที่เรียกว่า "กี่" ด้านภายในบ้านแต่ละหลังจะมีห้องตั้งแต่สามห้องขึ้นไปขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว มีพื้นและฝาบ้านเป็นไม้กระดาน หากเป็นบ้านคนทั่วไปจะปูพื้นบ้านด้วยไม้ไผ่สับเป็นแผ่น เรียกว่า "ฟาก" และมีเสื่อสานด้วยหวายทับอีกชั้น ส่วนฝาบ้านจะใช้ไม้ไผ่ที่ลำเล็กและบางกว่าฟาก เรียกว่า "ไม้เฮี้ย" ทั้งนี้บ้านจะตั้งหันไปทางทิศตะวันตก มีชานยื่นออกมาสำหรับนั่งเล่น และต้อนรับแขก และมีบันไดอยู่นอกชาน ส่วนเรือนครัวอยู่ภายในบ้าน (หน้า 70) สำหรับการปลูกบ้านของคนพวนจะขอแรงญาติและเพื่อนบ้านมาช่วยกันปลูกซึ่งต้องไปเลือกไม้จากในป่ามาทำเสาเรือน และเมื่อเลือกได้แล้ว ก่อนจะตัดไม้ต้องนำหมาก 1 คำ บุหรี่ 1 มวน ไปทำการขอไม้ซึ่งเรียกว่า "การทำพลี" โดยพวนมีความเชื่อว่าหากตัดไม้ขาดออกจากต้นแต่ไม้ล้มลงไม่ถึงพื้นเพราะปลายไปพาดอยู่กับต้นอื่นก็จะไม่สามารถนำไม้ต้นนั้นมาใช้เป็นเสาเรือนได้ต้องเลือกกันใหม่ ทั้งนี้ ก่อนที่จะปลูกบ้าน เจ้าของบ้านต้องปลูกเพิงเป็นที่พักชั่วคราวไว้อยู่ก่อนเรียกว่า "ลงผาม" ซึ่งถือกันเป็นประเพณีที่ต้องลงผามเพื่อเอาฤกษ์ชัย สำหรับฤกษ์ดีที่ใช้ปลูกบ้านคือยามเช้าตรู่ เพราะตามประเพณีของพวนนั้นเมื่อได้ฤกษ์ดีเพื่อยกเสาเอกสำหรับสร้างบ้านแล้วจะต้องปลูกให้เสร็จและทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ภายในวันเดียวกัน (หน้า 100)

Demography

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองพวนตกเป็นเมืองขึ้นของไทย จึงมีการปราบและกวาดต้อนคนพวนให้เข้ามาอยู่ในไทยและให้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ริมพระนครด้านตะวันออก (บริเวณโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงในปัจจุบัน) (หน้า 23) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยไม่สามารถปกครองเมืองพวนได้อย่างใกล้ชิด จึงมีนโยบายเกลี้ยกล่อมและกวาดต้อนคนพวนเข้ามาในไทยอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีจำนวนราว 6,000 คน ทั้งนี้คนพวนได้ถูกส่งไปพักไว้ที่เมืองหนองคายก่อน แล้วจึงถูกส่งต่อมายังกรุงเทพฯ และเมืองต่างๆ ในเขตหัวเมืองชั้นใน ได้แก่ เมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทรา และเมืองเพชรบุรี แต่ยังมีพวนส่วนหนึ่งหลบหนีกลับไปยังเมืองพวน จากนั้นคนพวนที่เหลือจึงถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าทร่านในเขตเมืองพนมสารคาม (หน้า 33) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเกรงว่าคนพวนที่ยังเหลืออยู่ที่เมืองหนองคายจะหนีกลับไปยังเมืองพวนแล้วหันไปเข้ากับฝ่ายญวน ดังนั้น พวนกลุ่มที่เหลือทั้งหมดทั้งที่อยู่ที่เมืองหนองคายจำนวน 488 คน ที่ห้วยหลวงจำนวน 204 คน และที่เมืองหนองหารจำนวน 353คน จึงถูกส่งลงมายังกรุงเทพฯ และหลังจากนั้นจึงได้มีการย้ายคนพวนเหล่านี้ไปอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี (หน้า 34) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีนโยบายการกวาดต้อนด้วยกำลังทหารและการเกลี้ยกล่อมคนพวนเข้ามาในไทยด้วยการสั่งการให้คนพวนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยเป็นผู้ชักชวนญาติพี่น้องที่เมืองพวน ด้วยการส่งหนังสือไปแจ้งว่าคนพวนที่อยู่ในไทยมีความเป็นอยู่สุขสบายดี และหากมีคนพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเป็นจำนวนมาก ทางการไทยจะจัดหา สถานที่ให้คนพวนอยู่รวมกันโดยเฉพาะด้วย ดังนั้นจึงมีพวนอพยพเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น (หน้า 36)

Economy

สินค้าเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้เมืองพวนคือ ไม้มีค่าอย่างไม้สัก และไม้สน สัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ หมี แรด วัวกระทิง เลียงผา กวาง และแร่ธาตุที่มีค่า ได้แก่ เหล็ก ตะกั่ว ทองคำ รวมทั้งพืชเศรษฐกิจอย่าง ข้าว ข้าวโพด ฝ้าย ยาสูบ ละหุ่ง มะพร้าวและฝิ่น ทั้งนี้อาชีพหลักของพวนส่วนใหญ่คือการทำนา (หน้า 4) สำหรับบทบาททางเศรษฐกิจของพวนที่ตั้งถิ่นฐานในไทยก็คือ การส่งส่วยประเภทต่างๆ ให้แก่รัฐบาล เช่น พวนบ้านท่าทร่านจะต้องส่งส่วยทองให้กับรัฐเพื่อนำไปใช้ก่อสร้างวัดและสิ่งสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะพื้นที่บ้านท่าทร่าน เมืองพนมสารคามซึ่งขึ้นกับเมืองฉะเชิงเทรานั้นมีแหล่งแร่ทองคำอยู่ และคนพวนก็มีความชำนาญในการทำส่วยทองมาแต่เดิม นอกจากนี้พวนยังต้องส่งเงินแทนสิ่งของหากไม่สามารถส่งส่วยได้ตามที่ทางการกำหนด พวนจึงเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจและกำลังแรงงานให้กับไทยในการเป็นเวรยามในเมืองที่ตนตั้งถิ่นฐาน และการถูกเกณฑ์มาทำงานเป็นครั้งคราวอีกด้วย เช่น การปรับปรุงเส้นทางคมนาคมด้วยการถางหญ้า การทำนาเพื่อส่งเมล็ดข้าวให้ทางการ การสร้างวัดและการซ่อมสร้างพระราชวัง เป็นต้น (หน้า 62-63) และเมื่อพวนว่างเว้นจากการรับใช้ราชการ ก็จะทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้การทำนาของคนพวนได้ผลดีมาก เพราะพื้นที่ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่นั้นเป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำสมบูรณ์ดี ซึ่งการทำนาจะใช้วิธี "สักหลุม" คือการใช้ไม้ไผ่ปลายแหลมขุดดินให้เป็นหลุมแล้วจึงหยอดเมล็ดข้าวลงไป (หน้า 67-68)

Social Organization

โครงสร้างทางสังคมของพวนที่ตั้งถิ่นฐานในไทยนั้น จะถูกควบคุมอยู่ภายใต้ระบบไพร่ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับคือ 1. มูลนาย ทำหน้าที่ปกครองพวนด้วยกัน ซึ่งมูลนายนี้ยังแบ่งเป็น 2 ระดับคือ - มูลนายระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ ได้แก่ปลัดเมือง นายกองลาวที่มีศักดินาตั้งแต่ 400 ไร่ ขึ้นไปและมีสิทธิพิเศษ เช่น การได้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ขณะเสด็จออกว่าราชการ และบุตรของนายมูลจะต้องถวายตัวรับราชการต่อไปจึงไม่ต้องเป็นไพร่ เป็นต้น - มูลนายระดับล่างที่ได้รับการแต่งตั้งจากมูลนายระดับสูง ซึ่งมีศักดินาตั้งแต่ 30-400 ไร่มีหน้าที่ควบคุมกำลังคนคือไพร่ มูลนายระดับล่างนี้มีตำแหน่งเป็น ขุน หมื่น และยังเป็นฐานอำนาจของมูลนายระดับสูงด้วย ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้ที่มาดำรงตำแหน่งต่างๆ จะเลือกจากผู้ที่มีเชื้อสายพวนและเป็นที่รักใคร่ของคนพวนด้วยกัน และยังต้องเป็นผู้ที่สามารถเก็บส่วยส่งให้รัฐไทยได้ด้วย มูลนายพวนนี้จะมีอำนาจและสิทธิพิเศษเช่นเดียวกับมูลนายไทย ทว่าการแต่งตั้งต้องมาจากพระมหากษัตริย์เท่านั้นและต้องอยู่ในความดูแลของขุนนางไทยระดับสูง (หน้า 56-57) ตำแหน่งของมูลนายพวนระดับต่างๆ มีดังนี้ ปลัดเมือง เรียกว่า ปลัดลาว มีหน้าที่ช่วยราชการเจ้าเมือง ดูแลความเป็นอยู่ของคนพวนไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน จางวางลาว ผู้ที่สามารถเก็บส่วยได้ครบหรือมากขึ้นจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจางวางลาว ซึ่งมีความใกล้ชิดกับคนพวนในเมืองนั้นๆ มาก และทำหน้าที่ควบคุมกองลาวต่างๆ ในเมืองนั้น นายกองลาว เนื่องจากพวนในเขตหัวเมืองชั้นในต้องสังกัดกองลาวต่างๆ ที่ตั้งขึ้นในแต่ละเมือง นายกองลาวจึงมีหน้าที่ควบคุมกองกำลังพวนในบังคับบัญชาของตนตั้งแต่มูลนายจนถึงไพร่ทั้งหมดในกอง นายกองลาวต้องเป็นผู้ที่รัฐบาลไว้วางใจและเป็นที่รักใคร่ของคนพวน ปลัดกองลาว เป็นตำแหน่งรองลงมาจากนายกองลาว มีหน้าที่ช่วยนายกองควบคุมคนพวนในกองของตน (หน้า 59) 2. ไพร่ พวนทุกคนที่ไม่ใช่ขุนนางหรือมูลนายจะต้องถูกสักข้อมือบอกสังกัดที่ตนอยู่ โดยจะมีสถานะเป็นไพร่หรือเลกลาว และแบ่งเป็น 2 ประเภท คือไพร่สมหรือเลกสม และ ไพร่หลวงหรือเลกหลวง ทั้งนี้พวนส่วนใหญ่จะมีสถานะเป็นไพร่หลวง ส่วนไพร่สมมีอยู่เป็นจำนวนน้อยเฉพาะที่มีเมืองเพชรบุรีเท่านั้น สำหรับไพร่หลวงยังแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ เพื่อง่ายต่อการควบคุมดังนี้ เลกลาวคงเมือง คือพวนที่สังกัดในกองลาวคงเมือง(กองลาวที่ประจำอยู่ในเมือง) และไม่มีสิทธิออกไปต่างเมือง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เมืองนั้นๆ กลายเป็นเมืองร้าง เลกลาวเข้าเดือน คือพวนที่เป็นไพร่หลวงสังกัดกองลาวเข้าเดือน มีหน้าที่ทำงานให้กับเมืองที่ตนอาศัยอยู่และต้องมาทำงานเดือนเว้นเดือน หากไม่มาต้องส่งเงินมาแทน เลกลาวกองนอก คือพวนที่สังกัดกองลาวกองนอก มีหน้าที่ส่งส่วยให้รัฐตามที่กำหนดไว้ เช่น ส่วยกระวาน ส่วยดีบุก รวมทั้งเลกลาวกองช้างที่ต้องจัดหาช้างไว้ใช้ในราชการ เลกลาวกองนากองไร่ มีหน้าที่ทำไร่ทำนา เป็นต้น เลกลาวกองด่าน คือพวนที่สังกัดกองลาวกองด่าน มีหน้าที่คอยลาดตระเวนตรวจตราเขตแดนกับเมืองใกล้เคียง และเมื่อใดที่รัฐบาลต้องการส่วยก็ต้องส่งส่วยให้ด้วย (หน้า 60-61) นอกจากนี้ เมื่อถึงยามสงคราม พวนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยทั้งที่เป็นไพร่และมูลนายจะต้องเข้าร่วมกับกองทัพไทยเพื่อป้องกันบ้านเมืองด้วย นับว่า พวนมีบทบาททางการเมืองในไทยในการเข้าร่วมกับกองทัพไทยทำศึกสงครามและการลาดตระเวนรักษาความเรียบร้อยในเมืองที่ตนตั้งถิ่นฐานอยู่ (หน้า 61-62)

Political Organization

ไทยได้เข้าไปมีบทบาทในการปกครองเมืองพวนครั้งแรกสมัยกรุงธนบุรี เนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีเวียงจันทน์และสามารถยึดได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2322 จากนั้นกองทัพไทยได้ยกทัพต่อไปจนถึงเมืองพวนและยึดเมืองพวนเป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จในปีเดียวกัน (หน้า 10) ช่วงเวลานี้เมืองพวนอยู่ภายใต้การปกครองของไทย แต่ด้วยระยะทางจากกรุงเทพฯ ที่ห่างไกลเมืองพวนมาก ทำให้ไทยไม่สามารถปกครองเมืองพวนได้อย่างใกล้ชิด จึงทำให้ญวนที่มีอาณาเขตติดกับเมืองพวนทางทิศตะวันออกสามารถขยายอิทธิพลเข้ามายังเมืองพวน ซึ่งเมืองพวนก็ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านจึงยอมตกเป็นเมืองขึ้นของญวนและต้องยอมส่งเครื่องราชบรรณาการแก่ญวนในเวลาเดียวกับการส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับไทยทุกสามปี (เอกสารของไทยในภายหลังเรียกเมืองที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า "เมืองสองฝ่ายฟ้า") (หน้า 23) ดังนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระองค์จึงมอบหมายให้กษัตริย์เวียงจันทน์ในรัชสมัยของเจ้านันทเสนดูแลเมืองพวนแทนไทย ซึ่งเวลาที่เมืองพวนเริ่มหันไปขึ้นกับญวน (พ.ศ.2325 และ พ.ศ.2335) ก็จะถูกกองทัพเวียงจันทน์ปราบและกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในไทย โดยตั้งหลักแหล่งอยู่ริมพระนครด้านตะวันออก (บริเวณโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงในปัจจุบัน) (หน้า 23,25) แต่ต่อมาในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์กษัตริย์เวียงจันทน์ได้ก่อการกบฎกับไทยในปี พ.ศ.2369 ซึ่งส่งผลต่อการปกครองเมืองพวนของไทยเป็นอย่างมาก ไทยจึงยกทัพไปปราบทำให้เจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ต้องหลบหนีไปพึ่งญวนและยกเมืองพวนให้กับญวน เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการช่วยเหลือให้กลับไปครองเวียงจันทน์ได้ตามเดิม ภายหลังไทยจึงยกทัพไปยึดเอาเมืองพวนกลับมาได้ในปี พ.ศ.2378 โดยมอบให้เมืองหลวงพระบางซึ่งมีความภักดีต่อกรุงเทพฯ เป็นผู้ดูแลเมืองพวนแทน ขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้กวาดต้อนคนพวนทั้งหมดเข้ามาในไทยเพื่อไม่ให้เหลือเป็นกำลังแก่ญวน โดยส่งไปตั้งถิ่นฐานทั้งในกรุงเทพฯ และ เขตหัวเมืองชั้นในได้แก่ เมืองลพบุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทราแต่ก็ยังคงมีพวนจำนวนหนึ่งหนีกลับไปอยู่ที่เมืองพวน (หน้า 32-33) ต่อมาในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองพวนยังคงนำส่งเครื่องราชบรรณาการ ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองที่ส่งผ่านมายังหลวงพระบางเพื่อนำมามาถวายที่กรุงเทพฯ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังคงไม่วางพระทัยจึงดำเนินนโยบายกวาดต้อนด้วยการใช้กำลังทหารและเกลี้ยกล่อมคนพวนเข้ามาในไทย โดยให้พวนที่ตั้งถิ่นฐานในไทยอยู่แล้วเป็นผู้ชักชวนญาติพี่น้องโดยมีหนังสือแจ้งว่ามีความเป็นอยู่สุขสบายดี ซึ่งรัฐจะจัดหาสถานที่ให้พวนอยู่รวมกันโดยเฉพาะ (หน้า 35-36) ครั้นเมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยต้องพบกับปัญหาทั้งจากการคุกคามของฝรั่งเศสและการทำศึกกับฮ่อ (ฮ่อเป็นโจรกลุ่มหนึ่งที่ปล้นสะดมอยู่ชายพระราชอาณาเขตทางด้านลาวและตังเกี๋ยเมื่อ พ.ศ.2413-2431) ที่ส่งผลกระทบต่อการปกครองพวน เนื่องจากฮ่อได้ได้เข้ามารุกรานในเขตเมืองพวน กระทั่งไทยได้มีการช่วยปราบฮ่อที่เข้ามารุกรานเมืองพวนได้จึงส่งผลให้ไทยมีอำนาจเหนือเมืองพวนเพียงผู้เดียวในเวลานั้น (หน้า 38-39) แต่ทว่าเมืองพวนก็ยังคงมีสถานะเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้า กล่าวคืออยู่ภายใต้อำนาจทั้งของไทยและญวน ประกอบกับไทยยังไม่ได้จัดระบบการปกครองภายในเมืองพวนให้เรียบร้อย จึงมีการจัดการปกครองภายในเมืองพวนใหม่เพื่อไม่ให้พวนหันกลับไปเข้ากับฝ่ายญวนที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2426 ซึ่งฝรั่งเศสมีความสนใจในดินแดนทางเหนือของลาว ได้แก่ สิบสองจุไท หัวพันทั้งห้าทั้งหก และเมืองพวน โดยฝรั่งเศสมักอ้างสิทธิของญวนเหนือเมืองพวน ดังนั้นฝรั่งเศสจึงอ้างสิทธิทุกประการเหนือดินแดนพวนด้วย นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังส่งกำลังทหารเข้ามาตั้งค่ายในเมืองพวนเป็นผลให้เกิดข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดนเมืองพวนกับไทย (หน้า 41-43) ท้ายที่สุดเมืองพวนได้ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสที่เข้ามามีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการใช้กำลังทหารและนโยบายเรือปืนบังคับให้ไทยสละดินแดนฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขงทั้งหมดให้กับฝรั่งเศส ซึ่งไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเป็นผลให้อำนาจการปกครองที่ไทยมีต่อเมืองพวนสิ้นสุดลง (หน้า 52)

Belief System

พวนนับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่อยู่ในเมืองพวน ต่อมาเมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย จึงมีการสร้างวัดเพื่อประกอบศาสนกิจ ซึ่งจะมีวัดประจำหมู่บ้านอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน (หน้า 66) และในวันพระ ผู้เฒ่าจะนุ่งขาวเพื่อไปรักษาศีล ฟังเทศน์ที่วัด รวมทั้งการไปร่วมงานบุญต่างๆ เป็นประจำ และพวนนิยมให้ลูกหลานบวชเป็นพระโดยเชื่อว่าจะทำให้พ่อ แม่ได้ไปสวรรค์ ดังนั้น ผู้ชายพวนเกือบทุกคนจะบวชเมื่ออายุถึงพร้อมที่จะบวช (หน้า68-69) ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนพวนที่อยู่ในไทยจะมีประเพณีการปฏิบัติดังนี้คือ เมื่อได้เกี่ยวข้าวและนวดข้าวแล้วจะมีการทำขวัญข้าวบริเวณหัวนาของตนก่อนที่จำนำข้าวไปเก็บในยุ้งข้าว เรียกว่าการสู่ขวัญข้าว ซึ่งเป็นการเชิญขวัญจากนาข้าวไปยังยุ้งข้าวที่บ้าน สิ่งของที่นำมาใช้ในพิธี ได้แก่ กระด้ง เคียว ไข่ต้ม เกลือ น้ำ ข้าวกองเล็กๆ และต้นข้าวที่นำมามัดเป็นตุ๊กตาต้นข้าวตัวเล็กๆ เพื่อใช้ในการเชิญขวัญข้าวให้เข้ามาอยู่ในตุ๊กตาแล้วนำออกจากนากลับมายังบ้าน โดยขณะที่ถือตุ๊กตามาระหว่างทางนั้น ห้ามผู้ที่ถือมาพูดคุยกับใครเพราะจะทำให้ขวัญข้าวตกใจออกจากตุ๊กตากลับไปที่นา ต่อเมื่อนำข้าวทั้งหมดและตุ๊กตาต้นข้าวใส่ไว้ในยุ้งข้าวและปิดประตูแล้วจึงจะพูดคุยได้ หลังจากที่ทำขวัญข้าวแล้ว เมื่อมีฤกษ์ดีจะมีการทำขวัญยุ้งข้าวอีกครั้ง เรียกว่า "สู่ขวัญข้าวมาเงีย/มาเงียข้าว" โดยมีสิ่งของในการประกอบพิธีดังนี้ น้ำหอม ไก่ต้ม และขนมหวาน หลังจากนั้นต้องไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด เรียกว่า "ทำบุญตักบาตรข้าวใหม่" จึงถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นการทำนาในปีหนึ่งๆ (หน้า 68) นอกจากนี้พวนยังมีความเชื่อตามประเพณีและศาสนาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันดังนี้ 1.ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เช่น การบวช มีทั้งการบวชเป็นภิกษุ เรียกว่า อุปสมบท และการบวชเป็นสามเณร เรียกว่า บรรพชา ซึ่งนิยมบวชในเดือนที่สี่หรือเดือนมีนาคม โดยผู้ชายส่วนใหญ่จะบวชเมื่อเข้าสู่วัยที่สมควร (สามเณรจะบวชเมื่ออายุ13-15 ปี) คนพวนเชื่อว่า การบวชนั้นจะช่วยให้ใกล้ชิดพุทธศาสนาและช่วยให้พ่อแม่พ้นจากการตกนรก (หน้า 114) การทำศพ คนพวนจะไม่เก็บศพคนตายไว้หลายวัน หากมีผู้ตายในตอนเช้า ก็จะนำไปเผาหรือฝังตอนเย็น โดยญาติผู้ตายจะช่วยกันอาบน้ำศพแล้วนำศพนอนหันไปทางทิศใต้หรือทิศตะวันตก แล้วนำผ้ามาขึงรอบศพเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรียกว่า "ดอย" เป็นการป้องกันไม่ให้แมวกระโดดข้ามเพราะเชื่อว่าถ้ามีแมวกระโดดข้ามแล้วศพจะลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงนำศพไปบรรจุในโลง เรียกว่า "โมง" และมีการนิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมว่าต้องนิมนต์พระมาสวดทันทีห้ามรอให้ศพเย็น ส่วนภายในบ้านผู้ตายต้องมีการตั้งขันน้ำส้มป่อยไว้ที่เชิงบันไดสำหรับให้ผู้ที่มาร่วมงานศพใช้พรมศรีษะก่อนกลับบ้านเพราะเชื่อว่าจะทำให้ผีสางที่เกาะอยู่ตามตัวหลุดออกไป สำหรับการเผาศพไม่ว่าจะมีการจัดพิธีที่บ้านหรือวัดก็ต้องย้ายศพมาเผาที่ป่าช้าที่วัด โดยเจ้าของบ้านต้องนำน้ำร้อนมาราดบริเวณที่จะตั้งศพเพื่อไล่วิญญาณที่อยู่ตรงนั้นออกไปก่อน และระหว่างเคลื่อนย้ายศพต้องโปรยข้าวตอกดอกไม้ไปตลอดทางจนถึงวัดเพื่อให้วิญญาณคนตายติดตามมาได้ถูก เมื่อมาถึงป่าช้าจึงนำศพมาตั้งบนกองฟืน เรียกว่า "กองฟอน" แล้วจึงจัดการเผาศพ หากว่าศพนั้นเป็นหญิงที่ตายขณะตั้งครรภ์ต้องนำไปฝังเท่านั้น ภายหลังพิธีเสร็จสิ้นแล้ว ญาติผู้ตายต้องนิมนต์พระสงฆ์ 5 รูปมาเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านในเย็นวันเดียวกัน เรียกพิธีนี้ว่า "ตั้งมังคะละ" เพื่อความเป็นมงคลของบ้าน จากนั้นจะต้องทำบุญ 7 วันที่บ้านด้วย (หน้า 114-115) ประเพณีลงข่วง ข่วงหมายถึงที่โล่งแจ้งสำหรับรวมคน 20-30 คน เพื่อทำงานใดงานหนึ่ง การลงข่วงก็คือการนัดเพื่อนบ้านให้ออกมาทำงานพร้อมกันและยังเป็นการนัดพบของหนุ่มสาวด้วย การลงข่วงจะรวมกันเป็น "ล้อง" อันหมายถึงการรวมกันของบ้านใกล้เคียงกัน งานส่วนใหญ่ที่มารวมกันทำก็คือ การทอผ้า ปั่นด้าย การซ้อมข้าว การแคะเม็ดมะขาม เป็นต้น ทั้งนี้ก่อนการลงข่วงต้องมีการเก็บหลัว หรือ เศษใบไม้เพื่อนำมาก่อกองไฟ โดยในตอนเย็นผู้หญิงจะเดินเก็บหลัวเพื่อให้ผู้ชายรู้ว่าจะมีการลงข่วง การมาร่วมวงของหนุ่มๆ จะต้องร้องเพลงหรือเป่าปากเพื่อให้ผู้หญิงรู้และเตรียมการต้อนรับด้วยการนำน้ำดื่มหรืออาจมีขนมหวานมาวางบริเวณงาน ระหว่างการทำงานจะมีการพูดคุยสนุกสนานกันจนดึก จากนั้นหนุ่มๆ จึงไปส่งสาวๆ กลับบ้าน (หน้า 119) 2. ประเพณีเกี่ยวกับศาสนา เช่น ประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นงานบุญใหญ่ในเดือนอ้ายซึ่งเป็นช่วงที่อากาศแล้งและผู้คนว่างจากการทำนาจึงมีการเดินทางไปหาญาติที่หมู่บ้านใกล้เคียง และมีการทำข้าวจี่ไว้เป็นเสบียง (ข้าวจี่คือข้าวเหนียวปิ้งที่ปั้นเป็นก้อนกลมแล้วนำไปอังไฟจนเหลือง) เวลานี้ชาวบ้านต่างพากันนึกถึงพระภิกษุว่าจะไม่มีใครถวายอาหารเมื่อผู้คนต้องเดินทางออกจากหมู่บ้าน จึงมีการทำข้าวจี่ส่วนหนึ่งไปถวายพระจนเกิดเป็นประเพณีขึ้น ทั้งนี้วันที่ใช้ทำพิธี ชาวบ้านจะกำหนดกับพระภิกษุล่วงหน้าและคืนก่อนที่จะทำบุญ พระภิกษุจะตีกลองปลุกชาวบ้านขึ้นมาทำข้าวจี่ ส่วนวันทำบุญพระภิกษุจะตีกลองตอน 7 โมงเช้าเพื่อเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านไปที่วัด สำหรับข้าวจี่ที่ใช้ทำบุญนี้ต้องทำขึ้นเป็นพิเศษขนาดเท่าไข่ห่านแล้วสอดไส้ด้วยน้ำตาลอ้อย (หน้า 116) ประเพณีทำบุญข้าวห่อหรือข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับและผีไม่มีญาติ ประเพณีนี้จัดในวันพระกลางเดือน 9 โดยในตอนเช้าจะนำข้าวปลามาถวายพระ จากนั้นจึงกลับบ้านไปนำข้าวห่อ ซึ่งประกอบด้วยห่อข้าวที่มีกล้วยหั่นเป็นแว่น กระยาสารท ขนม และ ห่อหมากพลูที่แต่ละห่อมีรายชื่อผู้ตายที่ต้องการอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทั้งห่อข้าวและห่อหมากพลูนี้ต้องนำไปไว้ตามโคนต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณวัด และตามทุ่งนา ส่วนรายชื่อผู้ตายต้องนำไปให้พระบังสุกุลแล้วนำไปเผาไฟ จากนั้นจึงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ ทั้งนี้คนพวนเชื่อว่าเมื่อใกล้วันพระ ผีจะได้รับอนุญาติให้มารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องของตน (หน้า 118)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

หมอยาของพวนเป็นแพทย์แผนโบราณที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น และรักษาคนไข้ตามบ้าน มีวิธีรักษาโดยการตรวจดูอาการคนไข้แล้วจึงค้นหาสรรพคุณของยาที่ตรงกับอาการจากตำราที่นำติดตัวไป แล้วจะคัดลอกชื่อยา (ส่วนมากเป็นรากไม้ ใบไม้ที่มีทั่วป่า) ให้ญาติคนไข้ไปหามา หากยานั้นสามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นก็จะให้กินต่อไปจนหาย แต่ถ้ายาที่หามาได้มีสรรพคุณไม่ตรงกับโรคต้องดูตำรากันใหม่ แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้นอีก ญาติคนไข้จะต้อง "ตั้งคาย" ด้วยการจัดเตรียมเงินทองและทำพิธีบูชาครูเพื่อให้หมอดูแลคนไข้อย่างเต็มที่จนกว่าคนไข้จะอาการดีขึ้น เมื่ออาการดีขึ้นแล้วญาติคนไข้จะนำขันข้าวไปให้หมอเรียกว่า "คืนขันข้าว" และหมอยาจะทำพิธีบูชาครูอีกครั้งและคืนเงินขันข้าวครึ่งหนึ่งให้ญาติคนไข้ หากว่าหลังจากตั้งขันข้าวแล้วอาการคนไข้ยังไม่ดีขึ้น หมอยาอาจบอกเลิกการรักษาได้แล้วบอกให้ญาติคนไข้คว่ำขันข้าว ทั้งนี้ญาติคนไข้สามารถคว่ำขันข้าวได้เองก่อนที่คนไข้จะเสียชีวิตหากว่าอาการของคนไข้หนักมากจนอาจถึงแก่ความตาย เพราะคนพวนถือว่าไม่ควรให้คนไข้ "ตายทับขันข้าว" นอกจากนี้ การรักษาอาการเจ็บป่วยบางครั้งยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผีสางด้วย เช่น หากเด็กร้องไห้มากจนพ่อแม่ปลอบโยนไม่สำเร็จ ก็ต้องไปเชิญแม่เฒ่าอายุ 60-70 ปี มาทำพิธีทิ้งข้าว ด้วยการปั้นข้าวสุกเป็นก้อน เพื่อใช้ลูบตามตัวเด็กจากศรีษะถึงปลายมือ ปลายเท้า ขณะเดียวกันก็เรียกผีสางให้มากินก้อนข้าวแล้วจากไปเสีย อย่ามากวนเด็กอีก เมื่อแม่เฒ่ากล่าวเสร็จแล้วจะบ้วนน้ำลายใส่ก้อนข้าวแล้วโยนทิ้งไปทางทิศตะวันตก เป็นต้น (หน้า 107-108)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้หญิงพวนนิยมนุ่งผ้าซิ่นตีนจกและผ้าลายตามขวาง ห่มผ้าแถบหรือใช้ผ้าขาวม้ารัดอกที่เรียกว่า "แห้งตู้" เกล้ามวยผม และสวมกำไล (หน้า 69) ส่วนผู้ชายพวนนุ่งกางเกง ใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่าหรือคาดเอว แต่เมื่อเวลาออกไปทำนา ทั้งชายและหญิงต้องสวมเสื้อสีดำหรือสีน้ำเงิน โดยผู้ชายสวมเสื้อแค่ศอกไม่รัดตัว ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อรัดตัวแขนยาวถึงข้อมือ และมีกระดุมเสื้อที่เป็นเงินโบราณหนักเม็ดละ 1 สลึง หรือ 1 เฟื้อง แต่ถ้าใครไม่มีกระดุมโบราณก็จะจ้างช่างทำเลียบแบบแทน ผ้าที่ใช้ย้อมสีจากรากไม้ ใบไม้ เปลือกไม้ ดอกไม้ ผลไม้ เพื่อให้ได้สีธรรมชาติ เช่น สีดำได้จากลูกมะเกลือ สำหรับการแต่งกายของเด็กพวน เด็กผู้ชายจะสวมกางเกงและเสื้อที่ทอเอง และสวมกำไลเท้าจนอายุ 16ปี จึงเลิกสวม ส่วนเด็กผู้หญิงสวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าซิ่นหรือโจงกระเบน สวมกำไลมือ เรียกว่า "กองแหน" และ กำไลเท้า เรียกว่า "กำไลข่ง" ที่ทำจากทองคำ โดยจะเลิกสวมเมื่อแต่งงานเพราะมีประเพณีว่าเมื่อหญิงแต่งงานแล้วจะไม่ประดับร่างกายด้วยเครื่องเงินและทอง ยกเว้นเมื่อไปเยี่ยมพ่อ แม่ของสามี (หน้า 69) พวนนิยมแต่งกายด้วยผ้าทอที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ ลายเบี้ยง ลายตะขอ ลายซุ้มปราสาท เป็นต้น (หน้า 4) ผ้าทอของพวนจะทอด้วยฝ้ายที่ปลูกและนำมาย้อมสีเองและทอด้วยกี่กระตุก สำหรับลวดลายผ้าทอของพวนมี 5 แบบ ดังนี้ 1.ผ้าลายน้ำไหลหรือสายฝนที่ได้แนวความคิดมาจากลักษณะของน้ำที่ไหลแรงหรือสายฝน สีของผ้าเป็นสีเข้มและสีของลายจะอ่อนกว่าเล็กน้อย ลายจะเป็นเส้นหยักขนาดเล็กมากตลอดทั้งผืน ความงามของลายน้ำไหลอยู่ที่ความระยิบระยับของลวดลาย 2.ผ้ามัดหมี่ลายโลด เป็นผ้าที่มีลวดลายและดอกกระจายเต็มผืน ลวดลายจะอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน บางผืนจะมีสีพื้นและสีของลายกลมกลืนกัน แต่บางผืนก็จะมีสีที่ตัดกัน แต่ชายผ้าจะเป็นสีพื้นเรียบ 3.ผ้ามัดหมี่ลายเปี่ยง เป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นดอกชัดเจน และลายดอกจะวางอยู่ในแถบที่วางห่างกันประมาณ1เท่าครึ่งของความกว้างของแถบลาย ช่องระหว่างแถบเป็นผ้าพื้นสีสดใสที่อาจมีเส้นหมี่ยอดสีเหลือง ดำ แดง ขาว ที่ทำด้วยการมัดย้อมนำมาทอแทรกลงไประหว่างแถบอยู่บ้าง 4.ผ้ามัดหมี่ลายล้าย เป็นผ้าที่มีลวดลายดอกอยู่ในแถบเช่นเดียวกับหมี่ลายเปี่ยง แต่มีแถบที่แคบกว่า ตรงที่ว่างระหว่างแถบจะมีเส้นหนาประมาณหมี่สี่ลำที่อาจย้อมสีเดียวหรือมัดหมี่สี่สี ได้แก่ เหลือง ขาว ดำ แดง ทอแทรกเป็นระยะซึ่งจะทอแบบยกขิตหรือไม่ยกก็ได้ เส้นแถบสี่สีจะให้ความรู้สึกคล้ายระลอกคลื่นในทะเล 5.ผ้าแบบมีเชิง สีของผ้าเป็นสีพื้นเรียบสีเข้ม มีลวดลายเล็กๆ บ้าง ส่วนด้านล่างของผ้าทอด้วยไหมสีสดเป็นรูปเลขาคณิต บางผืนอาจมีเนื้อที่ของเชิงที่กว้างและทอด้วยลวดลายหรูหรา (หน้า 102-104) สำหรับเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของพวนที่ปรากฎในวัดที่สร้างขึ้นเป็นวัดประจำหมู่บ้านในไทยนั้น พบว่ามีการสร้างพระประธานตามแบบศิลปะล้านช้าง และการจัดวางพระประธานที่มีความเรียบง่าย ต่างจากความเชื่อตามพุทธศาสนาแบบไทย ตามฝาผนังของพระอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงพวนนุ่งผ้าซิ่นตีนจกและผ้าลายตามขวาง เกล้ามวยผม และสวมกำไล (หน้า 66-67)

Folklore

ตำนานเมืองพวนกล่าวไว้ว่า ขุนบัลลินนัว กษัตริย์องค์แรกในแผ่นดินลาวมีโอรสพระองค์แรกเป็นเจ้าเมืองหลวงพระบาง องค์ที่สองเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์ องค์ที่สามเป็นเจ้าเมืองพวน องค์ที่สี่เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่และองค์ที่ห้าเป็นเจ้าเมืองเขมร เจ้าเมืองพวนพระองค์แรกมีพระนามว่า เจ้าหลวง เมื่อเจ้าหลวงสิ้นพระชนม์ เจ้าชมภูพระโอรสของเจ้าหลวงได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน แต่สถานะของเมืองพวนเวลานั้นตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองหลวงพระบางจึงต้องส่งเครื่องราชบรรณาการแก่หลวงพระบางทุกปี ขณะเดียวกันเจ้านันทเสน เจ้าเมืองเวียงจันทน์ได้ยกทัพมาตีเมืองพวนและรับสั่งให้ประหารชีวิตเจ้าชมภู แต่เกิดปาฏิหารย์ขึ้นขณะจะทำการประหารชีวิต ดังนั้น เจ้านันทเสนจึงปล่อยตัวเจ้าชมภูให้กลับไปปกครองเมืองพวน หากแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้เมืองเวียงจันทน์ด้วย เมื่อเจ้าชมภูสิ้นพระชนม์ เจ้าเสียงโอรสของเจ้าชมภูจึงขึ้นครองราชย์แทน กระทั่งเจ้าเสียงสิ้นพระชนม์จึงได้เจ้าน้อยพระโอรสของเจ้าเสียงขึ้นครองราชย์ หลังจากนั้นเจ้าก่ำพระโอรสของเจ้าน้อยได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าเมืองพวนตามลำดับ (หน้า 6) ส่วนพงศาวดารล้านช้างและพงศวดารเมืองพวนได้กล่าวถึงผู้ก่อตั้งเมืองพวนว่าชื่อ ขุนเจ็ดเจือง เป็นผู้สร้างเมืองพวน และขุนลอเป็นผู้สร้างเมืองหลวงพระบางได้แบ่งเขตแดนระหว่างเมืองพวนและเมืองหลวงพระบางโดยสาบานต่อกันว่าจะไม่แย่งชิงดินแดนกัน แต่ในช่วงปีศักราช 945 เจ้าเมืองคำเกิดได้กระทำความผิดต่อเจ้าเมืองพวนจึงต้องยกดินแดนเมืองคำเกิดทั้งหมดให้เมืองพวนเนื่องจากไม่มีค่าปรับไหม ในปีศักราช 1542 เจ้าสุวรรณบัลลังก์ได้ขึ้นครองเมืองหลวงพระบาง และแบ่งดินแดนบางส่วนให้แก่เมืองพวน รวมทั้งในปีศักราช 1560 เจ้าเชฐวังโศได้ยกดินแดนหลวงพระบางบางส่วนให้แก่เมืองพวนอีก จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เมืองพวนมีอาณาเขตขยายมาจนจรดกับทางตอนเหนือของเมืองเวียงจันทน์ (หน้า 6,8)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

เมื่อพวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยระยะแรกยังคงถูกปกครองจากทางการไทยด้วยระบบไพร่และมีการกำหนดเขตที่อยู่อาศัย โดยไม่อนุญาตให้ย้ายไปอยู่เมืองต่างๆ ตามใจ ดังนั้นจึงยังไม่มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตเป็นแบบไทย จนเมื่อระบบไพร่ถูกยกเลิก ทำให้พวนสามารถย้ายถิ่นได้ง่ายขึ้นจึงทำให้เกิดความใกล้ชิดกับสังคมคนไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการที่ทั้งพวนและไทยมีประเพณีต่างๆ คล้ายกัน จึงเกิดการผสมกลมกลืนระหว่างพวนกับไทยมาจนปัจจุบัน (หน้า 70)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองพวน หน้า 1 2. แผนที่แสดงการกวาดต้อนชาวพวนเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย หน้า 54 3. แผนที่แสดงที่ตั้งของชาวพวนในราชอาณาจักรไทย หน้า 55 4. ภาพผ้าลายสิบสองดอกหรือสิบสองขอ หน้า 125

Text Analyst วิริยา วิฑูรย์สฤษฎ์ศิลป์ Date of Report 09 พ.ค. 2556
TAG พวน, การปกครอง, มูลนาย, ไพร่, Houaphan, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง