|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่, ม้ง, ชาวเขา,การวางแผนครอบครัว,จารีตประเพณี,ความเชื่อ,โครงการหลวง,ภาคเหนือ |
Author |
มงคล จันทร์บำรุง, สมเกียรติ จำลอง, อิฐศักดิ์ ศรีสุโข, ทรงวิทย์ เชื่อมสกุล |
Title |
สังคมจารีตประเพณีและการยอมรับการวางแผนครอบครัว : ศึกษากรณีชาวเขาในเขตโครงการหลวง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
78 |
Year |
2542 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ส่งผลต่อการยอมรับการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัวของชาวเขา เนื่องจากชาวเขาเผ่ามูเซอและม้งมีระบบการผลิตกึ่งยังชีพแบบดั้งเดิมเป็นหลัก แรงงานในครัวเรือนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิต อีกทั้งชาวเขายังให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ สังคมม้งถือว่าการมีบุตรมากหรือมีบุตรหลายคนเป็นหลักประกันว่าจะมีผู้เลี้ยงดูตนในบั้นปลายชีวิต ไปจนถึงชีวิตหลังความตาย นอกจากนี้ ชาวเขาเผ่ามูเซอและม้งยังให้ความสำคัญต่อเพศของบุตรแตกต่างกัน มูเซอให้ความสำคัญกับลูกสาวมากกว่าลูกชาย เพราะเมื่อแต่งงานแล้วสามีต้องมาเป็นแรงงานให้ที่บ้านฝ่ายหญิง ส่วนสังคมม้งต้องมีลูกชายเป็นผู้สืบสกุล ดูแลครอบครัวและเลี้ยงดูพ่อแม่ยามชรา ยิ่งมีบุตรชายมากเท่าใดก็ยิ่งมีความมั่นคงมาก นอกจากนี้ลักษณะพิเศษของสังคมมูเซอคือ ค่อนข้างให้อิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับคู่ครองสูง การแต่งงานหรือการหย่าร้างกระทำได้ง่าย สตรีมูเซอจึงไม่นิยมคุมกำเนิดแบบทำหมันถาวร อย่างไรก็ดี ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคุมกำเนิด ทุกหมู่บ้านชาวเขาที่ทำการศึกษา พบว่ามีจำนวนประชากรวัยเด็กมากกว่าวัยอื่น ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบที่ตามมาเช่น เป็นภาระในการเลี้ยงดู เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ที่จบชั้นประถมไม่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับสูงเพื่อนำไปประกอบวิชาชีพ อีกทั้งยังขาดพื้นที่ทำกินรองรับอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร |
|
Focus |
มุ่งศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากจารีตประเพณีดั้งเดิมของชาวเขาซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวเขาไม่นิยมการคุมกำเนิด และปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการยอมรับการวางแผนครอบครัว รวมถึงศึกษาผลกระทบของการมีบุตรมาก |
|
Ethnic Group in the Focus |
มูเซอ เรียกตัวเองว่า "ลาหู่" ชาวเขาเผ่ามูเซอมี 23 กลุ่ม สำหรับประเทศไทยมี 7 กลุ่ม ประกอบด้วยมูเซอแดง (ลาหู่ญี) มูเซอดำ (ล่าหู่นะ) มูเซอเหลือง (ล่าหู่ฌีบาหลา) มูเซอกุ้ย (ลาหู่ฌีบาเกียว) มูเซอขาว (ล่าหู่ฟู) มูเซอล่าบ้า (หน้า 9) ม้ง ชาวเขาเผ่าม้งในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ม้งน้ำเงิน ม้งเขียว และม้งขาว แบ่งกลุ่มตามเครื่องแต่งกาย สำเนียงภาษาพูด ปัจจุบันม้งในประเทศไทยมี 16 แซ่ (หน้า 21) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามูเซอจัดอยู่ในตระกูลจีน - ธิเบต เป็นคำโดด เป็นภาษาพูดที่ไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด (หน้า 9) ภาษาม้งหรือภาษาของชาวเขาเผ่าม้ง กล่าวไว้เพียงว่า ม้งแต่ละกลุ่มย่อยมีภาษาพูดที่มีสำเนียงต่างกันเล็กน้อย (หน้า 21) สำหรับคำเรียก "แม้ว" หรือ "เหมียว" เป็นคำภาษาจีน แต่ม้งจะเรียกตัวเองว่า "ม้ง" ม้งบางกลุ่มคิดว่าคำเรียก "แม้ว" เป็นชื่อเรียกที่ดูถูก จึงชอบให้ชนเผ่าอื่นเรียกตัวว่า "ม้ง" (หน้า 19) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มูเซอ (LAHU) มูเซอมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณใกล้พรมแดนของประเทศธิเบต แล้วอพยพเคลื่อนย้ายไปทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ต่อจากนั้นได้อพยพเข้าสู่แคว้นเชียงตุงประเทศเมียนมาร์ และเข้าสู่ไทยเมื่อประมาณร้อยกว่าปีมานี้ มูเซอมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ทั้งยังชอบอพยพเร่ร่อนมากกว่าชนเผ่าอื่น (หน้า 9) ประวัติการตั้งถิ่นฐานของชาวเขาเผ่ามูเซอหมู่บ้านห้วยโป่ง เดิมมีภูมิลำเนาอยู่ที่ดอยช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย อพยพไปอยู่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วย้ายอพยพไป จังหวัดตาก ต่อมาอพยพไปอยู่ที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง แล้วย้ายไปบ้านแม่โถ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย จนเมื่อปี พ.ศ. 2514 ได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่บ้านห้วยโป่ง (หน้า 29) ประวัติการตั้งถิ่นฐานของมูเซอหมู่บ้านห้วยม่วง ชาวบ้านกลุ่มแรกเดิมอยู่ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ต่อมาอพยพไปเชียงราย ตาก ลำปาง แล้วกลับมาเชียงราย บริเวณต้นน้ำแม่โถ อำเภอเวียงป่าเป้า แล้วอพยพมาตั้งหมู่บ้านที่ดอยมด ก่อนอพยพมาอยู่บ้านห้วยม่วงเมื่อปี พ.ศ. 2518 (หน้า 34) ม้ง (Hmong) ถิ่นฐานเดิมของม้งอยู่ในจีนหลายพันปี คำเรียก "แม้ว" หรือ "เหมียว" เรียกตามคำจีน ส่วนม้งนิยมเรียกตนเองว่า "ม้ง" และบางกลุ่มนิยมให้ชนเผ่าอื่นเรียกตัวเองเช่นนั้น เพราะม้งบางกลุ่มมองว่า "แม้ว" เป็นชื่อเรียกแบบดูหมิ่น ประวัติศาสตร์ของจีนกล่าวว่า พวกม้งเคยอาศัยอยู่ตามแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำเหลืองและแม่น้ำแยงซี บริเวณอำเภอ "ลำธารห้าสาย" ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน หลังจากม้งสู้รบพ่ายแพ้พวกจีนเผ่าโบราณแล้ว ส่วนหนึ่งได้อพยพไปทางทิศตะวันตกของจีนจนมาถึง ที่ซึ่งม้งอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ม้งกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ แต่ก็สามารถรักษาเอกลักษณ์ความเป็นเผ่าพันธุ์ไว้ได้ ในสมัยราชวงศ์ชิง (1644-1911) พวกแมนจูใช้นโยบายกดขี่ม้ง แต่ม้งได้ต่อสู้ขัดขืนเป็นกบฏ ในศตวรรษที่ 19 ม้งบางส่วนได้อพยพลงมาทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้อพยพเข้ามาอยู่ทางแถบภูเขาตอนเหนือของเวียดนาม ลาว ไทย พม่า โดยเข้ามายังประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 1889 จากทางฝั่งลาวแถบอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย และอำเภอทุ่งช้าง จ.น่าน (หน้า 19-20) ประวัติการตั้งถิ่นฐานของม้งหมู่บ้านห้วยลึก เดิมพื้นที่ตั้งเป็นไร่ของชาวพื้นราบซึ่งได้ย้ายหมู่บ้านไปทางทิศใต้ ม้งกลุ่มแรกมาจากบ้านแม่โถจำนวน 43 ครอบครัว มีนายซู่จู่ แซ่จางเป็นผู้นำการอพยพเข้ามาเมื่อปี 2518 กลุ่มที่อพยพเข้ามาเป็นแซ่สกุลหางและจาง ต่อมากลุ่มแซ่ลีได้อพยพมาจากบ้านสันป่าเกี๊ยะ อำเภอเชียงดาว กลุ่มผู้อพยพเล่าว่า แต่เดิมเมื่ออยู่หมู่บ้านแม่โถพวกนี้ปลูกฝิ่น ปลูกข้าวและข้าวโพด ต่อมารัฐบาลไทยเข้มงวดเรื่องการปลูกฝิ่น ทำให้ชาวบ้านประสบปัญหาที่ดินทำกิน ยิ่งเมื่อรัฐนำพื้นที่ของพวกเขาไปปลูกป่าก็ยิ่งทำให้ที่ทำกินลดลงไป เมื่อชาวบ้านถวายฎีกา ในหลวงทรงรับสั่งให้หาพื้นที่แห่งใหม่ ชาวบ้านได้เลือกพื้นที่บ้านห้วยลึกเพราะติดเส้นทางคมนาคม สามารถขนส่งผลผลิตได้สะดวก แต่ก็ไม่สามารถเพาะปลูกแบบเดิมได้อีก ทางการได้เข้าไปส่งเสริมให้ปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนฝิ่น กลุ่มแรกได้จัดสรรที่ดินทำกินจำนวน 6 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ดินที่มีน้ำ กลุ่มที่ย้ายมาทีหลังได้รับการจัดสรรพื้นที่ทำกินที่ไม่มีน้ำ ครอบครัวละ 5 ไร่ (หน้า 39-40) ประวัติการตั้งถิ่นฐานของม้งหมู่บ้านบวกจั่น ชาวเขาเผ่าม้งกลุ่มแซ่เถ้า และแซ่ว่างจากบ้านห้วยน้ำจาง จ.เชียงใหม่ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อปี 2514 มีม้งกลุ่มเล็กๆ จากหลายแห่ง อาทิ บ้านแม่โถและบ้านปางอุ๋ง จ.เชียงใหม่ ทยอยอพยพเข้ามาอยู่กับ ญาติที่บ้านบวกจั่น เนื่องจากต้องการอยู่ใกล้แหล่งความเจริญ มีพื้นที่ว่างมาก และสามารถติดต่อกับชุมชนภายนอกได้สะดวก เนื่องจากมีถนนผ่านหมู่บ้าน (หน้า 46-47) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชาวเขาเผ่ามูเซอ บ้านห้วยโป่งมักตั้งบ้านเรือนตามจารีตดั้งเดิม กล่าวคือ เป็นเรือนยกพื้นใต้ถุนสูงเกือบ 2 เมตร เสาทำจากไม้เนื้อแข็ง พื้นใช้ไม้ไผ่ ใช้หญ้าคามุงหลังคา ส่วนชาวบ้านห้วยม่วง มักตั้งบ้านเรือนกันอยู่อย่างหนาแน่นตามที่ลาดเชิงเขาเรียงรายสองข้างทาง มักปลูกเรือนยกพื้นตามจารีตสร้างแบบถาวรด้วยไม้ทั้งหลัง ใช้กระเบื้องมุงหลังคาและใช้วัสดุท้องถิ่น (หน้า 27, 32) ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชาวเขาเผ่าม้ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ของบ้านห้วยลึกนิยมตั้งบ้านเรือนอยู่กันอย่างค่อนข้างแออัด เพราะหมู่บ้านตั้งอยู่บนที่ราบแคบๆ สร้างบ้านแบบคร่อมดินชั้นเดียวตามวัฒนธรรมเดิมของชนเผ่า การคมนาคมค่อนข้างสะดวกเพราะหมู่บ้านตั้งอยู่ริมถนนสายหลัก หมู่บ้านบวกจั่น มีลักษณะการตั้งบ้านเรือนกระจายกันอยู่เป็นกลุ่มๆ บนยอดเนินเล็กๆ ตามสภาพภูมิประเทศ ปลูกเรือนครอมบนพื้นดินเป็นรูปทรงตามจารีต วัสดุที่ใช้ปลูกบ้านมีลักษณะกึ่งถาวร หาได้ในท้องถิ่น การคมนาคมค่อนข้างติดต่อกับภายนอกชุมชนได้สะดวก (หน้า 37, 45) |
|
Demography |
จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2542 ชาวเขาเผ่ามูเซอ (ลาหู่) มีจำนวนทั้งสิ้น 84,262 คน คิดเป็น 419 หมู่บ้าน กระจายตัวอยู่ในเขตจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร ลำปาง และเพชรบูรณ์ นับว่ามีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของประชากรชาวเขาในประเทศไทย รองจากกระเหรี่ยงและม้ง สำหรับอัตราการยอมรับการวางแผนครอบครัวจากการสำรวจเมื่อปีพ.ศ. 2539 ของเผ่ามูเซอคิดเป็นร้อยละ 59.9 และเผ่าม้งคิดเป็นร้อยละ 39.9 (หน้า 6, 9) หมู่บ้านชาวเขาซึ่งเป็นกรณีศึกษาการวางแผนครอบครัวโครงการหลวงระหว่างเดือนตุลาคม 2540 - กันยายน 2541 หมู่บ้านชาวเขาเผ่ามูเซอ (เฌเล) อาทิ หมู่บ้านห้วยโป่งและหมู่บ้านห้วยม่วง ในเขตอำเภอเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย หมู่บ้านห้วยโป่งมีจำนวนประชากร 56 หลังคาเรือน คิดเป็นประชากรชาย 129 คน หญิง 135 คน ครอบครัวยากจน 6 ราย คนขาพิการ 1 คนและเป็นใบ้ 1 คน ประชากรที่มีบัตรประชาชน 94 คน มีบัตรชาวเขา 74 คน เด็กที่ได้รับสัญชาติ 45 คน เด็กที่ยังไม่ได้รับสัญชาติ 35 ประชากร ช่วงอายุ 15-44 ปีที่ไม่ได้เรียนหนังสือคิดเป็นร้อยละ 70.96 ประชากรส่วนใหญ่จบชั้น ป.1- ป.6 คิดเป็นร้อยละ 20.9 สำหรับหมู่บ้านห้วยม่วงมีจำนวน 62 หลังคาเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 307 คน เป็นชาย 155 คน หญิง 152 คน ชาวบ้านที่ได้รับสัญชาติไทย มีจำนวน 256 คน คิดเป็นชาย 130 คน หญิง 126 คน ประชากรที่มีบัตรประชาชน 144 คน ประชากรช่วงอายุ 15- 44 ปีที่ไม่ได้เรียนหนังสือ คิดเป็นร้อยละ 69.6 ประชากรวัยเรียนช่วงอายุ 5-24 ปี จำนวนนักเรียนบ้านห้วยม่วงทั้งหมด 172 คน เป็นชาย 95 คน หญิง 77 คน ระดับประถมศึกษาคิดเป็นร้อยละ 28.9 และที่ไม่ได้เรียนหนังสืออีกร้อยละ 59.3 (หน้า 27- 29, 31, 33-34, 36) สำหรับชาวเขาเผ่าม้ง บ้านห้วยลึก อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวม้ง(ตระกูลหาง ตระกูลจางและแซ่ลี) ที่อพยพมาพื้นที่อื่น เช่น บ้านแม่โถ อำเภอฮอด และบ้านสันป่าเกี๊ยะ อำเภอเชียงดาว เป็นกลุ่มชาวบ้านพื้นราบหรือคนเมือง 13 หลังคาเรือน หมู่บ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการหลวงจัดสรรให้จำนวน 43 หลังคาเรือน จากการสำรวจประชากรทั้งหมดมีจำนวน 973 คน เป็นชาย 496 คน หญิง 477 คน คิดเป็น 118 หลังคาเรือน ประชากรช่วงอายุ 15 - 44 ปี ที่ไม่ได้เรียนหนังสือคิดเป็นร้อยละ 53.3 ที่ได้รับการศึกษาระดับชั้นประถมมีจำนวนสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 34.96 สำหรับประชากรในวัยเรียนระดับประถมศึกษามีจำนวนสูงสุดร้อยละ 22.2 และที่ไม่ได้เรียนหนังสือคิดเป็นร้อยละ 47.61 (หน้า 38, 39, 44) ชาวเขาเผ่าม้งบ้านบวกจั่น อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ สำรวจพบหมู่บ้าน 69 หลังคาเรือน เป็นชาย 346 คน หญิง 360 คน มีจำนวนประชากร 706 คน ประชากรช่วงอายุ 15 - 44 ปี ที่ไม่ได้เรียนหนังสือคิดเป็นร้อยละ 55.4 ชั้นประถมศึกษา 35.6 ประขากรวัยเรียนบ้านบวกจั่นช่วงอายุ 15.44 ปีที่ไม่ได้เรียนหนังสือคิดเป็นร้อยละ 42.6 และประชากรวัยเรียนระดับประถมศึกษาคิดเป็นร้อยละ 37.2 (หน้า 45, 49) |
|
Economy |
ชาวเขาบ้านห้วยโป่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ชาวบ้าน 49 ครัวเรือนปลูกข้าวไร่เพื่อการบริโภคคิดเป็นร้อยละ 87.5 ชาวบ้าน 52 ครัวเรือนปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้ขาย คิดเป็นร้อยละ 92.85 นอกจากนี้ โครงการหลวงยังได้นำพืชเศรษฐกิจอาทิ หอมญี่ปุ่น แตงกวาญี่ปุ่น มะเขือม่วง สลัดปลี ผักกาดขาวปลี ไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ผลยืนต้น อาทิ พลับ บ๊วย เสาวรส ลิ้นจี่ มาส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูก พร้อมจัดหาเงินลงทุน ทั้งยังช่วยจัดหาตลาดให้ นอกจากนี้ ยังมีการทดลองปลูก อาโวคาโดและส้มเขียวหวานอีกด้วย ชาวบ้านเลี้ยงสัตว์ประเภทหมู ไก่ใช้ประกอบพิธีกรรมตามจารีต มีไม่กี่ครัวเรือนที่เลี้ยงเป็ด ส่วนเวลาว่างจากงานไร่ก็จะไปรับจ้างหมู่บ้านใกล้เคียง มี 4 รายที่ทำงานประจำกับโครงการหลวง ชาวบ้านบางส่วนเก็บน้ำผึ้งป่าและหน่อไม้ขาย (หน้า 30-31) ชาวเขาบ้านห้วยม่วงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรเป็นอาชีพหลัก 60 ครัวเรือนปลูกข้าวไร่ไว้บริโภค และปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้ขาย ชาวบ้านส่วนใหญ่เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ และประกอบอาชีพรับจ้างเป็นอาชีพเสริม (หน้า 35) ชาวเขาบ้านห้วยลึกได้รับการสนับสนุนจากโครงการหลวงให้ปลูกไม้ดอกหลายชนิด อาทิ มะเขือเทศและผักสลัดปลี นอกจากนี้ยังประกอบอาชีพหลัดด้านการเกษตร รับจ้างและค้าขาย พืชที่ปลูกมีทั้งข้าวไร่เพื่อบริโภคในครัวเรือน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งยังมีพืชเศรษฐกิจ อาทิ แตงกวา กะหล่ำปลี มะเขือเทศ แคนตาลูป และไม้ดอกต่างๆ ชาวบ้านจำนวน 30 ครอบครัวไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ประมาณ 15-20 ครอบครัวในกลุ่มนี้ประกอบอาชีพรับจ้างรายวัน ได้รับค่าแรงวันละ 80-120 บาท ชาวบ้านประมาณ 15-16 ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายสินค้าหัตถกรรมประเภทเครื่องประดับเงินที่รับซื้อมาจากเย้า และรูปหล่อพระพุทธรูปที่ตัวเมืองเชียงใหม่ กรุงเทพฯ หนองคาย ภูเก็ต (หน้า 41, 43) |
|
Social Organization |
การแต่งงานของมูเซอ มูเซอเฌเลนิยมแต่งงานกับคนในเผ่าเดียวกัน ไม่นิยมแต่งงานกับคนเผ่าอื่นหรือคนพื้นราบ สังคมมูเซอยึดถือการแต่งงานระบบผัวเดียวเมียเดียว เด็กมูเซอจะหัดเรียนกลอนเกี้ยวกันตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไป และได้รับการสอนให้รู้จักข้อห้ามตามประเพณีต่าง ๆ อาทิ ห้ามหนุ่มสาวที่แอบไปนอนค้างคืนนอกหมู่บ้านกลับเข้าบ้านเกินรุ่งเช้าของอีกวัน หากทั้งคู่สมัครใจไปด้วยกัน จะต้องบอกกล่าวปู่จารให้รับรู้ถือเป็นการหมั้นหมายกันไว้ก่อนหรือนำใบชาไปวางไว้บนบ้านของปู่จาร มิฉะนั้นอาจถือว่าผิดประเพณี หนุ่มสาวจะมีโอกาสเกี้ยวกันตอนกลางคืน เมื่อญาติผู้ใหญ่หลับแล้วโดยจะนัดกันไปคุยกันที่นอกเรือน เมื่อพอใจกันก็มักจะมอบสิ่งของส่วนตัวให้ไว้เป็นเหมือนของหมั้น หากฝ่ายใดผิดสัญญาไปยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น ต้องคืนของหมั้นให้ผู้เป็นเจ้าของไป หญิงมูเซอมักทำพิธีแต่งงานกันเมื่อฝ่ายชายอายุ 15 -16 ปี และฝ่ายหญิงอายุ 14 -15 ปี การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ถือเป็นการเสื่อมเสียตามประเพณี แต่หากมีคนพบเห็นทั้งคู่อาจถูกปรับไหม (หน้า 14-15) การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ต้องแต่งงานกันทุกคู่ บางคู่อาจต้องเลิกร้างกันไปหากผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในการแต่งงานสมัยก่อนจะใช้เงินเพียง 50 - 100 บาท แต่หากฝ่ายชายเป็นคนต่างหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายจ่าย เจ้าบ่าวต้องทำงานรับใช้พ่อตาแม่ยาย 3 - 4 ปีก่อน จึงแยกเรือนได้ หากบ้านนั้นมีลูกโทนก็พาผู้หญิงมาอยู่กับครอบครัวฝ่ายชายได้ ข้อห้ามเกี่ยวกับการแต่งงาน อาทิ ห้ามน้องสามี กับน้องภรรยาติดต่อกันในทางชู้สาว ห้ามผู้ที่แต่งงานแล้วไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองของตน เว้นแต่จะหย่าขาดจากภรรยาแล้ว ห้ามญาติใกล้ชิดไม่เกิน 3 ชั่วคนแต่งงานกันเอง ห้ามแต่งงานกับน้องสาวภรรยาแม้จะหย่าขาดจากภรรยาแล้ว ห้ามคู่พี่น้องสามีและภรรยาแต่งงานกันเอง เพราะเชื่อว่าคู่ของน้องอาจทำมาหากินลำบาก ผู้หญิงที่หย่าร้างหรือเป็นหม้ายไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย ทำให้ไม่มีหญิงที่เป็นเมียน้อยเพราะหากไม่พอใจก็หย่ากับคู่สมรสเดิมก่อน แล้วแต่งงานใหม่ได้ โดยผู้อาวุโสและหัวหน้าหมู่บ้านจะเข้าไกล่เกลี่ยก่อน บางรายหย่ากันแล้วกลับมาแต่งงานกันใหม่ (หน้า 15-16) สาเหตุการหย่าร้างที่พบมีหลายแบบ เช่น หญิงหรือชายแอบไปชอบพอคนอื่น หญิงหรือชายมีชู้ ชายติดยาเสพติดไม่ทำการทำงาน ลูกเขยทะเลาะกับพ่อตาแม่ยาย สามีอ้างว่าภรรยาป่วยบ่อยหรืออาจเกิดจากทั้งคู่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ขาดความพร้อมในการใช้ชีวิตคู่การแบ่งทรัพย์สินมรดก หากคู่บ่าวสาวไม่ได้ประกอบพิธีแต่งงานก็ให้แบ่งทรัพย์สินกันคนละส่วน ลูกสาวอยู่กับแม่ ลูกชายอยู่กับพ่อ หากเป็นการฟ้องหย่ากับหัวหน้าหมู่บ้าน มีการหักค่าปรับไหมร้อยละสิบเข้ากองกลางหมู่บ้านตามประเพณี ผู้ต้องการหย่าจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ ทั้งยังต้องเสียค่าปรับตามประเพณี หากสาเหตุการหย่าร้างคือการมีชู้ ชาวบ้านจะซุบซิบนินทากันอย่างเปิดเผย หัวหน้าหมู่บ้านจะเรียกทั้งคู่มาลงโทษปรับไหมตามกฎเกณฑ์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ชายหญิงมูเซอมีสถานภาพทางสังคมไม่เหลื่อมล้ำกันนัก ชายหญิงค่อนข้างมีอิสระในการตัดสินใจเรื่องส่วนตัว ทำให้พบการหย่าร้างค่อนข้างสูง เนื่องจากการหย่าร้างสามารถทำได้ง่าย ผู้หญิงมูเซอที่แต่งงานแล้วจึงไม่นิยมทำหมันถาวร เพราะหากหย่าร้างกับสามีปัจจุบันแล้วเกรงจะไม่มีผู้ชายมาแต่งงานด้วยเนื่องจากไม่สามารถมีบุตรได้ สำหรับอุดมคติเกี่ยวกับครอบครัวที่ดีของมูเซอคือ มีลูกที่ฟังคำพ่อแม่ (หน้า 16-17, 62-63) การแต่งงานของม้ง ม้งยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เด็กหนุ่มสาววัยรุ่น 13-14 ปีจะมีการเกี้ยวพาราสีเวลากลางคืน หลังอาหารมื้อเย็น การเกี้ยวพาราสีหากทั้งสองฝ่ายพึงพอใจกันก็อาจนำไปสู่การแต่งงานได้ ปกติฝ่ายชายจะพาฝ่ายหญิงไปที่บ้านของฝ่ายชาย และหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นที่เชื่อถือไปเจรจาแจ้งให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงรับทราบ หากเกินกำหนด 3 วัน หากฝ่ายชายไม่ไปแจ้งให้ทราบถือเป็นการละเมิดประเพณีต้องมีการปรับไหม หากหญิงสาวไปมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มแล้วเกิดตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน ต้องรีบแต่งงานเพื่อให้ลูกที่เกิดมามีพ่อ หากพิสูจน์ได้ว่าฝ่ายชายเป็นคนทำให้ตั้งครรภ์ แต่ฝ่ายชายไม่ยอมแต่งด้วยก็จะถูกปรับไหมตามแต่ผู้อาวุโสจะตกลงกัน เมื่อฝ่ายหญิงแต่งงานแล้วต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย และถือว่าเป็นสมบัติของฝ่ายชายอย่างสมบูรณ์ ฝ่ายชายจะจ่ายค่าสินสอดให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงต้องทำงานปรนนิบัติสามี และพ่อแม่ญาติพี่น้องฝ่ายสามี เหมือนตัดความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องฝ่ายหญิงอย่างสิ้นเชิง เมื่อแต่งงานแล้ว ลูกชายและลูกสะใภ้ทุกคนจะต้องอยู่กับพ่อแม่ หากพ่อแม่มีลูกชายหลายคนอาจต้องยอมให้ลูกแยกครัวเรือนออกไป การแยกครัวเรือน ลูกชายคนโตมีสิทธิก่อน ลูกชายคนสุดท้องต้องเลี้ยงดูพ่อแม่จนสิ้นอายุ พี่น้องท้องเดียวกันมักแยกครอบครัวอยู่ใกล้กัน เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ลูกชายที่แต่งงานแล้วทุกคนต้องฆ่าวัวหรือควายให้ไปรับใช้พ่อแม่ในภพหน้า ทั้งยังถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที สำหรับข้อห้ามที่ถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน ม้งห้ามการแต่งงานระหว่างคนแซ่เดียวกัน เพราะถือว่าเป็นญาติพี่น้องกัน ครัวเรือนม้งมักเป็นครอบครัวแบบขยายมากกว่าครอบครัวเดี่ยว บางครัวเรือนมีสมาชิกมากกว่า 3 รุ่น ทำให้ครัวเรือนม้งมักมีขนาดใหญ่ (หน้า 23-26, 39, 53) |
|
Political Organization |
ระบบความสัมพันธ์ในครัวเรือนม้งเป็นไปในแนวดิ่ง ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นผู้นำและมีอำนาจเหนือกว่า ผู้ชายมีสถานภาพทางสังคมสูงกว่าผู้หญิง สำหรับผู้หญิงม้งที่มีสถานภาพเป็นสะใภ้ถือว่าเป็นสมบัติของฝ่ายชาย ต้องให้ความเคารพนับถือและเชื่อฟังผู้อาวุโส และผู้นำครอบครัวซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจ สำหรับสังคมมูเซอ ระบบความสัมพันธ์เป็นไปในแนวราบ และค่อนข้างยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคล วัฒนธรรมมูเซอหญิงชายมีสถานภาพทางสังคมไม่แตกต่างกันนัก และมีอิสระสูงในการตัดสินใจเรื่องส่วนตัว ทำให้สังคมมูเซอมีการหย่าร้างง่าย (หน้า 61-62) |
|
Belief System |
มูเซอมีความเชื่อใน "กื่อซา" หรือพระเจ้าผู้สร้างโลกและมนุษย์ตามตำนานชองชนเผ่า โดยเชื่อว่าเทพเจ้ากื่อซาเป็นผู้สร้างโลกและให้กำเนิดมนุษย์ผู้ชาย ทั้งยังสอดส่องดูแลช่วยเหลือมนุษย์ให้ทำแต่ความดี และคอยลงโทษผู้ที่ทำไม่ดี นอกจากนี้กื่อซายังพร้อมที่จะให้อภัยคนที่ทำผิดแล้วกลับตัวกลับใจ สัญญาว่าจะไม่ทำอีก แนวคิดจากตำนานการกำเนิดมนุษย์ผู้ชายส่งผลให้มูเซอเชื่อว่า ผู้ชายจำเป็นต้องดำเนินชีวิตถูกต้องกว่าผู้หญิงซึ่งกำเนิดมาจากปลาตัวเมีย ข้อบัญญัติต่าง ๆ เมื่อกระทำความผิดประเภทเดียวกัน ทำให้ผู้ชายต้องถูกปรับมากกว่าเป็น 2 เท่า นอกจากนี้ ยังทำให้มูเซอมักจะเคร่งครัดต่อธรรมเนียมประเพณี และนิยมทำบุญของพรจากเทพเจ้ากื่อซา พิธีกรรมเซ่นไหว้เรียกตามแบบมูเซอว่าการทำบุญ หรือ "บูตีเลอ" เกิดจากการช่วยเหลือบุคคลที่ควรช่วย การจัดพิธีกรรมตามจารีตประเพณี ความเชื่อ เช่น พิธีกินวอ พิธีทำบุญเลี้ยงผี พิธีกินข้าวใหม่ กื่อซาจะดูแลเฉพาะคนเป็น โดยการช่วยเหลือให้ทำมาหากินดี ทำไร่ทำสวนเจริญงอกงาม ได้ผลผลิต (หน้า 9, 10,12) นอกจากนี้ มูเซอยังเชื่อในเรื่องผีและวิญญาณ ผีของมูเซอมีทั้งผีดีทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครอง เช่น ผีประจำหมู่บ้าน ผีบ้านผีเรือน และผีร้ายที่นำหายนะต่างๆ มาสู่คน เช่น ผีพายุ ผีป่า ผีน้ำ เป็นต้น ผู้ชำนาญในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของมูเซอเฌเล เช่น "ปู่จาร" "แก่ลู้" เป็นผู้ดูแล "จะคีกื่อ" สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรม ดูแลศาลผีที่คุ้มครองหมู่บ้าน "แซมื่อ" "แปตูป่า" หรือ "ผู้จุดเทียนบูชา" ทำหน้าที่แทนปู่จารได้และสามารถจดจำบทสวดที่ติดต่อกับกื่อซา หมอผีหรือ "หนี่ตีซอ" เป็นผู้มีความรู้และคาถาอาคม สามารถติดต่อกับผีวิญญาณได้ บางหมู่บ้านมีหมอผีถึง 2 - 3 คน บางคนสามารถทำนายโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากการถูกอำนาจลึกลับ เช่น ผีเข้า ขวัญหนีหรือคาถาอาคมได้ด้วย (หน้า 11) ชาวเขาเผ่ามูเซอบ้านห้วยม่วงและห้วยโป่งเกือบทุกหลังคาเรือน นับถือเทพเจ้ากื่อซา ซึ่งถือว่าเป็นศาสนาดั้งเดิม มีเพียงหนึ่งหลังคาเรือนที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 34) ชาวเขาเผ่าม้งเชื่อในเรื่องผีและวิญญาณ ทั้งยังมีการบูชาผีบรรพบุรุษซึ่งแบ่งเป็นหลายระดับ เช่น ผีระดับเทพ เรียกว่า "คือโซ้ว" หรือ "เหย่อฮโซ๊ว" เป็นผู้ดูแลโลกและสร้าง สรรพสิ่งทั้งปวง "ยุว้าตัวะเต่ง" เปรียบเหมือนพระยามัจจุราช คือ เป็นผู้ตัดสินชะตาชีวิต "หย่งฮ์เลห่าฮ์" เป็นผู้ดูแลให้มนุษย์ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด ผีเจ้าที่เจ้าทาง เรียก "ฮั๊งไต่" เป็นกษัตริย์ผู้คอยดูแลปกครองมนุษย์ "เจ๊งซื้อ" เป็นผู้รู้กฎระเบียบจารีตต่าง ๆ "ก๊ะยิ้ง" เป็นผีฟ้าที่ให้ลูกแก่สามีภรรยา "เน้ง" เป็นผีที่คอยต่อสู้กับผีร้ายและรักษาโรค นอกจากนี้ยังมีผีทั่วไปที่ให้ทั้งคุณและโทษเรียกว่า "ด๊า" เช่น ผีเรือน เรียกว่า "ด๊าโหวเจ๋" มีทั้งผีประตูคอยปกปักรักษาคนและสัตว์ในครัวเรือน "ด๊าขอตร้ง" เป็นผีประตูห้องนอน ผีเสาเรียกว่า "ดุ๊ต๊า" นอกจากนี้ยังมีผีที่ม้งไปขอชาวจีนมาเลี้ยงเรียกว่า "สีก๊ะ" จะมีการปิดแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดฝ่ามือบริเวณข้างฝา เชื่อกันว่าจะทำให้ทำมาหากินเจริญ ค้าขายร่ำรวย พืชผลให้ผลผลิตดี "ผีเตาไฟ" มีบุญคุณต่อชีวิต อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นแก่คนในบ้าน ผีบรรพบุรุษ เรียกว่า "ป้อก๊งเหย่อฮสี" เชื่อกันว่าสิงสถิตอยู่ที่คาน ซึ่งพาดระหว่างเสาด้านห้องนอนกับเสาผนัง บ้างก็ว่าผีบรรพบุรุษอยู่ที่ส่วนปลายของเสาผี นอกจากนี้ยังมีผีป่า ผีน้ำ ผีถ้ำ ผีจอมปลวก ผีเร่ร่อน และผีที่มาคร่าชีวิตมนุษย์โดยการพรากขวัญไปจากร่าง เช่น ผี(น)หย่งฮ์ หรือ ด๊าซื่อ(น)หย่งฮ์ สำหรับขวัญเรียกว่า "ตู่ปลี่ฮ์" นอกจากนี้ม้งยังเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คือ เชื่อว่าเมื่อคนตายไปวิญญาณต้องไปรับการพิพากษาจาก (น)ยุว้า ตัวะเต่ง หากได้รับอนุญาตให้กลับมาเกิดใหม่ได้อีก จะต้องหยิบบัตรกำหนดอายุในชาติต่อไป จะเกิดเป็นคนหรือสัตว์ขึ้นอยู่กับกรรมและความประพฤติที่ผ่านมา (หน้า 21-22) ชาวเขาเผ่าม้งบ้านบวกจั่นถึง 90% นับถือคติความเชื่อดั้งเดิม อีก 10% นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งมีทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ (หน้า 47) |
|
Education and Socialization |
มูเซอมีความเชื่อว่า ความรู้ต่าง ๆ นั้นมีมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และคิดว่าตนสามารถรู้ตัวอักษรและวิทยาการทั้งหลายได้โดยไม่จำเป็นต้องศึกษา เป็นผลให้ในหมู่บ้านมูเซอมีเด็กมาสนใจเรียนหนังสือกันค่อนข้างน้อย ผู้วิจัยให้ความเห็นว่า ที่มูเซอมีความรู้ ความสามารถน้อยกว่าคนเมือง เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าพวกเขาได้รับพรจากเทพเจ้ากื่อซานี่เอง (หน้า 10-11) การอบรมเลี้ยงดูเด็กของมูเซอ พ่อแม่มูเซอจะให้เด็กหยิบอาหารกินเอง และปล่อย ให้เล่นตามลำพัง ของเล่นมักเป็นวัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติ หรือเป็นอุปกรณ์การดำรงชีพของมูเซอ อาทิ ไม้ หิน ดิน จอบ มีด เพื่อฝึกให้คุ้นเคยกับการทำงานแต่เด็ก นอกจากนี้ เด็ก ๆ ยังต้องเรียนรู้ธรรมเนียมประเพณีจากผู้อาวุโสในหมู่บ้านและปู่จาร ทั้งยังต้องเคารพเชื่อฟังกฎเกณฑ์ ข้อห้ามต่าง ๆ ของเผ่า เด็กจะได้รับการถ่ายทอดวิถีชีวิตแบบมูเซอตามลำดับอายุ เด็กในช่วงอายุ 5-10 ขวบ จะรู้จักทำเกษตรปลูกพืช กำจัดวัชพืชและเก็บเกี่ยวผลผลิต เด็กชายจะเล่นหนังยาง และมีการสอนให้ดูแลม้า วัว ควาย ตามผู้ใหญ่ไปล่าสัตว์ เด็กหญิงเลี้ยงน้อง เย็บปักผ้า ทำอาหาร เด็กในช่วงอายุ 11-13 ขวบ จะรู้จักเกี่ยวข้าว ดักนกและสัตว์ป่า ช่วยทำงานบ้านและงานในไร่ หุงหาอาหาร และ นวดข้าว (หน้า 13) สำหรับการอบรมเลี้ยงดูเด็ก เมื่อเด็กอายุ 7 ปีขึ้นไป พ่อแม่ม้งจะให้ลูกชายช่วยเลี้ยงวัว ควาย ม้า และล่าสัตว์ ส่วนลูกสาวจะให้เรียนรู้การเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร ดูแลน้องให้อาหารไก่ หมู ช่วงอายุ 7-10 ปีนี้ พ่อแม่จะให้ลูกชายแยกไปนอนต่างหาก ส่วนลูกสาวจะแยกห้องนอนเมื่ออายุ 12-13 ปี พ่อแม่ม้งนิยมให้ลูกชายเรียนก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากลูกชายต้องทำหน้าที่สืบทอดวงศ์สกุล และต้องเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อชรา ลูกสาวได้รับโอกาสพัฒนาชีวิตหลังลูกชาย หรืออาจไม่ได้รับโอกาสเลยก็เป็นได้ (หน้า 22-23) |
|
Health and Medicine |
ความเชื่อของมูเซอเกี่ยวกับการเกิด เมื่อเด็กคลอดจะนำรกและสายสะดือหรือ "ย่าพือ" ไปล้างน้ำให้สะอาดเชื่อว่าป้องกันไม่ให้เด็กเจ็บป่วยหรือมีตุ่มขึ้นตามตัว แล้วนำไปใส่ภาชนะขุดหลุมฝังใต้ถุนบ้าน ก่อนทำพิธีฝัง หมอผีจะจุดเทียนขี้ผึ้งสวดคาถาใส่หลุม แล้วฝังย่าพือไปพร้อมกับกลบดินให้แน่น ทับด้วยก้อนหินหรือท่อนไม้ เชื่อกันว่าการฝังย่าพือเป็นชีวิตของเด็ก หากเด็กเจ็บป่วยพ่อจะรดบริเวณที่ฝังด้วยน้ำร้อนเป็นการช่วยป้องกันรักษาเด็ก มูเซอนิยมมีลูกสาวมากกว่าลูกชาย เชื่อกันว่า "เลี้ยงลูกผู้หญิงหนึ่งคนจะได้สองแรง" เพราะเมื่อลูกสาวแต่งงานก็จะได้แรงงานจากเขยเข้าบ้าน ปัจจุบันมูเซอนิยมมีลูก 3 คน (หน้า 12-13) ความเชื่อในเรื่องวิญญาณกับความเจ็บป่วย ม้งเชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากขวัญหรือวิญญาณ (ตู่ปลี่ฮ์) หลุดออกไปจากร่าง เด็กเล็กที่ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมออาจเป็นเพราะเมื่อมาเกิดขวัญพลัดหลงไป หรือผู้ที่ล้มป่วยเกิดจากผีมาล่อลวงเอาขวัญไป เด็กที่เกิดมาได้ 3 วันจะมีการทำพิธีเรียกขวัญและตั้งชื่อเด็ก หากเด็กที่คลอดมาเป็นชาย จะฝังรกไว้บริเวณเสาผีของบ้าน เพราะเชื่อว่าชายต้องสืบสกุลดูแลบ้านเรือนต่อจากบิดา หากเด็กที่คลอดออกมาเป็นหญิงจะฝังรกไว้ใต้เตียงในห้องนอนคู่สามีภรรยา (หน้า 22) การวางแผนครอบครัวในหมู่บ้านที่ทีมงานวิจัยเข้าไปศึกษา พบว่า มีการจัดตั้งสถานีอนามัยและกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขขั้นมูลฐานขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อส่งเสริมอนามัยชุมชนและการวางแผนครอบครัว นอกจากนี้มูลนิธิโครงการหลวงยังได้ร่วมกับสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย และศูนย์วางแผนครอบครัวชาวเขา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้จัดอบรมอาสาสมัครและชาวบ้าน หรือส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปปฏิบัติการวางแผนครอบครัวในหมู่บ้าน (หน้า 51 - 52) จากผลการศึกษาพบว่า การยอมรับการวางแผนครอบครัวของหมู่บ้านที่ได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวง มีน้อยกว่าหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการส่งเสริม กล่าวคือ หมู่บ้านห้วยโป่งและหมู่บ้านห้วยลึกซึ่งได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวง มีอัตราการไม่วางแผนครอบครัวคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงกว่าหมู่บ้านห้วยม่วงและบ้านบวกจั่น จากการศึกษาพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ทำการศึกษาทั้ง 4 แห่งก็ยังมีอัตราการคุมกำเนิดกันน้อย ประชากรชาวเขาส่วนใหญ่ยังนิยมแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอัตราการยอมรับการวางแผนครอบครัวที่แตกต่างกัน เนื่องมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ 1) ภาวะผู้นำ หมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอบ้านห้วยโป่งขาดผู้นำที่เป็นทางการของตนเอง ในขณะที่ผู้นำชาวเขาเผ่าม้งหมู่บ้านห้วยลึกมีภรรยาและบุตรหลายคน ส่วนผู้นำบ้านบวกจั่นมีภรรยาเพียงคนเดียว และมักพยายามกระตุ้นให้ชาวบ้านได้วางแผนครอบครัวอยู่เสมอ 2) ภูมิหลังในการตั้งถิ่นฐาน บ้านห้วยลึกมีที่ดินทำกินเดิมไม่เพียงพอ ส่วนบ้านบวกจั่นก็ต้องการอยู่ใกล้แหล่งความเจริญ อีกทั้งพื้นที่ใกล้เคียงหมู่บ้านยังมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปส่งเสริมและพัฒนา ทำให้ชาวบ้านบวกจั่นมีวิสัยทัศน์กว้างกว่าชาวบ้านบ้านห้วยลึก อัตราการยอมรับการวางแผนครอบครัวจึงมากกว่า (หน้า 51-58) แม้จะมีหน่วยงานของทางการดำเนินมาตรการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เช่น สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์การคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย และยาเม็ดคุมกำเนิด ให้สถานีอนามัยนำไปแจกจ่ายชาวบ้าน อีกทั้งยังยังทำคลอดและทำหมันถาวรให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังมีการวางแผนครอบครัวไม่มาก และได้รับความใส่ใจจากกลุ่มผู้หญิงในหมู่บ้านมากกว่า ในขณะที่การใช้ถุงยางอนามัยมีในกลุ่มชายวัยรุ่นที่ยังไม่ได้แต่งงาน การทำหมันถาวรมีน้อยหรือแทบไม่มีเลย (หน้า 58-59) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มูเซอมีตำนานการให้กำเนิดมนุษย์ผู้ชายคนแรกของโลก เป็นที่มาของความเชื่อว่า ผู้ชายมาจากธาตุบริสุทธิ์ที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมา ชายผู้นี้ได้ไปอยู่กินกับปลาตัวเมียซึ่งได้กลายเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนแรก เมื่อเกิดน้ำท่วมโลก ทั้งคู่ได้เข้าไปหลบอยู่ในผลน้ำเต้าบนภูเขาสูง ภายหลังจากมนุษย์ผู้หญิงตั้งท้องนานถึง 3 ปี ก็ให้กำเนิดเด็กหลายคนซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของกลุ่มมูเซอ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าว่า ขณะที่มนุษย์ชายหญิงอยู่ในผลน้ำเต้าได้ขอให้นกหัวขวานและหนูแทะผลน้ำเต้า สัญญาไว้ว่าจะทำการเพาะปลูกและแบ่งเมล็ดพืชให้สัตว์ทั้งคู่ หลังจากออกมาแล้วทั้งคู่ก็เพาะปลูกเมล็ดพืชที่เก็บเกี่ยวส่วนหนึ่งจะเป็นอาหารหนู ส่วนนกหัวขวานไม่รับสิ่งตอบแทน ตำนานดังกล่าวเป็นที่มาของการที่เมล็ดพันธุ์ที่มูเซอเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวในแต่ละปีมักจะถูกหนูกัดกิน (หน้า 9-10) สำหรับตำนานของชนเผ่าม้งเล่ากันมาว่า ม้ง ถือกำเนิดมาในโลกที่ "แผ่นดินมีท้องฟ้าเป็นสีเหลือง และพื้นดินที่มืด" อากาศหนาวเย็น แผ่นดินปกคลุมด้วยน้ำแข็ง กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน (หน้า 20) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจัยด้านสังคม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมและกระแสการพัฒนาต่างๆ ได้ส่งผลต่อการมีวิสัยทัศน์ที่สร้างการยอมรับการคุมกำเนิด และการวางแผนครอบครัวในหมู่ชาวเขาเผ่าม้งและมูเซอ เป็นที่น่าสังเกตว่า สังคมม้งและสังคมมูเซอแต่เดิมไม่ถือเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หนุ่มสาวมักแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเป็นระบบสังคมที่ยังคงพึ่งพาแรงงานการผลิตเป็นหลัก จึงนิยมการมีบุตรมาก แนวโน้มการยอมรับการวางแผนครอบครัวของสังคมมูเซอและสังคมม้งมีแนวคิด ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ สังคมม้งนิยมการมีบุตรมากและนิยมครอบครัวขยาย เพราะได้แรงงานมาก ในขณะที่สังคมมูเซอมีขนาดครอบครัวเล็กกว่าสังคมม้ง เน้นการผลิตเพื่อบริโภคมากกว่าจำหน่าย แต่เนื่องจากวัฒนธรรมมูเซอยอมรับความอิสระในการตัดสินใจของปัจเจกในเรื่องชีวิตคู่ค่อนข้างสูง กล่าวคือ การหย่าร้างทำได้ง่าย เนื่องจากวิธีคิดของมูเซอที่มุ่งเน้นความสุขด้านจิตใจอันมีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นในศาสนาดั้งเดิม ทำให้มูเซอพร้อมจะปรับเปลี่ยนความคิด หากไม่ขัดต่อหลักความเชื่อเดิม มูเซอจึงมีแนวโน้มจะยอมรับการวางแผนครอบครัวได้ง่ายกว่า หากมั่นใจว่าวิธีคุมกำเนิดมีความปลอดภัยพอ ในขณะที่สังคมม้งมีคติความเชื่อพื้นฐานเดิมที่นิยมกลุ่มเครือญาติใหญ่ ดังภาษิตว่า "หมาหลวงแพ้หมาหลาย" คือ ใช้คนจำนวนมากสร้างความชอบธรรมทางสังคมให้กลุ่มของตัวเอง ชนะคนจำนวนน้อยซึ่งมีสถานภาพสูงกว่า เพราะม้งถือว่า การมีสมาชิกในครอบครัวมากย่อมเป็นความได้เปรียบทางสังคม อีกทั้งวิธีคิดที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับวัตถุนิยม ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งเชื่อมโยงอยู่ระหว่างโลกปัจจุบันกับโลกหลังความตาย ซึ่งส่งผลให้นิยมบุตรชายมากกว่าบุตรสาว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งส่งผลต่อระบบแรงงานการผลิตแบบเดิม กล่าวคือ เมื่อระบบเกษตรกรรมเปลี่ยนแปลงไป มีการเน้นการผลิตเพื่อจำหน่ายมากกว่าเพื่อบริโภค แนวคิดเรื่องการมีบุตรเพื่อประโยชน์ด้านแรงงานก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย สังคมม้งเริ่มลดจำนวนบุตรด้วยการยอมรับการวางแผนครอบครัว ในขณะที่สังคมมูเซอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขนาดที่ดินทำกิน ครอบครัวมูเซอก็ไม่ต้องการแรงงานคนมากเพราะเป็นการเพิ่มภาระในการเลี้ยงดู (หน้า 58-70) |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิแสดงระยะเวลาดำเนินงานโครงการวิจัยภาคสนาม (หน้า 8) ตารางแสดงประชากรบ้านห้วยโป่งแยกตามช่วงอายุ และเพศ (หน้า 29) ตารางแสดงจำนวนครัวเรือนหมู่บ้านที่ศึกษาซึ่งปลูกข้าวเพียงพอต่อการบริโภค (หน้า 30,35, 43,48) ตารางแสดงระดับการศึกษาชั้นสูงสุดของหมู่บ้านที่ศึกษา (หน้า 31, 36,44,49) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรวัยเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ (หน้า 32,36,44,49) ตารางแสดงประชากรแยกตามช่วงอายุและเพศ (หน้า 33,38,46) ตารางแสดงสถิติการวางแผนครอบครัวของชาวเขาเผ่าต่างๆ (หน้า 51) ตารางแสดงอัตราการยอมรับการวางแผนครอบครัวของชาวเขาเผ่าต่างๆ (หน้า 51) ตารางแสดงขนาดครัวเรือนในหมู่บ้านชาวเขาที่เลือกศึกษาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ (หน้า 53) ตารางแสดงจำนวนครอบครัวในแต่ละหมู่บ้าน (หน้า 53) แผนภูมิและตารางแสดงโครงสร้างประชากรในแต่ละหมู่บ้านที่ทำการศึกษา (หน้า 54,55) ตารางแสดงสถานภาพสมรสของสตรีวัยเจริญพันธุ์ (หน้า 56) ตารางแสดงสถานภาพสมรสของชายอายุ 15 ปีขึ้นไป (หน้า 56) ตารางแสดงอายุสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานครั้งแรก (หน้า 56) ตารางแสดงอายุผู้ชายที่แต่งงาน (หน้า 57) ตารางแสดงอัตราการคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆ และการไม่วางแผนครอบครัว (หน้า 57) ตารางแสดงจำนวนครั้งในการแต่งงานของสตริมูเซอวัยเจริญพันธุ์ (หน้า 64) ตารางแสดงจำนวนนักเรียนที่จบการศึกษาระดับประถมและมีโอกาสเรียนต่อ (หน้า 67) |
|
|