สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ,ผู้พลัดถิ่น,ความเปลี่ยนแปลง,กาญจนบุรี
Author สุจริตลักษณ์ ดีผดุง
Title รายงานการวิจัยชุมชนมอญบ้านวังกะ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลง
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 141 Year 2545
Source สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
Abstract

กลุ่มชนที่สำคัญกลุ่มหนึ่งในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี "มอญ" ซึ่งได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2490 ด้วยสาเหตุของสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่สงบในประเทศพม่าทางราชการไทยจัดให้เป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า และมีบางส่วนที่จัดเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านวังกะ ตำบลหนองลู มอญล้วนเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีสิ่งสำคัญที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ คือ หลวงพ่ออุตตมะแห่งวัดวังก์วิเวการาม (หน้า 134) อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่มอญที่บ้านวังกะเหล่านี้ยังคงมีสถานภาพ เป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า และผู้หลบหนีเข้าเมืองทำให้ไม่ได้รับสัญชาติไทยไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แม้ว่าจะเกิดบนแผ่นดินไทย ฟังพูดอ่านเขียนได้ดีเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทำให้เกิดปํญหาต่าง ๆ ตามมา (หน้า 134) วิธีแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยาวส่วนหนึ่ง เช่น 1.การทบทวนกฏหมายและระเบียบเกี่ยวกับการเข้าเมืองใหม่อีกครั้ง เพื่อกำหนดสถานะของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 2.เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นควรมีจิตใจที่เมตตาไม่ฉวยโอกาสที่ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ตกอยู่ในสภาพจำยอมมาใช้เป็นประโยชน์ 3.การเปิดโอกาสให้ได้รับการศึกษา 4.แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถจัดการกับปัญหาชนกลุ่มน้อยได้ดีในระดับหนึ่ง แต่แน่นอนว่าประเทศไทยไม่อาจแบกภาระอันเกิดจากการกระทำของรัฐบาลพม่าไปได้ตลอด ทางแก้ปัญหาหนึ่งน่าจะผลักดันให้พม่าแก้ไขปัญหาภายในประเทศอย่างแท้จริง (หน้า 136-137) การถูกคุกคามของวัฒนธรรมจากภายนอก การรุกรานของสื่อจากกรุงเทพฯ ทางโทรทัศน์ ระบบการศึกษาที่นำเอาวัฒนธรรมไทยภาคกลาง โดยเฉพาะของกรุงเทพฯ มาสู่เยาวชนรุ่นใหม่ ก็เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้สังขละบุรีในวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก และที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว คือ การท่องเที่ยว แนวทางที่น่าจะรับมือกับการท่องเที่ยวและใช้ประโยชน์ให้ได้มากเพื่ออนุรักษ์ความเป็นคนมอญ อาจจะทำในรูปของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น รูปแบบการพักอาศัยแบบโฮมสเตย์ การนำชมชีวิตความเป็นอยู่ของคนมอญ การจัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรมของมอญ การจัดทำของที่ระลึกที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุดก็คือการให้ความรู้ความเข้าใจแก่คนมอญบ้านวังกะถึงความเป็นตัวตนและภูมิปัญญาของตนเอง ทั้งให้ความพร้อมตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างเหมาะสม (หน้า 135-136)

Focus

มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา ชีวิตความเป็นอยู่ การปรับเปลี่ยนและการดำรงชีวิตอยู่ของมอญพลัดถิ่น ผลกระทบอันเกิดจากการที่มอญบ้านวังกะยังไม่มีสถานภาพเป็นคนไทย และผลกระทบจากการพัฒนาและความเจริญต่างๆ ที่เข้าถึงหมู่บ้าน ซึ่งในปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนหลายประการในชุมชนไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนด้านกายภาพของชุมชน บ้านเรือน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์กับชุมชนใกล้เคียงที่บ้านหมู่ 2 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มอญหรือที่เรียกตัวเองว่ามอญ ส่วนพม่าเรียกมอญว่าตะเลง คำว่า มอญกลายมาจากคำในภาษามอญเก่า ปรากฏครั้งแรกในจารึกหลักที่ 9 พ.ศ.1645 (หน้า 20)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษามอญจัดอยู่ในสายโมนิค (Monic Branch) ในกลุ่มมอญ-เขมร (Mon-Khmer) อยู่ในตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก (Austro-asiatic Language Family) (หน้า 20) มอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านวังกะจะพูดภาษามอญแบบเมืองเยหรือที่มอญเรียกว่า "ภาษามอญกลาง" หรือ "ภาษามอญเมาะละแหม่ง" ซึ่งเป็นภาษาเมืองหลวง (หน้า 72)

Study Period (Data Collection)

ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2542-2543 (ในกิติกรรมประกาศ)

History of the Group and Community

มอญกลุ่มแรกที่บ้านวังกะ หมู่ที่ 2 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เริ่มอพยพเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกในช่วง พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) (หน้า 60) โดยมีนายตันเป็นหัวหน้านำราษฎรมอญ มาตั้งบ้านเรือนบริเวณปากน้ำบีคลี่ เรียกว่า "บ้านวังกะ" (หน้า48) กลุ่มที่สองเข้ามาในราวเดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 (ค.ศ.1950) และกลุ่มที่สามเข้ามาในราวเดือนมีนาคม พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) โดยกลุ่มที่สามนี้เดินทางเข้ามาด้วยกันถึง 40 ครอบครัว โดยเดินทางเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์และทางบีคลี่ มารวมกับพวกที่เข้ามา 2 กลุ่มแรกแล้วได้ประมาณ 60 ครอบครัวที่บ้านนิเถะ กิ่งอำเภอสังขละบุรี มอญเหล่านี้เดินทางมาจากเมาะกะเนียง เจ้าคะเล และเมาะละแหม่ง (หน้า 60)

Settlement Pattern

พื้นที่ตั้งของบ้านวังกะ หมู่ที่ 2 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แต่เดิมนั้นตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มและหุบเขา แต่เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้สร้างเขื่อนเขาแหลมขึ้นใน พ.ศ. 2521 ก็ได้มีการโยกย้ายมอญจากหมู่บ้านเดิมมายังเนินเขาที่อยู่ริมแม่น้ำซองกาเรีย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานที่ตั้งใหม่ของตัวอำเภอ หน่วยงานราชการและ หมู่บ้านฝั่งอำเภอมักจะเรียกบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านวังกะในปัจจุบันนี้ว่า "ฝั่งมอญ" มีพื้นที่ประมาณ 15 ไร่รอบๆ อ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม (หน้า 63)

Demography

บ้านวังกะนี้ในปัจจุบันมีประชากรประมาณ 1,000 กว่าครัวเรือน มอญที่บ้านวังกะส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 อพยพมาจากหมู่บ้านต่างๆ ในอำเภอเย ในเมืองเมาะละแหม่ง ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐมอญ ประเทศพม่า (หน้า 65)

Economy

เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้สร้างเขื่อนเขาแหลม ทำให้ที่ดินทำกินเดิมของมอญถูกน้ำท่วมและได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านวังกะ หมู่ 2 ตำบลหนองลู ในปัจจุบัน ซึ่งพื้นที่ส่วนมากเป็นภูเขาสูง ทำให้มีพื้นที่ในการทำมาหากินน้อย มอญที่หมู่บ้านนี้จึงดำรงชีพด้วยการเป็นเกษตรกร ปลูกข้าวไร่ และพืชผักสวนครัว เช่น กระเจี๊ยบ และลูกเนียง มีการปลูกไร่ข้าวตามภูเขา เป็นลักษณะการทำไร่เลื่อนลอย คือ ในหนึ่งพื้นที่จะใช้ปลูกข้าวไร่ 5 ปี แล้วจึงผ่านไปปลูกในพื้นที่ใหม่ ส่วนพืชผักมักปลูกกันตามริมแม่น้ำ และจะปลูกเมื่อน้ำในแม่น้ำลดเพราะมีพื้นที่ริมตลิ่งใช้ในการเพาะปลูก พอถึงฤดูน้ำหลากก็จะท่วมพื้นที่เพาะปลุกเกือบทั้งหมด ซึ่งการเพาะปลูกพืชผักนั้น มีวัตถุประสงค์ในการใช้บริโภคภายในครอบครัวและปลูกไว้ขาย ใบกระเจี๊ยบก็เป็นพืชเศรษฐกิจของมอญที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ โดยมีพ่อค้าคนกลางมารับไปขายถึงที่มหาชัย อาชีพที่สำคัญอีกอาชีพหนึ่งของมอญ คือ ค้าขาย ซึ่งในบริเวณวัดวังก์วิเวการาม ทางด้านเจดีย์พุทธคยาจำลอง จะมีตลาดที่ขายของที่ระลึก เช่น อัญมณีจำพวกเพชร พลอย หยก สินค้าหัตถกรรมที่ทำจากไม้ และสินค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศพม่า ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หนึ่งของมอญ ในอำเภอสังขละบุรี ในอำเภอสังขละบุรี มีโรงงานเย็บผ้าโหลจำนวน 3 แห่ง นับว่าเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของมอญที่อยู่ที่นี่ แรงงานของโรงงานเย็บผ้าโหลส่วนมาก จะเป็นสาวมอญในหมู่บ้านโรงงานเย็บผ้าโหลนี้อยู่ฝั่งอำเภอ ซึ่งมีแม่น้ำซองกาเรียขวางกั้น ในตอนเช้าของทุกๆ วัน สาวๆ มอญนี้จะมาขึ้นรถของโรงงานที่มารอรับที่บริเวณหน้าตลาดวัดวังก์วิเวการาม ส่วนสาวๆ อีกพวกหนึ่งก็จะไปทำงานที่โรงงานเย็บผ้าโหล บริเวณศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยรามัญพัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์ และพัฒนาส่งเสริมวิชาชีพที่บริเวณเจดีย์พุทธคยาจำลอง ผู้ชายมอญส่วนหนึ่งมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เช่น ขุดดิน ถางป่า ขับรถรับจ้างบรรทุกของไปค้าขายในค่ายผู้อพยพ และหมู่บ้านชายขอบต่างๆ (หน้า 79-80)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ใช้รูปแบบการปกครองท้องถิ่นเหมือนหมู่บ้านทั่วๆ ไป คือจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ตามลำดับชั้น หมู่บ้านวังกะปกครองโดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแล และมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 4 คน ช่วยดูแลโดยแยกออกเป็นฝ่ายปกครอง 2 คนและฝ่ายปราบปราม 2 คน ที่หมู่บ้านวังกะเองก็มีทั้งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมอญ 2 คน โดยมีทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายปราบปราม จากการที่มอญเป็นชนชาติที่นิยมปกครองตนเองจึงทำให้หมู่บ้านวังกะมีการตั้งแบ่งกลุ่มการปกครองออกเป็นคุ้ม จำนวน 28 คุ้ม มีสมาชิกคุ้มละ 20 หลังคาเรือน โดยในแต่ละคุ้มจะมีหัวหน้าคุ้ม และรองหัวหน้าคุ้มคอยดูแล ซึ่งลูกบ้านในแต่ละคุ้มจะเป็นผู้เลือกกันเอง โดยเลือกจากผู้สูงอายุและผู้ที่มีคนเคารพนับถือ ทั้งนี้หากหัวหน้าคุ้มหรือรองหัวหน้าคุ้มทำผิด ลูกบ้านก็จะเป็นผู้ปลดออกจากตำแหน่งได้ ในกรณีที่มีข้อพิพาทหรือเรื่องใดๆ เกิดขึ้น ลูกบ้านจะแจ้งที่หัวหน้าคุ้มเพื่อให้หัวหน้าคุ้มไกล่เกลี่ยและตัดสิน หากไม่สามารถตกลงกันได้จึงจะส่งเรื่องต่อไปยังผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านตามลำดับ (หน้า 68)

Belief System

ชนชาติมอญเป็นชาติที่นับถือศาสนาอย่างเคร่งครัดชาติหนึ่ง เช่น การเล่าเรียนพระปริยัติธรรมก็เรียนคัมภีร์วินัยเป็นหลัก พระภิกษุสงฆ์ ถือวินัยเป็นสำคัญ มอญที่เป็นชาวบ้านมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก สังเกตได้ว่าลักษณะการสร้างบ้านทุกหลังคาเรือน จะต้องมีหิ้งพระยื่นออกจากตัวบ้าน และมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามการสร้างหิ้งพระยื่นออกจากตัวบ้าน เพราะเชื่อว่าถ้าอยู่ในบริเวณเดียวกับบ้าน ผู้อยู่อาศัยเดินไปมาจะรบกวนทำให้หิ้งพระกระเทือน เป็นการไม่เคารพ จึงสมควรอยู่กันคนละส่วน ประชากรในชุมชนวัดวังก์วิเวการามได้ยึดถือและปลูกฝังสืบทอดต่อกันมาสู่ลูกหลาน ในการปฎิบัติตนทางศาสนาหรือไปร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ ในบริเวณวัดดังนี้คือ ผู้ใหญ่หรือคนแก่เมื่อเดินเข้าสู่ปากทางเข้าวัด หรือในเขตบริเวณวัดก็จะต้องรีบถอดรองเท้าออก เพราะคนแก่จะมีความเชื่อว่า หากใส่รองเท้าเข้าวัดจะทำให้ตนและศาสนาเสื่อมลง และเป็นบาปติดตัวไป และจะไม่พูดเสียงดังหยาบคายซึ่งจะไม่เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง เมื่อเข้าวัดจะไม่มีการนำสิ่งใดๆจากวัดติดตัวกลับไปทั้งสิ้น เมื่อมีพระสงฆ์เดินผ่าน ชาวบ้านมักจะนั่งลงยกมือไหว้ เพื่อแสดงความเคารพนับถือ นอกจากนี้แล้วยังมีการส่งดอกไม้ในช่วงเวลาเย็นเด็กและคนชรามักจะนำดอกไม้ โดยเฉพาะดอกพุดที่จัดเตรียมอย่างสวยงามไปถวายพระที่วัด เพราะมีความเชื่อว่าพระสงฆ์จะนำดอกไม้นั้นไปบูชาพระพุทธเมื่อทำวัตรสวดมนต์เย็น ซึ่งจะส่งผลบุญให้แก่ตนได้ อีกทั้งมีการถือศีลภาวนาอย่างเคร่งครัดในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา ส่วนวันพระก็จะไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ ในชุมชนหมู่บ้านวังกะยังมีข้อตกลงที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาโดยตลอดด้วยการจัดแบ่งเวรตามบ้าน คือเมื่อถึงเวรบ้านใครก็ต้องจัดทำอาหารส่งไปยังวัด เพื่อถวายเป็นภัตตาหารเช้าและเพลแด่พระสงฆ์เรียกว่า การส่งข้าววัด ทุกหลังคาเรือนเมื่อตกเย็นจะมีการเปลี่ยนดอกไม้บูชาที่หิ้งพระใหม่ทุกวัน นอกจากนี้มอญยังนิยมตักบาตรพระกันทุกเช้าในเวลาประมาณ 6 โมง ถึง 6 โมงครึ่ง (หน้า 91-92)

Education and Socialization

แหล่งความรู้ที่สำคัญของมอญที่หมู่บ้านนี้ คือ การศึกษาจากโรงเรียนการศึกษาจากการศึกษานอกโรงเรียนศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยรามัญพัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์และพัฒนาส่งเสริมวิชาชีพ โรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม ที่โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนระดับอนุบาลประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้นตามโครงการขยายโอกาสทางการศึกษา นักเรียนส่วนใหญ่เป็นมอญและชาวพม่า มีนักเรียนทั้งหมด 853 คน การศึกษานอกโรงเรียน เด็กมอญส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาจากการศึกษานอกโรงเรียนโดยทางอำเภอเป็นผู้จัดขึ้น ส่วนมากมักจะสอนกันได้ช่วงเวลาตอน 18.00-20.00 นาฬิกา จำนวน 1 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ สถานที่ที่ใช้ทำการเรียนการสอน คือ ศาลาสำหรับอ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน ศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยรามัญพัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์และพัฒนาส่งเสริมวิชาชีพ ศูนย์การศึกษานี้เป็นสถานที่ให้ความรู้แก่เด็กมอญ ที่ผู้ปกครองไม่ยอมส่งให้ไปศึกษาในโรงเรียน โดยมีครูดูแลจำนวน 4 คนซึ่งจะเป็นการช่วยดูแลเด็กเล็กเวลาที่พ่อและแม่ของเด็กเหล่านี้ไปทำงาน ที่นี่จะสอนให้เด็กเล็กอ่านและเขียนภาษาไทยได้ ถ้าเป็นเด็กมอญที่โตแล้ว ก็จะสอนเกี่ยวกับการเย็บปักถักร้อย เพื่อเตรียมสู่การทำงานในโรงงานเย็บผ้า (หน้า74-75)

Health and Medicine

มอญในชุมชนวัดวังก์วิเวการาม มีวัฒนธรรมในการกินอาหารที่ปฏิบัติกันอยู่ในชีวิตประจำวัน คือ มอญมักจะรับประทานอาหารด้วยมือ และส่วนใหญ่กินอาหารวันละ 2 มื้อ มอญส่วนใหญ่นิยมทานอาหารที่มีรสมันอาหารหลักที่คนมอญนิยมกันแทบทุกครัวเรือน คือ ข้าวสวยกับแกงกระเจี๊ยบ น้ำพริกกะปิมอญ แกงฮังเล และอาหารที่มีรสเปรี้ยว เหตุที่คนมอญชอบทานใบกระเจี๊ยบเพราะว่าหาได้ง่าย เนื่องจากปลูกไว้เกือบทุกบ้าน หากต้องซื้อก็มีราคาถูก รสชาติดี และคงเป็นเพราะใบกระเจี๊ยบเป็นสมุนไพรด้วย (หน้า 70) วัฒนธรรมการกินอีกลักษณะหนึ่งของมอญคือ การกินหมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยังนิยมเคี้ยวหมากเล่น การกินหมากของมอญมีสืบทอดมาช้านานแล้ว ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการกินหมาก คือ ทำให้ฟันทน ไม่ผุง่าย เนื่องจากน้ำยางหมากและส่วนผสมเคลือบฟันทำให้ฟันทนแข็งแรงฆ่าเชื้อโรคและทำให้ปากหอม (หน้า 71) โรคภัยไข้เจ็บที่พบมากที่สุดในหมู่บ้าน คือ ไข้มาลาเรีย รองลงมาก็คือโรคขาดสารอาหารหากชาววังกะเจ็บป่วยก็จะต้องเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสังขละบุรีหรือเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลคริสเตียนแม่น้ำแควน้อยที่บ้านห้วยมาลัย เนื่องจากในบริเวณหมู่บ้านวังกะจะไม่มีสถานีอนามัย ดังนั้น หากเจ็บป่วยเล็กน้อย ชาวบ้านก็จะซื้อยามารับประทานเองแต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก จะต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดกาญจนบุรีหรือกรุงเทพฯ (หน้า 78-79)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ฝ่ายผู้ชายมอญแต่งกายด้วยการนุ่งโสร่งแบบดั้งเดิมทับเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาว ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงยาวชายผ้าถุงด้านบนจะใช้ผ้าฝ้ายสีดำเย็บติดไว้กว้าง ประมาณ 2-2.5 นิ้ว การนุ่งผ้าถุงมักจะไม่ใช้เข็มขัด นุ่งพันเหน็บไว้ที่เอว ส่วนเสื้ออาจใช้ผ้าชิ้นเดียวกันกับผ้าถุงหรือชิ้นอื่นก็ได้ตัดเย็บเข้ารูปทรงตามสัดส่วน เอวลอยมีผ้าสไบหลากสีสวยงาม สำหรับเสื้อของหญิงสูงอายุมอญจะเป็นแบบเข้ารูป กระดุมป้ายข้างสีสุภาพ ส่วนเสื้อของหญิงสาวจะเป็นแบบผ่าหน้าติดกระดุม (หน้า 73) ดนตรี ที่บ้านวังกะมีปี่พาทย์มอญ ซึ่งใช้ในการบรรเลงตอนชกมวย การใช้เครื่องดนตรีปี่พาทย์ในการชกมวยคาดเชือก ชนิดของเครื่องดนตรีมีไม่มากชิ้น มีปี่มอญ ระนาดตะโพนมอญ ฆ้องแบบมอญส่วนเรื่องของเพลงมอญแท้ๆ ยังมีเล่นอยู่ทีบ้านวังกะ สังขละบุรี ในงานวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะที่เรียกกันว่า "ทะแยมอญ" (หน้า 71)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ประชากรของบ้านวังกะนั้นจะเป็น ชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง โดยประมาณถึงร้อยละ 80 ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณฝั่งอำเภอ หรือที่มักจะเรียกกันว่า "วังกะฝั่งไทย" ที่เหลืออีกร้อยละ 15 นั้น ส่วนหนึ่งจะเป็นคนเชื้อสายมอญที่หลบหนีการสู้รบมาจากประเทศพม่า จัดเป็น "ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า" และอาศัยอยู่ที่บ้านวังกะ หมู่ 2 ตำบลหนองลู หรือที่เรียกกันว่า "วังกะฝั่งมอญ" และอีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นชนกลุ่มน้อยที่หลบหนีเข้ามา เป็นชาวพม่าเชื้อสายพม่าชาวพม่าเชื้อสายกะเหรี่ยง ชาวพม่าเชื้อสายมอญซึ่งจัดเป็น"ผู้หลบหนีเข้าเมืองเชื้อสายพม่า" ชนกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่กระจัดกระจายเกือบทุกหมู่บ้าน ในเขตตำบลหนองลูส่วนอีกร้อยละ 5 จะเป็นคนไทยที่เข้ามาทำมาค้าขายประกอบธุรกิจ รับราชการ (หน้า 98) ภาพรวมของประชากรในตำบลหนองลู ทำให้มองเห็นภาพของมอญที่บ้านวังกะฝั่งมอญ (ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า) โดยมีศูนย์รวมจิตใจ คือหลวงพ่ออุตตมะ ไม่ว่าจะเป็นมอญที่เป็นคนไทย ชาวไทย ชาวพม่า กะเหรี่ยง มอญในพม่า โดยเฉพาะมอญที่บ้านวังกะที่อพยพเข้ามาในระยะแรก โดยอาศัยอยู่กับกะเหรี่ยง หลวงพ่ออุตตมะก็ได้ขออนุญาตปลัดเจริญให้มอญมาอยู่รวมกันที่บ้านวังกะล่าง และได้มอญและกะเหรี่ยงช่วยบูรณะวัดร้างที่บ้านบีคลี่ ความสัมพันธ์ระหว่างมอญที่พึ่งอพยพมาจากพม่า และกะเหรี่ยงซึ่งอยู่มาแต่ดั้งเดิมในตำบลหนองลู เป็นไปในลักษณะญาติมิตรที่เกื้อกูลกัน หลวงพ่ออุตตมะจะเป็นผู้นำทางด้านความคิด การเงิน และการรวบรวมแรงงาน เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ต้องทำนุบำรุงรักษาหรือสร้างขึ้นเพื่อชาวบ้าน ในปี พ.ศ.2496 มอญได้เคลื่อนย้ายไปตั้งหมู่บ้านอยู่รวมกันทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแควน้อย โดยการขอของหลวงพ่ออุตตมะโดยเจรจากับปลัดเจริญ ปลัดเจริญจึงไปเจรจาขอร้องกำนันและผู้ใหญ่บ้านที่เป็นกะเหรี่ยง ซึ่งกะเหรี่ยงก็ยินยอมให้มอญมาหักร้างถางพง พื้นที่ตรงข้ามกับอำเภอเพื่อทำเป็นหมู่บ้านเรียกว่าบ้านวังกะบนปัจจุบันเรียกวังกะฝั่งมอญ พ.ศ. 2527 เกิดน้ำท่วมในบริเวณกว้างแต่ละชุมชนได้ทราบจำนวนเงินค่าเสียหายที่ทางการจะชดเชยให้ส่วนมอญพลัดถิ่นที่บ้านวังกะบนจำนวน 400 ครัวเรือน อยู่ในความดูแลของหลวงพ่ออุตตมะ ความสัมพันธ์อันดีและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จางหายไป เมื่อเกิดการแตกสานซ่านเซ็นของชาวบ้านทั้งที่เป็นคนไทย คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงและคนไทยเชื้อสายมอญไปอยู่ตามหมู่บ้านที่ได้รับจัดสรรไว้โดยทางการ (หน้า 98-107)

Social Cultural and Identity Change

ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยฝั่งอำเภอที่มีเชื้อสายกะเหรี่ยงกับมอญฝั่งวัดวังก์ฯ ซึ่งแต่เดิมมีแม่น้ำรันตี ซองกาเรีย และบีคลี่ เป็นลำห้วยไม่ใหญ่นักขวางกั้นอยู่ ชาวบ้านทั้งสองฝั่งยังไปมาหาสู่กัน แม้จะต้องใช้เรือหรือแพหรือเดินข้ามสะพานไม้อุตตมานุสรณ์ก็ยังไปมาหาสู่กันได้ มองเห็นอีกฝั่งหนึ่งได้ แต่เมื่อมีเขื่อนเขาแหลมซึ่งเปิดใช้ใน พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) หมู่บ้านเดิมทั้งของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงและของผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายมอญ พื้นที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์และป่าไม้ก็ต้องจมอยู่ใต้น้ำ มอญเก่าก็แยกย้ายไปอยู่ปะปนกับกะเหรี่ยงรอบๆ ตัวอำเภอใหม่ ทั้งมอญเก่าและกะเหรี่ยงบ้างก็ไปตั้งหมู่บ้านใหม่ในพื้นที่ที่ทางการจัดสรรให้ ส่วนมอญพลัดถิ่นสัญชาติพม่าก็อยู่กันที่บริเวณวัดวังก์วิเวการาม จากลำห้วยเล็กๆ ก็กลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มองไม่เห็นฝั่ง มองไม่เห็นกันและกัน พื้นที่บริเวณริมอ่างน้ำก็กลายเป็นรีสอร์ทของนายทุนจากภายนอกพื้นที่ ด้วยจำนวนคนที่มากขึ้นภายในหมู่บ้านวังกะ (ฝั่งมอญ) และด้วยการโยกย้ายมากันคนละช่วงเวลา และด้วยปัญหาความซับซ้อนของการออกบัตรประเภทต่างๆ ของทางราชการไทยและการให้สถานภาพต่างๆ เหล่านี้ในหมู่บ้านวังกะ(ฝั่งมอญ) หมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองแห่งนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป (หน้า 105) ด้วยเหตุนี้ปัญหาความมั่นคงซึ่งจะทำให้การให้สถานภาพเป็นคนไทยกับมอญพลัดถิ่น และลูกหลานที่เกิดในประเทศไทย พูดภาษาไทย เรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ยังคงมีปัญหาอยู่จนทุกวันนี้ (หน้า 111) ความห่างของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนมอญผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าที่บ้านวังกะ (ฝั่งมอญ) กับชุมชนคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง (ฝั่งไทย) ซึ่งเคยพึ่งพาอาศัยกัน เห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือแบ่งปันกัน ดูเหมือนจะถูกแยกห่างด้วยความกว้างของอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม และถูกเร่งให้ห่างมากยิ่งขึ้น ด้วยถนนคอนกรีตที่พาความเจริญเข้ามาสู่ชุมชนทั้งฝั่งวัดวังก์ฯและชุมชนเมืองฝั่งอำเภอ (หน้า 106) ผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนต่อความสัมพันธ์กับชนกลุ่มอื่นเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เพิ่มระยะความห่างไกล ของชุมชนสองฝั่งอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม ต่อมาถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเดินทางคมนาคมที่ทำให้การติดต่อกับผู้คนอื่นๆ สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น จนกระทั่งมีผู้คนเพิ่มขึ้นที่บ้านวัดวังก์ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของมอญที่บ้านวัดวังก์ฯกับชนกลุ่มอื่นๆ และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของมอญที่บ้านวัดวังก์ฯ ด้วยกันเอง ในระดับหนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสัมพันธ์ต่างๆ เหล่านั้นถูกทำให้ยุ่งยากซับซ้อน (หน้า 123)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

นโยบายในการจัดการต่อคนกลุ่มต่างๆ ที่ไม่ใช่คนไทยของรัฐบาลไทยผลกระทบของนโยบายบัตรสีต่างๆ ในส่วนของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีจะแยกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ 1. ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า (บัตรสีชมพู) คือคนสัญชาติพม่าที่ได้หนีภัยการสู้รบเข้ามาอยู่ประเทศไทย ก่อน พ.ศ. 2519 ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านวังกะ 2. ผู้หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า (บัตรสีส้ม) คือ คนสัญชาติพม่าที่ได้หนีภัยการสู้รบเข้ามาอยู่ประเทศไทยหลัง พ.ศ. 2519 3. บุคคลบนพื้นที่สูง (บัตรสีฟ้า) 4. (บัตรสีเขียวขอบแดง) คือ บุคคลที่ไม่ได้รับการสำรวจในครั้งแรก (หน้า 123-124) ด้วยการจำกัดหรือการให้สิทธิผู้เข้ามาในประเทศไทยโดยใช้บัตรสีต่างๆ ทำให้ข้าราชการที่มีอำนาจในการพิจารณาดำเนินการให้สถานภาพ สามารถแสวงหาผลประโยชน์กับชาวบ้านได้ (หน้า 126) ผลกระทบต่อการศึกษาลูกหลานมอญที่บ้านวังกะมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในขณะนี้ก็ด้วยเมตตาบารมีของหลวงพ่ออุตตมะทั้งเด็กมอญเร่ร่อนเรียนในวัดและเด็กมอญที่เข้าเรียนในระบบจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้ว ทั้งหมดไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนต่อในระดับสูง นอกจากจะต้องมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ได้รับสัญชาติไทยเสียก่อน ผลกระทบต่อการไม่มีงานทำ เนื่องจากมอญที่บ้านวัดวังก์ ถูกกำหนดให้อยู่ในเขตควบคุม จะออกนอกพื้นที่ไม่ได้ ดังนั้นการไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นหรือการออกไปทำงานนอกเขตจึงทำไม่ได้ คงทำได้เพียงการรับจ้างทั่วไป ผลกระทบต่อการขาดแคลนที่ดินทำกิน จากการสร้างเขื่อนเขาแหลม ของการไฟฟ้าฝ่ายการผลิตแห่งประเทศไทย ทำให้ที่ดินทำกินที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิมถูกน้ำท่วมหมด ต้องมีการย้ายหมู่บ้านมาอยู่ ณ ที่ปัจจุบันซึ่งเป็นที่จัดสรรของวัด ชาวบ้านคงมีเพียงพื้นที่เฉพาะพอสำหรับสร้างที่อยู่อาศัยเท่านั้น การจะถากถางป่าเพื่อทำการเกษตรก็ทำไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการบุกรุกพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ผลกระทบต่อเรื่องสาธารณูปโภค โดยปกติแล้วมอญบ้านวัดวังก์ฯ ส่วนหนึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำซองกาเรีย และอีกส่วนหนึ่งใช้น้ำจากประปาของหมู่บ้าน มีการนำน้ำจากแม่น้ำซองกาเรียขึ้นไปเก็บกักบนที่สูงและปล่อยลงมาตามท่อปะปา แต่ในฤดูน้ำหลากน้ำลำนี้จะมีสีแดง เพราะน้ำฝนกัดเซาะดินแดงและสนิมลงไปมาก ผลกระทบต่อเรื่องสาธารณสุขการรักษาพยาบาล เนื่องจากไม่มีสถานีอนามัยในหมู่บ้าน เมื่อมีผู้เจ็บป่วยก็จะต้องใช้เวลาในการเดินทางเข้าไปที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอสังขละบุรีเพียงประการเดียวเท่านั้น ผลกระทบต่อเรื่องสภาพจิตใจและความรู้สึกนึกคิด จากความไม่แน่นอนในเรื่องของสถานภาพการอยู่ในประเทศไทย ส่งผลต่อจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านวัดวังก์ฯ เด็กๆ ที่ได้เข้าเรียนหนังสือ ก็ไม่มีโอกาสจะได้เรียนต่อในชั้นสูง เมื่อเรียนจบแล้วก็หางานทำไม่ได้ คงทำได้แต่งานรับจ้างใช้แรงงาน ซึ่งก็คือไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือก็ได้ นำไปสู่ปัญหาสภาพความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปของทุกๆ คนในหมู่บ้าน (หน้า 128-130)

Map/Illustration

แผนที่แสดงพื้นที่ประเทศไทยบริเวณที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน (หน้า 2) แผนที่จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 3) แผนที่แสดงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 4) ด่านพระเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรีจังหวัดกาญจนบุรีในปัจจุบัน (หน้า 9) แผนที่แสดงบริเวณที่ก่อสร้างอำเภอสังขละบุรีใหม่ (หน้า 30) แผนที่สังเขปอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 32) แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านและสถานที่ต่างๆ ในอำเภอสังขละบุรี (หน้า 33) การแบ่งเขตการปกครองของพม่าและเมืองหลัก (หน้า 37) การกระจายตัวของชนเชื้อชาติต่างๆ ในประเมศพม่า (หน้า 38) โครงสร้างหลักของรัฐบาลลอร์คที่มีการบังคับเกณฑ์แรงงานทาส (หน้า 41) นายสเว จิน (Nai Swe Kyin) ผู้นำพรรคสหแนวร่วมมอญ (MUF) (หน้า 43) สภาพบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวมอญที่บ้านฮะล็อคคะนี (หน้า 52) แผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งกองกำลังชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดนไทย-พม่า (หน้า 54) แผนที่สังเขปแสดง พื้นที่อิทธิพลของกองกำลังชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่าติดชายแดนไทย (หน้า 55) แผนที่บริเวณบ้านวังกะ ฝั่งมอญ (หน้า 64) ชาวมอญบ้านวังกะใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้า (หน้า 69) สภาพบ้านเรือนของชาวมอญปัจจุบัน (หน้า 69) หิ้งพระซึ่งจะยื่นตัวออกมานอกบ้าน (หน้า 70) หมากหวานมีสีแดง รสหวาน (หน้า 71) เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์มอญและวงทะแยมอญ (หน้า 72) การแต่งกายของหญิงชาวมอญ (หน้า 73) เครื่องแต่งกายประจำชาติของเด็กนัก เรียนในทุกวันศุกร์ (หน้า 74) ศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยรามัญพัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์และพัฒนาส่งเสริมวิชาชีพ (หน้า 75) บริเวณวัดวังก์วิเวการามเก่า (หน้า 75) เจดีย์พุทธคยาจำลอง (หน้า 76) พระพุทธรูปขาว (หน้า 77) จานเคเบิ้ลทีวี ซึ่งหลายๆบ้านเริ่มมีติดตั้งแล้ว (หน้า 77) ชาวบ้านสัญจรไปมาระหว่างสองฝั่งบนสะพานไม้อุตตมานุสรณ์ (หน้า 78) หญิงชาวมอญรดน้ำต้นกระเจี๊ยบที่ปลูกไว้ทั้งบริโภคในครัวเรือนและจำหน่าย (หน้า 79) ตลาดวัดวังก์ฯ ซึ่งชาวบ้านจะนำผลผลิตที่หามาได้มาจำหน่าย (หน้า 79) ตลาดขายของที่ระลึกที่บริเวณพุทธคยา (หน้า 80) ชาวบ้านทูนหัวสำรับอาหารมาถวายพระสงฆ์ที่วัด (หน้า 81) การแสดงทะแยมอญและเครื่องดนตรีประกอบ (หน้า 82) การละเล่นต่างๆ ในงานวันสงกรานต์ จัดขึ้นที่บริเวณลานวัดวังก์วิเวการาม (หน้า 84) พิธีตักบาตรเทโว ปี พ.ศ. 2545 ทำกันที่วัดศรีสุวรรณ เป็นวัดกะเหรี่ยง (หน้า 86) ประเพณีการตักบาตรดอกไม้ของชาวมอญ (หน้า 87) ข้าวยาคู (เปิง ยาคุ) (หน้า 89) การแสดงรำแบบต่างๆ ของเด็กชาวมอญและชาวกะเหรี่ยง (หน้า 89) ชาวบ้านพากันมารอสรงน้ำหลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 90) การชกมวยคาดเชือก (หน้า 90) พิธีส่งดอกไม้ในช่วงเวลาเย็น (หน้า 92) หลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 93) สภาพบ้านเรือนและผู้คนบริเวณบ้านเก่า (หน้า 104) เขื่อนเขาแหลม (เขื่อนวชิราลงกรณ์ในปัจจุบัน) และสภาพภูมิทัศน์โดยรอบ (หน้า 104) ป้ายบอกทางเข้าสะพานไม้อุตตามานุสรณ์ และสะพานไม้จากมุมต่างๆ (หน้า 106) สภาพโรงหนังเก่าภาพในหมู่บ้าน (หน้า110) สภาพบ้านที่ปลูกอยู่ริมน้ำ (หน้า 111) ป้ายบอกชื่อเจ้าของบ้านและบ้านเลขที่ (หน้า 112) สภาพบ้านเรือนของชาวมอญ ที่ลงหลักปักฐานอย่างดี (หน้า 113) สะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อความสะดวกในการเดินทาง (หน้า 115) การก่อสร้างสะพานคอนกรีตข้ามลำน้ำสายย่อย (หน้า 116) บริเวณหัวสะพานฝั่งวัดวังก์ฯมีการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว (หน้า 118) บ้านเรือนที่อยู่ใกล้สะพานไม้ เปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก ขายกาแฟ (หน้า 118) บริการให้เช่าเรือแพแก่นักท่องเที่ยว (หน้า 119) ที่จอดรถของนักท่องเที่ยวที่มาล่องแพ (หน้า119) กิจกรรมการออกร้านของชมรมศิษย์เก่าวัดวังก์ฯ (หน้า 122) ตารางที่ 1 การแบ่งเขตการปกครองของจังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 10) ตารางที่ 2 ลำดับความหนาแน่นของประชากรต่อเนื้อที่ของอำเภอ (หน้า 13) ตารางที่ 3 ข้อมูลชุมชนบนพื้นที่สูงจังหวัดกาญจนบุรี(จำแนกรายการตามเผ่า) (หน้า14) ตารางที่ 4 จำนวนประชากรจำแนกเป็นรายตำบล(หน้า 31) ตารางที่ 5 การแบ่งเขตการปกครองพม่าและเมืองหลัก (หน้า 36) ตารางที่ 6 จำนวนประชากรจำแนกเป็นรายตำบล (หน้า 97)

Text Analyst กัญญาณัฐ เฮ็งบ้านแพ้ว Date of Report 22 มี.ค 2549
TAG มอญ, ผู้พลัดถิ่น, ความเปลี่ยนแปลง, กาญจนบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง