|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง,ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน,ยุคแรก,เขตที่ราบสูง,เชียงใหม่ |
Author |
Ronald D. Renard |
Title |
On the Possibility of the Early Karen Settlement in the Chiang Mai Valley |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
24 |
Year |
2545 |
Source |
http://coe.asafas.kyoto-u.ac.jp/news/Inter-Ethnic%20Relations2002/(6)Ronald.pdf |
Abstract |
การรวบรวมข้อมูลในการศึกษาการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงยุคแรกในเขตที่ราบสูงในเชียงใหม่จากหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ งานวิจัยของนักวิจัยท่านอื่นมาประมวลภาพการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงประวัติศาสตร์ |
|
Focus |
นำเสนอข้อมูลใหม่ทางประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงยุคแรก ๆ ในเขตที่ราบสูงเชียงใหม่ โดยวิเคราะห์จากหลักฐานทางบันทึกประวัติศาสตร์ต่าง ๆ และงานวิจัยอื่น ๆ |
|
Theoretical Issues |
ไม่มีข้อเสนอทางทฤษฎี ใช้กรอบการรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาประมวลและวิเคราะห์และนำเสนอ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงผู้ศึกษาเห็นว่าเป็นภาษาที่มีมาก่อนพม่าและภาษาไต ในขณะที่นักวิชาการบางท่านจัดให้ภาษากะเหรี่ยงอยู่ในตระกูลทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) หรือ ตระกูลภาษาไต (Tai) (หน้า 60) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุว่าทำการศึกษาในปีไหน แต่เน้นการศึกษาประวัติศาสตร์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบว่ายางอยู่ในเชียงใหม่จากปี ค.ศ. 1296 ถึง ปี ค.ศ.1700 ที่ผ่านมา (หน้า 60) |
|
History of the Group and Community |
หลักฐานการบันทึกของอาณาจักรล้านนา กล่าวถึงคนที่ราบสูงน้อยมาก และที่ปรากฏอยู่ก็มีเพียงลั๊วะ (Lua) และข่า (Kha) ซึ่งถูกมองว่าเป็นชาวป่า ชาว "ยาง" ก็น่าจะรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน (หน้า 62) ในขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้จะอยู่บนที่ราบสูงที่มีความสูงมากกว่า 100 เมตรขึ้นไป กะเหรี่ยงน่าจะกระจายออกไปทางใต้ในบริเวณจังหวัดตากและทางเหนือในบริเวณจังหวัดเชียงราย (หน้า 63) ซึ่งทั้งกะเหรี่ยงและคนไทยทางเหนือมองว่าบริเวณดังกล่าวเป็นของกลุ่ม ลั๊วะ (หน้า 63) จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์และการรวบรวมข้อมูลการศึกษา ต่างทำให้ได้ภาพของการตั้งถิ่นฐานก่อนเข้าอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำปิง ดังนี้ 1) กะเหรี่ยงถูกอพยพเข้ามาเชียงใหม่จากเขต Zwei Kabin หลังจากสงครามเสร็จสิ้นในช่วง ค.ศ. 1804 และพระยากาวิละ พยายาม "เก็บข้าใส่เมือง" (หน้า 66) 2) มาจากแม่แจ่ม ซึ่งมีวัดเก่าแก่ชื่อวัดยางหลวง ตามคำบอกเล่าของกะเหรี่ยงและคนไทยภาคเหนือที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวต่างก็บอกว่าคนยางเป็นคนสร้างในช่วงของพระยากาวิละ ประมาณปี ค.ศ. 1800 (หน้า 66-67) 3) มาจากแม่สะเรียง โดยย้ายมาจากฝั่งแม่น้ำ "Li" และถูกเรียกว่า "Yang phiang" (หรือ Biang) หมายความว่า กะเหรี่ยงที่อยู่ในที่ราบ (หน้า 69) 4) การอพยพเข้ามาของกะเหรี่ยงอีกกลุ่ม ที่มีจำนวนจำกัดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1804 ที่มีการส่งบรรณาการ เช่น ช้าง และหญิงกะเหรี่ยงให้กับเจ้าเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ว่ากลุ่มกะเหรี่ยง หมู่บ้านหนองเต่าน่าจะอยู่มาก่อนหน้านี้ (หน้า 70) ในขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของผู้นำกลุ่มกะเหรี่ยงเล่าว่า แม้ว่ากะเหรี่ยงที่มาจากแม่แจ่มเองก็อพยพมาจากเชียงใหม่อีกที และบางครั้ง "Yang Biang" ก็เป็นคำที่หมายถึงกะเหรี่ยงซึ่งพบในฝั่งตะวันออกแม่น้ำปิง ในลำพูน และฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงในเชียงใหม่ (หน้า 71-72) ส่วนคำว่ายางในบันทึกประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตำนานพระธาตุหริภุญไชย กล่าวถึงกะเหรี่ยง (Yang Biang) ตรงกับคำบอกเล่าของผู้นำกะเหรี่ยงที่หมู่บ้าน Nong tao ได้กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ดี คำว่า Yang ในบันทึกประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ก็ยังต้องศึกษาอยู่ว่ามีความหมายไปในลักษณะใด เช่น คน, ต้นไม้,ป่า เป็นต้น (หน้า 72-79) นอกจากนี้ มีหลักฐานการจารึกบนแผ่นเงิน มีความเก่าแก่ประมาณปี ค.ศ. 1567 ซึ่งเป็นโองการของเจ้านายวิสุทธิ เกี่ยวกับการยกเว้นพวก "ข้าวัด" (ในบริเวณจอมทอง) จากการเสียภาษี และปรากฏคำว่า "ยาง" ในการยกเว้นด้วย |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงจะอาศัยตามลุ่มแม่น้ำ และเขตที่ราบสูงที่มีเขตพื้นที่ราบอยู่บ้าง และบางครั้งก็พบว่าเคยอยู่ที่ราบมาก่อน (หน้า 66,69) |
|
Political Organization |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่มีการกล่าวถึงการส่งคณะผู้แทนอาวุโสเพื่อขออนุญาตจากเชียงใหม่ หรือ เจ้า "อินทวิชยานนท์" ในทศวรรษของปี 1870 เพื่อขออยู่ "ผาหม่อน" แหล่งต้นสายแม่น้ำ Mae Klang บนดอยอินทนนท์โดยจ่ายไป 500 รูปี (rupees) เท่ากับมูลค่าของช้างก่อนที่จะได้รับอนุญาต (หน้า 68) หรือการส่งบรรณาการ เช่น ช้าง และหญิงกะเหรี่ยงให้กับเมืองเชียงใหม่ (หน้า 70) |
|
Belief System |
ไม่ได้ระบุชัดเจน Charles Keyes กล่าวว่าลั้วะโบราณนั้นมีความสำคัญ และมีอิทธิพลในบทบาทเชิงพิธีกรรมของล้านนา (หน้า 63) นอกจากนี้มีการกล่าวถึง ความกลัวต่อชนเผ่าที่อยู่ในป่าในบันทึกประวัติศาสตร์ล้านนา ว่ามีความใกล้ชิดกับจิตวิญญาณ ไทกลัวในเรื่องของเวทมนตร์ของชาวป่าว่าสามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้บทความยังได้ระบุความเชื่อตามศาสนาพุทธของกลุ่มชนชาติอื่นที่ไม่ใช่กะเหรี่ยง (หน้า 62) |
|
Education and Socialization |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่มีการกล่าวถึงการส่งผ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเผ่าผ่านรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง แต่ก็ยังมีกะเหรี่ยงในเชียงใหม่และคนไทยภาคเหนือบางกลุ่มที่ไม่บอกเล่าความประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนได้ และมีผู้นำกลุ่มเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสนใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของกลุ่ม (หน้า 71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่ได้ระบุชัดเจน ถึงข้อมูลทางด้านศิลปะของกะเหรี่ยง แต่มีการระบุถึงการค้นพบที่ฝังศพพร้อมสิ่งของมากมายในทางตอนเหนือของตากและทางตอนใต้ของเชียงใหม่ (หน้า 64) |
|
Folklore |
กล่าวถึงตำนานพระธาตุหริภุญไชย ในช่วงปี ค.ศ.1351 หรือ 1352 ที่กษัตริย์ "Kuna" แห่งเชียงใหม่ผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ส่งช้างมงคลไปทุกแห่ง กษัตริย์รุ่นก่อน ได้เผยแพร่พุทธศาสนาเพื่อพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ช้างเดินทางไปโดยทั่ว ผ่านทางตะวันตกของแม่ระมิงค์ (แม่ปิง) ถึงป่าซางและขึ้นเขาไปดอย "Lakha" จนถึงหมู่บ้าน Yang Piang ซึ่งเป็น กระเหรี่ยงเดิมและลงเขามาเวียงกุมกาม (หน้า 72-74) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงนั้นขึ้นกับกลุ่มเมืองเชียงใหม่หรือคนที่อยู่ในเขตที่ราบ อยู่รวมกับกลุ่มคนไทยภาคเหนือบ้าง บางครั้งถูกเรียกว่า Yang,Yang Biang (Phiang) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ไม่ระบุการเปลี่ยนแปลงสังคมชัดเจนนัก |
|
Map/Illustration |
Rout of the Phu Chai Nong Kham Elephant (76) |
|
|