|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ดนตรี,น่าน |
Author |
บุญลอย จันทร์ทอง |
Title |
ดนตรีชาวเขาเผ่าม้ง หมู่บ้านสบเบ็ด อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
192 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปกรรมมหาบัณฑิต วิชาเอกมานุษยดุริยางควิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ |
Abstract |
ม้งยังคงรักษาความเป็นวัฒนธรรมของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานศพ ความเชื่อถือต่างๆในเรื่องของจิตวิญญาณ และขั้นตอนในการปฏิบัติไว้อย่างชัดเจนและให้ความสำคัญกับพิธีเป็นอย่างมาก การวิเคราะห์ดนตรีที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมงานศพ ผลวิจัยพบว่าเครื่องดนตรีที่ใช้ในการดำเนินทำนองคือ "เก้ง" มีความสำคัญในการเป็นผู้นำในพิธีศพ จัดอยู่ในตระกูลเครื่องลม มีระบบการเทียบเสียง 5 เสียง มีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ เต้าเก้ง ท่อเสียง 6 ท่อและลิ้น ซึ่งใช้วัสดุและเครื่องมือที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นจากธรรมชาติ บทเพลงของดนตรีม้งเป็นโครงสร้างเพลงที่มีท่อนเพลงหลายท่อน ไม่มีการวนซ้ำไปมา มีองค์ประกอบดนตรีครบถ้วน ทั้งทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ นักดนตรีมีอิสระในการสร้างเสียงสูงต่ำ แตกต่างจากทำนองเดิม โดยเกิดจากการควบคุมลมหายใจ ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ในบทเพลง ส่วนเครื่องดนตรีประกอบได้แก่ จัว เป็นการบรรเลงในแนวเดียวตลอดในทุกบทเพลง ซึ่งมีลักษณะและส่วนจังหวะที่ปรากฏให้เห็นในบทเพลงทั้งหมดมีอยู่ลักษณะเดียว ลักษณะการผสมวงมี 2 ลักษณะคือ วงดนตรีที่มีเครื่องดนตรี 2 ชิ้นจะใช้ในพิธีกรรมงานศพคือเก้งและจัว ส่วนงานรื่นเริงจะใช้การร้องเป็นส่วนใหญ่และใช้เครื่องดนตรีชนิดอื่นเล่นในยามว่าง เช่น จ้างและย่าง ส่วนในเรื่องของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรีได้มีการสืบทอดมาช้านาน ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นในยุคใด สมัยใด ดนตรีชาวเขาเผ่าม้งได้สะท้อนสภาพวัฒนธรรมของม้ง โดยบทเพลงจะใช้บรรเลงประกอบพิธีกรรมงานศพเป็นส่วนใหญ่ ม้งถือว่า บทเพลงกับพิธีกรรมงานศพเป็นสิ่งควบคู่กันอย่างแยกไม่ออก ดนตรีและพิธีกรรมงานศพถือว่ามีความสำคัญที่สุดของม้ง ผลการวิเคราะห์ตามองค์ประกอบของดนตรีสรุปได้ว่า ลักษณะของเสียงเป็นการถ่ายทอดความรู้สึก รูปพรรณมีแนวทำนองประสานเสียง ลักษณะที่เป็นทำนองบรรเลงไปเรื่อยๆ คล้ายเพลงด้น มีทำนองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะชนเผ่า |
|
Focus |
ศึกษาดนตรีในวัฒนธรรมมุขปาฐะ ในพิธีกรรมงานศพ รวมทั้งลักษณะทางดนตรีของบทเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีตามแบบดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าม้ง กรณีศึกษาหมู่บ้านสบเบ็ด อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยนิยมเรียก "ม้ง" ว่า "แม้ว" ส่วนมากแม้วเรียกตัวเองแตกต่างกันไปตามเผ่า เช่น แม้วดำหรือแม้วน้ำเงิน เรียกตัวเองว่า "ฮมูงจั๊ว" ส่วนแม้วขาวเรียกตนเองว่า "ฮมูง ด๊าว" ส่วนแม้วกัวมะบา เรียกตัวเองว่า "ฮมูง กัวมะบา" ม้งที่อาศัยทางภาคเหนือของไทยแบ่งได้เป็น 3 เผ่าคือ ม้งดำหรือม้งน้ำเงิน ม้งขาวและม้งกัวมะบา สำหรับม้งดำแบ่งออกเป็น 3 สาขาย่อยคือ ม้งดอก ม้งลายและม้งดำ (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งไม่มีภาษาเขียน (หน้า 24) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษม้งเมื่อราว 2,000 ปี ก่อนคริสตกาลเคยอาศัยริมฝั่งแม่น้ำเหลือง สมัยนั้นม้งเคยต่อต้านการขยายตัวของพวกจีน จนในที่สุดม้งก็เป็นฝ่ายแพ้และถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมจีนและมีม้งจำนวนมากได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง
ม้งที่อาศัยในประเทศไทยอพยพเข้ามาทางเขตลาวมากกว่าทางด้านรัฐฉานของสหภาพ พม่า โดยอาศัยยู่ตามพรมแดนด้านตะวันออกและด้านตะวันตกในเขตจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำปาง น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เลยและจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจังหวัดน่านมีม้งมากกว่าทุกจังหวัด (หน้า 3-4) |
|
Settlement Pattern |
ชาวเขาส่วนใหญ่ตั้งชุมชนบริเวณสันเขาหรือลาดเขา (หน้า 1) ม้งตั้งบ้านเรือนตามเขาสูง ในระดับความสูงประมาณ 5,000 ฟุตขึ้นไป (หน้า 19) |
|
Belief System |
ม้งมีความเชื่อถือในวิญญาณและผีต่างๆ ไม่มีพระเจ้าที่ยึดถือถาวร เช่น ศาสนาคริสต์หรืออิสลาม ผีที่ม้งนับถือมีทั้งผีบรรพบุรุษและผีที่อยู่ตามธรรมชาติและสภาพแวดล้อม เช่น ท้องฟ้า ลำน้ำ ต้นไม้ ภูเขา ไร่นาและบ้านเรือน ม้งเชื่อว่าผีที่ตนนับถือมีหลายระดับ ระดับสูงสุดคือผีฟ้า เรียกว่า "ตรั้งคู้" โดยเชื่อว่าผีฟ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก(หน้า 19,59)
พิธีงานศพม้ง หากบ้านใดมีคนตายจะมีการยิงปืนเพื่อเป็นสัญญาณให้คนอื่นทราบ หลังจากนั้น จะมีการอาบน้ำศพและแต่งตัวให้ศพ เมื่อแต่งตัวศพเสร็จแล้วจะวางศพนอนขนานกับฝาผนังที่อยู่ตรงข้างประตูบ้าน เจ้าภาพจะเชิญคนมาสวดเตอกี เพื่อให้ผู้ตายได้ทราบว่าตนได้ตายแล้วและกำลังจะเดินทางไปหาผีพ่อแม่ซึ่งอยู่ยังอีกโลกหนึ่ง พิธีศพจะกินเวลาหลายวัน ทั้งนี้เพราะต้องรอญาติที่อยู่ไกลได้มาร่วมงาน การฝังศพจะฝังในวันดีเพราะจะทำให้ผู้ตายไปเกิดที่ดีมีความสุข งานหนักที่ต้องทำในงานศพคือ การเป่าเก้งและตีจัวเพราะต้องทำติดต่อกัน เสียงเก้งมีเพลงที่ใช้บรรเลงเฉพาะในพิธีศพเท่านั้น ส่วนจัวนั้น ถ้าไม่มีพิธีศพ ห้ามตีโดยเด็ดขาด หากเป็นการตายด้วยโรคระบาดจะนำศพไปฝังทันทีโดยไม่มีการจัดพิธีศพ ม้งนิยมฝังศพตอนเย็น เพราะเชื่อว่าถ้าฝังตอนเช้าผีคนตายจะกลับมารบกวนทางบ้าน หลังจากฝังศพแล้ว 3 วันญาติผู้ตายจะนำหินไปกองเรียงไว้บนหลุมฝังศพโดยเชื่อว่าเป็นการสร้างบ้านให้ผีผู้ตายอยู่และหลังจากนั้นประมาณ 13 วัน จะทำพิธีเชิญวิญญาณผู้ตายกลับไปเยี่ยมบ้านเพื่อกินไก่ ภายใน 1 ปีญาติผู้ตายจะทำพิธีปล่อยผีผู้ตายให้ไปเกิดใหม่ หากไม่ประกอบพิธีนี้ ผู้ตายจะไม่สามารถไปเกิดใหม่และจะกลับมาบ้านรบกวนญาติพี่น้อง ข้อห้ามในการฝังศพของม้ง เช่น ห้ามฝังศพลูกในวันคล้ายวันฝังศพบิดามารดา เพราะจะทำให้ทำมาหากินไม่เจริญ ห้ามฝังศพไว้บนไหล่เขาที่มีหมู่บ้านตั้งอยู่ สำหรับศพเด็กจะนิยมฝังไว้ในบริเวณเดียวกันเพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงา เป็นต้น ส่วนการไว้ทุกข์ จะไว้ประมาณ 13 วัน ไม่มีการแต่งตัวแบบพิเศษ เพียงแต่ห้ามปฏิบัติกิจบางอย่างเพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้ตายไปเกิดใหม่มิได้ เช่น ห้ามเย็บผ้า เพราะเชื่อว่าผู้ตายจะถูกเข็มตำ ห้ามต่อด้าย เพราะเชื่อว่าด้ายจะพันแข้งพันขาผู้ตาย (หน้า 19-21)
ดนตรีของม้งมีลักษณะการบรรเลงแบบง่ายไม่ซับซ้อน ดนตรีบรรเลงได้เฉพาะเพื่อเป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมใหญ่หรือคัมภีร์การประกอบดนตรีที่ระบุไว้ว่าต้องใช้ดนตรีเท่านั้น เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพ พิธีขึ้นปีใหม่ม้ง และในบรรดาพิธีกรรมทั้งหมด พิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพถือเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุด (หน้า 23)
ข้อห้ามของการเล่นเครื่องดนตรี การบรรเลงเครื่องดนตรีของม้งในพิธีกรรม ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งเคารพบูชา ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเล่นโดยเด็ดขาด (หน้า 34) |
|
Education and Socialization |
การถ่ายทอดดนตรีของม้งเป็นการถ่ายทอดด้วยวิธีปากเปล่า (Oral Tradition) ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (หน้า 22, 59) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของนักดนตรีม้งในพิธีกรรมต่างๆ จะแต่งชุดประจำเผ่าอย่างเรียบง่าย (หน้า 22) การผสมวงของดนตรีม้งเป็นการรวมเครื่องดนตรีทุกชนิดมาบรรเลงร่วมกัน ประกอบด้วย เก้ง จ้าง และย่าง ซึ่งถือเป็นเครื่องดนตรีหลักของวงที่ใช้บรรเลงทำนองและมี "จัว" เป็นเครื่องประกอบจังหวะ โดยเครื่องดนตรีทั้งหมดทำจากวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติ
"เก้ง" (แคน) เป็นเครื่องดนตรีประจำเผ่าในการประกอบพิธีกรรมของชาวเขาเพียง 4 เผ่าและเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป ได้แก่ เผ่าลีซู เรียกแคนของตนว่า "ฝู่ลุ" เผ่าลาหู่ (มูเซอ) เรียกว่า "นอ" เผ่าอาข่า (อีก้อ) เรียกว่า "แลเจ๊ะ" ส่วนม้งเรียกแคนของตนว่า เก้งหรือเต้ง เก้งเป็นเครื่องดนตรีกลุ่มเครื่องลม ทำจากต้นไม้เนื้อแข็ง เจาะรูตรงกลาง ประกอบเข้ากันโดยมีทองเหลืองเป็นปลอกหุ้ม เป็นปล้องปลายเล็กโคนใหญ่ เก้งของม้งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 7 ส่วนคือ เก้ง เลาเก้ง ซึ่งมีทั้งหมด 6 เลา โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ เต้าเก้งและท่อเสียง กำเนิดเสียงโดยการเป่าหรือดูดโดยใช้นิ้วปิดรูท่อเสียงหรือเลาเก้งที่ต้องการให้เกิดเสียงตามต้องการ ระบบเสียงของเก้ง มีทั้งหมด 6 เสียงแต่ละเสียงมีเสียงหลักที่เป็นทำนองอยู่ 5 เสียง ส่วนเสียงที่ 6 จะเป็นตัวทำเสียงแนวประสาน ในพิธีงานศพจะใช้เก้งขนาดใหญ่ ไม่นิยมใช้เก้งขนาดเล็ก
"จ้าง" คือขลุ่ยที่ม้งนิยมใช้ เป็นเครื่องดนตรีชั่วคราว ใช้บรรเลงเพื่อตอบสนองความต้องการตามวิถีชุมชน เช่นไปทำไร่ เดินป่าล่าสัตว์ เป็นต้น ไม่เกี่ยวกับการบรรเลงในพิธีกรรม จ้างทำด้วยไม้ไผ่ ยาวประมาณ 21 นิ้ว มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร เป็นจ้างที่เป่าทางตรง มีลิ้นและเสียง 6 รู เหมือนขลุ่ยไทยและมีระบบเสียงได้ 5 เสียงแต่ถ้าผู้ชำนาญจะเป่าได้ถึง 6 เสียง
"จัว" หรือ "กลองม้ง" เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ใช้ประกอบพิธีกรรมเฉพาะงานศพเท่านั้น จัวเป็นเครื่องดนตรีที่ไม่นิยมสร้างหรือเปลี่ยนใหม่ ปัจจุบัน บ้านสบเบ็ดมีจัว 2 ใบ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 นิ้ว ตัวจัวทำจากไม้เนื้อแข็ง หน้าจัวทำจากหนังวัว ขึงตึงทั้งหัวท้ายโดยใช้หมุดตอกติดกับตัวจัว ในการบรรเลงจะแขวนจัวไว้ที่สูง ไม่วางจัวบนพื้นเด็ดขาด มีไม้ตี 2 ไม้ ตีสลับมือไปมา
"ย่าง" เป็นเครื่องดนตรีดั้งเดิมไม่ได้รับการพัฒนาแต่อย่างได ย่างเป็นเครื่องเป่าทำจากโลหะทองแดง ตัดเป็นแผ่นบางมีความยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้าง 1/2 นิ้ว ย่างเป็นเครื่องเป่าทางตรง ไม่มีรูบังคับ วิธีการเล่นมีลักษณะเหมือนจ้องโหน่งซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของภาคอีสาน ย่างจะมีปลอกหุ้มทำด้วยไม้สำหรับเก็บลักษณะเหมือนที่เก็บมีด วิธีการเล่นคือใช้มือทั้งสองจับที่ตัวย่างแล้วใช้ปากเป่าผ่านลิ้นของย่างเพื่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน จะทำให้เกิดเสียง (หน้า 23-34 )
บทเพลงของม้ง เป็นเพลงที่ได้สืบทอดมาแต่อดีต ใช้บรรเลงในพิธีงานศพซึ่งถือเป็นพิธีที่สำคัญ มีทั้งหมด 6 เพลง ได้แก่ เพลง "เก้งตูสา" แปลว่า ส่งเสีย เพลง "เจ๊าและ" แปลว่า ใส่โลง เพลง "เก้งฉ่าย" แปลว่า อาหารเช้า เพลง "เก้งชู" แปลว่า อาหารเที่ยง เพลง "เก้งหม้อ" แปลว่า อาหารเย็น และเพลง "เจ้อเจีย" แปลว่าถวายหมู วัว ควาย
จากการวิเคราะห์พบว่า เพลงเก้งตูสา บทเพลงมี 4 ท่อน มีลักษณะของเสียงเกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้สึก ความเศร้า เป็นเพลงทำนองเดี่ยวและมีแนวทำนองแบบประสานเสียง ลักษณะการประพันธ์มิได้คำนึงถึงลักษณะการประพันธ์ ดังนั้น จึงเป็นการบรรเลงทำนองเพลงไปเรื่อยๆ เพลงเจ๊าและ มีลักษณะเสียงถ่ายทอดความรู้สึกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ บทเพลงมีแนวทำนองเดียว มีลักษณะเพลง 4 ท่อน มิได้คำนึงถึงการประพันธ์ ดังนั้น จึงเป็นการบรรเลงทำนองไปเรื่อยๆ ในแต่ละท่อนเพลง เป็นต้น (หน้า 35-37) |
|
Folklore |
ตำนานที่เกี่ยวข้องกับดนตรีของม้ง ม้งถือกำเนิดมาจากชายหญิงคู่หนึ่ง (คล้ายกับอีฟและอดัมในศาสนาคิสต์) ตามตำนานเล่าว่า ในอดีตในโลกมนุษย์มีเหตุการณ์น้ำท่วมโลกจนทำให้มนุษย์ตายกันหมด เหลือเพียงชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกลองลูกหนึ่ง จึงทำให้รอดตาย โดยในระหว่างที่น้ำท่วมสูงจนกระทั่งพากลองของสองพี่น้องลอยขึ้นไปถึงสวรรค์ เทพเจ้าจึงได้ช่วยชีวิตสองพี่น้องไว้ เทพเจ้าได้ให้เก้งเป็นของขวัญ จากนั้นสองพี่น้องจึงได้กลับมายังโลกมนุษย์และถือเป็นบรรพบุรุษของม้งและถือเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าและวิญญาณที่ล่วงลับ (หน้า 21)
นิยายปรัมปราของม้งได้เล่าต่อกันมาว่า ถิ่นกำเนิดของม้งอยู่ที่มุมหนึ่งของโลก เป็นดินแดนที่อากาศหนาวเย็นปกคลุมด้วยหิมะ คนและต้นไม้มีขนาดเล็ก มีเวลากลางคืนนาน 6 เดือน ส่วนม้งในประเทศไทยที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดเดิมในทำนองว่า ถิ่นกำเนิดม้งอยู่ห่างออกไปใช้เวลาเดินหลายปี เวลาครึ่งหนึ่งเป็นกลางวันและครึ่งหนึ่งเป็นกลางคืน เวลากลางคืนน้ำจะแข็งตัวจับเป็นก้อน เป็นแก่งหินและทรายสีขาว อากาศหนาวเย็น สรรพสิ่งทั้งหลายมีขนาดเล็ก (หน้า12) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
พิธีกรรมงานศพม้ง มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มมาก(หน้า 59) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันนักดนตรีจะแต่งกายตามแบบคนไทยพื้นราบ (หน้า 60) |
|
Other Issues |
ปัจจุบันหมู่บ้านสบเบ็ดมีนักดนตรีผู้บรรเลงหลัก 2 คน คือเลาป๋อ แซ่ย่าง และ เลายี่ แซ่คำในพิธีงานศพ ผู้บรรเลงเก้งถือว่าเป็นผู้มีความสามารถและความสำคัญเป็นที่สุด (หน้า 59) |
|
Map/Illustration |
ภาพ
- แผนภาพแสดงการอพยพของชาวเขาเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 5)
- แสดงการสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย(หน้า 6)
- การแต่งกายของนักดนตรีเมื่อบรรเลงดนตรี(หน้า 22)
- เก้ง(หน้า 24)
- เต้าเก้ง ท่อเสียง(หน้า 25)
- ตำแหน่งเลาเก้งที่ประกอบเต้าเก้งแต่ละจุด(หน้า 26)
- ลิ้นเก้ง(หน้า 27)
- การจับเก้ง(หน้า 28)
- การบรรเลงเก้งอย่างพร้อมเพรียงกัน(หน้า 29)
- จ้าง(หน้า 30)
- การจับจ้าง(หน้า 31)
- ด้านข้างจัว(หน้า 32)
- ด้านหน้าจัว(หน้า 32)
- ย่าง(หน้า 33)
- การเล่นย่าง(หน้า 34) |
|
Text Analyst |
สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ |
Date of Report |
01 พ.ค. 2549 |
TAG |
ม้ง, ดนตรี, น่าน, |
Translator |
- |
|