|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,ผู้อพยพ,รัฐไทย,นโยบาย,การดำเนินการ,กาญจนบุรี |
Author |
ประเสริฐ ทองประสม |
Title |
นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพชาวมอญระหว่างปี ค.ศ. 1952-1995 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
93 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
สารนิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาพัฒนาการนโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยต่อผู้อพยพเชื้อสายมอญและกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันระหว่างปี ค.ศ.1952-1995 ตั้งแต่การหลั่งไหลของผู้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประเทศไทยมีฐานะเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่า โดยการเฟื่องฟูของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลตระหนักถึง ชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพมอญจึงเป็นแนวสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์จากทางตะวันตกของประเทศ (หน้า 90-91) ประกาศกระทรวงมหาดไทยห้ามคนต่างด้าวสัญชาติพม่าอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปี ค.ศ.1976 เป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลไทยเริ่มใช้กฎหมายจำแนกสถานภาพผู้อพยพโดยใช้คำว่าผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าแยกออกจากผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (หน้า 46-49) หลังจากเหตุการณ์นองเลือดที่กรุงย่างกุ้งเมื่อปี ค.ศ.1988 ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยอีกหลายกลุ่ม รัฐบาลมีนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อห้ามการอพยพเข้ามาของชนกลุ่มน้อย เพราะรัฐบาลพม่าระแวงสงสัยว่าไทยสนับสนุนชนกลุ่มน้อยอยู่เงียบๆ (หน้า 49-52) เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อผู้อพยพเปลี่ยนแปลงไปเพื่อหวังผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงเข้มงวดในเรื่องการอพยพเข้ามาของชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าหากสามารถนำคนเหล่านั้นมาเป็นแรงงานได้ รัฐบาลไทยก็ผ่อนปรน สำหรับผู้อพยพมอญ จากที่รัฐบาลมีนโยบายให้ที่พักพิงก็เปลี่ยนมาเป็นการผลักดันออกนอกราชอาณาจักร (หน้า 52-58) |
|
Focus |
ศึกษาวิเคราะห์นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพมอญตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 - 1995 และศึกษาสาเหตุและเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จากการดำเนินการของรัฐบาลไทยต่อผู้อพยพมอญในช่วงระยะเวลาดังกล่าว (หน้า ง, จ, ฉ, 90) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ใช้วิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์ศึกษานโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพมอญระหว่างปี ค.ศ.1952 - 1995 โดยใช้เอกสารชั้นต้นประเภทต่างๆ รวมไปถึงศึกษาจากผู้รู้มอญในเขตผู้อพยพฮะล๊อคคะนีและหมู่บ้านมอญอพยพต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการท้องถิ่นในเขต อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี (หน้า ช-ฌ, 90) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามอญจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร (Mon-Khmer) หรือ ตระกูลออสโตรเอเชียติค (Austro-Asiatic) (หน้า 2) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลภาคสนามที่ค่ายผู้อพยพมอญฮะล๊อคคะนี (Halockani Refugees Camp) ในประเทศพม่า ใกล้กับ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 23-26 กรกฎาคม ค.ศ.1994 และเก็บข้อมูลที่หมู่บ้านฝั่งมอญวังกะ บ้านน้ำเกิ๊ก บ้านพระเจดีย์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และหมู่บ้านปะลานจะปาน ในเขตประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม ค.ศ.1996 (หน้า ช - ซ) |
|
History of the Group and Community |
มอญเป็นชนชาติมองโกลอยด์ (Mongoloid) มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตะวันตกของจีน และได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศพม่าตอนล่างก่อนคริสตศตวรรษที่ 8 และได้สถาปนาอาณาจักรของตัวเองบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีจนมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง (หน้า 2) แต่ในปี ค.ศ.1057 อาณาจักรมอญถูกรุกรานจากชนเผ่าพยู และสู้รบกันมาเสมอ จนถึงปี ค.ศ.1757 เมื่ออาณาจักรมอญถูกทำลายมอญจึงกลายเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในประเทศพม่า โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศพม่า และเรียกร้องสิทธิการปกครองจากพม่ามาโดยตลอด จึงถูกรัฐบาลพม่าปราบปราม ทำให้ชาวมอญอพยพเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก (หน้า 1, 3) มอญอพยพมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยครั้งสำคัญมีทั้งหมด 5 ครั้ง คือ (1) สมัยพระมหาธรรมราชา (ปี ค.ศ.1569 - 1590) (2) สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ปี ค.ศ.1656 - 1688) (3)สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ปี ค.ศ.1767 - 1782) (4)สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ปี ค.ศ.1809 - 1824) (5)สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ปี ค.ศ.1952 - 1995) (หน้า ก-ข, 5-8) การอพยพเข้ามาของมอญสร้างประโยชน์ให้กับรัฐไทย เพราะผู้อพยพมอญเป็นแรงงานสำคัญในการผลิต เป็นไพร่พลป้องกันบ้านเมือง โดยที่ไทยเองก็มีนโยบายต้อนรับมอญเข้ามาในพระราชอาณาจักร โดยกษัตริย์ไทยทรงพระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือน ที่ทำกิน และพระราชทานบรรดาศักดิ์แก่ขุนนางมอญ แต่ในช่วงปี ค.ศ.1952 - 1995 รัฐไทยถือคติแบบรัฐชาติสมัยใหม่ (Modern State) ที่ยึดมั่นในการรักษาอาณาเขตและความมั่นคงด้านการปกครอง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทำให้นโยบายของรัฐไทยเปลี่ยนแปลง การอพยพของมอญจึงถูกสกัดกั้นไว้ตามแนวชายแดน ขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันผู้อพยพออกนอกประเทศ (หน้า ข-ง, 8-9) สาเหตุการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยก่อนปี ค.ศ.1952 มีดังนี้ (1) เข้ามาในฐานะเชลยสงคราม (2) การหลบหนีจากกองทัพพม่า เพราะมอญมักถูกพม่าเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพ (3) เข้ามาในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง (4) ถูกบีบคั้นทางเศรษฐกิจ (หน้า 4) สาเหตุของการอพยพระหว่างปี ค.ศ.1952 - 1995 มีดังนี้ (1) ผลกระทบจากการเรียกร้องสิทธิการปกครองตนเอง ทำให้เกิดการสู้รบระหว่างมอญและรัฐบาลพม่า (2) สงครามกลางเมือง ค.ศ.1949 (3) นักศึกษาและขบวนการประชาธิปไตย ปี ค.ศ.1988 (4) การเกณฑ์แรงงาน |
|
Settlement Pattern |
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 มอญอพยพเข้ามาในไทยโดยใช้เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ ช่องปะไลโหนก ช่องมอระคา ช่องห้วยพระองค์ ช่องเขาเลาะโล ช่องบิล๊อก มาตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มๆ ตามแนวพรมแดนในป่าดงดิบที่มีเทือกเขาสลับซับซ้อน มีการจัดเป็นที่ทำกินจนบ้านเรือนขยายออกไปเป็นชุมชนและเป็นหมู่บ้านในที่สุด (หน้า 32) มอญสร้างบ้านด้วยไม้ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร ปูพื้นกระดาน ฝาบ้านใช้ไม้ไผ่สาน มุงหลังคาด้วยหญ้าคา บางบ้านก็เป็นสังกะสี ขนาดของบ้านไม่ใหญ่โตมากนัก (หน้า 36) |
|
Demography |
ชุมชนมอญบ้านวังกะมีบ้านเรือน 800 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 10,000 คน ราษฎรเหล่านี้ถือสิทธิเป็น "ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า" ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยปี ค.ศ.1976 (หน้า 37) ส่วนชุมชนมอญหมู่บ้านพระเจดีย์มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 10,000 คน แต่ในพื้นที่ก็เกิดการสู้รบบ่อยครั้งทั้งกับกองกำลังทหารพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยง (ขัดแย้งผลประโยชน์ด้านการค้า) ทำให้เกิดการอพยพโยกย้ายของมอญออกไปอาศัยนอกพื้นที่ (หน้า 39-40) ส่วนค่ายผู้อพยพมอญเลาะโลและฮะล๊อคคะนี มีประชากรมอญที่อพยพมาจากการเกณฑ์แรงงานจากฝ่ายพม่าเข้ามาอาศัยประมาณ 8,000 คน (หน้า 44) |
|
Economy |
ชุมชนมอญบ้านวังกะมีตลาดกลางของหมู่บ้าน และร้านขายของชำในหมู่บ้านหลายแห่ง (หน้า 36-37) บางส่วนเพาะปลูกทั้งพืชไร่และไม้ยืนต้น บางส่วนติดต่อค้าขายกับนายทุนที่เข้ามาทำธุรกิจ เช่น โรงเลื่อยไม้ ตลาดรับส่งอัญมณี โดยเฉพาะบริเวณช่องพระเจดีย์นับเป็นตลาดค้าขายขนาดใหญ่ มีมอญตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก (หน้า 39) |
|
Political Organization |
ผู้นำคนสำคัญของมอญในการสู้รบกับพม่าเมื่อคราวเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างปี ค.ศ.1948 - 1952 คือ นายสเว จิน (Nai Swe Kyin) เขาถูกจับกุมในเดือนมกราคม ค.ศ.1949 เมื่อรัฐบาลพม่าปล่อยตัวจึงหลบหนีเข้าป่าแล้วจัดตั้งพรรคมอญใหม่ (New Mon State Party : NMSP) และสู้รบแบบกองโจรกับรัฐบาลพม่า (หน้า ก) มอญก่อตั้งสมาคมคนมอญในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1947 ที่เมืองเมาะลำเลิง (Moulmein) เพื่อรณรงค์ให้มอญแยกตัวมาปกครองตนเอง มีการจัดประชุมและลงมติตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า "พรรคสันนิบาตเพื่อเอกราชมอญ" (Mon Freedom League : MFL) รณรงค์ให้ชาวมอญเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในความเป็นพลเมืองมอญตามกฎหมายและสิทธิมนุษยชน มีการเตรียมรับมือการปราบปรามจากรัฐบาลทหารพม่าโดยจัดตั้งขบวนการกู้ชาติ "เอ็มเอ็นดีโอ" (Mon National Defense Organization : MNDO) แต่ก็ถูกรัฐบาลพม่าเข้าปราบปราม จับกุม ลอบสังหารผู้นำมอญเสียชีวิตหลายคน (หน้า 13-15) ภายหลังการปราบปรามของรัฐบาลพม่าที่มีต่อนักศึกษาและประชาชนรวมไปถึงชนกลุ่มน้อยในประเทศตนเอง นักศึกษาก็กระจัดกระจายบ้างลี้ภัยไปเคลื่อนไหวต่างประเทศ บ้างไปร่วมกับชนกลุ่มน้อยต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ เช่นเดียวกับชนชาติมอญก็มีนักศึกษาพม่าเชื้อสายมอญมาร่วมมือกับพรรคมอญใหม่ (NMSP) บริเวณตอนใต้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ.ทองผาภูมิ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า และต้องการให้มอญมีอิสระในการปกครองตนเอง การต่อสู้มีทั้งในเขตชายแดนและเคลื่อนไหวในเมือง เช่น บวชเป็นพระภิกษุ สามเณรจำพรรษาอยู่ตามพื้นที่ที่มีคนไทยเชื้อสายมอญอยู่หนาแน่น โดยจัดตั้งเป็น "สหภาพยุวสงฆ์มอญโพ้นทะเล" (Overseas Mon Young Monks Union) (หน้า 23 - 24) มอญมีหลักปฏิบัติที่มาจากหลักการพุทธศาสนา เช่น ห้ามลักขโมย ห้ามดื่มสุรา ห้ามคบชู้ผิดลูกผิดเมีย ห้ามทำร้ายร่างกายฆ่าผู้อื่น หากทำผิดจะมีการลงโทษโดยในหมู่บ้านจะมีเรือนจำ หากมีการปล้นฆ่าและข่มขืนจะมีโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต (หน้า 41) |
|
Belief System |
มอญนับถือศาสนาพุทธ (หน้า 3) โดยในช่วงแรกของการอพยพเข้ามาประเทศไทยจะมี "วัดวังกะ" เป็นศูนย์กลางของศาสนพิธีต่างๆ (หน้า 36, 37, 42) หลังการล่มสลายของอาณาจักรมอญในปี ค.ศ.1757 อารยธรรมของมอญ เช่น ภาษาศาสตร์ ศาสนา กฎหมาย สถาปัตยกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีได้ถ่ายทอดไปสู่ชนชาติพม่าและอาณาจักรอื่นๆ เช่น อาณาจักรสุโขทัย ล้านนา และอาณาจักรอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (หน้า 1, 3) กิจกรรมที่สำคัญๆของมอญเช่น 1) การจัดงานวันชาติมอญ ที่ตรงกับแรม 1 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี (วันก่อตั้งกรุงหงสาวดี) โดยคนไทยเชื้อสายมอญและคนมอญในพม่าบำเพ็ญกุศลร่วมกัน นิยมจัดงานที่ด่านเจดีย์สามองค์ บางครั้งก็จัดในกรุงเทพฯ 2) การตักบาตรน้ำผึ้ง เป็นประเพณีบูชาพระสงฆ์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี โดยมีมอญจากที่ต่างๆ มาร่วมด้วยสำนึกในเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ นิยมจัดกันที่บ้านบางกระดี่ บางขุนเทียน กรุงเทพฯ (หน้า 70-72) |
|
Education and Socialization |
ชุมชนบ้านวังกะมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาชื่อโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม ตั้งขึ้นโดยราษฎรทั้งไทยและมอญ (หน้า 37) ส่วนชุมชนมอญบ้านน้ำเกิ๊กจะมีโรงเรียนบ้านน้ำเกิ๊กที่จัดการเรียนการสอนให้เด็กนักเรียนในชุมชน (หน้า 42) |
|
Health and Medicine |
ผู้อพยพเผชิญปัญหาด้านสุขภาพอนามัยอย่างรุนแรงเพราะที่อยู่อาศัยที่แออัด ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ โรคระบาดที่พบเจอในเขตผู้อพยพ คือ โรคมาลาเรีย โรคทางเดินอาหาร อหิวาตกโรค โรคเท้าช้าง และไข้หวัดใหญ่ และโรคที่เกิดกับเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เช่น โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยักและโปลิโอ เป็นต้น สำหรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้รับการสงเคราะห์จากหน่วยงานด้านการกุศลซึ่งสามารถช่วยเหลือพยาบาลได้ขั้นต้น (หน้า 89) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มอญเรียกอาณาจักรของตัวเองว่า "รามัญเทส" หรือ "รามัญประเทศ" มอญเรียกตัวเองว่า "มอญ" ส่วนพม่าเรียกมอญว่า "ตะเลง" (Talaing) (หน้า 2) ความสัมพันธ์ระหว่างมอญและรัฐบาลพม่า จากข้อตกลงปางหลวงเมื่อปี ค.ศ.1947 ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลพม่ากับชาวมอญที่มีฐานะเป็นชนกลุ่มน้อยระหว่างปี ค.ศ.1948-1952 โดยมอญติดอาวุธสู้รบแบบกองโจรมีฐานที่มั่นอยู่ที่เทือกเขาตะนาวศรี บริเวณชายแดนไทย - พม่า ใกล้กับด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี สงครามในครั้งนี้ทำให้มอญอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก (หน้า ก) ความขัดแย้งระหว่างมอญและรัฐบาลพม่าดำเนินมาอย่างยาวนานจนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ.1995 ทั้ง 2 ฝ่ายต่างกำหนดเขตสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน มีการทำข้อตกลงด้านการเกษตรให้รัฐบาลพม่าจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนมอญ (หน้า 64-65, 80-81) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพมอญระหว่างปี ค.ศ.1952-1995 1. การปล่อยให้ผู้อพยพพักพิงอยู่ตามบริเวณชายแดนไทย - พม่า (ค.ศ.1952-1976) รัฐบาลสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามกำหนดระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้อพยพจากประเทศข้างเคียงในปี ค.ศ.1954 และกำหนดนโยบายการปฏิบัติต่อผู้อพยพลี้ภัยเข้ามาในราชอาณาจักร ค.ศ.1961 ใช้กับคนต่างด้าวที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทย โดยระเบียบทั้ง 2 ฉบับมีนโยบายไม่ประสงค์ให้คนต่างด้าวอพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทย แต่ในทางปฏิบัติกับผู้อพยพมอญ ทางรัฐบาลก็ไม่ได้เข้มงวดมากนัก เพราะมอญอพยพมาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ป่ารกทึบ ยากแก่การตรวจสอบควบคุม (หน้า 46-49, 91) ทำให้รัฐบาลพม่าหวาดระแวงไทยว่าสนับสนุนชนกลุ่มน้อยอย่างลับๆ ดังนั้น รัฐบาลพม่าจึงพยายามประสานงานกับไทยเพื่อแก้ปัญหาชายแดนอย่างต่อเนื่อง (หน้า 67-68) 2. การเข้าควบคุมและกำหนดสถานะผู้อพยพ (ค.ศ.1976-1988) ระยะนี้เป็นช่วงสงครามอินโดจีนทำให้มีผู้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยจำนวนมาก รวมไปถึงผู้อพยพมอญ รัฐบาลจึงมีมาตรการควบคุมปริมาณคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยห้ามคนต่างด้าวสัญชาติพม่าเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผู้ที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนวันที่ 9 มีนาคม 1976 ให้ถือว่าเป็น "ผู้พลัดถิ่น" ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมและให้ที่พักอาศัยชั่วคราว ส่วนผู้เข้าเมืองหลังประกาศฉบับนี้ให้ถือว่าเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้เนรเทศออกนอกราชอาณาจักร ในสมัยรัฐบาล พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เมื่อรัฐบาลหันไปเชื่อมความสัมพันธ์กับจีน ทำให้รัฐบาลพม่าเจรจาร่วมมือกับไทยเพื่อแก้ปัญหาพรมแดนระหว่างกัน โดยพม่าโจมตีไทยว่าสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยให้ต่อสู้กับรัฐบาลพม่า ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเสนอนโยบายด้านความมั่นคงเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1976 มีสาระสำคัญคือรัฐบาลไทยไม่ยอมให้กลุ่มใดๆ ใช้ดินแดนไทยดำเนินการเพื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลพม่า ถ้ามีกองกำลังชนกลุ่มน้อยเข้ามาในประเทศไทยจะผลักดันออกนอกดินแดนโดยทันที (หน้า 49-52, 68-69, 91) 3. การเข้าควบคุมและผลักดันผู้อพยพออกนอกประเทศ (ค.ศ.1988 - 1995) ในปี ค.ศ.1988 รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ประกาศนโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า ทำให้นโยบายที่ไทยมีต่อพม่าเปลี่ยนแปลงเป็น "การปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์" รัฐบาลไทยได้ทบทวนการดำเนินการกับผู้อพยพสัญชาติพม่าเพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงเข้มงวดกับการอพยพของผู้ลี้ภัยไม่ให้เข้ามาในราชอาณาจักรไทยอย่างเข้มงวด สภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดเรื่องความมั่นคงที่ไทยมีต่อพม่าเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1989 มีนโยบายสกัดกั้นและผลักดันผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สำหรับมอญ รัฐบาลได้ควบคุมผู้อพยพมอญที่บ้านเลาะโลและผลักดันให้ไปตั้งค่ายอพยพที่บ้านฮะล๊อคคะนี ประเทศพม่า (หน้า 52-58, 91-92) ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและพม่าในยุคนี้เป็นไปอย่างราบรื่น รัฐบาลพม่าพอใจกับนโยบายเป็นอย่างมากทำให้ภาครัฐบาลไทย รัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจเอกชน ได้เข้าไปลงทุนในพม่ามากยิ่งขึ้น (หน้า 69-70) |
|
Map/Illustration |
งานวิจัยชิ้นนี้มีตาราง แผนที่ แผนผัง และภาพประกอบเพื่อนำเสนอข้อมูลค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงการช่วยเหลือขององค์กรพัฒนาเอกชน (ตารางที่ 2 หน้า 77)แผนผังสังเขปแสดงช่องทางการอพยพของชาวมอญ (แผนผังที่ 4 หน้า 34) รูปภาพแสดงร่องรอยการตั้งชุมชนมอญ (ภาพที่ 2 หน้า 43) |
|
|