สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ,ผู้อพยพ,รัฐไทย,นโยบาย,การดำเนินการ,กาญจนบุรี
Author ประเสริฐ ทองประสม
Title นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพชาวมอญระหว่างปี ค.ศ. 1952-1995
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 93 Year 2540
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

สารนิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาพัฒนาการนโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยต่อผู้อพยพเชื้อสายมอญและกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันระหว่างปี ค.ศ.1952-1995 ตั้งแต่การหลั่งไหลของผู้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประเทศไทยมีฐานะเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่า โดยการเฟื่องฟูของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลตระหนักถึง ชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพมอญจึงเป็นแนวสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์จากทางตะวันตกของประเทศ (หน้า 90-91) ประกาศกระทรวงมหาดไทยห้ามคนต่างด้าวสัญชาติพม่าอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปี ค.ศ.1976 เป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลไทยเริ่มใช้กฎหมายจำแนกสถานภาพผู้อพยพโดยใช้คำว่าผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าแยกออกจากผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (หน้า 46-49) หลังจากเหตุการณ์นองเลือดที่กรุงย่างกุ้งเมื่อปี ค.ศ.1988 ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยอีกหลายกลุ่ม รัฐบาลมีนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อห้ามการอพยพเข้ามาของชนกลุ่มน้อย เพราะรัฐบาลพม่าระแวงสงสัยว่าไทยสนับสนุนชนกลุ่มน้อยอยู่เงียบๆ (หน้า 49-52) เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อผู้อพยพเปลี่ยนแปลงไปเพื่อหวังผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงเข้มงวดในเรื่องการอพยพเข้ามาของชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าหากสามารถนำคนเหล่านั้นมาเป็นแรงงานได้ รัฐบาลไทยก็ผ่อนปรน สำหรับผู้อพยพมอญ จากที่รัฐบาลมีนโยบายให้ที่พักพิงก็เปลี่ยนมาเป็นการผลักดันออกนอกราชอาณาจักร (หน้า 52-58)

Focus

ศึกษาวิเคราะห์นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพมอญตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 - 1995 และศึกษาสาเหตุและเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จากการดำเนินการของรัฐบาลไทยต่อผู้อพยพมอญในช่วงระยะเวลาดังกล่าว (หน้า ง, จ, ฉ, 90)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ใช้วิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์ศึกษานโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพมอญระหว่างปี ค.ศ.1952 - 1995 โดยใช้เอกสารชั้นต้นประเภทต่างๆ รวมไปถึงศึกษาจากผู้รู้มอญในเขตผู้อพยพฮะล๊อคคะนีและหมู่บ้านมอญอพยพต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการท้องถิ่นในเขต อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี (หน้า ช-ฌ, 90)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษามอญจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร (Mon-Khmer) หรือ ตระกูลออสโตรเอเชียติค (Austro-Asiatic) (หน้า 2)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลภาคสนามที่ค่ายผู้อพยพมอญฮะล๊อคคะนี (Halockani Refugees Camp) ในประเทศพม่า ใกล้กับ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 23-26 กรกฎาคม ค.ศ.1994 และเก็บข้อมูลที่หมู่บ้านฝั่งมอญวังกะ บ้านน้ำเกิ๊ก บ้านพระเจดีย์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และหมู่บ้านปะลานจะปาน ในเขตประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม ค.ศ.1996 (หน้า ช - ซ)

History of the Group and Community

มอญเป็นชนชาติมองโกลอยด์ (Mongoloid) มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตะวันตกของจีน และได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศพม่าตอนล่างก่อนคริสตศตวรรษที่ 8 และได้สถาปนาอาณาจักรของตัวเองบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีจนมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง (หน้า 2) แต่ในปี ค.ศ.1057 อาณาจักรมอญถูกรุกรานจากชนเผ่าพยู และสู้รบกันมาเสมอ จนถึงปี ค.ศ.1757 เมื่ออาณาจักรมอญถูกทำลายมอญจึงกลายเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในประเทศพม่า โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศพม่า และเรียกร้องสิทธิการปกครองจากพม่ามาโดยตลอด จึงถูกรัฐบาลพม่าปราบปราม ทำให้ชาวมอญอพยพเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก (หน้า 1, 3) มอญอพยพมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยครั้งสำคัญมีทั้งหมด 5 ครั้ง คือ (1) สมัยพระมหาธรรมราชา (ปี ค.ศ.1569 - 1590) (2) สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ปี ค.ศ.1656 - 1688) (3)สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ปี ค.ศ.1767 - 1782) (4)สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ปี ค.ศ.1809 - 1824) (5)สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ปี ค.ศ.1952 - 1995) (หน้า ก-ข, 5-8) การอพยพเข้ามาของมอญสร้างประโยชน์ให้กับรัฐไทย เพราะผู้อพยพมอญเป็นแรงงานสำคัญในการผลิต เป็นไพร่พลป้องกันบ้านเมือง โดยที่ไทยเองก็มีนโยบายต้อนรับมอญเข้ามาในพระราชอาณาจักร โดยกษัตริย์ไทยทรงพระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือน ที่ทำกิน และพระราชทานบรรดาศักดิ์แก่ขุนนางมอญ แต่ในช่วงปี ค.ศ.1952 - 1995 รัฐไทยถือคติแบบรัฐชาติสมัยใหม่ (Modern State) ที่ยึดมั่นในการรักษาอาณาเขตและความมั่นคงด้านการปกครอง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทำให้นโยบายของรัฐไทยเปลี่ยนแปลง การอพยพของมอญจึงถูกสกัดกั้นไว้ตามแนวชายแดน ขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันผู้อพยพออกนอกประเทศ (หน้า ข-ง, 8-9) สาเหตุการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยก่อนปี ค.ศ.1952 มีดังนี้ (1) เข้ามาในฐานะเชลยสงคราม (2) การหลบหนีจากกองทัพพม่า เพราะมอญมักถูกพม่าเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพ (3) เข้ามาในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง (4) ถูกบีบคั้นทางเศรษฐกิจ (หน้า 4) สาเหตุของการอพยพระหว่างปี ค.ศ.1952 - 1995 มีดังนี้ (1) ผลกระทบจากการเรียกร้องสิทธิการปกครองตนเอง ทำให้เกิดการสู้รบระหว่างมอญและรัฐบาลพม่า (2) สงครามกลางเมือง ค.ศ.1949 (3) นักศึกษาและขบวนการประชาธิปไตย ปี ค.ศ.1988 (4) การเกณฑ์แรงงาน

Settlement Pattern

ตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 มอญอพยพเข้ามาในไทยโดยใช้เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ ช่องปะไลโหนก ช่องมอระคา ช่องห้วยพระองค์ ช่องเขาเลาะโล ช่องบิล๊อก มาตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มๆ ตามแนวพรมแดนในป่าดงดิบที่มีเทือกเขาสลับซับซ้อน มีการจัดเป็นที่ทำกินจนบ้านเรือนขยายออกไปเป็นชุมชนและเป็นหมู่บ้านในที่สุด (หน้า 32) มอญสร้างบ้านด้วยไม้ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร ปูพื้นกระดาน ฝาบ้านใช้ไม้ไผ่สาน มุงหลังคาด้วยหญ้าคา บางบ้านก็เป็นสังกะสี ขนาดของบ้านไม่ใหญ่โตมากนัก (หน้า 36)

Demography

ชุมชนมอญบ้านวังกะมีบ้านเรือน 800 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 10,000 คน ราษฎรเหล่านี้ถือสิทธิเป็น "ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า" ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยปี ค.ศ.1976 (หน้า 37) ส่วนชุมชนมอญหมู่บ้านพระเจดีย์มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 10,000 คน แต่ในพื้นที่ก็เกิดการสู้รบบ่อยครั้งทั้งกับกองกำลังทหารพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยง (ขัดแย้งผลประโยชน์ด้านการค้า) ทำให้เกิดการอพยพโยกย้ายของมอญออกไปอาศัยนอกพื้นที่ (หน้า 39-40) ส่วนค่ายผู้อพยพมอญเลาะโลและฮะล๊อคคะนี มีประชากรมอญที่อพยพมาจากการเกณฑ์แรงงานจากฝ่ายพม่าเข้ามาอาศัยประมาณ 8,000 คน (หน้า 44)

Economy

ชุมชนมอญบ้านวังกะมีตลาดกลางของหมู่บ้าน และร้านขายของชำในหมู่บ้านหลายแห่ง (หน้า 36-37) บางส่วนเพาะปลูกทั้งพืชไร่และไม้ยืนต้น บางส่วนติดต่อค้าขายกับนายทุนที่เข้ามาทำธุรกิจ เช่น โรงเลื่อยไม้ ตลาดรับส่งอัญมณี โดยเฉพาะบริเวณช่องพระเจดีย์นับเป็นตลาดค้าขายขนาดใหญ่ มีมอญตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก (หน้า 39)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ผู้นำคนสำคัญของมอญในการสู้รบกับพม่าเมื่อคราวเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างปี ค.ศ.1948 - 1952 คือ นายสเว จิน (Nai Swe Kyin) เขาถูกจับกุมในเดือนมกราคม ค.ศ.1949 เมื่อรัฐบาลพม่าปล่อยตัวจึงหลบหนีเข้าป่าแล้วจัดตั้งพรรคมอญใหม่ (New Mon State Party : NMSP) และสู้รบแบบกองโจรกับรัฐบาลพม่า (หน้า ก) มอญก่อตั้งสมาคมคนมอญในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1947 ที่เมืองเมาะลำเลิง (Moulmein) เพื่อรณรงค์ให้มอญแยกตัวมาปกครองตนเอง มีการจัดประชุมและลงมติตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า "พรรคสันนิบาตเพื่อเอกราชมอญ" (Mon Freedom League : MFL) รณรงค์ให้ชาวมอญเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในความเป็นพลเมืองมอญตามกฎหมายและสิทธิมนุษยชน มีการเตรียมรับมือการปราบปรามจากรัฐบาลทหารพม่าโดยจัดตั้งขบวนการกู้ชาติ "เอ็มเอ็นดีโอ" (Mon National Defense Organization : MNDO) แต่ก็ถูกรัฐบาลพม่าเข้าปราบปราม จับกุม ลอบสังหารผู้นำมอญเสียชีวิตหลายคน (หน้า 13-15) ภายหลังการปราบปรามของรัฐบาลพม่าที่มีต่อนักศึกษาและประชาชนรวมไปถึงชนกลุ่มน้อยในประเทศตนเอง นักศึกษาก็กระจัดกระจายบ้างลี้ภัยไปเคลื่อนไหวต่างประเทศ บ้างไปร่วมกับชนกลุ่มน้อยต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ เช่นเดียวกับชนชาติมอญก็มีนักศึกษาพม่าเชื้อสายมอญมาร่วมมือกับพรรคมอญใหม่ (NMSP) บริเวณตอนใต้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ.ทองผาภูมิ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า และต้องการให้มอญมีอิสระในการปกครองตนเอง การต่อสู้มีทั้งในเขตชายแดนและเคลื่อนไหวในเมือง เช่น บวชเป็นพระภิกษุ สามเณรจำพรรษาอยู่ตามพื้นที่ที่มีคนไทยเชื้อสายมอญอยู่หนาแน่น โดยจัดตั้งเป็น "สหภาพยุวสงฆ์มอญโพ้นทะเล" (Overseas Mon Young Monks Union) (หน้า 23 - 24) มอญมีหลักปฏิบัติที่มาจากหลักการพุทธศาสนา เช่น ห้ามลักขโมย ห้ามดื่มสุรา ห้ามคบชู้ผิดลูกผิดเมีย ห้ามทำร้ายร่างกายฆ่าผู้อื่น หากทำผิดจะมีการลงโทษโดยในหมู่บ้านจะมีเรือนจำ หากมีการปล้นฆ่าและข่มขืนจะมีโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต (หน้า 41)

Belief System

มอญนับถือศาสนาพุทธ (หน้า 3) โดยในช่วงแรกของการอพยพเข้ามาประเทศไทยจะมี "วัดวังกะ" เป็นศูนย์กลางของศาสนพิธีต่างๆ (หน้า 36, 37, 42) หลังการล่มสลายของอาณาจักรมอญในปี ค.ศ.1757 อารยธรรมของมอญ เช่น ภาษาศาสตร์ ศาสนา กฎหมาย สถาปัตยกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีได้ถ่ายทอดไปสู่ชนชาติพม่าและอาณาจักรอื่นๆ เช่น อาณาจักรสุโขทัย ล้านนา และอาณาจักรอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (หน้า 1, 3) กิจกรรมที่สำคัญๆของมอญเช่น 1) การจัดงานวันชาติมอญ ที่ตรงกับแรม 1 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี (วันก่อตั้งกรุงหงสาวดี) โดยคนไทยเชื้อสายมอญและคนมอญในพม่าบำเพ็ญกุศลร่วมกัน นิยมจัดงานที่ด่านเจดีย์สามองค์ บางครั้งก็จัดในกรุงเทพฯ 2) การตักบาตรน้ำผึ้ง เป็นประเพณีบูชาพระสงฆ์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี โดยมีมอญจากที่ต่างๆ มาร่วมด้วยสำนึกในเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ นิยมจัดกันที่บ้านบางกระดี่ บางขุนเทียน กรุงเทพฯ (หน้า 70-72)

Education and Socialization

ชุมชนบ้านวังกะมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาชื่อโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม ตั้งขึ้นโดยราษฎรทั้งไทยและมอญ (หน้า 37) ส่วนชุมชนมอญบ้านน้ำเกิ๊กจะมีโรงเรียนบ้านน้ำเกิ๊กที่จัดการเรียนการสอนให้เด็กนักเรียนในชุมชน (หน้า 42)

Health and Medicine

ผู้อพยพเผชิญปัญหาด้านสุขภาพอนามัยอย่างรุนแรงเพราะที่อยู่อาศัยที่แออัด ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ โรคระบาดที่พบเจอในเขตผู้อพยพ คือ โรคมาลาเรีย โรคทางเดินอาหาร อหิวาตกโรค โรคเท้าช้าง และไข้หวัดใหญ่ และโรคที่เกิดกับเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เช่น โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยักและโปลิโอ เป็นต้น สำหรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้รับการสงเคราะห์จากหน่วยงานด้านการกุศลซึ่งสามารถช่วยเหลือพยาบาลได้ขั้นต้น (หน้า 89)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มอญเรียกอาณาจักรของตัวเองว่า "รามัญเทส" หรือ "รามัญประเทศ" มอญเรียกตัวเองว่า "มอญ" ส่วนพม่าเรียกมอญว่า "ตะเลง" (Talaing) (หน้า 2) ความสัมพันธ์ระหว่างมอญและรัฐบาลพม่า จากข้อตกลงปางหลวงเมื่อปี ค.ศ.1947 ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลพม่ากับชาวมอญที่มีฐานะเป็นชนกลุ่มน้อยระหว่างปี ค.ศ.1948-1952 โดยมอญติดอาวุธสู้รบแบบกองโจรมีฐานที่มั่นอยู่ที่เทือกเขาตะนาวศรี บริเวณชายแดนไทย - พม่า ใกล้กับด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี สงครามในครั้งนี้ทำให้มอญอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก (หน้า ก) ความขัดแย้งระหว่างมอญและรัฐบาลพม่าดำเนินมาอย่างยาวนานจนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ.1995 ทั้ง 2 ฝ่ายต่างกำหนดเขตสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน มีการทำข้อตกลงด้านการเกษตรให้รัฐบาลพม่าจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนมอญ (หน้า 64-65, 80-81)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับผู้อพยพมอญระหว่างปี ค.ศ.1952-1995 1. การปล่อยให้ผู้อพยพพักพิงอยู่ตามบริเวณชายแดนไทย - พม่า (ค.ศ.1952-1976) รัฐบาลสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามกำหนดระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้อพยพจากประเทศข้างเคียงในปี ค.ศ.1954 และกำหนดนโยบายการปฏิบัติต่อผู้อพยพลี้ภัยเข้ามาในราชอาณาจักร ค.ศ.1961 ใช้กับคนต่างด้าวที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทย โดยระเบียบทั้ง 2 ฉบับมีนโยบายไม่ประสงค์ให้คนต่างด้าวอพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทย แต่ในทางปฏิบัติกับผู้อพยพมอญ ทางรัฐบาลก็ไม่ได้เข้มงวดมากนัก เพราะมอญอพยพมาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ป่ารกทึบ ยากแก่การตรวจสอบควบคุม (หน้า 46-49, 91) ทำให้รัฐบาลพม่าหวาดระแวงไทยว่าสนับสนุนชนกลุ่มน้อยอย่างลับๆ ดังนั้น รัฐบาลพม่าจึงพยายามประสานงานกับไทยเพื่อแก้ปัญหาชายแดนอย่างต่อเนื่อง (หน้า 67-68) 2. การเข้าควบคุมและกำหนดสถานะผู้อพยพ (ค.ศ.1976-1988) ระยะนี้เป็นช่วงสงครามอินโดจีนทำให้มีผู้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยจำนวนมาก รวมไปถึงผู้อพยพมอญ รัฐบาลจึงมีมาตรการควบคุมปริมาณคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยห้ามคนต่างด้าวสัญชาติพม่าเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผู้ที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนวันที่ 9 มีนาคม 1976 ให้ถือว่าเป็น "ผู้พลัดถิ่น" ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมและให้ที่พักอาศัยชั่วคราว ส่วนผู้เข้าเมืองหลังประกาศฉบับนี้ให้ถือว่าเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้เนรเทศออกนอกราชอาณาจักร ในสมัยรัฐบาล พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เมื่อรัฐบาลหันไปเชื่อมความสัมพันธ์กับจีน ทำให้รัฐบาลพม่าเจรจาร่วมมือกับไทยเพื่อแก้ปัญหาพรมแดนระหว่างกัน โดยพม่าโจมตีไทยว่าสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยให้ต่อสู้กับรัฐบาลพม่า ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเสนอนโยบายด้านความมั่นคงเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1976 มีสาระสำคัญคือรัฐบาลไทยไม่ยอมให้กลุ่มใดๆ ใช้ดินแดนไทยดำเนินการเพื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลพม่า ถ้ามีกองกำลังชนกลุ่มน้อยเข้ามาในประเทศไทยจะผลักดันออกนอกดินแดนโดยทันที (หน้า 49-52, 68-69, 91) 3. การเข้าควบคุมและผลักดันผู้อพยพออกนอกประเทศ (ค.ศ.1988 - 1995) ในปี ค.ศ.1988 รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ประกาศนโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า ทำให้นโยบายที่ไทยมีต่อพม่าเปลี่ยนแปลงเป็น "การปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์" รัฐบาลไทยได้ทบทวนการดำเนินการกับผู้อพยพสัญชาติพม่าเพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงเข้มงวดกับการอพยพของผู้ลี้ภัยไม่ให้เข้ามาในราชอาณาจักรไทยอย่างเข้มงวด สภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดเรื่องความมั่นคงที่ไทยมีต่อพม่าเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1989 มีนโยบายสกัดกั้นและผลักดันผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สำหรับมอญ รัฐบาลได้ควบคุมผู้อพยพมอญที่บ้านเลาะโลและผลักดันให้ไปตั้งค่ายอพยพที่บ้านฮะล๊อคคะนี ประเทศพม่า (หน้า 52-58, 91-92) ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและพม่าในยุคนี้เป็นไปอย่างราบรื่น รัฐบาลพม่าพอใจกับนโยบายเป็นอย่างมากทำให้ภาครัฐบาลไทย รัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจเอกชน ได้เข้าไปลงทุนในพม่ามากยิ่งขึ้น (หน้า 69-70)

Map/Illustration

งานวิจัยชิ้นนี้มีตาราง แผนที่ แผนผัง และภาพประกอบเพื่อนำเสนอข้อมูลค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงการช่วยเหลือขององค์กรพัฒนาเอกชน (ตารางที่ 2 หน้า 77)แผนผังสังเขปแสดงช่องทางการอพยพของชาวมอญ (แผนผังที่ 4 หน้า 34) รูปภาพแสดงร่องรอยการตั้งชุมชนมอญ (ภาพที่ 2 หน้า 43)

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG มอญ, ผู้อพยพ, รัฐไทย, นโยบาย, การดำเนินการ, กาญจนบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง