|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย โย่ย,วัฒนธรรม,บุญยอธาตุ,การปรับเปลี่ยน,สกลนคร |
Author |
กิตติรัช พงษ์สิทธิศักดิ์ |
Title |
การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในบุญยอธาตุของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย ตำบลศรีคันไชย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทโย้ย โย่ย โย้ย ไทยโย้ย ไทย้อย ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
201 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
บุญยอธาตุของไทยโย้ย บ้านเดื่อศรีคันไชย แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียมการและขั้นดำเนินการ แต่ละขั้นตอนมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่ องค์ประกอบด้านบุคคล องค์ประกอบด้านเวลา องค์ประกอบด้านสถานที่ และองค์ประกอบด้านวัสดุอุปกรณ์ องค์ประกอบของบุญยอธาตุมีคติความเชื่อว่า พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีกรรมงานบุญยอธาตุเป็นผู้ที่มีศีลธรรม มีคุณธรรม ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนเป็นที่พึ่งทางใจของบุคคลทั่วไป และมีหน้าที่สืบทอดและเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าพระสงฆ์เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมบุญยอธาตุ วันเวลาในการจัดงานบุญยอธาตุจะจัดในวันสุดท้ายของวันสงกรานต์ มีกำหนด 2 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 19-20 เมษายนของทุกปี วัตถุสิ่งของที่ใช้ประกอบพิธีกรรมที่มีการเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า ได้แก่ พระพุทธรูป เครื่องไทยทาน เครื่องสังฆทาน ส่วนวัตถุสิ่งของที่นำมาในวันงานคือ ดอกไม้ ธูปเทียน ดิน หิน ทราย ข้าวปลาอาหารคาว หวาน น้ำอบ น้ำหอม ปราสาทผึ้งและต้นกัณฑ์ คติความเชื่อเกี่ยวกับงานบุญยอธาตุ แบ่งได้เป็น 3 ประการ คือ คติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาพุทธแบบพื้นบ้าน คติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์แบบพื้นบ้าน และคติความเชื่อเรื่องผี คติความเชื่อเหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ พิธีกรรมทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ที่ประกอบขึ้นนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในบุญยอธาตุ เกิดจากสาเหตุการทำนุบำรุงส่งเสริมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางสังคม การหยิบยืมวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงเกิดจากได้รับความรู้และเทคโนโลยี ใหม่ ๆ จะเห็นได้ว่า มุมมองของการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในงานบุญยอธาตุปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อนำจุดเด่นทางการสืบทอดประเพณีมาแสดงถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ตน |
|
Focus |
ศึกษาประเพณีบุญยอธาตุของไทยโย้ย บ้านเดื่อศรีคันไชย ในด้านองค์ประกอบและขั้นตอนของบุญยอธาตุ คติความเชื่อจากองค์ประกอบ และขั้นตอนของบุญยอธาตุ ตลอดจนศึกษาการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในบุญยอธาตุ |
|
Theoretical Issues |
ไม่ได้ระบุแนวทฤษฎีที่ชัดเจน ผู้เขียนได้พยายามอธิบายว่า การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม เป็นกระบวนการเคลื่อนไหวปรับตัวอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นไปอย่างช้า ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความต้องการของมนุษย์เป็นหลักใหญ่ ฯ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมจึงมีขบวนการทั้งการคงอยู่และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถจะพิจารณาได้ 2 ลักษณะคือ 1. การรับเอาวัฒนธรรมอื่นที่เผยแพร่เข้ามา อันเนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านการติดต่อสื่อสาร การขนส่ง 2. การคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ทำให้กระทบกระเทือนถึงแบบแผนความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของมนุษย์เสมอ จึงต้องปรับปรุงแบบแผนของความคิด ประเพณี และจิตใจให้ทันกับความเจริญทางวัตถุ ในแง่นี้การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในบุญยอธาตุของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชยนั้น จึงมีสาเหตุมาจากไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย ได้รับความรู้จากโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มากพอสมควร ตลอดจนได้มีการติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอก มีการคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็ว มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในหมู่บ้านอย่างกว้างขวาง การคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นในสังคมฯ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในบุญยอธาตุของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย จึง มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ และเป็นไปอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 142-143) การรับเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และจากการที่ชาวบ้านมีความรู้มากขึ้น ทำให้วัฒนธรรมในการจัดงานบุญยอธาตุเปลี่ยนไปแต่ยังคงยึดถือคติความเชื่อดั้งเดิมอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมในงานบุญยอธาตุมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมทางสังคม (หน้า 151) จะเห็นได้ว่า มุมมองของการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในงานบุญยอธาตุเป็นไปในทางที่ดีขึ้น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นอกจากนี้ได้ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ข้อดีคือ มีเงินหมุนเวียนในหมู่บ้านที่เกิดจากการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์เตรียมในงานบุญ นอกจากนั้น หนุ่มสาวที่ไปทำงานนอกหมู่บ้านได้มีการจัดผ้าป่าเข้ามาร่วมในงานบุญอีกด้วย แต่ในด้านลบคือ ต้องสูญเสียเงินปีละหลายหมื่นเพื่อไปจ้างมหรสพมาแสดง เช่น ภาพยนตร์ หมอลำซิ่ง และการแสดงคอนเสิร์ต และด้านสังคม ข้อดีคือ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อระบบเครือญาติ มีการรวมกลุ่ม ความสามัคคี การลดปัญหาสังคมภายในหมู่บ้าน ความภาคภูมิใจที่มีต่อชื่อเสียงของหมู่บ้าน การมีส่วนร่วมพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 156-159) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยโย้ย บ้านเดื่อศรีคันไชย ชนเผ่าโย้ยเรียกได้หลายชื่อคือ ย้อย ผู้ย้อย ลาวย้อย ไทย้อย (หน้า 9) การแต่งกายเหมือนไทยลาว ผู้หญิงมีชื่อในการเย็บปักถักร้อย มักเรียกตัวเองว่า "ลาวย้อย" คำว่า Dioi หรือ Dioy นั้น เขียนตามอักขระวิธีของภาษาสเปน ซึ่งคำว่า ไทยย้อยเป็นคำซ้ำกันมีความหมายว่า "ไทย ไทย" บางทีชาวจีนเรียกชนเผ่านี้ว่า "แข่" (หน้า 10) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาในหมู่บ้านเดื่อศรีคันไชยมีอยู่ 2 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทยโย้ยและภาษาไทยลาว (มีผู้พูดภาษาไทยโย้ยประมาณร้อยละ 80) (หน้า 64) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2538 ถึง พ.ศ.2540 (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
ไทยโย้ยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มไทยลาว มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองภูวา (ภูวดลสอางค์) ใกล้เมืองมหาชัยกองแก้วและเมืองหอมท้าวในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ปัจจุบันอยู่ในเขตของแขวงคำม่วนประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งในอดีตดินแดนในแถบนี้เป็นของประเทศสยาม เมื่อเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เช่น ไทยลาว ผู้ไทย ไทยโส้ ไทยข่า ไทยโย้ย ไทยกะเลิง ไทยย้อ ถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นจำนวนมาก เมืองสกลนครได้ตั้งให้ราชวงค์อิน ซึ่งมีความคุ้นเคยกันดีกับชนเผ่าต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้มาอาศัยอยู่ที่สกลนคร โดยสัญญาว่า เมื่อพาไพร่พลจำนวนมากอพยพมาอยู่แล้ว จะได้รับที่ดินทำมาหากินตั้งเป็นบ้านเป็นเมือง และจะมีการปูนบำเหน็จรางวัล และพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ตามสมควร ทำให้บรรดาอุฮาดราชวงค์ ท้าวเพี้ย กรมการเมืองต่าง ๆ เกิดความต้องการและพากันปรึกษาหารือกัน แล้วอพยพผู้คนเข้ามาสู่สกลนครเป็นอันมาก ไทยโย้ยเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่พาไพร่พลอพยพมาด้วย ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ 1. ไทยโย้ยที่อพยพมาจากเมืองหอมท้าว มีท้าวติวซอยเป็นหัวหน้าพร้อมด้วยท้าวศรีสุราช ท้าวจันทนาม ท้าวนามโคตรพากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านม่วงริมห้วยยามมีพลเมืองที่อพยพมา 2,339 คน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านม่วงขึ้นเป็นเมืองอากาศอำนวยขึ้นต่อเมืองนครพนมเมื่อ พ.ศ.2380 ได้แต่งตั้งให้ท้าวศรีสุราชเป็นหลวงผลานุกูล เจ้าเมืองต่อมาเมืองนี้ได้โอนมาขึ้นต่อเมืองสกลนคร ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ปัจจุบัน คือ อำเภออากาศอำนวย 2. ไทยโย้ยที่อพยพติดตามพระสุนทรราชวงศาไปอยู่เมืองยโสธรใน พ.ศ.2396 โดยมีท้าวจารย์โสมเป็นหัวหน้าเจ้าเมืองยโสธรได้ให้พวกนี้ตั้งอยู่ที่บ้านกุดลิงในท้องที่อำเภอเสลภูมิ (ติดเขตอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด) ใน พ.ศ.2404 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ยกบ้านกุดลิงขึ้นเป็นเมืองวานรนิวาสขึ้นต่อเมืองยโสธร พระราชบรรดาศักดิ์ท้าวจารย์โสม เป็นหลวงประชาราษฎร์รักษาเจ้าเมือง ในเวลาต่อมาไทยโย้ยได้อพยพมาอยู่ที่บ้านกุดแฮ่ชุมภู (ตำบลแร่ อำเภอพรรณนานิคมและได้ย้ายไปอยู่ที่ชุมแสงหัวนา ซึ่งเป็นที่ตั้งอำเภอวานรนิวาสในปัจจุบัน) 3. กลุ่มไทยโย้ยที่อพยพมาจากเมืองภูวาใกล้เมืองมหาชัยกองแก้ว มีท้าวเทพกัลยาเป็นหัวหน้า ได้รับอนุญาตจากเจ้าเมืองสกลนครให้ตั้งบ้านเรือนที่บ้านโพธิ์สว่าง หาดยาวริมน้ำปลาหางใน พ.ศ.2405 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท้าวเทพกัลยาหัวหน้าไทยโย้ยเป็นพระสิทธิศักดิ์ประสิทธิ์เจ้าเมืองยกบ้านโพนสว่างหาดยาวริมน้ำปลาหางขึ้นเป็นเมืองสว่างแดนดินขึ้นกับแขวงเมืองสกลนคร ปัจจุบันคือ บ้านสว่างเก่า อำเภอพรรณนานิคม ต่อมาได้ย้ายเมืองสว่างแดนดินมาตั้งที่บ้านเดื่อศรีคันไชยริมห้วยปลาหาง ปัจจุบันคือ บ้านเดื่อศรีคันไชย อำเภอวานรนิวาส ต่อมาในปีพ.ศ.2424 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ย้ายบ้านเดื่อศรีคันไชยไปอยู่ที่บ้านโคกสี (ปัจจุบันคือ ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน) อีกหลายปีต่อมาได้ย้ายเมืองสว่างแดนดินจากบ้านโคกสีมาตั้งที่บ้านหัน อำเภอสว่างแดนดินในปัจจุบัน (หน้า 29-30) ประวัติความเป็นมาของบ้านเดื่อศรีคันไชย บ้านเดื่อศรีคันไชยเดิมมีครอบครัวอยู่ประมาณ 10 ครอบครัว ซึ่งอพยพมาจากบ้านสว่างเก่า (บ้านโพนสว่างหาดยาว) นำโดยปู่ฝ่าย และย่ารีย์ เมื่ออยู่มาไม่นานในราวสมัยรัชกาลที่ 3 ท้าวเทพกัลยาได้ย้ายเมืองสว่างแดนดินมาตั้งที่บ้านเดื่อศรีคันไชยเพราะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ มีน้ำปลาหางไหลผ่าน ทางทิศเหนือ มีที่ดินสำหรับเลี้ยงสัตว์เพราะเป็นป่าโคก มีพันธุ์ไม้หลายชนิดสามารถนำมาก่อสร้างเป็นบ้านเรือนได้ และใช้เป็นแหล่งอาหารป่า มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์มาก ทางทิศตะวันออกมีที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ มีห้วยไผ่ไหลผ่านเหมาะที่จะเป็นพื้นที่ในการทำนาทำไร่ ส่วนทางทิศใต้และทิศตะวันตก ก็มีแม่น้ำปลาหางไหลผ่าน เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับทำสวนผัก ทำนาและเป็นแหล่งอาหาร และทำประมงเป็นอย่างดี บ้านเดื่อศรีคันไชยมีเจ้าเมืองปกครองคนแรกคือ ท้าวเทพกัลยา (พระเทพประสิทธิ์) มีเจ้าเมืองปกครองติดต่อกันมาหลายคนและที่มีชื่อเสียงคือขุนศรีคันไชย สาเหตุที่ชื่อบ้านเดื่อศรีคันไชย เพราะทางเข้าหมู่บ้านมีต้นมะเดื่อต้นใหญ่มีใบปกคลุมปนาแน่นตลอดทั้งปี และคำว่า "ศรีคันไชย" มาจากชื่อดาบอาญาสิทธิ์ของเจ้าเมืองจึงนำมาต่อกันเป็นชื่อเมืองว่า "เดื่อศรีคันไชย" เพื่อเป็นสิ มงคล ส่วนปู่ฝ่ายและย่ารีย์ก็เป็นต้นตระกูล "ฝ่ายรีย์" ซึ่งมีคนใช้นามสกุลนี้มากในบ้านเดื่อศรีคันไชย เพื่อเป็นการให้เกียรติที่พาลูกหลานมาตั้งบ้านเรือน ที่บ้านเดื่อศรีคันไชย เป็นกลุ่มแรก ปัจจุบัน บ้านเดื่อศรีคันไชยมีฐานะเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 60 กิโลเมตร บนถนนสายพังโคน-บึงกาฬและอยู่ห่างจากอำเภอวานรนิวาสประมาณ 28 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอพังโคน 6 กิโลเมตรโดยมีลำห้วยปลาหางเป็นเส้นกั้นเขตแดน |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งถิ่นฐานเป็นแบบ Line Settlement มีการตั้งถิ่นฐานเป็นแนวยาวตามลำน้ำ แต่ในปัจจุบันบ้านเรือนประชากรมีแนวยาวตามถนนที่ตัดผ่าน (หน้า 66) |
|
Demography |
ประชากรประกอบด้วยชนเผ่าไทยโย้ยทั้งหมู่บ้าน จะมีชนเผ่าอื่นมาปะปนบ้างเล็กน้อย เช่น มาประกอบอาชีพและการแต่งงาน เป็นต้น จำนวนประชากรทั้งหมด 4 หมู่บ้าน (บ้านเดื่อศรีคันไชย บ้านโคกไพศาล บ้านปานเจริญ บ้านเนินโพธิ์ทอง) แบ่งเป็นชาย 1,297 คน หญิง 1,309 คน รวม 2,606 คน (หน้า 52) |
|
Economy |
ไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชยส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก รองลงมาคือ การทำไร่ ทำสวน ทอผ้าในฤดูว่างเว้นจากการทำนา เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย และประกอบอาชีพอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง มีฐานะค่อนข้างยากจนถึงปานกลาง สินค้าออกของหมู่บ้าน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอ อาหารป่าต่าง ๆ ข้าวเหนียวและสัตว์น้ำจากห้วยปลาหาง (หน้า 53) |
|
Social Organization |
กลุ่มทางสังคมของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย ส่วนใหญ่ได้แก่กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้นำ ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็จะมีการแบ่งเป็นรุ่น ๆ (ในงานบุญยอธาตุจะใช้กลุ่มต่าง ๆ ในการทำต้นกัณฑ์มาร่วมพิธี เป็นการรวมกลุ่มกันบริจาคปัจจัยเพื่อสาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้าน) ลักษณะการอยู่อาศัยเป็นแบบเครือญาติ และจากประวัติของหมู่บ้านทำให้ทราบว่า มีประมาณ 10 ครอบครัวที่มาอาศัยอยู่ในรุ่นแรก ๆ และตระกูล "ฝ่ายรีย์" เป็นตระกูลใหญ่ที่ในหมู่บ้านมีการใช้นามสกุลกันมาก |
|
Political Organization |
ปัจจุบันแบ่งการปกครองเป็น 4 หมู่บ้านคือ บ้านเดื่อศรีคันไชย (หมู่ที่ 2) บ้านปานเจริญ (หมู่ที่ 10) บ้านโคกไพศาล (หมู่ที่ 9) บ้านเนินโพธิ์ทอง (หมู่ที่ 11) ปกติจะเรียกกันว่า บ้านเดื่อศรีคันไชยกันทุกหมู่ เพียงแต่แบ่งกลุ่มเพื่อความสะดวกและทั่วถึงในด้านการปกครองเท่านั้น มีผู้ใหญ่บ้านของหมู่ที่ 2 เป็นกำนันคือ นายศรีจันทร์ สุวรรณเทพ ตำบลเดื่อศรีคัน-ไชยมีทั้งหมด 14 หมู่บ้าน (หน้า 51-52) ส่วนการควบคุมทางสังคมเนื่องจากไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย อยู่อาศัยกันแบบเครือญาติ และยึดมั่นในจารีตประเพณีอย่างเคร่งครัด อีกทั้งมีการนับถือผี นับถือผู้อาวุโส และพระสงฆ์ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการควบคุมทางสังคมของไทยโย้ยไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรมหรือนอกรีต อาทิเช่น บ้านเดื่อศรีคันไชย เป็นหมู่บ้านเก่าแก่และเคยเป็นเมืองชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงมีประเพณีวัฒนธรรมอันเก่าแก่และสำคัญหลายอย่าง ส่วนใหญ่เป็นประเพณีที่ชาวเผ่าโย้ย ไทยลาวและชาวเผ่าต่าง ๆ ซึ่งอาศัยอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำโขงปฏิบัติสืบต่อกันมานับพันปี เป็นประเพณีเกี่ยวกับฮีต 12 คอง 14 ฮีตสิบสองคองสิบสี่คือ ประเพณีประจำสิบสองเดือน เป็นจารีตที่จะให้สมาชิกในสังคมได้มีโอกาสร่วมกัน ชุมนุมกันทำบุญประจำเดือนทุก ๆ เดือนของรอบปี ผลที่ได้รับคือ ทุกคนจะได้มีเวลาเข้าวัด ใกล้ชิดกับหลักการของธรรมทางพุทธศาสนายิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในย่านข้างเคียงรู้จักมักคุ้น สามัคคีกันเป็นอย่างดี และมีผลทางอ้อมคือ เมื่อว่างจากการงานอาชีพแล้วก็มีจารีตบังคับให้ทุก ๆ คน เสียสละทำงานร่วมกันเพื่อสังคมส่วนรวมไม่ให้คนอยู่ว่าง ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็ถูกสังคมลงโทษตั้งข้อรังเกียจ เป็นต้น (หน้า 55) ดังนั้น กฎ ระเบียบ การควบคุมคนในสังคมส่วนใหญ่จึงอยู่ที่การยึดมั่นในจารีตประเพณี นับถือผี ผู้อาวุโสฯ มากกว่าเป็นการสร้างกฎ ระเบียบโดยทั่วไป |
|
Belief System |
จากการศึกษาคติความเชื่อการจัดงานบุญยอธาตุของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชยในอดีตและปัจจุบัน สรุปได้ว่า มีคติความเชื่อแฝงอยู่ เป็นคติความเชื่อที่ผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ คติความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องภูติผี วิญญาณ จึงมีการทำบุญยอธาตุเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับไป เพื่อให้ได้รับส่วนบุญและได้ไปเกิดในภพหน้าชาติหน้าต่อไป ระบบความเชื่อเหล่านี้ดำรงอยู่ได้เพราะต้องพึ่งพาสนับสนุนกันและชาวบ้านยังมีความเชื่อที่แน่นแฟ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน จึงผูกพันอยู่กับเรื่องนี้ มีความเชื่อเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ นรก สวรรค์ ทำให้ประเพณีการทำบุญยอธาตุคงอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 141) ประเพณีฮีตสิบสองที่ไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชย ให้ความสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ คือ ประเพณีบุญเดือนห้า บุญสงกรานต์และบุญยอธาตุ ความเชื่อของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชยที่มีต่องานบุญญอธาตุนั้น ผู้วิจัยได้แบ่งออกเป็น 5 ลักษณะ คือ คติความเชื่อเกี่ยวกับบุคคล คติความเชื่อเกี่ยวกับเวลา คติความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่ คติความเชื่อเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ และคติความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ (รายละเอียดในหน้า 119-141) งานบุญยอธาตุของชาวบ้านเดื่อศรีคันไชย เป็นการจัดงานสืบเนื่องจากประเพณีสงกรานต์ กล่าวคือ เมื่อทำบุญสงกรานต์ครบเจ็ดวันแล้ว ชาวบ้านก็จะอัญเชิญพระพุทธรูปที่อัญเชิญลงมาสรงน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อเสร็จพิธีสรงน้ำแล้วชาวบ้านจึงได้อัญเชิญยกหรือยอขึ้นประดิษฐ์ฐานไว้บนแท่นบูชาตามเดิม ชาวอีสานนิยมเรียกเจดีย์ว่าธาตุ บางครั้งเรียกเจดีย์ทั้ง 4 ว่า ธาตุสี่ ได้แก่ 1.พระธาตุเจดีย์ คือ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า 2.พระธรรมเจดีย์ คือ เจดีย์บรรจุพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระศาสนา ได้แก่ ตู้พระไตรปิฎกและหอพระไตรปิฎก 3.บริโภคเจดีย์ คือ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยใช้สอย 4. อุทเทสิกเจดีย์ คือ เจดีย์สร้างอุทิศถวายพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ดังนั้น การทำบุญยอธาตุของไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชยจึงหมายถึง การอัญเชิญ (ยก) การยอหรือการน้อมเอาธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ อุทเทสิกเจดีย์ และพระธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นธาตุทั้งสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่าเป็นเจติยานุสรณ์ คือ สิ่งที่ควรปฏิบัติ และน้อมนำมาปฏิบัติอยู่เสมอ (พระสมฤทธิ์ ปัญญาคะโม. 2536 : 1) (หน้า 67) ไทยโย้ยบ้านเดื่อศรีคันไชยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด มีการปฏิบัติตามฮีต 12 คอง 14 มาแต่โบราณ มีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ โดยจะมีศาลปู่ตาหรือดอนปู่ตาอยู่ในหมู่บ้าน 1 แห่ง มีการเลี้ยงปู่ตาทุกปี มีเจ้าจ้ำคือ นายชมภู ฝ่ายรีย์ เป็นจ้ำ คือ ผู้ติดต่อระหว่างไทยโย้ยและวิญญาณผีปู่ตา (ผีบรรพบุรุษ) มีนางเทียม 1 คน คือ นายดาย เทศประสิทธิ์ มีหน้าที่เหยารักษาไข้ และดูแลลูกหลานมิให้ทำผิดประเพณีของหมู่บ้านเป็นร่างทรงของผีไท้ หรือผีเชื้อสายของหมู่บ้านบุคคลทั้งสองนี้ชาวบ้านจะให้ความเคารพนับถือยำเกรงมาก ก่อนจะทำอะไรต้องไปคอย (บอกกล่าว) ก่อน เช่น ลูกหลานจะแต่งงานหรือมาอยู่ใหม่ และย้ายที่อยู่ ต้องมีการบอกกล่าวทุกครั้ง เวลาจะไปสอบหรือเดินทางไกลก็มักจะไปบนบานกับเจ้าจ้ำ เพื่อขอพรให้โชคดี ถ้าสำเร็จตามที่บนบานก็ต้องมาทำพิธี "แก้บะ" (แก้บน) กับจ้ำทุกครั้ง ส่วนเวลาป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุหรือทางโรงพยาบาลรักษาไม่หายก็จะมีการเหยารักษาโดย นางเทียม มีหมอธรรมอีกประมาณ 2-3 คน มีหน้าที่ทำพิธีเข้าทรงเพื่อชาวบ้านต้องการจะทราบอะไรบางสิ่งบางอย่าง เช่น เวลาของหาย คนหายก็จะลงธรรมดูว่า ขณะนี้อยู่ที่ไหน ซึ่งชาวบ้านจะเชื่อถือมากเช่นกัน นอกจากนี้ก็มีหมอสูดประจำหมู่บ้านเป็นผู้นำในการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ในพิธีต่าง ๆ เช่น แต่งงาน บายศรีสู่ขวัญเมื่อคลอดลูกใหม่ เวลาไปอยู่ต่างถิ่นเป็นต้น (หน้า 54-55) |
|
Education and Socialization |
ในด้านการศึกษาพบว่า บ้านเดื่อศรีคันไชย เป็นหมู่บ้านปลอดคนไม่รู้หนังสือในปี พ.ศ.2529 และจากข้อมูลในปี พ.ศ.2536 พบว่า มีสถานศึกษาทั้งหมด 3 แห่งประกอบไปด้วย 1. โรงเรียนบ้านเดื่อศรีคันไชย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เปิดสอนตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงระดับประถมศึกษาตอนปลายมีจำนวน 11 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 359 คน มีผู้บริหารเป็นอาจารย์ใหญ่ มีครูในสังกัด 23 คน มีภารโรง 2 คน 2. โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส สาขาเดื่อศรีคันไชย สังกัดกรมสามัญศึกษามีครูที่ผลัดกันสอนจากโรงเรียนวานรนิวาส 9 คน มีจำนวน 2 ห้องเรียน (มัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 2) เปิดทำการสอนในปี 2535 มีจำนวนนักเรียน 65 คน 3. สถานเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียน 1 แห่ง สังกัดกรมพัฒนาชุมชนมีผู้เลี้ยงดูเด็ก 3 คน มีจำนวนเด็ก 23 คน |
|
Health and Medicine |
มีสถานีอนามัย 1 แห่ง มีเจ้าหน้าที่ 3 คน ชาย 2 หญิง 1 (ข้อมูล พ.ศ.2536) นอกจากนั้น มีการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้าน (ตามรายละเอียดเรื่องความเชื่อหน้า 54-55) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
จากการศึกษาเอกสาร ผู้เขียนได้อ้าง ลัดดา พนัสนอกและคนอื่น ๆ (2530 : 24) ว่า ได้กล่าวถึงการแสดงของไทยโย้ยในหนังสือนาฎศิลป์พื้นเมืองสกลนครว่า ไทยโย้ยอยู่ในบ้านอุ่มเหม้า อำเภอพังโคน และไทยโย้ยอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร มีการแสดงชุดหนึ่งเรียกว่า โย้ยคูณลาน หมายถึง การหาบข้าวที่จะนวดมากองไว้ที่ลานนวดข้าว เพื่อจะนวดและนำขึ้นสู่ยุ้งฉาง นิยมเล่นในช่วงพักผ่อนเพื่อความสนุกสนานหลังจากการหาบข้าวและนวดข้าว สุรัตน์ วรางค์รัตน์ (2530 : 15-16) กล่าวถึงการแต่งกายของไทยโย้ยว่า เดิมสตรีโย้ยนิยมแต่งด้วยผ้าย้อมครามทั้งเสื้อและผ้าซิ่น ซึ่งไม่สวยเด่นเท่าผ้ามัดหมี่เพราะมีสีดำมืดทั้งตัว สมัยต่อมาก็จะนุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่สีฉูดฉาด ลวดลายสวยงาม ใส่เสื้อแขนกระบอกฝ้ายย้อมครามหรือมัดหมี่ ใช้ผ้าจ่องลวดลายสวยงามเป็นผ้าสะไบ ใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน เช่น สร้อยคล้อง คอ แขน ต่างหู เข็มขัด เป็นต้น (หน้า 10) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปรับเปลี่ยนเกิดจาก สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การศึกษา เทคโนโลยี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทำให้เกิดการรับเอาวัฒนธรรมจากภายนอกมาใช้ภายในหมู่บ้าน อาทิเช่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแต่งตั้งมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในงานบุญยอธาตุ การแสดงแสงสีเสียง คอนเสิร์ต เป็นต้น ซึ่งแต่ก่อนนั้นเป็นการจัดงานอย่างเรียบง่าย มีเพียงการบอกกล่าวกันภายในหมู่บ้าน มีการแสดงพื้นบ้านเพื่อผ่อนคลายความเครียดเท่านั้น |
|
|