|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เมี่ยน,อิ้วเมี่ยน,สมุนไพร,การดูแลรักษาสุขภาพ,ภาคเหนือ |
Author |
คณะทำงานและกองเลขาเครือข่ายเมี่ยน |
Title |
องค์ความรู้การใช้สมุนไพรและระบบการดูแลรักษาสุขภาพพื้นบ้านอิ้วเมี่ยน |
Document Type |
เอกสารวิชาการ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
16 |
Year |
2543 |
Source |
สำนักงานกองทุนเพื่อสังคม |
Abstract |
ศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ใน 3 จังหวัด คือ พะเยา เชียงราย ลำปางเพื่อส่งเสริมให้รื้อฟื้นคุณค่าและบทบาทของกลุ่มผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพในด้านพฤกษศาสตร์และด้านจิตวิญญาณเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและองค์ความรู้ และเสริมสร้างบทบาทเครือข่ายหมอพื้นบ้านให้เข้มแข็งมากขึ้น ระบบการดูแลสุขภาพของเผ่าเมี่ยนในอดีต เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย ชาวบ้านจะใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพพื้นบ้านที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีต ทั้งใช้วิธีการบีบนวด ไล่เลือดลม ยาสมุนไพร ใช้คาถาประกอบพิธีกรรม บางส่วนชาวบ้านสามารถทำได้เอง บางส่วนก็อาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หมอยาสมุนไพร หมอผี หมอคาถา การดูแลรักษาสุขภาพของเมี่ยนจะเกี่ยวโยงกับการให้ความเคารพ ปฏิบัติและยึดมั่นตามหลักความเชื่ออย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอ เช่น การเคารพบวงสรวงต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้มาคุ้มครองคนในครอบครัวให้รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยความเชื่อเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของเมี่ยนแบ่งได้ 4 ประเภทคือ 1) เกิดจากการกระทำของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ 2) เกิดจากการที่ขวัญไม่อยู่หรืออกจากร่างกาย 3) เกิดจากการดูแลสุขภาพและความผิดปกติของร่างกาย 4) เกิดจากอุบัติเหตุ ประเภทหมอพื้นบ้าน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1)กลุ่มที่รักษาทางกาย ใช้การบีบนวด จับเส้น ใช้ยาสมุนไพร 2) กลุ่มที่รักษาทางจิตวิญญาณ เรียนตำราหรือผู้รู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้และนำไปปฏิบัติจนชำนาญ เช่น คนเข้าทรง หมอคาถา เป็นต้น ระบบวินิจฉัยโรค แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ โรคที่มีอาการเด่นชัดสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตาเปล่า เช่น โรคที่เกิดจากการดูแลรักษาสุขภาพไม่ดี ร่างกายขาดความสมดุล โรคที่เกิดจากเชื้อโรค อุบัติเหตุ เป็นต้น และโรคที่ไม่สามารถบอกสาเหตุหรือวิเคราะห์อาการของโรคได้ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณร้ายต่างๆ รวมไปถึงการที่ขวัญหนีออกไปจากร่ายกาย จะใช้ระบบการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรม กระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอด มีทั้ง การถ่ายทอดอย่างเป็นทางการ และการถ่ายทอดอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการสังเกต จดจำ สืบทอดภายในสายตระกูล โดยจะมีข้อห้ามและข้อปฏิบัติของหมอยาสมุนไพรที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของยา โดยจะมีพิธีกรรมเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก |
|
Focus |
ศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านของเมี่ยน โดยเน้นเรื่ององค์ความรู้การใช้สมุนไพรและการดูแลสุขภาพ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มอิ้วเมี่ยน โดยเก็บข้อมูลในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ พะเยา เชียงราย ลำปาง (หน้าคำนำในการรวบรวมข้อมูล, หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
ประชากรอิ้วเมี่ยนกระจัดกระจายอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทยในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง กำแพงเพชร เชียงใหม่ ตาก สุโขทัยและเพชรบูรณ์ มีประชากรทั้งหมด 42,551 คน คิดเป็นร้อยละ 5.65 ของประชากรชาวเขาทั้งหมด (หน้า 1) |
|
Social Organization |
ชุมชนของเมี่ยนจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในระบบเครือญาติด้วยกันเองและต่างเครือญาติ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน (หน้า 1) |
|
Political Organization |
ผู้นำของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเลือกขึ้นมาเรียกว่า "ต้าวเมี่ยน" หรือ "ล่างเจี้ยว" เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน เข้ามาบริหารจัดการชุมชนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นผู้นำการปฏิบัติของคนในสังคม ติดต่อประสานงานกับคนภายนอก ส่วน "เจี้ยเมี้ยน" เป็นผู้นำทางด้านพิธีกรรมของคนในหมู่บ้าน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและพิธีกรรมของชนเผ่า (หน้า 1-2) |
|
Belief System |
เมี่ยนมีขนบธรรมเนียมประเพณีมีลักษณะเฉพาะของตนเอง มีวิถีชีวิตที่สอดคล้องและสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เกิดจนตาย (หน้า 1) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย ชาวบ้านจะใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพพื้นบ้านที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีต ทั้งใช้วิธีการบีบนวด ไล่เลือดลม ยาสมุนไพร ใช้คาถาประกอบพิธีกรรม บางส่วนชาวบ้านสามารถทำได้เอง บางส่วนก็อาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หมอยาสมุนไพร หมอผี หมอคาถา เป็นต้น (หน้า 2, 10-12) ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ การดูแลรักษาสุขภาพของเมี่ยนจะเกี่ยวโยงกับการให้ความเคารพ ปฏิบัติและยึดมั่นตามหลักความเชื่ออย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอ เช่น การเคารพบวงสรวงต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้มาคุ้มครองคนในครอบครัวให้รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ เมี่ยนมีตำรา เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตคือ "ท่งโซว" มีเนื้อหาครอบคลุมศาสตร์หลายด้าน ทั้งการประพฤติปฏิบัติตน การทำมาหากิน และ การทำพิธีต่างๆ ความเชื่อเกี่ยวกับการเจ็บป่วย แบ่งได้ 4 ประเภทคือ 1) เกิดจากการกระทำของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ จากการละเมิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่อยู่ภายในบ้าน (วิญญาณบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว) และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายนอกบ้าน เช่น เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา เป็นต้น 2) เกิดจากการที่ขวัญไม่อยู่หรืออกจากร่างกาย เมี่ยนเชื่อว่าคนเรามีขวัญจำนวน 12 ขวัญ ที่คุ้มครองและดูแลตัวเราอยู่ หากขวัญออกจากร่างกายก็จะทำให้เจ็บป่วย การที่ขวัญออกจากร่างกายเพราะเกิดจากการละเมิดกฎเกณฑ์ความเชื่อ เกิดจากวิญญาณร้ายจับขวัญไป และเกิดจากอาการตกใจสุดขีด 3) เกิดจากการดูแลสุขภาพและความผิดปกติของร่างกาย ที่ร่างกายขาดความสมดุลและเกิดจากเชื้อโรค 4) เกิดจากอุบัติเหตุ เช่นตกต้นไม้กระดูกหัก ฟ้าผ่า ถูกสัตว์ป่าทำร้าย เป็นต้น ประเภทหมอพื้นบ้าน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1)กลุ่มที่รักษาทางกาย ใช้การบีบนวด จับเส้น ใช้ยาสมุนไพร 2) กลุ่มที่รักษาทางจิตวิญญาณ ตะเรียนตำราหรือผู้รู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้และนำไปปฏิบัติจนชำนาญ เช่น คนเข้าทรง หมอคาถา เป็นต้น - "เดียไซ" หรือหมอสมุนไพร เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกศาสตร์ มีทั้งหมอผู้หญิงและชาย - "ซิบเมี้ยนเมี่ยน" เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน โดยเฉพาะการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ - "คนทรง" คือคนที่สามารถติดต่อกับเทพหรือวิญญาณได้ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทำหน้าที่เข้าทรงเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วย - "หมอคาถา" รักษาอาการตกใจสุดขีด ระบบวินิจฉัยโรค แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ โรคที่มีอาการเด่นชัดสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตาเปล่า เช่น โรคที่เกิดจากการดูแลรักษาสุขภาพไม่ดี ร่างกายขาดความสมดุล โรคที่เกิดจากเชื้อโรค อุบัติเหตุ เป็นต้น และโรคที่ไม่สามารถบอกสาเหตุหรือวิเคราะห์อาการของโรคได้ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณร้ายต่างๆ รวมไปถึงการที่ขวัญหนีออกไปจากร่ายกาย จะใช้ระบบการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรม กระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอด 1) การถ่ายทอดอย่างเป็นทางการ เป็นการเรียนรู้ที่ต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ไปขอศึกษาจากหมอยาที่มีชื่อเสียง โดยผู้เรียนต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับประกอบพิธีกรรมไปด้วย หมอยาก็จะสอนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ 2) การถ่ายทอดอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการสังเกต จดจำ สืบทอดภายในสายตระกูล ข้อห้ามและข้อปฏิบัติของหมอยาสมุนไพร 1) วิธีการเก็บยาสมุนไพรที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ควรเป็นหญิงอายุมาก ไม่สามารถมีลูกได้แล้ว อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ควรเก็บในที่ที่ไกลออกไปในที่ที่ไก่ขันแล้วไม่ได้ยินจึงจะศักดิ์สิทธิ์ หากเก็บสมุนไพรตอนเช้าควรเก็บที่ราก ตอนบ่ายเก็บตรงลำต้น ตอนเย็นเก็บตรงยอด ควรจะเก็บในฤดูแล้งเพราะตัวยาจะเข้มข้นและมีคุณภาพ 2) หมอสมุนไพรที่มีครู เวลาเก็บยาต้องรำลึกถึงครูด้วย 3) การดื่มยาสมุนไพรครั้งแรกควรใส่น้ำน้อยๆ ให้ผู้ป่วยดื่มจนหมด 3 ถ้วยแล้วคว่ำถ้วยไว้ 4) หมอยาไม่ควรเอายาเร่ขายเพื่อเป็นรายได้ให้ครอบครัวเนื่องจากมีครูและเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 5) เมื่อดื่มยาสมุนไพรแล้ว ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ของดอง ของเปรี้ยว ปลาแห้ง ปลาสด เนื้อไก่ สับปะรด แตงไทย 6) การเก็บตัวยา ควรเก็บเฉพาะบางส่วนที่ต้องการใช้ 7) ไม่พูดคุยสรรพคุณของตัวยามากเกินไป เพราะทำให้ตัวยาไม่ศักดิ์สิทธิ์ 8) การเรียนรู้จากอาจารย์สมุนไพรควรทำในพิธีใหญ่ๆ เช่น งานบวช ทำให้การเรียนรู้ง่ายและศักดิ์สิทธิ์ 9) ตัวยาที่เก็บมาควรนำมาฝานให้เล็กและตากแห้ง เพราะจะเก็บได้นาน ไม่เป็นอันตรายเวลาใช้ (หน้า 5 - 15) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ระบบโครงสร้างของสังคมเมี่ยนในปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเป็นโครงสร้างที่เป็นทางการเข้าสู่ระบบมากขึ้น มีตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้ทรงคุณวุฒิ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (สอบต.) เป็นต้น โดยโครงสร้างแบบเดิมลดบทบาทลงไป ไม่เข้มแข็งมีพลังเหมือนในอดีตที่ผ่านมา (หน้า 2) นอกจากนี้องค์ความรู้ด้านการดูแลรักษาสุขภาพเฉพาะด้านและผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เช่น หมอยาสมุนไพร หมอผี หมอคาถา เริ่มสูญหายไปเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพสังคมสมัยใหม่ (หน้า 2, 15) |
|
|