สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ,เชียงราย
Author ภูสวัสดิ์ สุขเลี้ยง
Title การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยโป่งผาลาด อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 134 Year 2545
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

โดยภาพรวมบ้านห้วยโป่งผาลาดจัดได้ว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถพัฒนาศักยภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่ยั่งยืนได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นชุมชนที่มีความพร้อมทั้งทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม และวิถีการดำเนินชีวิต มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ สามารถให้บริการนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันการวางแนวทางพัฒนาในอนาคต เช่นการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวของชุมชน การสร้างห้องสุขาสำหรับนักท่องเที่ยว และมีแผนกการพัฒนาบุคลากรที่ชัดเจน เป็นต้น ดังนั้น จากการศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาบ้านห้วยโป่งผาลาด (ชาวเขาเผ่ามูเซอดำ) ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ในครั้งนี้พบว่า แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านห้วยโป่งผาลาดยังคงขาดอยู่ก็แต่เพียง การบริหารจัดการภายในชุมชนบางประการที่ยัง ไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งหากสามารถปฏิบัติตาม โครงการพัฒนาศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่วางแนวทางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ้านห้วยโป่งผาลาด ก็จะเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนาคต (หน้า 92-93)

Focus

วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงคุณค่าความสำคัญ วิถีชีวิต ปริบท ชุมชน วัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และประเพณี พิธีกรรม ของชุมชนบ้านห้วยโป่งผาลาด (ชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอดำ) ที่สืบทอดกันมา และเพื่อศึ่กษาหาแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพของบ้านห้วยโป่งผาลาดให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มูเซอดำ

Language and Linguistic Affiliations

มูเซออยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) สาขาธิเบต-พม่า และแตกสาขาย่อยลงมาในกลุ่ม พม่า-โลโล คือโปรโต-โลโลอีส และกลุ่มย่อยที่สุดคือ เซนทรัลโลโล (Central Lolo) (หน้า 44)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ชนเผ่ามูเซอมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในประเทศธิเบต หรือบริเวณใกล้เคียงประเทศธิเบต เมื่อถูกจีนรุกรานบีบบังคับก็ค่อย ๆ ถอยร่นอพยพลงมาทางใต้ ชาวเขาเผ่ามูเซอ เรียกตัวเองว่า "ลาฮู" (Lahu) หรือ "ละหู่" ซึ่งแปลว่า "คน" มีเชื้อสายมาจากลุ่มโลโล ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอาศัยอยู่บนที่ราบสูงธิเบต - ชิงไห่ และได้รับการยอมรับจากจีนให้ปกครองตนเองได้อย่างอิสระ มีอาณาจักรของตนเองกว้างใหญ่ถึงพันลี้ บริเวณตอนกลางและตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ก่อนที่ชนชาติไทยและจีนจะเข้าไปครอบครอง ต่อมามีการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นอยู่ตลอดเวลาในแถบประเทศจีน พม่า ลาว และไทย ในปี พ.ศ.2525 มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่า มีจำนวนประชากรมูเซออยู่ถึง 474,000 คน ต่อมาทนการปกครองของทหารจีนไม่ไหว กลุ่มหนึ่งได้หนีอพยพลงมาอยู่ในแคว้นเชียงตุง ประเทศพม่า และถูกทหารอังกฤษซึ่งปกครองพม่าอยู่ในขณะนั้นบังคับให้เปลี่ยนศาสนาดั้งเดิม มานับถือศาสนาคริสต์ จึงเกิดการต่อต้าน เมื่อต่อต้านไม่ไหว กลุ่มหนึ่งหนีอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย และมีการอพยพครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว ได้ปราบปรามชนกลุ่มน้อย มูเซอได้ทำการต่อต้าน เมื่อต่อต้านไม่ไหว กลุ่มหนึ่งได้หนีอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย สาเหตุก็ต่อเนื่องมาจากนโยบายการปราบปรามของรัฐบาลพม่า การชักนำของหมอสอนศาสนาและการชักชวนของญาติพี่น้อง โดยครั้งแรกนั้นได้พากันตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และแถบบริเวณเขตติดต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย (หน้า 42-43)

Settlement Pattern

ชาวเขาเผ่ามูเซอ มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่เป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่าที่แตกต่างจากชนเผ่าอื่น มีหมู่บ้านตั้งอยู่ไม่ปะปนกับเผ่าอื่น ซึ่งในอดีตนั้น ชอบอพยพเคลื่อนย้ายหมู่บ้านมาก บางกลุ่มพากันย้ายที่ตั้งหมู่บ้านทุก ๆ 4 ปี การเลือกตั้งหมู่บ้าน มักเป็นพื้นที่อยู่บนภูเขาสูง มีความสูงตั้งแต่ 4,000 ฟุตขึ้นไป มีทำเลที่เหมาะกับการประกอบอาชีพ คือ มีแหล่งน้ำและที่ดินทำกิน การปลูกบ้านเรือน นิยมปลูกแบบยกพื้นใต้ถุนสูงพอสมควร ซึ่งจะใช้เป็นที่เก็บฟืนและบางครั้งก็ใช้เป็นที่ตั้งครกตำข้าว (หน้า 45-46)

Demography

ประชากรในหมู่บ้านห้วยโป่งผาลาด หมู่ที่ 13 มีครัวเรือนจำนวน 75 ครัวเรือน ประชากร 318 คน ชาย 154 คน หญิง 164 คน (หน้า 37)

Economy

มีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ การเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผาข้าว มีข้าวโพดเป็นพืชหลัก และเพาะปลูกพืชอื่นๆ ได้แก่ พริกไทย แตงกวา ฟักทอง ถั่ว ข้าวฟ่าง กล้วย งา ชา ยาสูบ และฝิ่น พืชที่เป็นสินค้านำเงินสดมาสู่มูเซอคือ ฝิ่น และ พริกไทย นอกจากนี้ มูเซอยังเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู วัว ควาย และม้า เพื่อใช้ในพิธีกรรม บริโภคใช้สอย และขาย มูเซอมีความชำนาญในการล่าสัตว์มาก ดังนั้น อาชีพอีกอย่างหนึ่งคือ การเข้าป่าล่าสัตว์เอาเนื้อมาขายหรือบริโภค อาชีพนอกการเกษตร ได้แก่ งานหัตถกรรม การค้าขาย การรับจ้างแรงงาน งานเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ โดยใช้วัสดุในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ หวาย (หน้า 50-51) มูเซอบริโภคข้าวเจ้าเป็นหลัก ซึ่งเป็นข้าวไร่ที่เป็นสายพันธุ์เฉพาะของมูเซอ ข้าวที่เก็บเกี่ยวและนวดแล้วจะถูกนำมาเก็บไว้ในยุ้งข้าว และทยอยนำออกมาตำด้วยครกกระเดื่อง หรือที่เรียกว่า "ข้าวซ้อมมือ" กรรมวิธีตั้งแต่การตำและนำมาหุงให้สุก ทำให้มีสารอาหารครบถ้วน อาหารประเภทโปรตีน ได้มาจากสัตว์เลี้ยงที่ใช้ในพิธีกรรม คือ หมูและไก่ และสัตว์ป่าที่ได้จากการล่า เช่น เก้ง นก กวาง ไก่ป่า อ้น ตุ่น ฯลฯ หรือสัตว์น้ำที่ได้จากลำห้วย เช่น ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ และบางอย่างหาซื้อได้จากตลาด เช่น ปลาทูเค็ม และของแห้งจำพวกถั่วต่าง ๆ เช่นถั่วลาย ถั่วเหลือง ถั่วแดง ประเภทผัก ได้จากผักสวนครัวที่ปลูกเอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี และพืชผักที่เกิดตามธรรมชาติ เช่นเห็ด หน่อไม้ ฯลฯ ประเภทผลไม้ มีทั้งที่หาได้จากป่า และที่ปลูกเอง เช่น มะม่วง มะไฟ กล้วย เป็นต้น ส่วนน้ำดื่มนิยมดื่มชาร้อน ๆ (หน้า 48-49) อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการบริโภคอาหารมีข้อห้ามบางประการสำหรับผู้นำศาสนา กล่าวคือ ผู้นำศาสนาห้ามรับประทานเนื้อหมี เลียงผา หรือเนื้อสัตว์ที่เสือหรือสุนัขกัด ถั่วเน่า และห้ามดื่มของมึนเมา (หน้า 48-49)

Social Organization

ลักษณะครอบครัวของมูเซอเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว และถือระบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่ถือเคร่งครัดในการสืบสกุล หลังจากแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทนพ่อแม่ฝ่ายหญิง ในสังคมมูเซอสมาชิกครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ลูกเขย และหลาน พ่อบ้านถือเป็นหัวหน้าครอบครัว ปกครองดูแลสมาชิกในครอบครัว กล่าวกันว่า มูเซอนับทุกครอบครัวในหมู่บ้านเป็นเครือญาติทั้งสิ้น จึงก่อให้เกิดความร่วมมือช่วยเหลือกันและกันเป็นอย่างดี การแต่งงาน การเกี้ยวพาราสีของมูเซอ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายนอกบ้าน เช่น ที่ไร่หรือยุ้งข้าวหรือต่างหมู่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายว่า จะรักกันหรือตกลงปลงใจที่จะแต่งงานอยู่ด้วยกันหรือไม่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีอิสระที่จะเปลี่ยนคนรักใหม่ได้ หากไม่พึงพอใจกันและกัน แต่เมื่อตกลงที่จะแต่งงานอยู่ด้วยกันแล้ว ญาติหรือผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะต้องไปสู่ขอหญิงสาว โดยอาจจะจ่ายสินสอดบ้างหรือไม่จ่ายก็ได้ หลังจากแต่งงานแล้ว ผู้ชายจะต้องไปอยู่กับฝ่ายหญิง การหย่าร้างอาจเกิดขึ้นได้เสมอและค่อนข้างง่าย เพียงแต่ตกลงกันว่าจะหย่าและเสียค่าปรับตามที่ตกลงกันไว้ และแจ้งให้ผู้นำศาสนาทราบเพื่อทำพิธีรินน้ำชา (หน้า 46-47)

Political Organization

ในสังคมมูเซอแบบดั้งเดิมทุกแห่งไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอยู่คนหนึ่ง บางหมู่บ้านอาจมีผู้ช่วยหัวหน้าอีกก็ได้ และมีลักษณะการปกครองตามจารีต คือมีหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องประเพณีและพิธีกรรมเป็นอย่างดี และสามารถตัดสินคดีความในชุมชน (หน้า 52)

Belief System

มูเซอเคารพนับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ "กื่อซา" ซึ่งถือว่าเป็นผู้สร้างโลก สร้างความดีทั้งมวล นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องภูติ ผีวิญญาณ ผีบ้าน ผีเรือน ผีป่า ผีน้ำ ฯลฯ และยังมีความเชื่อในผู้นำศาสนาคือ "ปู่จอง" หรือ "ตูโบ" ปัจจุบัน มูเซอได้ปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิมของตน หันมานับถือศาสนาต่าง ๆ เช่น พระพุทธศาสนา อาจกล่าวได้ว่า มีมูเซอ 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มนับถือผีและพุทธ กลุ่มนี้ส่วนหนึ่งยังนับถือปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิมของตน คือ มีการบูชาเทพเจ้า "กื่อซา" อย่างไรก็ตาม ภายหลังกลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาที่เข้าไปเผยแผ่ ก็ได้หันมานับถือพุทธศาสนาด้วย มูเซอกลุ่มนี้ได้แก่ มูเซอเฌเล มูเซอแดง และมูเซอกุเลา 2) กลุ่มนับถือศาสนาคริสต์ ได้แก่ มูเซอดดำ มูเซอเหลือง มูเซอแดง และมูเซอลาบา (หน้า 53) พิธีกรรมสำคัญ 1) พิธีบูชาเทพเจ้า "กื่อซา" มีการประกอบพิธีกรรมบูชาตลอดปีในโอกาสต่าง ๆ โดยกลุ่มมูเซอเฌเล และมูเซอแดง เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ และอีกส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการขอร้องให้ช่วยขับสิ่งชั่วร้ายอีกด้วย 2) พิธีปีใหม่ "เขาะจะเลอ" หรือ "เขาจาเว" มีขึ้นในช่วงเดือน 1-3 โดยเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำจนถึงวันขึ้น 10 ค่ำ (ประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) มีการหยุดงาน กินเลี้ยงรื่นเริงสนุกสนาน 3) พิธีไหว้ผีประจำทิศ เป็นพิธีจัดขึ้นเฉพาะในกลุ่มมูเซอเฌเล เป็นการบอกกล่าวผีประจำทิศและผีอื่นๆ ก่อนที่จะลงมือทำไร่ในแต่ละปี 4) วันศีลก่อกองทราย วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา จัดขึ้นเฉพาะในกลุ่มมูเซอแดง 5) พิธีกินข้าวใหม่ หรือ "การกินวอ" เป็นพิธีจัดขึ้นก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยวข้าวนำมาเก็บไว้ในยุ้งฉาง เป็นการบอกกล่าวให้ผีไร่ได้รับทราบ 6) พิธีเลี้ยงผี ขับไล่ผี จัดขึ้นตลอดปีในกลุ่มมูเซอแดง 7) การทำบุญ "บูดีเว" เป็นการประกอบพิธีในกลุ่มมูเซอเฌเล เพื่อเป็นการร้องขอต่อเทพเจ้า "กื่อซา" เป็นการทำบุญเฉพาะครอบครัว เพื่อร้องขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การทำบุญเกี่ยวกับการเพาะปลูก พิธีนี้สามารถทำได้ตลอดปี (หน้า 55) นอกจากความเชื่อในเรื่องภูติผีปีศาจเทวดาแล้ว มูเซอยังมีความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์หรือสื่อบอกลางร้าย ดังเช่นหมูซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่สำคัญ ถ้ามาออกลูกใหม่ในหมู่บ้าน หรือแม้ว่าออกลูกนอกหมู่บ้าน แต่ให้ลูกเพียง 2 ตัว เชื่อว่าจะนำความหายนะมาสู่เจ้าของได้ การแก้ไขกระทำได้ด้วยการฆ่าหมูทั้งลูกและแม่ แล้วประกอบพิธีปัดรังควาน "หนีกะเลอ" พิธีทำบุญบ้าน "กื่อซาเลอ" และทำบุญเลี้ยงผีหมู่บ้าน "คะกู" พร้อมกันไป ความเชื่อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเป็นความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" "วิญญาณ" มูเซอเชื่อว่าคนเรานั้นมีอยู่ 7 ขวัญ ขวัญหนึ่งในจำนวนนี้อยู่อีกโลกหนึ่งที่เรียกว่า "เมืองผี" ขวัญที่เหลืออาศัยอยู่รอบกายและในตัวคือที่ "ใจ" ขวัญที่ใจนี้ถ้าออกไปจากร่างกายจะทำให้เจ็บป่วย (หน้า 58)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

มูเซอเชื่อว่า การเจ็บป่วย หากมีอาการรุนแรงถือว่าเป็นเรื่องของ "ขวัญ" ที่หนีออกไปจากร่าง ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ทำให้ขวัญมีกำลังอ่อนแอ หรือไม่สมบูรณ์ จึงเกิดทำให้เจ็บป่วย การรักษาเยียวยาทำได้โดยการทำพิธีเรียกขวัญให้กลับมา (หน้า 53) ในเรื่องสารอาหาร มูเซอมีการบริโภคอาหาร ทั้งข้าวซ้อมมือ อาหารโปรตีนจากสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่าที่ล่าได้ ปลาตามลำห้วย และปลาทูเค็ม ถั่วประเภทต่าง ๆ หาซื้อได้จากตลาด อีกทั้งผักสวนครัวที่ปลูก พืชผักและผลไม้ตามธรรมชาติ มูเซอจึงมีการบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน สำหรับผู้เจ็บป่วยมูเซอจะให้เตรียมอาหารอ่อนให้รับประทาน (หน้า 48-49) ในส่วนของหญิงมีครรภ์รับประทานอาหารได้ทุกชนิด แต่ไม่มีรสเผ็ดจัด หลังคลอดจะมีการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ คือให้มีการอยู่ไฟเป็นเวลา 12 วัน ไม่ให้อาบน้ำ ไม่ให้ออกนอกอาคารบ้าน ด้านอาหารบำรุงร่างกาย ให้กินน้ำต้มกับพริกไทย พอครบ 10 วันจึงให้รับประทานหมูหรือไก่ได้ ห้ามดื่มน้ำเย็น และห้ามรับประทานหมูป่าตัวผู้ เพราะจะทำให้ผอมแห้ง บำรุงร่างกายด้วยไก่กระทงย่างหรือต้มใส่เกลือ มีการนำสมุนไพรมาต้มบำรุงให้แม่แข็งแรง ส่วนเด็กอ่อนนิยมเลี้ยงด้วยนมแม่ จนกว่าแม่จะมีลูกคนใหม่ เมื่ออายุได้ 3 เดือนจึงให้ป้อนข้าวได้ (หน้า 48-49,53-54)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย - มูเซอแดง ผู้หญิงนิยมไว้ฝมยาวเกล้าเป็นจุกหรือมวยไว้กลางศีรษะโพกผ้าสีดำมากกว่าสีขาว หญิงมูเซอทุกคนนิยมเจาะหูเอาตุ้มหูเป็นเงินรูปวงกลมใส่ห้อยไว้ทั้งสองข้าง สวมเสื้อแขนยาวสีดำหรือสีฟ้า เย็บแถบผ้าสีแดงทาบบนผืนผ้าสีดำ เป็นแถบใหญ่เล็กหลายตอนตรงรอบคอ ชายผ้าและแขนเสื้อ สำหรับผ้านุ่งนอกจากจะมีลายสีแดงที่เห็นเด่นชัดแล้ว ยังมีลายสีขาว เหลือง และน้ำเงินสลับอีกด้วย ซึ่งอยู่ตรงส่วนเอว ลักษณะเสื้อผู้หญิงเป็นเสื้อแขนยาวทรงกระบอก ใช้ผ้าสีดำ ตัวเสื้อสั้นเปิดให้เห็นหน้าท้อง ผ่าอกกลางติดแถบผ้าสีแดงริมคอลงมาถึงข้างล่าง ตรงขอบข้างหน้าใช้กระดุมเงินหรือเข็มกลัด ส่วนแขนมีแถบผ้าติดไว้ 2 ตอน คือกลางแขนเสื้อใต้ไหล่ 1 แถบ - หญิงมูเซอดำมีสัญลักษณ์ประจำเผ่า คือ ผ้าสีดำ ผ้านุ่งใช้กางเกง ส่วนเสื้อเป็นแบบแขนยาวเหนือข้อมือเล็กน้อย ตัวเสื้อยาวลงมาถึงครึ่งน่อง ผ่าอกกลางตลอด นิยมใช้ผ้าดำโพกศีรษะ ปล่อยชายผ้าห้อยไปข้างหลังยาวประมาณ 1 ฟุต สนับแข้งใช้ผ้าสีดำ หญิงมูเซอดำนิยมเจาะหูทั้งสองข้าง สำหรับใส่ตุ้มหูซึ่งทำด้วยโลหะเงิน ผู้ชายไม่มีสัญลักษณ์ประจำเผ่าเหมือนผู้หญิงและไม่แน่นอน บางทีสวมเสื้อยืด เสื้อเชิต อย่างชาวบ้านตามพื้นราบ แต่ส่วนมากสวมเสื้อสีดำแขนยาว ผ่าอกกลาง สั้นแค่บั้นเอว กางเกงจีนสีดำหลวม ๆ ยาวลงไปแค่เข่าหรือใต้เข่าเล็กน้อย (หน้า 47) เพลงและการละเล่น (หน้า 49) - ชนเผ่ามูเซอมีศิลปะการดนตรีและการละเล่นเช่นเดียวกับชนเผ่าอื่น โดยเฉพาะในเรื่องของดนตรีแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง มีความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ความเชื่อและพิธีกรรม เครื่องดนตรีที่ใช้บันเลงประกอบด้วย ขลุ่ย ซึง แคนน้ำเต้า กลอง ฆ้อง ฉาบ อาถ่า (ประเภทครึ่งเป่าครึ่งดีด) เฉพาะแคนน้ำเต้าใหญ่ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้โดยหมอผีและเฉพาะในพิธีกรรมเท่านั้น เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พืชพรรณไม้ สัตว์ป่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพลงที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชนเผ่าที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก - การเต้นรำ มูเซอชอบความสนุกสนานรื่นเริง โดยเฉพาะการเต้นรำเป็นชนเผ่าที่เต้นรำได้อย่างมีชีวิตชีวา จังหวะงดงาม ผู้หญิงและผู้ชายเต้นรำอยู่คนละแถว คือ ผู้หญิงเต้นอยู่รอบวงใน ส่วนผู้ชายเต้นอยู่รอบนอก มีลีลาการเต้นรำแตกต่างกัน (หน้า 47) การเต้นรำเป็นการแสดงออกถึงความร่าเริงสนุกสนานที่เห็นได้อย่างเด่นชัดโดยปกติของหมู่บ้านมูเซอทุกแห่ง จะมีลานเต้นรำที่เรียกว่า "ลานจะคึ" อย่างน้อย 1 แห่ง ณ ลานแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมของชาวบ้าน ในการพบปะรื่นเริงและเต้นรำกัน - การละเล่นทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของเด็ก ๆ เด็กผู้ชายชอบเล่นหนังสะติ๊ก หน้าไม้ หรือลูกข่าง เมื่อโตขึ้นก็อาจจะฝึกหัดเล่นเครื่องดนตรีของชนเผ่า เช่น ขลุ่ย อาถา เป็น สำหรับเด็กผู้หญิง ในวัยเด็กจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลี้ยงดูน้อง เล่นสะบ้ากับเพื่อน ๆ

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. รูปภาพ : เด็กและสตรีมูเซอ สภาพหมู่บ้านโดยทั่วไป ลักษณะบ้านมูเซอ (หน้า 122), บริเวณบ้าน คอกปศุสัตว์ หมอผี (ผู้อาวุโส) ประจำหมู่บ้าน ห้องสุขาประจำบ้าน (หน้า 123), ประปาประจำหมู่บ้าน ถนนทางเข้าหมู่บ้าน การเต้นจะคึ (หน้า 124), การไหว้ผีน้ำ เตรียมของบวงสรวงลานจะคึ ลานจะคึ อัญเชิญเทพเจ้ากือซาขึ้นบ้าน ทำพิธีกรรมเพื่อรักษาผู้ป่วย (หน้า 125), เครื่องบูชาเลี้ยงผี (สำหรับผู้ป่วย) หมอผีกำลังเรียกขวัญ หมอผี เตรียมทำพิธีกรรม กระทง (สะตวง) สำหรับบูชาผี กระทงสำหรับบูชาผี เฉลว ต้นปิดปากทางเข้าหมู่บ้านเพื่อป้องกันผีร้าย (หน้า 126), พิธีเซ่นสรวงบูชาผี เสร็จแล้วนำปล่อยลอยน้ำ (ปั้นเป็นรูปสัตว์และคน) ทำพิธีเซ่นสรวงบูชาผีเสร็จแล้วนำปล่อยลอยน้ำ ประตูผี/เฉลว หนี่คือ (เพื่อให้คนลอด) ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แท่นบูชาท้าวทั้ง 4 ไหว้เทพเจ้ากือซาทุกคนมารวมกันที่บ้านหมอผี (หน้า 127), ที่ใส่น้ำมนตร์ ปูจารย์ทำพิธีขึ้นปีใหม่ พิธีบูชาเทพเจ้ากือซา ทำข้าวปุก (หน้า 128), ปูจารย์ทำพิธีขึ้นปีใหม่ นึ่งข้าวเตรียมทำข้าวปุก ฆ่าหมูทำพิธีปีใหม่ (หน้า 129), การแต่งตัวของชายมูเซอ การแต่งตัวของสตรีมูเซอ (หน้า 130), เครื่องชั่งของมูเซอ ดายวัชพืช ขวาน เครื่องมือกรีดฝิ่น (หน้า 131), ที่เก็บอุปกรณ์กรีดฝิ่น มีด ไม้สำหรับตีข้าวของมูเซอ (หน้า 132), กระจาด กระชุใส่ของ ขลุ่ย แคนยาว ซึง (หน้า 133) แผนที่ : แผนที่แสดงที่ตั้งพื้นที่กรณีศึกษา (หน้า 36), สถิติข้อมูลประชากรบ้านห้วยโป่งผาลาด (หน้า 38), ปฏิทินการเกษตรในรอบปี (หน้า 39), แผนที่ตั้งชุมชน (หน้า 41), ข้อมูลชุมชนบนพื้นที่สูงจังหวัดเชียงรายปี 2543 (หน้า 43), ปฏิทินกิจกรรมทางสังคม และการเพาะปลูกของมูเซอ (หน้า 72), เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยลังกาหลวง (หน้า 111), แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่ป่าสงวนขุนแจ (หน้า 114)

Text Analyst กัญญาณัฐ เฮ็งบ้านแพ้ว Date of Report 08 ต.ค. 2555
TAG ลาหู่, ความเป็นอยู่, ประเพณี, การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง