|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เมี่ยน อิวเมี่ยน,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,วิถีชีวิต,ภาคเหนือ |
Author |
John Blofeld |
Title |
Some Hilltribes of North Thailand (Miaos and Yaos) |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
19 |
Year |
2498 |
Source |
The Journal of the Siam Society, vol.XLIII , part 1 (August 1955) |
Abstract |
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักชนเผ่าสองชนเผ่าทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งยังเป็นชนเผ่าที่ยังคงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบสังคมดั้งเดิม โดยทั้งสองเผ่านี้คือ ม้งและเย้า แม้จะเป็นชนเผ่าที่ยังล้าหลังในเรื่องเทคโนโลยีทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผลิต การศึกษา การสาธารณสุข แต่ก็เป็นชนเผ่าที่รักสงบ และทำงานหนัก โดยจะเห็นได้ว่าผู้เขียนมีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องของวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และเรื่องราวทางสังคม โดยไม่ได้ให้รายละเอียดในแง่ของประชากรศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์มากนัก สุดท้ายผู้เขียนยังได้เสนอว่า มีประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับสองชนเผ่านี้คือ 1. การที่พวกเขาทำการเกษตรโดยการทำไร่เลื่อนลอย ถางและเผาป่า เปลี่ยนที่ทำกินไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการทำลายระบบนิเวศ 2. การปลูกฝิ่น อย่างไรก็ตาม จุดยืนของผู้เขียนในบทความนี้คือการพยายามชี้แจงให้รัฐบาลไทยเห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ชุมชนดั้งเดิมเหล่านี้ไว้ โดยไม่เข้าไปเปลี่ยน หรือทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา มีเพียงอย่างเดียวที่ผู้เขียนเห็นว่ารัฐบาลไทยควรเข้าไปช่วยเหลือ ในการส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเข้าไปแนะนำและส่งเสริมให้ปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระยะยาว (หน้า 16 - 18) |
|
Focus |
ทำความรู้จักกับเรื่องราวชีวิต และวัฒนธรรมของ 2 ชนเผ่า คือ ม้ง(แม้ว) และเมี่ยน(เย้า) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจน หากได้วิเคราะห์และสันนิษฐานจากตำนานเรื่องเล่าถึงต้นกำเนิดของทั้งสองเผ่าว่า เรื่องเล่าในตำนานของพวกเขาสอดรับกับข้อมูลเรื่องการอพยพที่มักจะอพยพทางทิศตะวันตกเสมอ และเมื่อดูจากการแต่งกายที่คล้ายคลึงกันของชนเผ่าดั้งเดิมของไต้หวัน และผู้หญิงม้งแล้ว ก็ยิ่งสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า ทั้งสองเผ่านี้น่าจะมีต้นกำเนิดดั้งเดิม มาจากเกาะไต้หวัน หรือเกาะไหหลำ หรือจากทั้งสองเกาะ ซึ่งต้องเปรียบเทียบตรวจสอบในเรื่องของภาษาอีกที เพื่อความแน่ใจ (หน้า 15) |
|
Ethnic Group in the Focus |
เป็นข้อมูลเกี่ยวกับม้ง (ดูจากรูปภาพแล้วอาจเป็นกลุ่มที่ถูกเรียกว่า "ม้งน้ำเงิน" - ผู้ตรวจ/ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ) และเมี่ยน ซึ่งบทความนี้ เรียกว่า "แม้ว" กับ "เย้า" ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ไม่ได้ระบุพื้นที่ชัดเจนว่าอยู่ในเขตพื้นที่ไหน นอกจากบอกว่าการเดินทางไปยังชุมชนทั้งสองนี้ ใช้เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง โดยลงรถบริเวณกิโลเมตรที่ 60 แล้วต้องขี่ฬ่อขึ้นเขาเข้าไปในป่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน และยากที่จะบอกว่าภาษาพูดเป็นภาษาในตระกูลใด เป็นภาษาที่ใช้คำพยางค์เดียว และโทนเสียงต่างจากทั้งภาษาจีน และไทย ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาทางการ และเป็นภาษาในการติดต่อซื้อขาย (หน้า 1) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุชัดเจน ผู้เขียนบอกว่าเดินทางไปสองครั้ง การเดินทางครั้งแรกในปี ค.ศ.1953 ใช้เวลาอยู่ที่หมู่บ้านม้งแห่งหนึ่ง ทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ไม่กี่วัน และจากนั้นพยายามจะเดินทางต่อไปเชียงคำบริเวณพื้นที่ใกล้กับพรมแดนไทย-ลาว และพบหมู่บ้านเย้าที่นั่น ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1954 ได้เดินทางไปที่หมู่บ้านม้งอีกครั้ง และใช้เวลานานขึ้นกว่าครั้งแรก (หน้า 1-2) แต่ถ้าดูจากช่วงเวลาที่บทความนี้ตีพิมพ์ คือในปี ค.ศ.1955 เป็นไปได้ว่าน่าจะใช้เวลาในการศึกษาและเก็บข้อมูลไม่เกิน 2 ปี |
|
History of the Group and Community |
ไม่มีข้อมูล มีแต่ตำนานเรื่องเล่า |
|
Settlement Pattern |
ไม่ได้อธิบายชัดเจน นอกจากให้ข้อมูลว่าม้งมีวัฒนธรรมการทำการเกษตรแบบทำไร่เลื่อนลอย คือถางป่าและเผาป่าเพื่อทำไร่ และโดยจะย้ายที่ไปเรื่อย ๆ พืชหลักที่ปลูกคือ ฝิ่น ปลูกเพื่อขาย และข้าวโพด ปลูกเพื่อเป็นอาหาร ม้งจะใช้หมู่บ้านเป็นเสมือนศูนย์กลางในการติดต่อ หากส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะใช้เวลาอยู่ในไร่มากกว่า โดยสร้างที่พักชั่วคราวไว้นอนในไร่ ประมาณทุก 4 ปี เมื่อพื้นดินหมดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งหมู่บ้านก็จะพากันอพยพ ไปถางป่าหาพื้นที่ทำการเกษตรใหม่ (หน้า 6) สำหรับในกรณีของเผ่าเย้า ผู้เขียนไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ (รายละเอียดโครงสร้างบ้านเรือนดูที่หัวข้อ Art and Crafts) |
|
Demography |
ผู้เขียนระบุเพียงว่าหมู่บ้านม้งหมู่บ้านหนึ่งประกอบกอบด้วยบ้านราว 30-40 หลังคาเรือน (หน้า 2) |
|
Economy |
ทำการเกษตรแบบทำไร่เลื่อนลอย เพื่อเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ พืชเศรษฐกิจหลักที่ปลูกคือ ฝิ่น ซึ่งปลูกไว้สำหรับขาย และปลูกข้าวโพดไว้สำหรับเป็นอาหาร เนื่องจากไม่สามารถทำนาปลูกข้าวบนพื้นที่สูงได้ นอกจากนั้น ก็ยังปลูกชาและยาสูบบ้าง สัตว์ที่เลี้ยงได้แก่ ม้า วัว ควาย หมู ไก่ สุนัข และแมว ม้งไม่เชื่อถือในเรื่องมูลค่าของเงินที่เป็นธนบัตร พวกเขาจึงขายฝิ่นแลกกับเงินที่เป็นโลหะของพม่า โดยเงินที่ได้มาจะนำไปใช้ซื้อของที่จำเป็น เช่น ม้า ฬ่อ ข้าว เข็มและด้ายหลากสี โดยเฉพาะในบรรดาข้าวของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่สุดคือ เหล็ก และเกลือ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะประดิษฐ์สิ่งของใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากินต่างๆ อาวุธ เครื่องเรือน สมัยก่อนเคยมีพ่อค้าชาวจีนเดินทางมาเร่ขายสินค้าประเภทที่ทำจากพลาสติกในหมู่บ้าน แต่ต่อมาพ่อค้าชาวจีนไม่ได้รับอนุญาตให้ข้ามชายแดน ดังนั้นช่วงหลังหากต้องการซื้อของที่ผลิตเองไม่ได้ พวกผู้อาวุโส ก็จะเดินทางลงเขา เข้าไปซื้อของในเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด (หน้า 7-8) สำหรับเย้า ยังมีการจ้างครูชาวจีนมาสอนเรื่องการเขียนตัวหนังสือจีนเป็นครั้งคราวด้วย |
|
Social Organization |
วัยรุ่นม้งจะมีอิสระเต็มที่ในการมีความสัมพันธ์ทางเพศและเลือกคู่ ขณะที่ตามประเพณีของเย้าผู้หญิงมีสิทธิที่จะเลือกชายต่างถิ่นที่เป็นแขกของหมู่บ้านที่เธอพอใจไปหลับนอนด้วยได้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง 2 เผ่านี้คือ สำหรับม้งแล้วมีกฎว่าห้ามมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวไม่ว่าจะในระดับใดกับคนนอกเผ่าม้ง แม้แต่มีความสัมพันธ์กับม้งต่างกลุ่มก็ไม่ได้ ยกเว้นในกรณีของม้งขาวที่สามารถจีบกลุ่มอื่นๆ ได้ การให้อิสระเต็มที่เช่นนี้ ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ต้องเผชิญกับการถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อพ่อแม่ และเมื่อแต่งงานไปแล้วถ้าอยู่กับสามีไม่ได้ ก็สามารถไปอยู่กับสามีใหม่ได้ โดยที่สามีเก่าไม่ว่า เพราะถือว่าจะไม่มีการบังคับฝืนใจกัน โดยมีธรรมเนียมของเผ่ากำกับไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้สามีเก่าจะได้รับค่าชดเชยจากพ่อแม่ของฝ่ายอดีตภรรยามากกว่าค่าสินสอดที่เคยจ่ายไปเมื่อตอนแต่งงาน ด้วยเหตุนี้อัตราการหย่าร้างของเผ่าจึงต่ำมาก (หน้า 11 -12) |
|
Political Organization |
ในแต่ละหมู่บ้านม้ง จะมีการเลือกผู้นำหรือหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนัก นอกจากคอยทำหน้าที่ติดต่อกับทางการไทยเท่านั้น คือคอยรายงานเรื่องการย้ายถิ่นของหมู่บ้าน ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองดูแลเผ่าอย่างแท้จริง คือ บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายของหมู่บ้าน เช่นในกรณีที่มีคนละเมิดกฎระเบียบประเพณี ผู้อาวุโสจะเป็นคนที่คอยตัดสินใจว่าจะเรียกค่าปรับเท่าไร หากส่วนใหญ่แล้วในหมู่บ้านแทบจะไม่มีปัญหาใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้ง การลักทรัพย์ หรืออาชญากรรมต่าง ๆ เนื่องจากตามความเชื่อของเผ่า การทะเลาะเบาะแว้งกันจะทำให้วิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยเฝ้าดูอยู่ไม่พอใจ และพวกเขาเลือกที่จะใช้วิธีวิ่งหนีเข้าไปเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะหรือกระทบกระทั่งกันมากกว่า นอกจากนั้น การใช้พื้นที่อยู่อาศัยร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การลักขโมยเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก (หน้า 10-11) |
|
Belief System |
ทั้งม้งและเย้าเป็นชนเผ่าที่ไม่มีศาสนา ไม่มีการสักการะบูชา หรือประกอบพิธีกรรมเซ่นสังเวยใด ๆ ในเวลาปกติ ยกเว้นเวลาที่มีปัญหา พวกเขานับถือและเชื่อในเรื่องวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ไม่เชื่อในเรื่องภูติผีปีศาจ โดยเชื่อว่าในระหว่าง 3 ปีหลังการตายวิญญาณผู้ตายจะยังคงอยู่คอยตรวจตราดู ถ้าหากมีใครในหมู่บ้านประพฤติผิดธรรมเนียมประเพณี ผีบรรพบุรุษก็จะลงโทษ โดยทำให้ผู้นั้นโชคร้าย หรือไม่ก็เจ็บป่วย บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมการตาย รวมถึงพิธีกรรมการรักษาผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย เรียกว่า "Meng-goong" ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะเรียกเขาว่าเป็น ผู้มีเวทมนตร์ เป็นพระ หรือเป็นหมอดี และในกรณีที่มีการละเมิดขนบธรรมเนียมประเพณี วิธีขอขมาต่อผีบรรพบุรุษก็คือให้ผู้ที่ทำผิดฆ่าสัตว์มาสังเวยต่อ "Meng-goong" โดย "Meng-goong" จะเป็นคนระบุว่าให้ฆ่าสัตว์อะไร จำนวนเท่าไร (หน้า 9) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ตามความเชื่อของเผ่าม้ง ความเจ็บป่วยมีสาเหตุมาจากการผิดผีบรรพบุรุษ เมื่อมีคนป่วยในหมู่บ้าน "Meng-goong" จะเป็นผู้ประกอบพิธีในการรักษา โดย "Meng-goong" จะแต่งตัวด้วยชุดสีดำ สวมหน้ากากสีดำ นั่งเผชิญหน้ากับศาลผีบรรพบุรุษในห้อง พร้อมกับตีกลอง และท่องคาถา สลับกับกรีดร้อง และกระโดดตัวลอยสูงขึ้นจากพื้นในท่านั่งเป็นระยะ ๆ ขณะที่ผู้ป่วยจะถูกจับให้นอนราบกับพื้น มีการนำเอาเลือดไก่ หรือเลือดลูกหมูที่เพิ่งถูกฆ่าสดๆ มาทาที่หลังของคนป่วย และทาที่เขาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการทำพิธีของ "Meng-goong" ขณะที่ "Meng-goong" ท่องคาถาและตีกลองไปเรื่อยๆ (หน้า 9-10) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้ค่อนข้างมากกว่าประเด็นอื่นๆ ในบทความเดียวกัน โดยจะบรรยายถึงสภาพบ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย เสื้อผ้าและการแต่งกาย รวมถึงเรื่องเครื่องดนตรี และวัฒนธรรมการละเล่น การบันเทิงของเผ่าค่อนข้างละเอียด ดังนี้ บ้านเรือน : มีลักษณะเป็นกระท่อมแบบยุคบรรพกาล สร้างแบบเรียบง่ายติดกับพื้นดิน ใช้พื้นดินเป็นพื้นบ้าน ฝาผนังทำด้วยไม้กระดานหยาบ ๆ เอามาต่อกันแบบไม่สนิทดี ทำให้มีแสงส่องลอดเข้ามาได้ หลังคามุงด้วยใบไม้แห้งซ้อนทับกันหยาบ ๆ ภายในบ้านพื้นที่ 1 ใน 5 ถูกกั้นไว้เป็นห้องนอนสำหรับคู่ที่อาวุโสที่สุดของบ้าน ภายในบ้านไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากนัก นอกจากเก้าอี้นอนที่ทำด้วยไม้ไผ่ และชั้นใส่ของ (หน้า 3) เครื่องเรือน และเครื่องใช้ : ส่วนใหญ่พวกเขาจะประดิษฐ์สิ่งของใช้เอง จากวัสดุจำพวกไม้ ไม้ไผ่ และ พืชจำพวกบวบ หรือน้ำเต้า โดยเฉพาะสิ่งประดิษฐ์ที่แสดงถึงภูมิปัญญาในการจัดการน้ำ ได้แก่ท่อไม้ไผ่ส่งน้ำ ซึ่งเป็นการนำเอาน้ำจากน้ำพุบนภูเขามาใช้สำหรับหุงหาอาหาร ดื่มกิน และซักเสื้อผ้า (หน้า 4) เครื่องใช้สอยในครัวเรือนมีเพียงหินโม่แป้ง และเตาไฟ เครื่องแต่งกาย :
ผู้ชายม้ง โดยเฉพาะวัยรุ่นจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ ที่สะอาด สีสันกลมกลืน ดำ แดงสด และเงิน หลายคนสวมหมวกครอบทรงกลมสีดำแบบจีนมีจุกสีแดงตรงกลาง และสวมเสื้อคลุมสั้นสีดำ กระดุมทำด้วยเงิน มีสายคาดเอวสีแดงสดปักลวดลาย กางเกงขายาวเหมือนกางเกงของจีนทั่วไป แตกต่างตรงที่เป็นกางเกงที่เป้าต่ำยาวมาจนถึงเข่า (หน้า 4 -5)
ผู้หญิงม้ง ไม่สวมหมวก แต่จะมัดผมเป็นมวยหลายแบบ สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน ประดับด้วยแถบผ้าสีรอบคอเสื้อ ยาวลงมาข้างหน้าถึงเอว เหมือนกิโมโน สวมกระโปรงสั้นที่ทำจากผ้าหนาและหนักยาวประมาณ 21 ฟุตเย็บจับจีบรอบ ส่วนบนของขอบกระโปรงเป็นผ้าสีน้ำเงินมีลายสีขาว ส่วนล่างปักครอสติชเป็นลวดลาย คล้ายชุดชาวนายุโรปตะวันออก สวมปลอกผ้าสีน้ำเงินป้องกันขาทั้งสองข้างจากหนามในป่าเกี่ยว ไม่ปรากฎว่ามีการสวมรองเท้าทั้งผู้หญิงและผู้ชายม้ง อย่างไรก็ดีสำหรับม้งกลุ่มอื่น จะมีเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่มีสีสันแตกต่างออกไป (หน้า 5) -
ผู้ชายเย้า จะสวมชุดสีน้ำเงินเข้ม ลักษณะคล้ายกับชุดของชาวนาจีนทางตอนใต้ สวมหมวกครอบ เสื้อคลุมมีกระดุมข้าง
ส่วนผู้หญิงเย้า สวมเสื้อคลุมยาวที่มีคอเสื้อทำด้วยขนแกะสีแดงสดยาวไปถึงข้อเท้า สวมหมวกโพกศีรษะสีดำขนาดใหญ่ คาดเข็มขัดทับ และสวมกางเกงขายาวปักลวดลายละเอียดยิบ ( หน้า 13 )
เครื่องประดับ : ทั้งผู้ชายและผู้หญิงม้งสวมเครื่องประดับ 2 แบบลักษณะคล้ายกัน คือเป็นสร้อยคอเงินเส้นใหญ่และหนัก ห้อยแม่กุญแจ และกำไลคอที่ทำด้วยเงินเป็นรูปตัวยู โดยเชื่อเครื่องประดับอย่างแรกจะช่วยคล้องรักษาโชคดีไว้กับตัว ส่วนอย่างที่สองจะช่วยป้องกันโชคร้ายจากภายนอก นอกจากนั้นผู้ชายม้งบางคนอาจจะสวมสร้อยข้อมือเงินด้วย (หน้า 5)
ในส่วนของเครื่องประดับเผ่าเย้าผู้เขียนไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ เครื่องดนตรี และการแสดง : ในงานรื่นเริงม้งจะเล่นเครื่องดนตรีที่เป็นเครื่องเป่าขนาดใหญ่ปานกลาง ทำด้วยท่อไม้ไผ่มามัดเรียงกันลักษณะคล้าย "แคน" ที่วางในแนวนอน โดยหนุ่มม้งจะเป่าเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเพลงรักพร้อมกับเต้นรำไปรอบ ๆ จากช้าค่อย ๆ เร็วขึ้น ๆ ขณะที่ผู้ฟังบางคนที่เป็นหนุ่มสาวก็จะมีความชำนาญในการดัดแปลงเนื้อกลอนบทนั้นและช่วยร้องเป็นลูกคู่ นอกจากนี้ยังมีการแสดงเพื่อความรื่นเริงอีกอย่างหนึ่ง คือการร่ายรำการต่อสู้ด้วยดาบ หรือดาบไม้ ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดคือในช่วง 10 วันของเทศกาลตรุษจีน ที่ทุกคนจะกลับมายังหมู่บ้านเพื่อมาเตรียมงานฉลอง ดื่มกิน และมีงานรื่นเริงสนุกสนานด้วยกัน กับอีกเทศกาลที่สำคัญคืองานฉลองของครอบครัวที่จะมีการฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นสังเวยวิญญาณผีบรรพบุรุษ ในช่วงที่มีการเจ็บป่วยหรือมีการตาย (หน้า 8) |
|
Folklore |
ชนเผ่าเย้ามีตำนานเล่ากันสืบต่อมาถึงต้นกำเนิดของเผ่าว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากสุนัขของจักรพรรดิ์แห่งประเทศจีน โดยเรื่องในตำนานเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษของม้งด้วย กล่าวคือ นานมาแล้ว จักรพรรดิ์จีนได้ส่งบรรพบุรุษของพวกเขาคือสุนัขของพระองค์ ไปกัดเจ้าชายแม้วซึ่งปกครองดินแดนแห่งหนึ่งตาย หลังจากนั้นสุนัขก็ขอแต่งงานกับพระธิดาของจักรพรรดิ์เป็นรางวัลตอบแทน และก็ได้พาภรรยากลับมาอาศัยอยู่ในดินแดนที่เคยเป็นของเจ้าชายแม้ว และให้กำเนิดเป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์เย้าสืบมา นอกจากตำนานนี้แล้วก็ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เล่าต่อมาจากตำนานเรื่องแรกอีกด้วยว่า ครั้งหนึ่งเกิดภัยพิบัติเรื่องอาหารขาดแคลนในดินแดนเย้า ทำให้มีคนพยายามที่จะอพยพโดยลงเรือข้ามน้ำข้ามทะเลไป แต่ก็ไปไม่สำเร็จเพราะเจอพายุพัดจนเรือจมคนตาย สุดท้ายมีครอบครัว 9 ครอบครัวที่ทำสามารถทำได้สำเร็จ เนื่องจากพวกเขาได้สวดอ้อนวอนบนบานต่อปีศาจใหญ่ที่ชื่อปัน ว่าถ้าข้ามน้ำไปได้จะฆ่าหมูแก้บน อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอพยพข้ามน้ำมายังดินแดนใหม่กลับไม่มีหมูให้นำไปแก้บน จึงใช้วิธีเขียนรูปหมูบนกระดาษและแก้บนด้วยของสิ่งอื่นแทน และนี่เองที่เป็นที่มาของนามสกุล 9 นามสกุลในเผ่า และความเชื่อเรื่องการนำเอากระดูกต้นขาหมูไว้ในบ้านเพื่อบูชาปีศาจ ( หน้า 14-15 ) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งยังจำแนกออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ อีกหลายกลุ่ม อาทิเช่น ม้งขาว และม้งสีอื่น ๆ โดยเรียกชื่อกลุ่มตามสีของเครื่องแต่งกายที่สวม และสำเนียงภาษาที่แตกต่างกัน โดยมีกฎว่าม้งจะไม่แต่งงานกับคนต่างเผ่า หรือแม้แต่เผ่าม้งเหมือนกันแต่คนละกลุ่มเป็นอันขาด ในบทความนี้เราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างม้งกับเย้าไม่ชัดเจนนัก รวมถึงแม้แต่ลักษณะสิ่งแวดล้อมถิ่นที่อยู่อาศัย เนื่องจากผู้เขียนใช้วิธีบรรยายถึงสองเผ่าไปด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ โดยมีมุมมองว่าสองเผ่านี้มีความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณีที่เหมือนกันมาก จะมีก็แต่ตอนที่เล่าถึงตำนานกำเนิดเผ่าเย้าที่สะท้อนให้เห็นความเกี่ยวพันกับเผ่าม้งอยู่ สำหรับความสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่น ที่ถูกกล่าวถึงก็จะมีความสัมพันธ์กับนายอำเภอไทย ในแง่ของการรายงานการเคลื่อนย้ายพื้นที่ และการเข้าไปใช้พื้นที่ป่าของม้งซึ่งผู้เขียนเห็นว่าทางการไทยกำลังจับตามองอยู่ และความสัมพันธ์กับชาวจีน ทั้งพ่อค้าชาวจีนที่เคยเดินทางมาค้าขายกับม้งในอดีต และครูชาวจีนที่เย้าจ้างมาสอนการเขียนตัวหนังสือเป็นครั้งคราว ตลอดจนการค้าขายฝิ่นกับชุมชนข้างนอก ที่ผู้เขียนไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนแทบไม่ได้อธิบายในประเด็นนี้เท่าไร เนื่องจากในสายตาของผู้เขียนที่บรรยายถึงสองเผ่านี้ มองว่าทั้งสองชุมชนเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ยังไม่เจริญ ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก หากเมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลแวดล้อมแล้ว จะเห็นได้ว่ามีหลายปัจจัยที่อาจสนับสนุนข้อสรุปว่าสองชุมชนไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม หรือรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ได้ กล่าวคือ
1. ทำเลที่ตั้งของชุมชนที่ยากแก่การเดินทางเข้าออก และยากต่อการติดต่อกับชุมชนภายนอก นอกจากชุมชนใกล้เคียง ซึ่งก็มีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก
2. การเป็นชุมชนที่พึ่งตนเองได้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาชุมชนอื่น
3. การมีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเกี่ยวกับการแต่งงานภายในกลุ่มเดียวกันเอง
4. การย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ ไม่อยู่ติดที่ เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่เป็นไปได้ในการที่ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมภายนอกมากนัก |
|
|