|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ความเชื่อ,การปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม,อยุธยา |
Author |
นิรันดร์ ขันธวิธิ |
Title |
การศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาของชาวมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
152 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะแนวความเชื่อและการ ปฏิบัติทางศาสนาของมุสลิมในจังหวัดอยุธยา ใน 6 ประเด็น ได้แก่ ทรรศนะต่อหลักปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดา (ซูนนะฮ์) ทรรศนะและวิธีปฏิบัติต่อผู้นำ (ฎออะฮ์) วิธีขอพร (ดุอาฮ์) พิธีศพ (ญะนาซะฮ์) โอวาทก่อนการละหมาดวันศุกร์ (คุฏบะฮ์) การฉลองวันคล้ายวันประสูติของศาสดา (เมาลิด) จากกลุ่มมุสลิมที่ยึดถือต่างกันใน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจุฬาราชมนตรี กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง กลุ่มดะอ์วะฮ์ และกุล่มครูฟอวัดโคก โดยพบว่า มุสลิมทุกกลุ่มมีความศรัทธาร่วมกันในหลักคำสอนของศาสนาและแหล่งที่มาของคำสอนจากคัมภีร์ทางศาสนาคือ อัลกุรอาน และซุนนะฮ์ รวมทั้งหลักนิติศาสตร์อิสลาม ความแตกต่างที่ปรากฏอยู่เป็นข้อปฏิบัติปลีกย่อยซึ่งแต่ละกลุ่มได้รับอิทธิพลจากผู้นำทางศาสนาที่จะมีพื้นฐานความเข้าใจและความรู้ในตัวบทศาสนาเป็นสำคัญ ทั้งนี้การยึดมั่นในผู้นำศาสนาและการยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นปัจจัยสำคัญทำให้มีการตีความศาสนาโดยนำวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ามาประกอบและถ่ายทอดสืบต่อกันมา จนเกิดกลุ่มความเชื่อที่มีลักษณะเด่นจำเพาะต่างๆ และดำรงอยู่ร่วมกันเป็นพหุสังคมในจังหวัดอยุธยา |
|
Focus |
มุ่งศึกษาประเด็นทางศาสนาอิสลาม ได้แก่ ทรรศนะต่อหลักปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดา (ซุนนะฮ์) และวิธีปฏิบัติต่อผู้นำ (ฏออะฮ์) วิธีขอพร (ดุอาอ์) พิธีศพ (ญะนาซะฮ์) โอวาทก่อนการละหมาดวันศุกร์ (คุฎบะฮ์) และการฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระศาสดา (เมาลิด) จากมุสลิมในจังหวัดอยุธยาที่มีแนวทางยึดถือที่ต่างกัน 4 กลุ่ม ได้แก่ แนวจุฬาราชมนตรี สายกีแซะฮ์ สายดะอ์วะฮ์ และสายครูฟอ |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิม 4 กลุ่ม (จุฬาราชมนตรี กีแซะฮ์ภูเขาทอง ดะอ์วะฮ์ และครูฟอวัดโคก) ใน 8 อำเภอของจังหวัดอยุธยา |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มุสลิมในอยุธยาพูดภาษาไทยกลาง แต่ยังมีคำพูดภาษามลายูเหลืออยู่ในผู้สูงอายุ ที่ใช้พูดปะปนกับภาษาไทยกลางอยู่ในบางพื้นที่ (หน้า 56) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
การเผยแพร่ศาสนาอิสลามสมัยแรกๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน โดย การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การค้าขาย และการแต่งงงาน ศาสนาอิสลามเผยแผ่ผ่านชนหลายกลุ่ม มีทั้งชนเชื้อสายมลายู อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย และจีน ซึ่งเข้ามาในดินแดนไทยตั้งแต่กรุงสุโขทัย ราวพ.ศ. 1800 มีการกล่าวอ้างอิงว่า อิสลามได้เป็นที่ยึดถือในดินแดนสุโขทัย ก่อนที่คนไทย (คนไต) อพยพมาจากยูนาน มาตั้งอาณาจักรสุโขทัย ในอาณาจักรอยุธยา อิสลามได้เข้ามาเผยแผ่ทางชนชั้นต่างๆ ที่เข้ามาค้าขาย และตั้งหลักแหล่ง เช่น เดียวกับส่วนอื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้ามุสลิมจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามหัวเมืองท่าของราชอาณาจักร ดังนั้นอยุธยาก็ได้กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่มีผู้ยึดถืออิสลาม โดยมีคนหลายกลุ่มเชื้อชาติและวัฒนธรรม แนว ความเชื่อและการปฏิบัติของศาสนาจึงมีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน ในส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวชีอะห์ของเปอร์เซีย ส่วนอีก แนวหนึ่งเป็นแนวซุนนะฮ์หรือซุนนี ซึ่งกลุ่มมุสลิมเชื้อสายอาหรับได้ถ่ายทอดผ่านชาวแหลมมลายู (หน้า 2-3) รายละเอียดและที่มาของกลุ่มต่างๆ - กลุ่มจุฬาราชมนตรี เป็นกลุ่มมุสลิมที่ยึดถือปฏิบัติตามแนวการดำเนินกิจกรรมด้านศาสนาของท่านจุฬาราชมนตรี ซึ่งทาง ราชการถือเป็นตำแหน่งผู้นำฝ่ายอิสลามในประเทศไทย และเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีฯ มี เชคอะห์มัดเป็นท่านแรกที่ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี จนปัจจุบันคือ ท่านสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ดำรงเป็นจุฬาฯคนที่ 19 (หน้า 70) กลุ่มนี้ยึดถืออะฮ์ลุซซุนนะฮ์ แนวซาฟีอี (หน้า 5) -- กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง "กี" เป็นคำที่มุสลิมท้องถิ่นอยุธยาใช้เป็นสรรพนามเรียกผู้สูงอายุชาย (ปู่หรือตา) ส่วนคำว่า แซะฮ์ เพี้ยนมาจากภาษาอาหรับ "ชัยค์" แปลว่า ผู้รู้ ผู้สูงอายุ ส่วนภูเขาทอง คือ ตำบลในอำเภอพระนครศรีอยุธยา กะแซะฮ์เป็นชื่อ ที่ใช้เรียกสั้นๆ แทนชื่อจริงของ ชัยค์ มุฮัมหมัด อาลี ซุกรีย์ (ช่วงปี พ.ศ.2422-2445) ด้วยความรู้และคุณธรรม ทำให้มีลูกศิษย์และผู้ให้ความเคารพนับถือทั้งในฐานะเป็นครู ผู้นำแนวคิดและแนวปฏิบัติ (หน้า 71) กลุ่มนี้ยึดถือเฏาะรีเกาะฮ์ แนวกอดิรียะฮ์ (หน้า 5) -- กลุ่มดะอ์วะฮ์ เป็นภาษาอาหรับแปลว่า การเรียกร้อง เชิญชวน ซึ่งงานดะอ์วะฮ์หรือการเผยแผ่ศาสนา มีเข้ามาตั้งแต่ พ.ศ.2500 โดยชาวปากีสถานเป็นกลุ่มแรกที่ริเริ่มงานนี้ ในระยะแรกที่เข้ามาเผยแพร่ไม่เป็นที่สนใจของสังคมมุสลิม อีกทั้งไม่ปรากฏข้อมูลแน่นอนที่ระบุถึงชื่อบุคคลแรกที่เริ่มงานนี้ในประเทศไทย (หน้า 71) กลุ่มนี้ยึดถือตามแนวของซาฟีอี เช่นเดียวกับกลุ่มจุฬาราชมนตรี แต่แตกต่างกันในรายละเอียด (หน้า 5) -- กลุ่มครูฟอวัดโคก ครูฟอ คือ นามที่ลูกศิษย์ใช้เรียกผู้นำกลุ่ม นามเต็มคือ มุสตอฟา บูและ ส่วนวัดโคกมาจากชื่อของวัดโคกจินดาราม ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใกล้มัสยิด คนจึงนิยมเรียกควบกัน ครูฟอเป็นผู้นำ ในช่วงปี 2450-2515 ซึ่งถือเป็นผู้ที่รับความเคารพจากลูกศิษย์ในอยุธยาและต่างจังหวัดเป็นอย่างมาก หลังจากท่านสิ้นชีวิตก็มีบุตรชายที่ทำหน้าที่เป็นอีหม่ามต่อจนถึงปัจจุบัน (หน้า 72) กลุ่มนี้ยึดถือตามแนวกอดิรียะฮ์ คล้ายๆกับกลุ่มกีแซะฮ์ (หน้า 5) ในปี 2540 มีชุมชนมุสลิม 56 ชุมชน (56 มัสยิด) มี 32 ชุมชนที่ปฏิบัติตามแนวสายกลางตามจุฬาราชมนตรี อีก 24 ชุมชนไม่อาจจะแยกแยะให้เห็นแนวทางได้ชัดเจนเพราะผสม ปนเปกันไป |
|
Settlement Pattern |
สังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของมุสลิมในอยุธยาโดยรวมยังเป็นสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ มีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ลักษณะครอบครัวเป็นแบบขยาย และครอบครัวเดี่ยวในเมือง นอกจากนี้การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและศาสนสถานมักนิยมอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากสะดวกในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและศาสนกิจ ปรากฏว่ามีการรวมตัวเป็นชุมชนต่างๆ ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก ริมคลองต่างๆ โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชน (หน้า 56) มัสยิดส่วนใหญ่จะอยู่ในอ.พระนครศรีอยุธยา (20มัสยิด) รองลงมาคือ อ.ลาดบัวหลวง (18 มัสยิด) นอกนั้นกระจายกันอยู่ในอำเภอต่างๆมีจำนวนตั้งแต่ 1-7 มัสยิด (หน้า 61) |
|
Demography |
ประชากรในจ.อยุธยาประมาณร้อยละ 88 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 10 นับถืออิสลาม และศาสนาอื่นๆอีกร้อยละ 2 จากสถิติข้อมูลฝ่ายปกครองของจังหวัด ปี 2541 ราษฎรรวมทั้งหมดมีจำนวน 721,496 คน ดังนั้นจึงประมาณการว่า มีจำนวนประชากรมุสลิมในจ.อยุธยาราวๆ 72,149 คน นอกจากนี้ยังมีจำนวนสัปปุรุษ 37,706 คน ที่ขึ้นทะเบียนจำนวน ตามมัสยิดต่างๆ ใน 8 อำเภอ รวม 56 มัสยิด (หน้า 56, 61) |
|
Social Organization |
การยึดถือปฏิบัติในทางศาสนาของมุสลิมในอยุธยาถือว่ามีความแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่มตามทรรศนะที่ยึดถือ ในการทำกิจกรรมปลีกย่อยทางศาสนาที่ทำร่วมกันนั้น อาจมีการแบ่งแยกเป็นเพราะไม่ได้ผ่านการยอมรับจากทุกฝ่าย แม้ว่าจะมาจาก ตัวบทหรือหลักคำสอนที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ อัลกุรอาน แต่ขึ้นอยู่กับการนำมาใช้โดยผู้นำศาสนาประจำท้องถิ่นที่มีพื้นฐานความรู้และทรรศนะที่ต่างกัน เนื่องจากการนำหลักการอิสลามมาใช้เป็นบทบาทโดยตรงของผู้นำ ตลอดจนผู้รู้ที่คนยอมรับ เชื่อฟัง และยอมตาม อย่างไรก็ตามแต่ละฝ่ายมั่นใจในทรรศนะและวิถีทางการปฏิบัติของตนว่าถูกต้อง จึงดำเนินแนวปฏิบัติไปตามนั้น เป็นความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ์และเราะซู ความถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ผู้นำต้องเป็นหลักสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิตของประชาชน การปฏิบัติตามผู้นำของมุสลิมในอยุธยาบางส่วนเป็นพฤติกรรมแบบเบ็ดเสร็จ คือตามทุกอย่างโดยไม่คิดจะตรวจสอบและหาข้อโต้แย้ง จนดูเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง แต่แท้จริงการตามผู้นำก็มีขอบเขตจำกัด ตามที่สอดคล้องเจตนารมณ์อิสลามเท่านั้น ดังนั้นจึงนำไปสู่การเกิดพิธีกรรมปลีกย่อยที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะผู้นำอยู่ในสถานะที่ผู้ตามมิกล้าโต้แย้งหรือตรวจสอบความถูกผิดใดๆ เนื่องจากถูกสั่งสอนอบรมปลูกฝังต่อๆ กันมาว่ามิให้ละเมิดผู้นำ แต่ยังมีบางกลุ่มที่กล้าทักท้วงเมื่อเกิดความสงสัยในหลักการศาสนา แต่พฤติกรรมโต้แย้งมีเหตุผลเพียงต้องการทราบหลักฐานรองรับทางศาสนาเพื่อสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติศาสนกิจ เป็นสำคัญ (หน้า74-76) นับได้ว่า มุสลิมในอยุธยาในปัจจุบันมีการพัฒนาถึงระดับที่มีการยอมรับการอยู่ร่วมกันในสังคม ระหว่างผู้ที่มีทัศนะและการปฏิบัติทางศาสนาที่ต่างกัน โดยต่างฝ่ายต่างทำตามแนวทางศาสนาของผู้นำของตน แต่ยังคงร่วมกันในกิจกรรมทางสังคมและศาสนาที่สอดคล้องกัน เช่น การร่วมพิธีศพ การร่วมฉลองวันคล้ายวันประสูติศาสดามุฮัมมัด (หน้า 58) |
|
Political Organization |
การจัดการศึกษาและอบรมด้านศาสนาของชุทมชนมุสลิมในอยุธยาโดยส่วนใหญ่มีมัสยิดต่างๆ ดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทรรศนะและการปฏิบัติที่สืบต่อกันมา ภายใต้การนำของอีหม่าม (ผู้นำศาสนา) ร่วมกับคณะกรรมการมัสยิด สังคมมุสลิมอยุธยาขณะนี้จะต้องอยู่ในการควบคุมดูและของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดอยุธยา ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนตำแหน่งของผู้บริหารมัสยิดตามระเบียบราชการได้ ดังนั้นคณะกรรมการนี้จึงสามารถระงับปัญหาความขัดแย้งทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความแตกต่างในเรื่องความเชื่อได้ในระดับหนึ่ง ในบางครั้งหากไม่สามารถหาข้อยุติได้ในประเด็นที่ถกเถียง มักเชิญผู้รู้หรือนักวิชาการมาให้ความรู้ทั้งในรูปการอบรม การจัดการศึกษา หรืออภิปราย ตอบข้อสงสัย (หน้า 57) แต่ละกลุ่มมีทรรศนะและวิธีการปฏิบัติต่อผู้นำที่แตกต่างกันและเหมือนกัน เช่น -- กลุ่มจุฬาราชมนตรี ถือว่าคำสั่งประกาศใดๆ ผู้นำศาสนาเป็นผู้รับผิดชอบกันไปไปตามระดับ ส่วนผู้ตามนั้นมีหน้าที่ปฏิบัติตาม -- กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง ให้คุณค่าแก่ร่องรอยของผู้นำ (กีแซะฮ์) ทั้งด้านแบบอย่างการปฏิบัติ คำสอน สุสาน คานหาม ของใช้ โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและมีความหมาย เป็นร่องรอยของผู้ที่ใกล้ชิดอัลลอฮ์ และสามารถเป็นสื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างดี จึงมีการจัดงานรำลึกประจำปี หรือที่เรียกว่า "งานโฮล" ซึ่งเป็นการชุมนุมของบรรดาศิษย์ของกีแซะฮ์ เพื่อร่วมขอพร รายงานตัวต่อกีแซะฮ์ แสดงความฎออะฮ์ ร่วมทำบุญ และรับบะเราะกะฮ์ (ศิริมงคล) -- กลุ่มดะอ์วะฮ์ ถือว่าคำสั่งของผู้นำนั้นต้องปฏิบัติอย่างรับผิดชอบทันที -- กลุ่มครูฟอวัดโคก จะสังกัดกลุ่มต้องยอมให้สัตยาบันแก่ผู้นำตัวต่อตัว เมื่อยอมแล้วต้องเชื่อฟังครูอย่างไม่โต้แย้ง ครูคือสื่อ กลับไปหาอัลลอฮ์ที่รอบรู้และคำสั่งของครูนั้นคือ ความถูกต้องแม้จะไม่อธิบายเหตุผลประกอบก็ตาม (หน้า122-123) |
|
Belief System |
โครงสร้างคำสอนอิสลามประกอบด้วย 1.หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) ถือเป็นอันดับแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ยอมจำนนทุกคนต้องรู้จักพระเจ้าหรืออัลลอฮ์ การศรัทธาในอัลลอฮ์เป็นรากฐานหรอหัวใจของการศรัทธาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดไว้ 6 ประการได้แก่ ศรัทธาในอัลลอฮ์ผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ ศรัทธาในบรรศาสนทูต ศรัทธาในวันอวสาน (อาคิเราะฮ์) และศรัทธาต่อการกำหนดสภาวะ (ก็อดร์) 2.หลักปฏิบัติ (อัรกานุลอิสลาม) มี 5 ประการ ได้แก่ การกล่าวคำปฏิญญาณแสดงความศรัทธาของตน, การละหมาดเป็นการสมนัสการต่ออัลลอฮ์ประจำทุกวัน 5 เวลา, การถือศีลอด (อัศเศาม์) คือ การงดเว้นบริโภค การสังวาสและรักษาตนให้พ้นจาการทำชั่วตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนพระอาทิตย์ตก, การบริจาคทาน (ซะกาต) ถือเป็นการขัดเกลาจิใตใจบุคคล กระจายรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม, และการบำเพ็ญฮัจน์ คือ การมุ่งไปสู่บัยตุลลอฮ์หรือกะอ์นะฮ์ เพื่อประกอบศาสนกิจ ตามระยะเวลา และรูปแบบที่กำหนดไว้ 3.หลักคุณธรรม(อัลซิห์ซาน) เป็นหลักปฏิบัติด้านความประพฤติที่สอดคล้องตามแนวทางของอัลลอฮ์และศาสนฑูต คือ การที่มุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องนำไปเป็นแบบฉบับด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าจะเป็นศาสนกิจหรือการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ต้องอาศัยความมุ่งมั่นด้วยเจตนา เพื่อคุณค่าของการเคารพสักการะต่อพระเป็นเจ้าเกี่ยวข้องกับการตั้งเจตนาโดยตรง แล้วพระองค์ จะตอบแทนความดีให้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งแหล่งความรู้คำสอนอยู่ในข้อบัญญัติ 4 ประการ ได้แก่ อัล กุรอาน อัซซุนนะฮ์ อัลอิจญ์มาอ์ และ อัล กิยาส (หน้า 14-38) โดยทั่วไปมุสลิมทั้ง 4 กลุ่มต่างยึดถือตามหลักฐานจากตัวบทอัลกุรอานและอัลหะดีษรวมทั้งหลักนิติศาสตร์อิสลามที่เป็นบันทึกข้อวินิจฉัยของนักวิชาการยุคแรก เป็นบรรทัดฐาน แต่มีความแตกต่างกันในวิธีการปลีกย่อย เช่น กลุ่มจุฬาราชมนตรี ถือเอาตามความเข้าใจบทบันทึกข้อวินิจฉัยของนักวิชาการยุคแรกเป็นสำคัญ เพราะถือว่ามีหลักฐานเที่ยงตรงมากกว่าช่วงอื่น กลุ่มกีแซะฮ์ ถือแบบปฏิบัติและวิธีการของกีแซะฮ์ที่เป็นแบบอย่างการตามศาสดาที่ถูกต้องที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ที่ใกล้ชิดอัลลอฮ์เพราะถือเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงรักด้วยเหตุของความภักดีและปฏิบัติ กลุ่มดะอ์วะฮ์ เน้นปฏิบัติแบบอนุรักษ์ฉบับดั้งเดิมของศาสดา เพราะถือเป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์อย่างแท้จริงและการออกเชิญชวนสู่งานเผยแผ่อิสลามแม้จะมีความรู้เพียงน้อย ก็เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุสลิมทุกคนโดยยึดระยะเวลาการสัมผัสประสบการณ์การเชิญชวนผู้คนเข้าสู่การปฏิบัติและคุณธรรมความดี (ญะมาอะฮ์) กลุ่มครูฟอวัดโคก ถือคำสั่งของครูเป็นความถูกต้องเบ็ดเสร็จ ที่ผ่านการกลั่นกรองความ ถูกต้องตามบัญญัติแล้วและการยึดถือต้องอาศัยครูเป็นสื่อกลางระหว่างคนกับอัลลอฮ์เสมอ มิเช่นนั้นทางกลุ่มอาจถือว่าหลงทางได้ (หน้า 120-121) สำหรับวิธีขอพรแล้วมุสลิมทั้ง 4 กลุ่มต่างก็มีเป้าหมายและหวังการตอบรับจากอัลลอฮ์โดยคำขอ (ดุอาอ์) มักมาจากโองการสำคัญของอัลกุรอานหรือที่มีระบุไว้ในซุนนะฮ์หรือที่นักวิชาการรวบรวมเป็นตำรา รวมทั้งมีความเหมือนกันในลักษณะและวิธีการขอพร คือ ยกมือหงาย อ่านคำขอพรเป็นวรรคๆด้วยน้ำเสียงเรียบหรือเป็นทำนองโดยท่องจำหรือเปิดตำราอ่านขณะขอ มีการขอเป็นหมู่คณะโดยมีอีหม่ามหรือผู้มีความรู้ด้านศาสนาอ่านนำ การขอส่วนบุคคลและขอเป็นหมู่คณะ เมื่อการขอเสร็จสิ้นผู้ขอจะลูบหน้าค้างไว้ครู่หนึ่งเพื่อตั้งใจขอต่ออัลลอฮ์ให้ตรงต่อเจตนาที่ตั้งไว้ จากนั้นจะกล่าวเศาะละวาด แม้ความหมายของดุอาอ์อาจไม่ตรงกับเรื่องที่ขอแต่ก็เชื่อว่า ดุอาอ์ที่คัดมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้นมีบะเราะกะฮ์อีกทั้งการตั้งเจตนาเป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด แต่มุสลิมทั้ง 4 กลุ่มยังมีข้อแตกต่างในวิธีขอพร เช่น กลุ่มจุฬาราชมนตรี มีการขอดุอาอ์เป็นภาษาไทยซึ่งเป็นมุสลิมใหม่ที่อ่านภาษาอาหรับไม่ออก กลุ่มกะแซะฮ์ อาศัยการขอผ่านทางสื่อคือ ชัยค์มุฮัมมัดอาลีชุกรีย์ ถือว่าใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ ทั้งนี้ผู้ที่จะอาศัยท่านต้องรำลึกถึงเพื่อขอให้ช่วยเหลือถึงจะเกิดผล ยังพบว่ามีการขอที่ผูกพันกับสถานที่เช่น สุสาน มุกั่มกีแซะฮ์ กลุ่มดะอ์วะฮ์ มีความพิถีพิถันกับรูปแบบการขอตามแนวซุนนะฮ์โดยเน้นความประเสริฐ (ฟะฎีละฮ์) ของเวลา สถานที่ และสภาพอันหมดจดของผู้ขอเป็นสำคัญ ขณะออกญะมาอะฮ์คือ การไปพำนักต่างถิ่นเพื่อปฏิบัติดะอ์วะฮ์ จุดประสงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีในเรื่องต่างๆ กลุ่มครูฟอวัดโคก เป็นอีกกลุ่มที่ใช้การตะวัซซุล คือ ใช้สื่อในการขอพรแต่เป็นบรรดาอุละมาอ์ผู้ทรงคุณธรรม นอกจากนี้ ผู้นำปัจจุบันยังได้รับความเชื่อมั่นจากศิษย์ทั้งหลายว่าเป็นผู้มีบาเราะกะฮ์อีกด้วย พิธีศพ โดยมีความเหมือนตรงขั้นตอนต่างๆ เช่น เยี่ยมศพที่บ้าน อาบน้ำศพ ละหมาด และเมื่อฝังเสร็จ แจกเงินให้แก่ผู้ละหมาด ผู้ร่วมดุอาอ์ แจกซองเงินให้เป็นกรณีพิเศษสำหับผู้ทรงคุณธรรมบางคนเพื่อให้ช่วละหมาดขอดุอาอ์แก่ผู้ตายและทำบุญให้เมื่อครบ 7-40-100 วัน หรือ 1 ปี ส่วนรายละเอียดพิธีศพของมุสลิมทั้ง 4 กลุ่มที่ต่างกัน เช่น กลุ่มจุฬาราชมนตรี การยึดประเพณีเยี่ยมศพและบริจาคเงินให้ แก่ทายาทผู้ตายเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา หลังละหมาดมีการขอพรและแจกเงินโดยเชิญผู้มาร่วมละหมาดจากต่างถิ่น พบว่ามีการเยี่ยมเยียนกุโบร์อย่างน้อยทุกเช้าวันศุกร์ กลุ่มกีแซะฮ์ มีการจัดละหมาดให้แก่ศพที่บ้านก่อนไปมัสยิดเพื่ออำลา มีการอะซานในกุโบร์ก่อนฝังเมื่อฝังแล้วจะเฝ้ากุโบร์ 40 วัน มีการจัดห้องและเสื้อผ้า เครื่องใช้ไว้ต้อนรับแก่วิญญาณผู้ตาย กลุ่มดะอ์วะฮ์ คอยให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานแก่ทายาทและทุกกลุ่มที่เชิญไปร่วมพิธีนี้ กลุ่มครูฟอวัดโคก มีการเฝ้ากุโบร์และขั้นตอนเหมือนกลุ่มกีแซะฮ์และกลุ่มจุฬาราชมนตรี แต่กลุ่มนี้มีการเขียนดุอาอ์ใส่ขวดเล็กๆ ห่อรวมไปกับศพด้วย โดยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในสุสานได้ โอวาทก่อนการละหมาด มีประเด็นที่แตกต่างกันระหว่างมุสลิมทั้ง 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มจุฬาราชมนตรี นิยมใช้บทคุฏบะฮ์ที่จัดทำโดยนักวิชาการในสังกัดกลุ่มนำมาบนมิมบัรซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีแจกจ่ายเผยแพร่ กลุ่มกีแซะฮ์ ห้ามแปลคุฏบะฮ์เป็นภาษาอื่นเพราะเป็นส่วนหนึ่งของละหมาด เสมือนสองร็อกอะฮ์ ดังนั้นอิริยาบถในขณะฟังจึงต้องอยู่ในอาการเดียวกับนั่งในละมหาด กลุ่มดะอ์วะฮ์ แสดงคุฏบะฮ์โดยใช้วิธีแบบอบรมปากเปล่าโดยหลีกเลี่ยงการอาศัยเอกสาร เพราะถือว่าเป็นลักษณะการแสดงคุฏบะฮ์ตามแบบของท่านนบี และเป็นวิธีการปลุกเร้าความรู้สึกได้ดีกว่าการถือเอกสารอ่าน เมาลิด ถือว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดี ทั้งนี้เพื่อรำลึกบุญคุณของศาสดาและเป็นโอกาสแสดงความสดุดีต่อท่าน กำหนดจัดพิธีอยู่ระหว่างสันที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล คือเดือนที่3ทางจันทรคติปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติพระศาสดา พิธีนี้นิยมจัดจนถึงเดือน 8 โดยมุสลิมทั้ง 4 กลุ่ม ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดดังนี้ กลุ่มจุฬาราชมนตรี จัดงานฉลองมัสยิดต่างๆมาร่มอ่านเศาะละวาด นิยมจัดตั้งแต่เดือนที่ 3-7 ของปฏิทินอาหรับ ถือว่างานนี้เป็นประเพณีการแสดงความรำลึกแบบอย่างอันงดงามของศาสดา กลุ่มกีแซะฮ์ ประยุกต์การกล่าวสดุดีแด่ท่านศาสดาเป็นทำนองต่างๆ ทั้งวิธีขับลำนำและวิธีบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี กลุ่มดะอ์วะฮ์ ไม่ปฏิเสธหรือต่อต้านการขับเมาลิดแต่ยินดีเข้าร่วมกิจกรรมนี้กับกลุ่มอื่นที่จัดโดยพิจารณาเฉพาะรายที่ทางกลุ่มเห็นควร (หน้า 123-128) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มุสลิมกลุ่มดะอ์วะฮ์ มีลักษณะการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คือโพกศรีษะด้วยผ้าพันปล่อยหางผ้ายาวกว่าที่มุสลิมอื่นโพกกันเล็กน้อยมองเห็นได้ชัดเจน สวมเสื้อแขนยาวปล่อยชายคลุมเลยสะโพกลงไปเกือบถึงเข่า นุ่งโสร่งหรือกางเกงขาพองซึ่งมองโดยรวมคล้ายชาวปากีสถาน บางคนถือลูกประคำ หรือที่มุสลิมท้องถิ่นเรียกว่าลูกตัสปีห์ บางคนพกพารากไม้ตัดเป็นท่อนขนาดนิ้วมือไว้สำหรับถูฟัน บางคนสวมโต๊บ (เสื้อชุดยาว) ทาขอบตาสีดำ ไว้เครา ใช้น้ำมันหอม ซึ่งการแต่งกายลักษณะนี้ถือเป็นการให้ความสำคัญต่อรายละเอียดของจริยวัตรศาสดา (หน้า 83) |
|
Folklore |
งานโฮลของกีแซะฮ์ภูเขาทอง (งานฉลองประจำปีเพื่อรำลึกกีแซะฮ์) ในพิธีเปิด ประธานจะกล่าวคำปฏิญญาณต่อกีแซะฮ์ จากนั้นมีการขอดุอาออ์และสดุดีต่อศาสดานบีมุฮัมหมัด บางครั้งใช้เครื่องดนตรีบรรเลงโดยอาศัยทำนองของการเศาะละวาตแทนการกล่าวด้วยปาก ซึ่งในงานยังมีศิลปป้องกันตัวและกีฬา เช่น การแสดง การตีกระบี่กระบอง และตระกร้อลอดห่วง ในตอนกลางคืนจะมีมหรสพ เช่น ลิเก ภาพยนตร์ ซึ่งมีการจัดมาตั้งแต่ในสมัยกีแซะฮ์เอง มีการเปิดบทเพลงสำหรับปลุกศรัทธาให้บันดาลูกศิษย์เกิดความรักและฎออะฮ์ต่อกีแซะฮ์ ชื่อเพลงว่า "มหาสัจธรรมดำรัส" (บทเพลงในภาคผนวก (ข) หน้า 149) ที่ให้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับคุณูปการ และความล้ำเลิศของกีแซะฮ์ และยังสอดแทรกปรัชญา ที่ล้ำลึกจากคำพูดที่สำคัญของกีแซะฮ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีรายการภาควิชาการ เป็นการตอบปัญหาข้อสงสัย ต่อจากนั้นเป็นการเวียนเทียน และเดินวนรอยสุสานของกีแซะฮ์ ในคืนสุดท้ายของงานจะเป็นพิธีแห่คานลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อนำคานหามเวียนรอบมุกัมของท่านหยาซึ่งเป็นครูของกีแซะฮ์ อันเป็นการรักษาความผูกพันระหว่างท่านหยากับกีแซะฮ์ (หน้า 89-90) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มุสลิมกลุ่มต่างๆ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา (จุฬาราชมนตรี กีแซะฮ์ภูขาทอง ดะอ์วะฮ์ และครูฟอวัดโคก) มีลักษณะเฉพาะบางประการที่แตกต่างจากมุสลิมกลุ่มอื่นๆ เช่น การเวียนเทียนรอบที่ฝังศพผู้นำศาสนา การจัดงานประเพณีที่เรียกว่า "โฮ้ล" หรือ เฮาลุน" ในภาษาอาหรับแปลว่า ครบรอบ การส่งวิญญาณผู้ล่วงลับในวันที่ 40 ของการตาย พิธีเฝ้าสุสาน 40 วันติดต่อกัน ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาในเบื้องต้นตามลักษณะดังกล่าว คือ ปรากฎการณ์ในสังคมมุสลิมอยุธยาปัจจุบันที่ได้มการยอมรับจากคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม โดยอาศัยการตีความของผู้นำกลุ่มหรือครู พร้อมกับการปลูกฝังความภักดีต่อผู้นำศาสนา (หน้า 3-4) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กล่าวถึง ชุมชนมุสลิมต่างๆ ในอยุธยา มีความกระตือรือร้นในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจพอสมควร มีความปรารถนาที่จะบรรลุสู่เป้าหมายตามคำสอนเช่นเดียวกับมุสลิมอื่นๆ แต่ด้วยภูมิหลังในอดีตของอยุธยาที่มีอารายธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของชนหลายเชื้อชาติที่เข้ามาใช้ชีวิต อยู่ร่วมกัน การผสมผสานทางวัฒนธรรมอิสลามกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการเกิดเป็นกลุ่มทางศาสนาที่ยึดถือต่างกัน (หน้า 76) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงที่ตั้งมัสยิดในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดอยุธยา (หน้า 62-69) |
|
|