สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,ความเชื่อ,การปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม,อยุธยา
Author นิรันดร์ ขันธวิธิ
Title การศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาของชาวมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 152 Year 2542
Source หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะแนวความเชื่อและการ ปฏิบัติทางศาสนาของมุสลิมในจังหวัดอยุธยา ใน 6 ประเด็น ได้แก่ ทรรศนะต่อหลักปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดา (ซูนนะฮ์) ทรรศนะและวิธีปฏิบัติต่อผู้นำ (ฎออะฮ์) วิธีขอพร (ดุอาฮ์) พิธีศพ (ญะนาซะฮ์) โอวาทก่อนการละหมาดวันศุกร์ (คุฏบะฮ์) การฉลองวันคล้ายวันประสูติของศาสดา (เมาลิด) จากกลุ่มมุสลิมที่ยึดถือต่างกันใน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจุฬาราชมนตรี กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง กลุ่มดะอ์วะฮ์ และกุล่มครูฟอวัดโคก โดยพบว่า มุสลิมทุกกลุ่มมีความศรัทธาร่วมกันในหลักคำสอนของศาสนาและแหล่งที่มาของคำสอนจากคัมภีร์ทางศาสนาคือ อัลกุรอาน และซุนนะฮ์ รวมทั้งหลักนิติศาสตร์อิสลาม ความแตกต่างที่ปรากฏอยู่เป็นข้อปฏิบัติปลีกย่อยซึ่งแต่ละกลุ่มได้รับอิทธิพลจากผู้นำทางศาสนาที่จะมีพื้นฐานความเข้าใจและความรู้ในตัวบทศาสนาเป็นสำคัญ ทั้งนี้การยึดมั่นในผู้นำศาสนาและการยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นปัจจัยสำคัญทำให้มีการตีความศาสนาโดยนำวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ามาประกอบและถ่ายทอดสืบต่อกันมา จนเกิดกลุ่มความเชื่อที่มีลักษณะเด่นจำเพาะต่างๆ และดำรงอยู่ร่วมกันเป็นพหุสังคมในจังหวัดอยุธยา

Focus

มุ่งศึกษาประเด็นทางศาสนาอิสลาม ได้แก่ ทรรศนะต่อหลักปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดา (ซุนนะฮ์) และวิธีปฏิบัติต่อผู้นำ (ฏออะฮ์) วิธีขอพร (ดุอาอ์) พิธีศพ (ญะนาซะฮ์) โอวาทก่อนการละหมาดวันศุกร์ (คุฎบะฮ์) และการฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระศาสดา (เมาลิด) จากมุสลิมในจังหวัดอยุธยาที่มีแนวทางยึดถือที่ต่างกัน 4 กลุ่ม ได้แก่ แนวจุฬาราชมนตรี สายกีแซะฮ์ สายดะอ์วะฮ์ และสายครูฟอ

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิม 4 กลุ่ม (จุฬาราชมนตรี กีแซะฮ์ภูเขาทอง ดะอ์วะฮ์ และครูฟอวัดโคก) ใน 8 อำเภอของจังหวัดอยุธยา

Language and Linguistic Affiliations

มุสลิมในอยุธยาพูดภาษาไทยกลาง แต่ยังมีคำพูดภาษามลายูเหลืออยู่ในผู้สูงอายุ ที่ใช้พูดปะปนกับภาษาไทยกลางอยู่ในบางพื้นที่ (หน้า 56)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

การเผยแพร่ศาสนาอิสลามสมัยแรกๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน โดย การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การค้าขาย และการแต่งงงาน ศาสนาอิสลามเผยแผ่ผ่านชนหลายกลุ่ม มีทั้งชนเชื้อสายมลายู อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย และจีน ซึ่งเข้ามาในดินแดนไทยตั้งแต่กรุงสุโขทัย ราวพ.ศ. 1800 มีการกล่าวอ้างอิงว่า อิสลามได้เป็นที่ยึดถือในดินแดนสุโขทัย ก่อนที่คนไทย (คนไต) อพยพมาจากยูนาน มาตั้งอาณาจักรสุโขทัย ในอาณาจักรอยุธยา อิสลามได้เข้ามาเผยแผ่ทางชนชั้นต่างๆ ที่เข้ามาค้าขาย และตั้งหลักแหล่ง เช่น เดียวกับส่วนอื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้ามุสลิมจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามหัวเมืองท่าของราชอาณาจักร ดังนั้นอยุธยาก็ได้กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่มีผู้ยึดถืออิสลาม โดยมีคนหลายกลุ่มเชื้อชาติและวัฒนธรรม แนว ความเชื่อและการปฏิบัติของศาสนาจึงมีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน ในส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวชีอะห์ของเปอร์เซีย ส่วนอีก แนวหนึ่งเป็นแนวซุนนะฮ์หรือซุนนี ซึ่งกลุ่มมุสลิมเชื้อสายอาหรับได้ถ่ายทอดผ่านชาวแหลมมลายู (หน้า 2-3) รายละเอียดและที่มาของกลุ่มต่างๆ - กลุ่มจุฬาราชมนตรี เป็นกลุ่มมุสลิมที่ยึดถือปฏิบัติตามแนวการดำเนินกิจกรรมด้านศาสนาของท่านจุฬาราชมนตรี ซึ่งทาง ราชการถือเป็นตำแหน่งผู้นำฝ่ายอิสลามในประเทศไทย และเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีฯ มี เชคอะห์มัดเป็นท่านแรกที่ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี จนปัจจุบันคือ ท่านสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ดำรงเป็นจุฬาฯคนที่ 19 (หน้า 70) กลุ่มนี้ยึดถืออะฮ์ลุซซุนนะฮ์ แนวซาฟีอี (หน้า 5) -- กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง "กี" เป็นคำที่มุสลิมท้องถิ่นอยุธยาใช้เป็นสรรพนามเรียกผู้สูงอายุชาย (ปู่หรือตา) ส่วนคำว่า แซะฮ์ เพี้ยนมาจากภาษาอาหรับ "ชัยค์" แปลว่า ผู้รู้ ผู้สูงอายุ ส่วนภูเขาทอง คือ ตำบลในอำเภอพระนครศรีอยุธยา กะแซะฮ์เป็นชื่อ ที่ใช้เรียกสั้นๆ แทนชื่อจริงของ ชัยค์ มุฮัมหมัด อาลี ซุกรีย์ (ช่วงปี พ.ศ.2422-2445) ด้วยความรู้และคุณธรรม ทำให้มีลูกศิษย์และผู้ให้ความเคารพนับถือทั้งในฐานะเป็นครู ผู้นำแนวคิดและแนวปฏิบัติ (หน้า 71) กลุ่มนี้ยึดถือเฏาะรีเกาะฮ์ แนวกอดิรียะฮ์ (หน้า 5) -- กลุ่มดะอ์วะฮ์ เป็นภาษาอาหรับแปลว่า การเรียกร้อง เชิญชวน ซึ่งงานดะอ์วะฮ์หรือการเผยแผ่ศาสนา มีเข้ามาตั้งแต่ พ.ศ.2500 โดยชาวปากีสถานเป็นกลุ่มแรกที่ริเริ่มงานนี้ ในระยะแรกที่เข้ามาเผยแพร่ไม่เป็นที่สนใจของสังคมมุสลิม อีกทั้งไม่ปรากฏข้อมูลแน่นอนที่ระบุถึงชื่อบุคคลแรกที่เริ่มงานนี้ในประเทศไทย (หน้า 71) กลุ่มนี้ยึดถือตามแนวของซาฟีอี เช่นเดียวกับกลุ่มจุฬาราชมนตรี แต่แตกต่างกันในรายละเอียด (หน้า 5) -- กลุ่มครูฟอวัดโคก ครูฟอ คือ นามที่ลูกศิษย์ใช้เรียกผู้นำกลุ่ม นามเต็มคือ มุสตอฟา บูและ ส่วนวัดโคกมาจากชื่อของวัดโคกจินดาราม ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใกล้มัสยิด คนจึงนิยมเรียกควบกัน ครูฟอเป็นผู้นำ ในช่วงปี 2450-2515 ซึ่งถือเป็นผู้ที่รับความเคารพจากลูกศิษย์ในอยุธยาและต่างจังหวัดเป็นอย่างมาก หลังจากท่านสิ้นชีวิตก็มีบุตรชายที่ทำหน้าที่เป็นอีหม่ามต่อจนถึงปัจจุบัน (หน้า 72) กลุ่มนี้ยึดถือตามแนวกอดิรียะฮ์ คล้ายๆกับกลุ่มกีแซะฮ์ (หน้า 5) ในปี 2540 มีชุมชนมุสลิม 56 ชุมชน (56 มัสยิด) มี 32 ชุมชนที่ปฏิบัติตามแนวสายกลางตามจุฬาราชมนตรี อีก 24 ชุมชนไม่อาจจะแยกแยะให้เห็นแนวทางได้ชัดเจนเพราะผสม ปนเปกันไป

Settlement Pattern

สังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของมุสลิมในอยุธยาโดยรวมยังเป็นสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ มีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ลักษณะครอบครัวเป็นแบบขยาย และครอบครัวเดี่ยวในเมือง นอกจากนี้การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและศาสนสถานมักนิยมอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากสะดวกในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและศาสนกิจ ปรากฏว่ามีการรวมตัวเป็นชุมชนต่างๆ ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก ริมคลองต่างๆ โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชน (หน้า 56) มัสยิดส่วนใหญ่จะอยู่ในอ.พระนครศรีอยุธยา (20มัสยิด) รองลงมาคือ อ.ลาดบัวหลวง (18 มัสยิด) นอกนั้นกระจายกันอยู่ในอำเภอต่างๆมีจำนวนตั้งแต่ 1-7 มัสยิด (หน้า 61)

Demography

ประชากรในจ.อยุธยาประมาณร้อยละ 88 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 10 นับถืออิสลาม และศาสนาอื่นๆอีกร้อยละ 2 จากสถิติข้อมูลฝ่ายปกครองของจังหวัด ปี 2541 ราษฎรรวมทั้งหมดมีจำนวน 721,496 คน ดังนั้นจึงประมาณการว่า มีจำนวนประชากรมุสลิมในจ.อยุธยาราวๆ 72,149 คน นอกจากนี้ยังมีจำนวนสัปปุรุษ 37,706 คน ที่ขึ้นทะเบียนจำนวน ตามมัสยิดต่างๆ ใน 8 อำเภอ รวม 56 มัสยิด (หน้า 56, 61)

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

การยึดถือปฏิบัติในทางศาสนาของมุสลิมในอยุธยาถือว่ามีความแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่มตามทรรศนะที่ยึดถือ ในการทำกิจกรรมปลีกย่อยทางศาสนาที่ทำร่วมกันนั้น อาจมีการแบ่งแยกเป็นเพราะไม่ได้ผ่านการยอมรับจากทุกฝ่าย แม้ว่าจะมาจาก ตัวบทหรือหลักคำสอนที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ อัลกุรอาน แต่ขึ้นอยู่กับการนำมาใช้โดยผู้นำศาสนาประจำท้องถิ่นที่มีพื้นฐานความรู้และทรรศนะที่ต่างกัน เนื่องจากการนำหลักการอิสลามมาใช้เป็นบทบาทโดยตรงของผู้นำ ตลอดจนผู้รู้ที่คนยอมรับ เชื่อฟัง และยอมตาม อย่างไรก็ตามแต่ละฝ่ายมั่นใจในทรรศนะและวิถีทางการปฏิบัติของตนว่าถูกต้อง จึงดำเนินแนวปฏิบัติไปตามนั้น เป็นความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ์และเราะซู ความถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ผู้นำต้องเป็นหลักสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิตของประชาชน การปฏิบัติตามผู้นำของมุสลิมในอยุธยาบางส่วนเป็นพฤติกรรมแบบเบ็ดเสร็จ คือตามทุกอย่างโดยไม่คิดจะตรวจสอบและหาข้อโต้แย้ง จนดูเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง แต่แท้จริงการตามผู้นำก็มีขอบเขตจำกัด ตามที่สอดคล้องเจตนารมณ์อิสลามเท่านั้น ดังนั้นจึงนำไปสู่การเกิดพิธีกรรมปลีกย่อยที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะผู้นำอยู่ในสถานะที่ผู้ตามมิกล้าโต้แย้งหรือตรวจสอบความถูกผิดใดๆ เนื่องจากถูกสั่งสอนอบรมปลูกฝังต่อๆ กันมาว่ามิให้ละเมิดผู้นำ แต่ยังมีบางกลุ่มที่กล้าทักท้วงเมื่อเกิดความสงสัยในหลักการศาสนา แต่พฤติกรรมโต้แย้งมีเหตุผลเพียงต้องการทราบหลักฐานรองรับทางศาสนาเพื่อสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติศาสนกิจ เป็นสำคัญ (หน้า74-76) นับได้ว่า มุสลิมในอยุธยาในปัจจุบันมีการพัฒนาถึงระดับที่มีการยอมรับการอยู่ร่วมกันในสังคม ระหว่างผู้ที่มีทัศนะและการปฏิบัติทางศาสนาที่ต่างกัน โดยต่างฝ่ายต่างทำตามแนวทางศาสนาของผู้นำของตน แต่ยังคงร่วมกันในกิจกรรมทางสังคมและศาสนาที่สอดคล้องกัน เช่น การร่วมพิธีศพ การร่วมฉลองวันคล้ายวันประสูติศาสดามุฮัมมัด (หน้า 58)

Political Organization

การจัดการศึกษาและอบรมด้านศาสนาของชุทมชนมุสลิมในอยุธยาโดยส่วนใหญ่มีมัสยิดต่างๆ ดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทรรศนะและการปฏิบัติที่สืบต่อกันมา ภายใต้การนำของอีหม่าม (ผู้นำศาสนา) ร่วมกับคณะกรรมการมัสยิด สังคมมุสลิมอยุธยาขณะนี้จะต้องอยู่ในการควบคุมดูและของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดอยุธยา ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนตำแหน่งของผู้บริหารมัสยิดตามระเบียบราชการได้ ดังนั้นคณะกรรมการนี้จึงสามารถระงับปัญหาความขัดแย้งทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความแตกต่างในเรื่องความเชื่อได้ในระดับหนึ่ง ในบางครั้งหากไม่สามารถหาข้อยุติได้ในประเด็นที่ถกเถียง มักเชิญผู้รู้หรือนักวิชาการมาให้ความรู้ทั้งในรูปการอบรม การจัดการศึกษา หรืออภิปราย ตอบข้อสงสัย (หน้า 57) แต่ละกลุ่มมีทรรศนะและวิธีการปฏิบัติต่อผู้นำที่แตกต่างกันและเหมือนกัน เช่น -- กลุ่มจุฬาราชมนตรี ถือว่าคำสั่งประกาศใดๆ ผู้นำศาสนาเป็นผู้รับผิดชอบกันไปไปตามระดับ ส่วนผู้ตามนั้นมีหน้าที่ปฏิบัติตาม -- กลุ่มกีแซะฮ์ภูเขาทอง ให้คุณค่าแก่ร่องรอยของผู้นำ (กีแซะฮ์) ทั้งด้านแบบอย่างการปฏิบัติ คำสอน สุสาน คานหาม ของใช้ โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและมีความหมาย เป็นร่องรอยของผู้ที่ใกล้ชิดอัลลอฮ์ และสามารถเป็นสื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างดี จึงมีการจัดงานรำลึกประจำปี หรือที่เรียกว่า "งานโฮล" ซึ่งเป็นการชุมนุมของบรรดาศิษย์ของกีแซะฮ์ เพื่อร่วมขอพร รายงานตัวต่อกีแซะฮ์ แสดงความฎออะฮ์ ร่วมทำบุญ และรับบะเราะกะฮ์ (ศิริมงคล) -- กลุ่มดะอ์วะฮ์ ถือว่าคำสั่งของผู้นำนั้นต้องปฏิบัติอย่างรับผิดชอบทันที -- กลุ่มครูฟอวัดโคก จะสังกัดกลุ่มต้องยอมให้สัตยาบันแก่ผู้นำตัวต่อตัว เมื่อยอมแล้วต้องเชื่อฟังครูอย่างไม่โต้แย้ง ครูคือสื่อ กลับไปหาอัลลอฮ์ที่รอบรู้และคำสั่งของครูนั้นคือ ความถูกต้องแม้จะไม่อธิบายเหตุผลประกอบก็ตาม (หน้า122-123)

Belief System

โครงสร้างคำสอนอิสลามประกอบด้วย 1.หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) ถือเป็นอันดับแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ยอมจำนนทุกคนต้องรู้จักพระเจ้าหรืออัลลอฮ์ การศรัทธาในอัลลอฮ์เป็นรากฐานหรอหัวใจของการศรัทธาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดไว้ 6 ประการได้แก่ ศรัทธาในอัลลอฮ์ผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ ศรัทธาในบรรศาสนทูต ศรัทธาในวันอวสาน (อาคิเราะฮ์) และศรัทธาต่อการกำหนดสภาวะ (ก็อดร์) 2.หลักปฏิบัติ (อัรกานุลอิสลาม) มี 5 ประการ ได้แก่ การกล่าวคำปฏิญญาณแสดงความศรัทธาของตน, การละหมาดเป็นการสมนัสการต่ออัลลอฮ์ประจำทุกวัน 5 เวลา, การถือศีลอด (อัศเศาม์) คือ การงดเว้นบริโภค การสังวาสและรักษาตนให้พ้นจาการทำชั่วตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนพระอาทิตย์ตก, การบริจาคทาน (ซะกาต) ถือเป็นการขัดเกลาจิใตใจบุคคล กระจายรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม, และการบำเพ็ญฮัจน์ คือ การมุ่งไปสู่บัยตุลลอฮ์หรือกะอ์นะฮ์ เพื่อประกอบศาสนกิจ ตามระยะเวลา และรูปแบบที่กำหนดไว้ 3.หลักคุณธรรม(อัลซิห์ซาน) เป็นหลักปฏิบัติด้านความประพฤติที่สอดคล้องตามแนวทางของอัลลอฮ์และศาสนฑูต คือ การที่มุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องนำไปเป็นแบบฉบับด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าจะเป็นศาสนกิจหรือการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ต้องอาศัยความมุ่งมั่นด้วยเจตนา เพื่อคุณค่าของการเคารพสักการะต่อพระเป็นเจ้าเกี่ยวข้องกับการตั้งเจตนาโดยตรง แล้วพระองค์ จะตอบแทนความดีให้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งแหล่งความรู้คำสอนอยู่ในข้อบัญญัติ 4 ประการ ได้แก่ อัล กุรอาน อัซซุนนะฮ์ อัลอิจญ์มาอ์ และ อัล กิยาส (หน้า 14-38) โดยทั่วไปมุสลิมทั้ง 4 กลุ่มต่างยึดถือตามหลักฐานจากตัวบทอัลกุรอานและอัลหะดีษรวมทั้งหลักนิติศาสตร์อิสลามที่เป็นบันทึกข้อวินิจฉัยของนักวิชาการยุคแรก เป็นบรรทัดฐาน แต่มีความแตกต่างกันในวิธีการปลีกย่อย เช่น กลุ่มจุฬาราชมนตรี ถือเอาตามความเข้าใจบทบันทึกข้อวินิจฉัยของนักวิชาการยุคแรกเป็นสำคัญ เพราะถือว่ามีหลักฐานเที่ยงตรงมากกว่าช่วงอื่น กลุ่มกีแซะฮ์ ถือแบบปฏิบัติและวิธีการของกีแซะฮ์ที่เป็นแบบอย่างการตามศาสดาที่ถูกต้องที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ที่ใกล้ชิดอัลลอฮ์เพราะถือเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงรักด้วยเหตุของความภักดีและปฏิบัติ กลุ่มดะอ์วะฮ์ เน้นปฏิบัติแบบอนุรักษ์ฉบับดั้งเดิมของศาสดา เพราะถือเป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์อย่างแท้จริงและการออกเชิญชวนสู่งานเผยแผ่อิสลามแม้จะมีความรู้เพียงน้อย ก็เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุสลิมทุกคนโดยยึดระยะเวลาการสัมผัสประสบการณ์การเชิญชวนผู้คนเข้าสู่การปฏิบัติและคุณธรรมความดี (ญะมาอะฮ์) กลุ่มครูฟอวัดโคก ถือคำสั่งของครูเป็นความถูกต้องเบ็ดเสร็จ ที่ผ่านการกลั่นกรองความ ถูกต้องตามบัญญัติแล้วและการยึดถือต้องอาศัยครูเป็นสื่อกลางระหว่างคนกับอัลลอฮ์เสมอ มิเช่นนั้นทางกลุ่มอาจถือว่าหลงทางได้ (หน้า 120-121) สำหรับวิธีขอพรแล้วมุสลิมทั้ง 4 กลุ่มต่างก็มีเป้าหมายและหวังการตอบรับจากอัลลอฮ์โดยคำขอ (ดุอาอ์) มักมาจากโองการสำคัญของอัลกุรอานหรือที่มีระบุไว้ในซุนนะฮ์หรือที่นักวิชาการรวบรวมเป็นตำรา รวมทั้งมีความเหมือนกันในลักษณะและวิธีการขอพร คือ ยกมือหงาย อ่านคำขอพรเป็นวรรคๆด้วยน้ำเสียงเรียบหรือเป็นทำนองโดยท่องจำหรือเปิดตำราอ่านขณะขอ มีการขอเป็นหมู่คณะโดยมีอีหม่ามหรือผู้มีความรู้ด้านศาสนาอ่านนำ การขอส่วนบุคคลและขอเป็นหมู่คณะ เมื่อการขอเสร็จสิ้นผู้ขอจะลูบหน้าค้างไว้ครู่หนึ่งเพื่อตั้งใจขอต่ออัลลอฮ์ให้ตรงต่อเจตนาที่ตั้งไว้ จากนั้นจะกล่าวเศาะละวาด แม้ความหมายของดุอาอ์อาจไม่ตรงกับเรื่องที่ขอแต่ก็เชื่อว่า ดุอาอ์ที่คัดมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้นมีบะเราะกะฮ์อีกทั้งการตั้งเจตนาเป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด แต่มุสลิมทั้ง 4 กลุ่มยังมีข้อแตกต่างในวิธีขอพร เช่น กลุ่มจุฬาราชมนตรี มีการขอดุอาอ์เป็นภาษาไทยซึ่งเป็นมุสลิมใหม่ที่อ่านภาษาอาหรับไม่ออก กลุ่มกะแซะฮ์ อาศัยการขอผ่านทางสื่อคือ ชัยค์มุฮัมมัดอาลีชุกรีย์ ถือว่าใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ ทั้งนี้ผู้ที่จะอาศัยท่านต้องรำลึกถึงเพื่อขอให้ช่วยเหลือถึงจะเกิดผล ยังพบว่ามีการขอที่ผูกพันกับสถานที่เช่น สุสาน มุกั่มกีแซะฮ์ กลุ่มดะอ์วะฮ์ มีความพิถีพิถันกับรูปแบบการขอตามแนวซุนนะฮ์โดยเน้นความประเสริฐ (ฟะฎีละฮ์) ของเวลา สถานที่ และสภาพอันหมดจดของผู้ขอเป็นสำคัญ ขณะออกญะมาอะฮ์คือ การไปพำนักต่างถิ่นเพื่อปฏิบัติดะอ์วะฮ์ จุดประสงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีในเรื่องต่างๆ กลุ่มครูฟอวัดโคก เป็นอีกกลุ่มที่ใช้การตะวัซซุล คือ ใช้สื่อในการขอพรแต่เป็นบรรดาอุละมาอ์ผู้ทรงคุณธรรม นอกจากนี้ ผู้นำปัจจุบันยังได้รับความเชื่อมั่นจากศิษย์ทั้งหลายว่าเป็นผู้มีบาเราะกะฮ์อีกด้วย พิธีศพ โดยมีความเหมือนตรงขั้นตอนต่างๆ เช่น เยี่ยมศพที่บ้าน อาบน้ำศพ ละหมาด และเมื่อฝังเสร็จ แจกเงินให้แก่ผู้ละหมาด ผู้ร่วมดุอาอ์ แจกซองเงินให้เป็นกรณีพิเศษสำหับผู้ทรงคุณธรรมบางคนเพื่อให้ช่วละหมาดขอดุอาอ์แก่ผู้ตายและทำบุญให้เมื่อครบ 7-40-100 วัน หรือ 1 ปี ส่วนรายละเอียดพิธีศพของมุสลิมทั้ง 4 กลุ่มที่ต่างกัน เช่น กลุ่มจุฬาราชมนตรี การยึดประเพณีเยี่ยมศพและบริจาคเงินให้ แก่ทายาทผู้ตายเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา หลังละหมาดมีการขอพรและแจกเงินโดยเชิญผู้มาร่วมละหมาดจากต่างถิ่น พบว่ามีการเยี่ยมเยียนกุโบร์อย่างน้อยทุกเช้าวันศุกร์ กลุ่มกีแซะฮ์ มีการจัดละหมาดให้แก่ศพที่บ้านก่อนไปมัสยิดเพื่ออำลา มีการอะซานในกุโบร์ก่อนฝังเมื่อฝังแล้วจะเฝ้ากุโบร์ 40 วัน มีการจัดห้องและเสื้อผ้า เครื่องใช้ไว้ต้อนรับแก่วิญญาณผู้ตาย กลุ่มดะอ์วะฮ์ คอยให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานแก่ทายาทและทุกกลุ่มที่เชิญไปร่วมพิธีนี้ กลุ่มครูฟอวัดโคก มีการเฝ้ากุโบร์และขั้นตอนเหมือนกลุ่มกีแซะฮ์และกลุ่มจุฬาราชมนตรี แต่กลุ่มนี้มีการเขียนดุอาอ์ใส่ขวดเล็กๆ ห่อรวมไปกับศพด้วย โดยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในสุสานได้ โอวาทก่อนการละหมาด มีประเด็นที่แตกต่างกันระหว่างมุสลิมทั้ง 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มจุฬาราชมนตรี นิยมใช้บทคุฏบะฮ์ที่จัดทำโดยนักวิชาการในสังกัดกลุ่มนำมาบนมิมบัรซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีแจกจ่ายเผยแพร่ กลุ่มกีแซะฮ์ ห้ามแปลคุฏบะฮ์เป็นภาษาอื่นเพราะเป็นส่วนหนึ่งของละหมาด เสมือนสองร็อกอะฮ์ ดังนั้นอิริยาบถในขณะฟังจึงต้องอยู่ในอาการเดียวกับนั่งในละมหาด กลุ่มดะอ์วะฮ์ แสดงคุฏบะฮ์โดยใช้วิธีแบบอบรมปากเปล่าโดยหลีกเลี่ยงการอาศัยเอกสาร เพราะถือว่าเป็นลักษณะการแสดงคุฏบะฮ์ตามแบบของท่านนบี และเป็นวิธีการปลุกเร้าความรู้สึกได้ดีกว่าการถือเอกสารอ่าน เมาลิด ถือว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดี ทั้งนี้เพื่อรำลึกบุญคุณของศาสดาและเป็นโอกาสแสดงความสดุดีต่อท่าน กำหนดจัดพิธีอยู่ระหว่างสันที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล คือเดือนที่3ทางจันทรคติปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติพระศาสดา พิธีนี้นิยมจัดจนถึงเดือน 8 โดยมุสลิมทั้ง 4 กลุ่ม ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดดังนี้ กลุ่มจุฬาราชมนตรี จัดงานฉลองมัสยิดต่างๆมาร่มอ่านเศาะละวาด นิยมจัดตั้งแต่เดือนที่ 3-7 ของปฏิทินอาหรับ ถือว่างานนี้เป็นประเพณีการแสดงความรำลึกแบบอย่างอันงดงามของศาสดา กลุ่มกีแซะฮ์ ประยุกต์การกล่าวสดุดีแด่ท่านศาสดาเป็นทำนองต่างๆ ทั้งวิธีขับลำนำและวิธีบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี กลุ่มดะอ์วะฮ์ ไม่ปฏิเสธหรือต่อต้านการขับเมาลิดแต่ยินดีเข้าร่วมกิจกรรมนี้กับกลุ่มอื่นที่จัดโดยพิจารณาเฉพาะรายที่ทางกลุ่มเห็นควร (หน้า 123-128)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

มุสลิมกลุ่มดะอ์วะฮ์ มีลักษณะการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คือโพกศรีษะด้วยผ้าพันปล่อยหางผ้ายาวกว่าที่มุสลิมอื่นโพกกันเล็กน้อยมองเห็นได้ชัดเจน สวมเสื้อแขนยาวปล่อยชายคลุมเลยสะโพกลงไปเกือบถึงเข่า นุ่งโสร่งหรือกางเกงขาพองซึ่งมองโดยรวมคล้ายชาวปากีสถาน บางคนถือลูกประคำ หรือที่มุสลิมท้องถิ่นเรียกว่าลูกตัสปีห์ บางคนพกพารากไม้ตัดเป็นท่อนขนาดนิ้วมือไว้สำหรับถูฟัน บางคนสวมโต๊บ (เสื้อชุดยาว) ทาขอบตาสีดำ ไว้เครา ใช้น้ำมันหอม ซึ่งการแต่งกายลักษณะนี้ถือเป็นการให้ความสำคัญต่อรายละเอียดของจริยวัตรศาสดา (หน้า 83)

Folklore

งานโฮลของกีแซะฮ์ภูเขาทอง (งานฉลองประจำปีเพื่อรำลึกกีแซะฮ์) ในพิธีเปิด ประธานจะกล่าวคำปฏิญญาณต่อกีแซะฮ์ จากนั้นมีการขอดุอาออ์และสดุดีต่อศาสดานบีมุฮัมหมัด บางครั้งใช้เครื่องดนตรีบรรเลงโดยอาศัยทำนองของการเศาะละวาตแทนการกล่าวด้วยปาก ซึ่งในงานยังมีศิลปป้องกันตัวและกีฬา เช่น การแสดง การตีกระบี่กระบอง และตระกร้อลอดห่วง ในตอนกลางคืนจะมีมหรสพ เช่น ลิเก ภาพยนตร์ ซึ่งมีการจัดมาตั้งแต่ในสมัยกีแซะฮ์เอง มีการเปิดบทเพลงสำหรับปลุกศรัทธาให้บันดาลูกศิษย์เกิดความรักและฎออะฮ์ต่อกีแซะฮ์ ชื่อเพลงว่า "มหาสัจธรรมดำรัส" (บทเพลงในภาคผนวก (ข) หน้า 149) ที่ให้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับคุณูปการ และความล้ำเลิศของกีแซะฮ์ และยังสอดแทรกปรัชญา ที่ล้ำลึกจากคำพูดที่สำคัญของกีแซะฮ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีรายการภาควิชาการ เป็นการตอบปัญหาข้อสงสัย ต่อจากนั้นเป็นการเวียนเทียน และเดินวนรอยสุสานของกีแซะฮ์ ในคืนสุดท้ายของงานจะเป็นพิธีแห่คานลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อนำคานหามเวียนรอบมุกัมของท่านหยาซึ่งเป็นครูของกีแซะฮ์ อันเป็นการรักษาความผูกพันระหว่างท่านหยากับกีแซะฮ์ (หน้า 89-90)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มุสลิมกลุ่มต่างๆ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา (จุฬาราชมนตรี กีแซะฮ์ภูขาทอง ดะอ์วะฮ์ และครูฟอวัดโคก) มีลักษณะเฉพาะบางประการที่แตกต่างจากมุสลิมกลุ่มอื่นๆ เช่น การเวียนเทียนรอบที่ฝังศพผู้นำศาสนา การจัดงานประเพณีที่เรียกว่า "โฮ้ล" หรือ เฮาลุน" ในภาษาอาหรับแปลว่า ครบรอบ การส่งวิญญาณผู้ล่วงลับในวันที่ 40 ของการตาย พิธีเฝ้าสุสาน 40 วันติดต่อกัน ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาในเบื้องต้นตามลักษณะดังกล่าว คือ ปรากฎการณ์ในสังคมมุสลิมอยุธยาปัจจุบันที่ได้มการยอมรับจากคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม โดยอาศัยการตีความของผู้นำกลุ่มหรือครู พร้อมกับการปลูกฝังความภักดีต่อผู้นำศาสนา (หน้า 3-4)

Social Cultural and Identity Change

กล่าวถึง ชุมชนมุสลิมต่างๆ ในอยุธยา มีความกระตือรือร้นในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจพอสมควร มีความปรารถนาที่จะบรรลุสู่เป้าหมายตามคำสอนเช่นเดียวกับมุสลิมอื่นๆ แต่ด้วยภูมิหลังในอดีตของอยุธยาที่มีอารายธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของชนหลายเชื้อชาติที่เข้ามาใช้ชีวิต อยู่ร่วมกัน การผสมผสานทางวัฒนธรรมอิสลามกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการเกิดเป็นกลุ่มทางศาสนาที่ยึดถือต่างกัน (หน้า 76)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่แสดงที่ตั้งมัสยิดในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดอยุธยา (หน้า 62-69)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, ความเชื่อ, การปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม, อยุธยา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง