|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,การฟ้อน,ละคร,การฟ้อนรำ,ประวัติความเป็นมา,ประเพณี,พิธีกรรม,ภาษา,สังคมวัฒนธรรม,การแต่งกาย กาฬสินธุ์ |
Author |
สุภาพร คำยุธา |
Title |
การฟ้อนของชาวผู้ไทย : กรณีศึกษาหมู่บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
319 |
Year |
2546 |
Source |
ภาควิชานาฎยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ชนเผ่าผู้ไทยบ้านโพนมีศิลปะการฟ้อนรำ ทั้งการฟ้อนละครผู้ไทยและฟ้อนผู้ไทยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สืบทอดต่อกันมา มีพัฒนาการองค์ประกอบในการแสดงด้านต่าง ๆ อาทิการคิดประดิษฐ์ท่าฟ้อน การเพิ่มเครื่องดนตรีประกอบ โดยปรับเปลี่ยน รูปแบบให้เหมาะสมกับโอกาสในการแสดง อาทิ ฟ้อนถวายฯ งานรื่นเริง งานบุญบั้งไฟ งานต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เป็นต้น |
|
Focus |
มุ่งศึกษาการสืบทอดและประวัติความเป็นมาของฟ้อนละครผู้ไทย และการฟ้อนผู้ไทย เป็นศิลปะอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของอีสาน ตามแบบฉบับของชนเผ่าผู้ไทยหมู่บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไทยมีอยู่ 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ไทยขาว กลุ่มผู้ไทยดำ คนลาวเรียก "ไทยเหนือ" หรือ "ผู้ไทย" และกลุ่มผู้ไทยแดง ทั้งสามกลุ่มอาศัยอยู่กระจัดกระจายในดินแดน "สิบสองจุไทย" หรือ "สิบสองผู้ไทย" สำหรับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มุ่งศึกษากลุ่มชนผู้ไทย ในจังหวัดกาฬสินธุ์ (หน้า 14) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้ไทยบ้านโพนมีภาษาใช้ถึง 3 ภาษา คือ ภาษาผู้ไทย ใช้พูดกันเฉพาะชนในกลุ่ม ภาษาอีสาน ใช้เมื่อพบปะกับบุคคลภายนอก และภาษาไทยภาคกลาง การเทียบเสียงในภาษาผู้ไทยมีลักษณะต่างไปดังนี้คือ - ไม่มีเสียง(ใ-) , (ไ-) ใช้ แต่ใช้สระ "เออ" ผสมเสียงแทน เช่น มาซิเลอ แปลว่า ไปไหนมา ผู้เหย่อ แปลว่า ผู้ใหญ่ เก๋อ แปลว่า เกลือ โต๋เหย่อ แปลว่า ตัวใหญ่ - เสียง /ญ/ ภาษาผู้ไทยและภาษาอีสานออกเสียงขึ้นจมูก แต่ภาษาไทยกลางออกเสียง /ย/ ตามปกติ เช่น คำว่า "หญ้า" ภาษาไทยกลาง ไทยอีสานอ่าน "หญ่า" ภาษาผู้ไทยอ่าน "ญา" - เสียง /ฉ ช/ ในภาษากลาง ถูกแทนที่ด้วย /จ/ และ /ซ/ ในภาษาผู้ไทและภาษาอีสาน เช่น "ฉาก" ไทยอีสานอ่าน "สาก" ผู้ไทยอ่าน "ซะ" "เชือก" ไทยอีสานอ่าน "เซียก, เซือก" ผู้ไทยอ่าน "เซอะ, เซิก" - เสียง /ร/ ในภาษากลาง ภาษาผู้ไทยและอีสานจะใช้หน่วยเสียง /ล/ แทน เช่น "รู้" ผู้ไทยและไทยอีสานอ่าน "ฮู่" "รถ" ผู้ไทยและอีสานอ่าน "ลด" " ร้อย " ผู้ไทยอ่าน " ฮ้อย" ไทยอีสานอ่าน "ฮ่อย" - เสียงพยัญชนะตัวสะกดบางคำ ผู้ไทยจะออกเสียงพยัญชนะตัวสะกดในแม่กกไม่ชัด เช่น หางกุด ผู้ไทยอ่าน หางกิ๊ ไทยอีสานอ่าน หางกิ้น หรือ หางกุ้น - คำบางคำมีการสลับเสียงพยัญชนะ เช่น "ตะกร้า" อ่าน " กะซ้า/กะเป" "ตะกร้อ" อ่าน "มะตอ" "ตะกรุด" อ่าน "กะตุ๋ด" - พยัญชนะควบกล้ำในภาษากลาง เช่น ร ล ว ไม่พบในภาษาอีสาน แต่ภาษาผู้ไทยก็มีตัว ว ใช้ เช่น "ขวาง" ไทยอีสานอ่าน ขวง ผู้ไทยอ่าน ขวาง "ควัน" ผู้ไทยอ่าน ควั่น ไทยอีสานอ่าน ค่วน "กล้วย" ไทยอีสานอ่าน ก้วย ผู้ไทยอ่าน โกย "ปลา" ผู้ไทยอ่าน ป๋า ไทยอีสานอ่าน ปา - สระบางคำออกเสียงต่างกันไป เช่น "เดือน" ผู้ไทยอ่าน เดิ๋น ไทยอีสานอ่าน เดียน "เปลือก" ผู้ไทยอ่าน เปอะ ไทยอีสานอ่าน เปียก "เรียน" ผู้ไทยอ่าน "เฮิ่น" ไทยอีสานอ่าน "เฮี่ยน" - เสียงวรรณยุกต์ ผู้ไทยมี 5 เสียงเช่นเดียวกับภาษาไทยกลาง แต่บางเสียงไม่ตรงกัน ส่วนอีสานมี 6 เสียง เช่น "จีน" ผู้ไทยอ่าน "เจ๊ก" "บิน" ผู้ไทยอ่าน "บิ๋น" แตก ผู้ไทยอ่าน "แตะ" "ข้าว" ผู้ไทยอ่าน "เฮา" "กล้า" ผู้ไทยอ่าน "กา" (หน้า 53 - 56) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากการค้นคว้าของนักวิชาการบางท่าน "ไต" อยู่ตามแถบเทือกเขาอัลไต ในมงโก ระยะแรกได้อพยพลงมาทางใต้แถบภูเขาเซียวซีจีนแผ่นดินใหญ่ ปัจจุบันเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโฮ ระยะที่สอง ได้ถอยร่นลงมาในแถบลุ่มน้ำแยงซีเกียง มณฑลเสฉวน ต่อจากนั้นแตกออกเป็น 2 สาย ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนสายหนึ่ง อีกสายหนึ่งอพยพตรงมาทางใต้เป็นอาณาจักรน่านเจ้าหรือหนองแส เมื่อประมาณ พ.ศ. 1200-1300 จากนั้นมีการอพยพคนจากอาณาจักรมาที่เมืองแถน ผู้ไทยเป็นกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาทางใต้ เรียกว่า "ไทยน้อย" มีเมืองแถนหรือแถงเป็นราชธานี ต่อมาเกิดการแข็งเมืองแตกออกเป็นอาณาจักรเรียก "สิบสองจุไทย" "สิบสองเจ้าไท" หรือ "สิบสองภูไทย" มีชื่อเรียกย่อยตามกลุ่ม เช่น ไทยทรงดำ ไทยลาย ไทยโท้ ไทยลื้อ ภูไทพวน ไทยนุง ไทยย่อ ไทยเวียง ไทยขาว ไทยหลวง ผู้ไทยหรือ "ภูไท" ก็เป็นหนึ่ง ในกลุ่มย่อยนี้ (หน้า 12-13) สำหรับประวัติของชนเผ่าผู้ไทยจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บริเวณอำเภอเขาวง กุฉินารายณ์ และอำเภอคำม่วง มีถิ่นเดิมอยู่แคว้นสิบสองจุไท ต่อมาอพยพมาอยู่ตอนใต้ของเวียงจันทน์แขวงสุวรรณเขตใกล้ชายแดนญวน สมัยรัชกาลที่ 3 ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานฝั่งขวาของแม่น้ำโขง แล้วย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณจังหวัดสกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี และมุกดาหาร ผู้ไทยของอำเภอคำม่วงอาศัยอยู่กระจัดกระจายมากที่สุดคือ หมู่บ้านโพน ตำบลโพน ซึ่งแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 หมู่ เป็นกลุ่มชนที่รักษาเอกลักษณ์เฉพาะของชนเผ่าทั้งสังคม ภาษาและวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี (หน้า 1-2) ส่วนประวัติความเป็นมาในการก่อตั้งบ้านเรือนของผู้ไทยบ้านโพน พวกผู้ใหญ่เล่าว่า บ้านโพนตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 2400 โดยพ่อเฒ่า 3 กลุ่มอพยพมาจากกุดบาก มาครั้งแรกปักหลังที่บ้านหนองจอก ต่อมาแยกกันไปอยู่บ้านหนองช้างและบ้านนาหลุบ อยู่ได้ประมาณ 4-6 ปีก็ได้ย้ายมายังบ้านโพนไทย มีขุนเทพบริหารและหมื่นภูธรเป็นผู้ใหญ่บ้าน ประมาณ พ.ศ.2420 ได้ตั้งวัดประจำหมู่บ้าน ปี พ.ศ. 2466 ตั้งโรงเรียนแห่งแรก ในยุคนั้นยังอาศัยศาลาวัดเป็นที่เรียน พัฒนามาเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน ปี พ.ศ.2518 อำเภอ คำม่วงถูกคุกคามจากภัยก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ หมู่บ้านโพนอยู่ในเขตพื้นที่อันตราย รัฐบาลจึงประกาศให้เป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง พ.ศ. 2522 (หน้า 25-26) |
|
Settlement Pattern |
ผู้ไทยนิยมตั้งถิ่นฐานตามพื้นที่ใกล้ภูเขาแต่ยังคงสามารถไปมาหาสู่กันได้ไม่ไกลกันมากนัก ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านโพน มีลักษณะเป็นเรือนยกสูงเรียบง่ายใช้แผ่นไม้บุผนัง ชานบ้านเรียก "ลานขี้สีก" เป็นพื้นที่ใช้น้ำ ค่อนข้างแฉะ ตัวบ้านใต้ถุนโล่งไว้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพและเลี้ยงสัตว์ ไม่นิยมกั้นเป็นห้องแต่จะแบ่งพื้นที่ใช้สอย ห้องนอนจะอยู่ด้านในสุดของตัวบ้าน จัดมุมบูชาพระและผีบ้านผีเรือน ไม่นิยมสร้างห้องน้ำไว้บนบ้าน นอกจากนี้ยังมีที่พักชั่วคราวในที่นาเรียกว่า "เถียงนา" เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างแบบเรียบง่าย เป็นเพิงถาวรขนาดเล็กใต้ถุนสูง สร้างอย่างไม่พิถีพิถัน หลังคามุงไม้แผ่นเล็กวางไขว้กันเรียกว่า "แป้นน้อย" (หน้า 24, 36-42) |
|
Demography |
ผู้ไทยบ้านโพนเป็นกลุ่มที่ตั้งฐานในอำเภอคำม่วง แต่เดิมขึ้นกับเขตปกครองอำเภอสหัสขันธ์ มีผู้ไทยอาศัยอยู่ 3 ตำบล 12 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 3,899 คน (มี.ค.2545) เป็นชาย 1,960 คน หญิง 1,939 คน มีครัวเรือนทั้งหมด 828 ครัวเรือน (หน้า 31, 236) ชุมชนผู้ไทยในจังหวัดกาฬสินธุ์ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอำเภอเขาวง มีหมู่บ้านผู้ไทย 30 หมู่บ้านอำเภอคำม่วงมีหมู่บ้านผู้ไทย 12 หมู่บ้าน อำเภอสมเด็จ มีหมู่บ้านผู้ไทย 4 หมู่บ้าน อำเภอ สหัสขันธ์ มีหมู่บ้านผู้ไทย 2 หมู่บ้าน และกุฉินารายณ์ มีหมู่บ้านผู้ไทย 15 หมู่บ้าน ทั้ง 5 อำเภอเป็นผู้ไทยที่มาจากเมืองวัง สันนิษฐานว่าอพยพมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ (หน้า 23 - 24) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพของผู้ไทยบ้านโพน ชาวบ้านโพนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ทำนาเป็นหลัก นอกจากนี้ก็ทำสวน ทำไร่ รับจ้าง พืชเศรษฐกิจที่สำคัญคือ อ้อย อีกทั้งยังปลูกหน่อไม้ฝรั่ง พุทรา ข้าวเหนียว รายได้หลักของผู้ไทยบ้านโพนจึงมาจากการเกษตร ผู้หญิงทอผ้าใช้เองในครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายจักสานเครื่องมือเครื่องใช้ รายได้เสริมของผู้ไทยบ้านโพนจึงมาจากการทอผ้าไหมแพรวา และการจักสานไม่ไผ่ ปัจจุบันผ้าไหมแพรวาของจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นสินค้าสร้างชื่อเสียงของหมู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่แต่เดิมทอใช้เองเพียงภายในครัวเรือน เมื่อได้รับเข้าไว้ในโครงการศิลปาชีพพิเศษส่วนพระองค์ฯ ก็ได้พัฒนารูปแบบ ลวดลายและสีสันให้มีความหลากหลายสวยงาม ยิ่งขึ้น หลังจากนั้นสภาพเศรษฐกิจของผู้ไทยบ้านโพนก็ดีขึ้น โดยมีผ้าแพรวาและศิลปวัฒนธรรมของผู้ไทย เป็นสินค้าวัฒนธรรมดึงดูดกระแสท่องเที่ยว มีการก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทยและกลุ่มสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างครบวงจร ทั้งยังจัดเรือนรับรองให้ผู้มาเยือนได้พักค้างแรมแบบโฮมสเตย์ (หน้า 46 -47,49-51, 261) ผู้ไทยบ้านโพนดำเนินเศรษฐกิจแบบยังชีพ นิยมทำไร่ทำสวนในที่นา หากไม่ใช่ฤดูเกษตร บ้างก็ออกไปหาหน่อไม้ตามลำห้วย หาปลา เก็บของป่าตามภูเขา มีชีวิตพึ่งพาธรรมชาติจนเคยชิน แม้จะมีตลาดชุมชนบ้านโพนแล้วก็ยังไม่ละทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิม (หน้า 42 - 43) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของผู้ไทยบ้านโพน เป็นครอบครัวขยาย ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา หลาน เหลนอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณร่วมกัน ลูกหลานผู้ไทยสามารถแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์กับไทย-ลาว ครอบครัวสมัยก่อนจะมีลูกมากเพราะขาดการคุมกำเนิด ลูกหลานผู้ไทยเมื่อแต่งงานออกเรือนก็จะปลูกบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อความสะดวกในการไปมาหาสู่ เป็นผลให้เกิดครอบครัวขยาย นอกจากนี้กลุ่มสังคมในหมู่บ้านยังประกอบด้วย เจ้าหน้าที่อนามัย ครู พระภิกษุ ผู้ไทยบ้านโพนให้ความเคารพนับถือผู้เฒ่า ผู้อาวุโสและบุคคลที่เป็นหัวหน้า (หน้า 35-36) ขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้ไทย ธรรมเนียมสมมา คือ การขอขมาโทษในพิธีแต่งงาน คู่แต่งงานใหม่ฝ่ายหญิงต้องขอขมาพ่อแม่และญาติฝ่ายชาย นอกจากนี้ยังต้องเที่ยวขอขมาผู้เฒ่าผู้แก่ และสมภารเจ้าวัด ผู้รับสมมาอาจให้เงินตามควร หรือผูกแขนให้ศีลให้พร (หน้า 75-76) ธรรมเนียมแปลงสาว คือ การหมั้น เมื่อเกิดการผิดผีขึ้นในเรือน คือลูกสาวถูกล่วงเกินจำเป็นต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่จัดการแปลงสาว หรือโอม หากฝ่ายชายไม่ยอมต้องถูกปรับไหม ธรรมเนียมนี้จึงเป็นข้อเตือนใจให้หญิงสาวรู้จักรักนวลสงวนตัว (หน้า 76-77) ธรรมเนียมแต่งงาน ประกอบด้วยพิธี 9 ขั้น ดังนี้คือ ไปโอม (สู่ขอ) หมาย (จับจองตัวเจ้าสาว) ส่งของฝาก พะซู หรือ ป๋าซู (พิธีแต่งงานจริง) แปลงออก (ไหว้ผีของฝ่ายหญิงหลังแต่งงาน 9 วัน) กินดอง (ไหว้ผีของฝ่ายหญิงหลังแต่งงานครบ 3 ปี) กินด่าง (พิธีไหว้และเลี้ยงญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ทำเมื่อมีบุตรแล้ว 2 คน) กินซอด (เหมือนขั้นก่อนหน้า แต่ทำหลังจากมีบุตร 3 คน) กิน หมูถมฮอย หรือ "กินควายแม่ลูกผูกใต้ถุน" ฆ่าไก่ หมู ควายทำอาหารใส่พานบายศรีแล้วสู่ขวัญให้คู่สมรสเมื่อมีบุตรแล้ว 4 คน (หน้า 79-82) นอกจากนี้ยังมี ธรรมเนียมการแอ่วสาว ธรรมเนียมชองเขย ธรรมเนียมของสะใภ้ ธรรมเนียมเคารพพระ ธรรมเนียมบายศรี ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและสังคม (หน้า 76-77, 79) |
|
Political Organization |
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอาณาจักรสิบสองจุไทย เมืองไลกับเมืองแถงตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกันและมักรบรากันเสมอ ภายหลังได้ตกอยู่ในการปกครองของเวียงจันท์ เมื่อพระเจ้ากรุงธนยกทัพไปตีทำให้ดินแดนสิบสองจุไทยกลับมาเป็นของไทยอีกครั้ง สมัยต่อ ๆ มาก็ตกเป็นของญวนและจีนฮ่อตามลำดับ ต้องส่งส่วยทั้งลาว ญวน และฮ่อจึงได้ชื่อว่า "สามผ่านฟ้า" หรือเมืองสามส่วยฟ้า ปลายสมัยรัชกาลที่ 1 เกิดฝนแล้งในเมืองหนึ่งทางทิศใต้ของแคว้นสิบสองจุไทย ท้าวก่าได้เกลี้ยกล่อมราษฎรผู้ไทยชายหญิงหมื่นเศษอพยพลงมาเวียงจันท์ ตั้งเมืองอยู่ที่เมืองวังโดยมีท้าวก่าเป็นหัวหน้า ส่วนผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้นมีทั้งถูกกวาดต้อนมาและอพยพตามญาติพี่น้องมาจากเมืองวังหรือไผ่หนาม เมืองเซโปน เมืองมหาชัย ส่วนผู้ไทยทางแถบอีสานในปัจจุบันอพยพเข้ามาสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเจ้าอนุวงศ์ถูกข้อหาก่อกบฏก็ไปกวาดต้อนชาว ผู้ไทยมาถามความสมัครใจ มีราชวงศ์เมืองวัง ตั้งบ้านอยู่กุจฉินารายณ์ ท้าวลำดวน เจ้าเมืองคำสมัครใจตั้งอยู่บ้านขอนยาง ขึ้นต่อเมืองกาฬสินธุ์ หลังจากนั้นผู้ไทยก็จะอพยพข้ามไปข้ามมา เส้นทางการอพยพแบ่งเป็น 3 สาย ผู้ไทยเมืองวังสายแรกมาตั้งบ้านแปลงเมืองอยู่บ้านโพน บ้านหนองช้างและบ้านหนองยาว ตำบลโพน อ. สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ การอพยพของผู้ไทยกาฬสินธุ์กระจัดกระจายออกไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ยกฐานะเป็นเมืองในอดีต 9 เมืองคือ เมืองเรณูนคร เมืองพรรณนิคม เมืองกุฉินารายณ์ เมืองภูแล่นช้าง เมืองหนองสูง เมืองเสนางนิคม เมืองคำเขื่อนแก้ว ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมืองวาริชภูมิ เมืองจำปาชนบท ตั้งขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส มีการแบ่งเขตการปกครองหัวเมืองใหม่และตั้งมณฑลต่าง ๆ จังหวัดกาฬสินธุ์รวมอยู่ในมณฑลร้อยเอ็ดร่วมกับจังหวัดร้อยเอ็ดและมหาสารคาม (หน้า 14-21) |
|
Belief System |
ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและขนบธรรมเนียมของผู้ไทย แม้ประชากรส่วนใหญ่ในอำเภอคำม่วงจะนับถือศาสนาพุทธ มีวัดและสำนักสงฆ์ถึง 98 แห่ง (หน้า 262) ผู้ไทยก็ยังสืบทอดคติความเชื่อแบบดั้งเดิมและการนับถือผีไว้ สะท้อนผ่านขนบประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ที่สืบทอดมายาวนาน ความเชื่อเรื่องผี ผู้ไทยเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ และนับถือผีมาแต่ดั้งเดิม ต่อมาได้หันมานับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับระบบความเชื่อแบบเก่า ผู้ไทยเชื่อว่า ผีมีทั้งที่ให้คุณและให้โทษแบ่งได้เป็นผีหลักเมือง ผีฟ้าหรือผีแถน เป็นเทวดาบนฟ้ามีอำนาจบันดาล การดำเนินชีวิตของผู้ไทยจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแถนมากมาย แต่ละแถนก็มีทั้งให้คุณ และให้โทษ อาทิ แถนหลวงเป็นหัวหน้าแถนทั้งปวง คอยควบคุมดูแล ตัดสินข้อพิพาทให้เกิดความยุติธรรม แถนปัวก่าลาวี ดูแลทุกข์สุข ความอุดมสมบูรณ์ของมนุษย์ ควบคุมดินฟ้าอากาศ แถนแนนเป็นมิ่งขวัญให้คนมีอายุสั้นยาว นอกจากนี้ผู้ไทยบ้านโพนยังนับถือ ผีบรรพบุรุษเช่น ผีปู่ ย่า ตา ยาย เมื่อถึงแก่ความตายจะเชิญมาอยู่ในเรือนบุตรชายคนโต จัดที่พิเศษไว้ให้เรียกว่า "ห้องฮอง" เชื่อว่าผีบรรพบุรุษทำให้ครอบครัวเจริญ อยู่อย่างมีความสุข หรืออาจทำให้สมาชิกเจ็บป่วยได้ ผีบ้านผีเมือง ผีเจ้ามีหน้าที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองบ้านเมืองให้สงบร่มเย็น มีการสร้างศาลให้อยู่บริเวณแสดงเขตหลักเมืองซึ่งเป็นเขตหวงห้ามผีบ้านมีหอให้อยู่ ผีป่า ผีขวงสิงสถิตตามป่าเขา แม่น้ำหรือวัตถุ เจ้าพ่อปู่ตามที่ชาวบ้านเคารพนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ จะสิงสถิตอยู่ด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน หากคนทำให้ผีไม่พอใจก็จะบันดาลให้เจ็บไข้ได้ป่วยกะทันหัน ต้องเชิญหมอมดเสี่ยงทายและหาทางไถ่โทษ (หน้า 68-71) พิธีกรรม โดยปกติ ชนเผ่าผู้ไทยต้องทำพิธีเซ่นไหว้เลี้ยงผีทุกปี หากมีภัยพิบัติหรือเหตุอาเพศต้องทำพิธีเลี้ยงผีเป็นพิเศษ (หน้า 69) นอกจากพิธีเลี้ยงผียังมีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อมเหสักข์หลักเมืองบริเวณจุดศูนย์กลางของหมู่บ้านโพนทุกปี (หน้า 70) สำหรับพิธีเลี้ยงผีปู่ตาระหว่างเดือน 6-7 ถือเป็นประเพณีสำคัญที่ทำพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านจะปลูกหอ (โฮง) ให้ปู่ตาอยู่โดยมีเฒ่าจ้ำผู้ดูแลรักษาหอปู่ตา เป็นคนกลางระหว่างปู่ตากับชาวบ้าน (หน้า 70-71) นอกจากประเพณีเลี้ยงผีปู่ตาแล้ว ผู้ไทยบ้านโพนยังมีพิธีเหยาเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย หมอเหยาเป็นร่างทรงรำเชิญผีเป็นภาษาผู้ไทย มีการฟ้อนเข้าทรงหมอแคนบรรเลงดนตรีประกอบ และทำนายโชคชะตา หลังเสร็จพิธีก็ส่งผีไปสู่ที่อยู่ ผู้ไทยมีความเชื่อเรื่องขวัญ หมอสูตรหรือพราหมณ์ทำพิธีเรียกขวัญให้มาอยู่กับตัว และมี "หมอธรรม" ประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ ทั้งยังช่วยรดน้ำมนต์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย รักษาโรคภัยไข้เจ็บ การสู่ขวัญจะทำทั้งพิธีของพุทธและพราหมณ์ (หน้า 73-74) นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับงานบุญต่าง ๆ ในแต่ละเดือนเรียกว่า "ประเพณีฮีตสิบสอง" ประเพณีบุญบั้งไฟ ชาวบ้านโพนถือเป็นงานยิ่งใหญ่ประจำปี นอกจากประเพณีเหล่านี้ก็ยึดถือเหมือนกับไทยภาคกลาง เช่น ประเพณีลอยกระทง และบุญเดือนสิบ เป็นต้น (หน้า 82-83) |
|
Education and Socialization |
สถานศึกษาหมู่บ้านโพนมีโรงเรียนสังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งเดียว คือ โรงเรียนชุมชนโพนพิทยาคม สอนระดับอนุบาล 1 ถึงมัธยม 3 และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนอีก 1 แห่ง มีนักเรียน 580 คน ครูอาจารย์ 25 คน (หน้า 33) |
|
Health and Medicine |
หมู่บ้านโพนมีสถานอนามัย 1 แห่ง ให้บริการแก่ประชาชนในเขตเทศบาลตำบลโพน รวม 10 หมู่บ้าน โรคที่มีผู้ป่วยรักษามากที่สุดคือโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ และโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจตามลำดับ (ต.ค. - ธ.ค. 2543) นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการสงเคราะห์คนชรา ผู้พิการ ให้การรักษาเด็กแรกเกิดถึง 12 ปีฟรี อีกทั้งยังมีโครงการบัตรประกันสังคม บัตรประกันสุขภาพ และสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลฟรีในหมู่บ้าน (หน้า 34) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ฟ้อนผู้ไทย เป็นศิลปะดั้งเดิมของชุมชนบ้านโพนกว่า 20 ปี เดิมเป็นการฟ้อนในงานบุญและเป็นการถวายพญาแถนตามความเชื่อเคยมีโอกาสแสดงต่อหน้าที่ประทับเมื่อปี พ.ศ. 2520 รูปแบบการฟ้อนเรียงแถวหน้ากระดาน 4-5 คน ปี พ.ศ. 2522 มีการปรับรูปแบบแถวเข้าร่วมแสดงในงานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการฟ้อนคู่ชาย-หญิง แต่เนื่องจากนักแสดงส่วนใหญ่เป็นหญิงทั้งหมด จึงต้องแต่งหญิงให้เป็นชาย ในปี พ.ศ.2530 การฟ้อนผู้ไทยแบบคู่ชายหญิงหมดไป เนื่องจากช่างฟ้อนส่วนมากเป็นหญิง ชุดเครื่องแต่งกายประจำเผ่ามีกันอยู่แล้ว ฟ้อนผู้ไทยในงานบุญบั้งไฟพบไม่มากเท่าแต่ก่อน กลับไปมีบทบาทในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแทนปีพ.ศ. 2532 ผู้ไทยบ้านโพนฟื้นฟูศิลปะ การฟ้อนประจำกลุ่มขึ้นมา 2 ชุด จัดแสดงเผยแพร่ต่อสาธารณชน (หน้า 156-160) การแต่งกาย การแต่งกายในชีวิตประจำวันของผู้ไทยจะหลากหลายตามโอกาส ผ้าที่ใช้นุ่งห่มเป็นผ้าทอเองใช้ใยฝ้ายซึ่งปลูกเองในการทอ เมื่อทอเสร็จก็นำมาย้อมครามเข้มสีแก่อ่อนจนถึงสีดำ (หน้า 57) สำหรับการแต่งกายฟ้อนผู้ไทยคือ ชุดพื้นบ้านผู้ไทย หรือชุดประจำเผ่า ผู้ไทย ซึ่งนิยมสวมใส่ในงานบุญ หรือพิธีการสำคัญต่าง ๆ เป็นชุดที่มีเอกลักษณ์ด้วยลวดลายจากสไบแพรวา ผืนผ้ามีลายขิดสลับดอกสีขาว เครื่องแต่งกายเน้นโทนสีเข้ม ฝ่ายชายสวมเสื้อม่อฮ่อมสีกรมท่า หรือเสื้อผู้ไทยแขนสั้นสีดำมีขลิบผ้าลายขิดที่สาบเสื้อ มีผ้าสไบแพรวาพาดบ่าสองข้าง ตวัดชายไปข้างหลัง แล้วใช้ผ้าคาดผูกเอว ผูกชายไว้ด้านหน้า นุ่งโสร่ง ฝ่ายหญิงสวมเสื้อแขนกระบอกคอจีนสีน้ำเงิน สีดำหรือสีกรมท่า มีขลิบผ้าลายขิดที่คอและสาบเสื้อ นุ่งผ้าถุงหมี่ผู้ไทยมีเชิงเรียก "ต้นซิ่นแซ่ว" พาดสไบแพรวาเฉียงปล่อยชายไหล่ซ้าย เกล้าผมมวยข้างเบี่ยงซ้ายทัดดอกไม้หรือพันผ้าแพรมน ทั้งคู่สวมเล็บที่นิ้ว 8 นิ้ว (หน้า 161-163) ดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้มีเพียง 2 ชิ้น ซึ่งสะดวกในการเคลื่อนย้ายคือ กลองและแคน กลองที่ใช้เป็นกลองตุ้มขนาดเล็กสองหน้า กว้างประมาณศอก ทำจากหนังวัวควาย มีเชือกขึงหน้ากลองให้ตึง แคนใช้เป็นตัวดำเนินจังหวะเพลงลำผู้ไทย ทำจากไม้เฮี้ย มีหลายชนิดหลายขนาด นิยมใช้แคนแปดซึ่งมีระบบเสียง 16 เสียง ไม่ได้เรียงลำดับตามโน้ตดนตรี แต่เรียงคล้ายอักษรพิมพ์ดีด ในงานขบวนแห่บั้งไฟ ผู้ไทยได้เพิ่มเครื่องดนตรีประกอบการฟ้อนอาทิ ปี่ผู้ไทย (ทำจากไม้เฮี้ย เสียงแหลมกังวาน) ฉาบ และฉิ่ง ในปี พ.ศ.2536 มีการขับลำผู้ไทย และใช้โปงลาง พิณโหวด กลองยาวมาบรรเลงประกอบการฟ้อน การฟ้อนผู้ไทยปัจจุบันเป็นการฟ้อนประกอบการละครผู้ไทย หรือเป็นการฟ้อนประกอบทำนองดัดแปลงที่บรรเลงเป็น" ลายโปงลาง" มักไม่นิยมการร้อง (หน้า 165-166) การถ่ายทอดท่าฟ้อน ใช้วิธีลองผิดลองถูกใช้ท่าเคลื่อนไหว เมื่อเห็นว่าสวยงามเหมาะสม จึงค่อยฝึกหัด ถ่ายทอดให้ช่างฟ้อนนำไปซ้อมจนชำนาญ (หน้า 171) |
|
Folklore |
จากพงศาวดารล้านช้าง เปรียบเทียบกับตำนานคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ของชนเผ่าผู้ไทยเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ และเรื่องเล่าเมืองแถน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่อยู่เก่าของผู้ไทยพบว่า เนื้อเรื่องและโครงเรื่องมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งยังสอดคล้องกับประวัติศาสตร์จีน เล่าถึงอิทธิฤทธิ์ของแถน (เทวดา) ที่มีอำนาจดลบันดาลทำให้น้ำท่วมเมืองเมื่อคนกระด้างกระเดื่องไม่เชื่อฟังคำ รวมถึงตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ที่กำเนิดจากผลน้ำเต้าปุ้งในพงศาวดารเมืองแถงระบุว่า ชนเผ่าผู้ไทยกำเนิดมาพร้อมกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ คือ ลาวฮ่อ ข่าแจะ และญวน มีการบอกรูปพรรณสัณฐานซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าคล้ายคลึงกับความจริงอยู่มาก จากการศึกษาประวัติผู้ไทยได้เล่าถึงเมืองแถงไว้ว่า มีเทวดาอยู่ 5 องค์และนางฟ้า 5 องค์เท่ากัน ได้ร่วมกันอธิษฐานจิตเป็นผลน้ำเต้า เพื่อลงมาจุติเป็นมนุษย์ลงมาสู่ภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองแถง ภูเขานั้นได้ชื่อว่า"ภูเขาเต้าปุ้ง" (มาจากน้ำเต้าปุ้งภาษาผู้ไทย) เมื่อน้ำเต้าแตกออกก็แปลงรูปกายเป็นมนุษย์ คือ ข่าแจะ ผู้ไทยดำ ลาวพุงขาว ฮ่อ และแกว(ญวน) รวมเป็น 5 แซ่ ชายหญิงนับได้ 10 คน ทั้งหมดไปอาบน้ำดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ร่างกายผ่องใส มีสติปัญญา จากหนองฮกหนองฮาย แต่ข่าแจะกลัวหนาวไม่ยอมลงน้ำจึงทำให้รูปกายดำหมองคล้ำ ส่วนผู้ไทย ลาว ฮ่อ และญวนลงน้ำจึงมีผิวพรรณขาวนวล สวยงามกว่าเป็นบรรพบุรุษสืบทอดกันจนถึงปัจจุบัน เมื่อได้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเมือง พวกผู้ไทยได้ไปตั้งบ้านเมืองอยู่ที่ตำบลสามหมื่น มีขุนลอคำเป็นหัวหน้า ต่อมาได้ขุนบรมราชาเป็นเจ้าเมืองแถง (หน้า 8-12) ความเชื่อเรื่องแถนเป็นบ่อเกิดของ ประเพณีสำคัญคือ บุญบั้งไฟ การจุดบั้งไฟเป็นเหมือนการบูชาพญาแถน (เทพเจ้าผู้บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล) ทั้งยังส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าถึงฤดูทำนาแล้ว(หน้า 85) นอกจากนี้ ยังมีตำนานปรัมปราแสดงถึงความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับงานบุญบั้งไฟอยู่ว่า เจ้าผู้ครองนครพระยาขอมมีพระธิดาคือ นางไอ่คำครั้นถึงเวลาพระธิดาเลือกคู่ เจ้าชายเมืองต่าง ๆ แข่งกันทำบั้งไฟ หากบั้งไฟใครขึ้นสูงสุด ก็จะได้นางไอ่คำเป็นรางวัล ปรากฏว่าท้าวผาแดงชนะในการแข่งขัน แต่ท้าวภังคีคู่ครองของนางไอ่ในชาติก่อนได้แปลงเป็นกระรอกเผือกมา นางไอ่เห็นเข้า เกิดอยากได้จึงให้บริวารจับ บริวารยิงธนูถูกกระรอกตาย ก่อนตายท้าวภังคีได้สาปแช่งไว้ว่า หากใครกินเนื้อของตนขอให้บ้านเมืองล่มจมและถึงแก่ชีวิต ชาวทีตานครเกือบทุกคน( ยกเว้นหญิงหม้าย) ได้นำเนื้อกระรอกไปแบ่งกันทำอาหาร ทำให้บ้านเมืองถึงกาลวิบัติ กลายเป็นหนองน้ำ (หนองหารปัจจุบัน) ส่วนท้าวผาแดงและนางไอ่ขี่ม้าหนีก่อนเมืองล่ม แต่ถูกดินถล่มถึงแก่ความตาย ท้าวผาแดงไปเกิดเป็นเทพบุตรมีอำนาจดูแลฟ้าอยู่บนสวรรค์ ชาวบ้านทางอีสานจึงเชื่อกันว่าก่อนฤดูทำนาควรทำบุญ บวงสรวงให้ท้าวผาแดงประทานฝน (หน้า 85) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยได้สรุปลักษณะนิสัยความเป็นผู้ไทยบ้านโพนไว้ว่า ผู้ไทยบ้านโพนรักสงบ ไม่นิยมการทะเลาะเบาะแว้ง โอบอ้อมมีน้ำใจ ชอบเข้าวัดทำบุญทำทาน ชอบใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เห็นได้จากวัฒนธรรมการทอผ้าและจักสาน สำหรับอัตลักษณ์ประจำชาติพันธุ์ที่สะท้อนถึงความเป็นชนเผ่าผู้ไทยสะท้อนผ่าน ศิลปะการฟ้อนรำ ภาษา ผ้าทอมือ อาทิ ผ้าหมี่ ผู้ไทย สไบแพรวา กระบวนท่าฟ้อนรำ ทรงผม การแต่งกาย การห่มสไบ นุ่งซิ่นแบบพื้นเมือง ตำนานปรัมปรา ขนบธรรมเนียม พิธีกรรมความเชื่อแบบดั้งเดิมอันแสดง ถึงเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของชนเผ่าผู้ไทย (หน้า 2,3, 4, 35-36) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สภาพสังคมวัฒนธรรมของผู้ไทยบ้านโพน มีลักษณะเป็นสังคมชนบทไม่นิยมติดต่อสมาคมกับภายนอกมากนัก เมื่อความเจริญเข้ามาสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้ไทยก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ ระเบียบแบบแผนทางวัฒนธรรมชนเผ่าที่สืบทอดกันมายาวนานของชุมชนเอาไว้ได้ ถ่ายทอดกันทางสายเลือดและประสบการณ์ตรง โดยมีการปรับประยุกต์ตามสภาพสังคม จุดประสงค์ วิถีชีวิตชุมชน เกิดเป็นวิวัฒนาการมาโดยลำดับ (หน้า 3,35,52) |
|
Other Issues |
ทรงผม แม่เฒ่าผู้ไทยบ้านโพนแทบทุกคนจะอนุรักษ์ทรงผมเกล้ามวยแบบผู้ไทย ทรงผมชายผู้ไทยสมัยก่อนนิยมตัดสั้นทรงมหาดไทย ทรงผมสตรีผู้ไทยนิยมไว้ผมยาว เกล้ามวยสูงโดยรวบขึ้นมาแล้วตวัดขมวดปลายผมม้วนเป็นปมไว้ด้านใน เบี่ยงซ้าย ขนานกับใบหู ใช้น้ำมวก (น้ำจากการแช่ข้าวสารเหนียวก่อนนึ่ง) ลูบให้อยู่ทรงและยังใช้สระผม (หน้า 67-68) |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบ : ทางเข้าหมู่บ้านโพนเดือน(หน้า 29) สภาพภูมิประเทศก่อนทางเข้าหมู่บ้านโพน(หน้า 30) เส้นทางบ้านโพน-คำม่วง (หน้า 267) ภาพลักษณะบ้านของผู้ไทย 1 - 4 (หน้า 37 - 40) ลักษณะใต้ถุนบ้านผู้ไทย (หน้า 41) วิถีชีวิตในการหาอาหารของผู้ไทย (หน้า 44) การเตรียมตัวเพื่อไปทำบุญที่วัด (หน้า 45) การไปวัดของผู้ไทย (หน้า 46) ภาพไร่อ้อยของผู้ไทยบ้านโพน (หน้า 47) ภาพสตรีผู้ไทยกับงานทอผ้า (หน้า 48) ชายผู้ไทยกับงานจักสาน (หน้า 49) ผ้าไหมแพรวาสำหรับตัดชุด (หน้า 50) ฟืมที่ใช้ในการทอผ้า(หน้า 270) เขาลายหรือตะกรอ (หน้า 271) ผ้าแซ่ว (หน้า 273) การทอผ้าแพรวา (หน้า 275) ผ้าไหมแพรวาลายต่าง ๆ (หน้า 279 -281) ป้ายประชาสัมพันธ์งานบุญบั้งไฟบ้านโพน(หน้า 287) การชั่งตวงหมื่อ/การอัดดินปืน(หน้า 290) ภาพป้ายทางเข้าศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย (หน้า 51) เรือนรับรองในหมู่บ้านโพน (หน้า 52) การแต่งกายของผู้ไทยในโอกาสต่าง ๆ (หน้า 58,60- 66) การสักขาลายของชายผู้ไทย (หน้า 59) ทรงผมของสตรีผู้ไทย (หน้า 67) ทรงผมด้านหลังของสตรีผู้ไทย (หน้า 68) เสาหลักบ้านของผู้ไทยบ้านโพน (หน้า 70) ศาลปู่ตาของผู้ไทยบ้านโพน (หน้า 71) ภาพพิธีบายศรีสู่ขวัญของผู้ไทย (หน้า 75) การรดน้ำดำหัวในประเพณีสงกรานต์ผู้ไทยบ้านโพน (หน้า 84) ขบวนพิธีแต่งเป็นท้าวผาแดงกับนางไอ่(หน้า 88) การซ้อมฟ้อนของช่างฟ้อนสตรีผู้ไทย (หน้า 90) ขบวนฟ้อนละครผู้ไทย / ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์งานบุญบั้งไฟ (หน้า 92) ขบวนประเพณีผู้ไทย/ขบวนรถเอ้บั้งไฟ (หน้า 93) ขบวนลำปะปิ/ ขบวนเซิ้งม่วนซื่นโฮแซว(หน้า 94) ขบวนเซิ้งขอ(หน้า 96) นักแสดงวงโปงลางบ้านโพนคณะนายบุญเม็ง (หน้า 100) ฟ้อนเข็ญฝ้ายผู้ไทย (หน้า 101) ฟ้อนดีดฝ้ายของผู้ไทย (หน้า 102) ฟ้อนผู้ไทยในงานบุญบั้งไฟบ้านโพน (หน้า 103) ฟ้อนผู้ไทย ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ (หน้า 104) ฟ้อนละครผู้ไทยงานสงกรานต์ (หน้า 105) รำกาฬสินธุ์รำลึก/รำศรีโคตรบูรณ์ (หน้า 107) นายเกิม สระทองกับฟ้อนละครยุคฟื้นฟู (หน้า 120) การจัดรูปขบวน/รูปแบบการแบ่งกลุ่มนำเสนอในฟ้อนละครประยุกต์ (หน้า 122) การซ้อม/ฟ้อนละครงานบุญบั้งไฟ (หน้า 124) ลีลาการฟ้อนในขบวนแห่ (หน้า 125) งานมหกรรมโปงลางแพรวากาชาด/งานสถาปนาพรรคความหวังใหม่ (หน้า 126) งานเย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์--คำม่วง(หน้า 127) การแต่งกายฟ้อน (หน้า 129, 131,162) เล็บที่ใช้ในการฟ้อนละคร หรือ " ต๋วยมือ" (หน้า 132) กระดิ่งที่ใช้ห้อยเอว (หน้า 133) หมวกสำหรับสวมศีรษะ/ผ้าสไบแพรวา (หน้า 134) ขั้นตอนการนุ่งผ้าเข็ญ 1-3 (หน้า135-136) การแต่งหน้า-ทำผม (หน้า 139) กลองรูปแบบต่าง ๆ (หน้า 140,143,164) ฉาบหรือแซง (หน้า 141) พิณ (หน้า 142) โปงลางหรือกะลอ (หน้า 145) แคน (หน้า 165) ปี่ผู้ไทย (หน้า 166) คณะฟ้อนผู้ไทยรับเสด็จฯ (หน้า 159) ฟ้อนผู้ไทยที่พระตำหนักภูพานราช-นิเวศน์ (หน้า 160) สาธิตท่าฟ้อนละครยุคดั้งเดิม (หน้า 178 - 184) ผู้สาธิตท่าฟ้อนละครยุคฟื้นฟูและท่าสาธิต (หน้า 186 - 193) ผู้สาธิตฟ้อนละครยุคการประยุกต์และท่าสาธิต(หน้า195 - 204) ผู้สาธิตท่าฟ้อนผู้ไทยช่วงแรกพร้อมท่าสาธิต (หน้า 207- 218) ผู้สาธิตท่าฟ้อนผู้ไทยปัจจุบันพร้อมท่าสาธิต (หน้า 220 - 232) พิธีเปิดงานมหกรรมโปงลางแพรวากาชาด(หน้า 259) การเอ้บั้งไฟ (หน้า 292 - 293) ขบวนแห่-การแสดงออกแนวสร้างสรรค์ (หน้า 294) พระอุ้มหมา-ชีอุ้มแมว (หน้า 295) ร่วมขบวนแห่บั้งไฟ (หน้า 296) การเลียนแบบหมอลำในบุญบั้งไฟ (หน้า 297) การละเล่น (หน้า 298) ขบวนเซิ้งขอ (หน้า 299) การแต่งกายล้อเลียน (หน้า 300) สีสันการละเล่นในงานบุญ (หน้า 301) ขบวนขันดอกไม้ (หน้า 303) ขบวนฟ้อน (หน้า 304) การเลียนแบบนักรบโบราณ (หน้า 305) ขบวนพระบรมฉายาลักษณ์และพานพุ่ม (หน้า 306) ขบวนขันหมากพานบายศรี(หน้า 307) ขบวนบารมีปู่จ้ำ(หน้า 308) ขบวนอยู่วัดจำศีล(หน้า 309) ขบวนความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 310) ขบวนเครื่องจักสานของผู้ไทย (หน้า 311) ช่างฟ้อนตั้งขบวน (หน้า 312) ความสนุกสนานบนรถบรรทุกชบวน(หน้า 313) ลีลาการร่ายรำ(หน้า 315) การประกวดรถบั้งไฟ (หน้า 316) อดีตช่างฟ้อน (หน้า 317) ผู้วิจัยกับช่างฟ้อน(หน้า 318) แผนภูมิ : การจัดรูปแบบขบวนงานบุญบั้งไฟ (หน้า 91) เส้นทางการอพยพของผู้ไทยบ้านโพน(หน้า 109) ละครเมืองอุบลฯ(หน้า 114) รูปแบบการฟ้อนละครยุคดั้งเดิม (หน้า 118) พัฒนาการรูปแบบการฟ้อนละครยุคฟื้นฟู (หน้า 119) ลักษณะการนำเสนอและทิศทางการเคลื่อนไหวของผู้ฟ้อนยุคประยุกต์ (หน้า 121) โน้ตเพลงฟ้อนละครประยุกต์ (หน้า 146 -147) ตารางแสดงพัฒนาการสามยุคของการละครผู้ไทย(หน้า 149 - 154) การนำเสนอฟ้อนผู้ไทย/ในขบวนแห่ (หน้า 157-158) โน้ตเพลงลายโปงลาง (หน้า 167) ตารางพัฒนาจากปี 2521 - 2546 (หน้า 168 -171) แผนที่ : แผนที่การแบ่งเขตสุขาภิบาลโพนของสำนักงานเทศบาลตำบลโพน( หน้า 28) แผนที่หมู่บ้านโพน ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ (หน้า 32) แผนที่ที่ตั้งจังหวัดกาฬสินธุ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 253) แผนที่อำเภอคำม่วง จ.กาฬสินธุ์ (หน้า 265) ผังแบ่งเขตตำบล (หน้า 266) เส้นทางบ้านโพน-คำม่วง (หน้า 267) |
|
Text Analyst |
เสาวนีย์ ศรีทับทิม |
Date of Report |
27 ก.ย. 2555 |
TAG |
ผู้ไท, การฟ้อน, ละคร, การฟ้อนรำ, ประวัติความเป็นมา, ประเพณี, พิธีกรรม, ภาษา, สังคมวัฒนธรรม, การแต่งกาย กาฬสินธุ์, |
Translator |
- |
|