สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สถานภาพ,การปกครอง,การดำรงชีวิต,ตาก
Author ณรงค์ ใจหาญ
Title สภาพความเป็นอยู่และปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 47 Year 2541
Source โครงการวิจัยประเมินสถานภาพองค์ความรู้ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
Abstract

สภาพความเป็นอยู่และปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากเป็นผลมาจากปัญหาด้านการคมนาคม เนื่องจากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างไกลความเจริญ ทำให้บริการจากรัฐด้านต่างๆ เข้าไม่ถึง เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ ตามมา ทั้งปัญหาความยากจนเนื่องจากพื้นที่ทำการเกษตรไม่ได้ผล ปัญหาการไม่ได้รับสัญชาติไทย การขาดเอกสารสิทธิครอบครองในที่ดินทำกินของตน ปัญหาด้านสุขอนามัย ขาดแคลนครูเข้าไปสอน ขาดโรงเรียนและหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ยังพบอุปสรรคด้านภาษาและการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้นำหมู่บ้าน - ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ของทางการ ทำให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดูแลจากทางการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมคนพื้นราบ อีกทั้งเจตคติหรือทัศนคติเชิงลบของเจ้าหน้าที่ทางการต่อชาวเขา ส่งผลให้เกิดการตราข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในทางที่คล้ายเป็นการเลือกปฏิบัติ

Focus

เน้นศึกษาสภาพปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง จ.ตาก เช่น ปัญหาด้านสถานภาพ อนามัย การศึกษา การปกครอง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาปกากญอ (หน้า 4)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

พื้นที่ตั้งหมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ในจังหวัดตาก อยู่ในเขตอนุรักษ์ 318 หมู่บ้านยังไม่ได้รับการจัดตั้งอย่างถูกต้อง 347 หมู่บ้านอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 64 หมู่บ้าน อยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า 11 หมู่บ้านอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวเขาจึงประสบปัญหาการจัดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ที่จะมีสิทธิอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี การควบคุมการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ ทำให้มีผลกระทบต่อการพัฒนาชาวไทยภูเขา รวมถึงสภาพการดำรงชีวิตและจิตใจของชาวไทยภูเขาอีกด้วย เพราะแนวทางการจัดสรรที่ดินและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของบุคคลในที่สูง มีความเกี่ยวโยงกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และแหล่งต้นน้ำลำธาร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ความขัดแย้งกับวิถีทางการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม เนื่องจากจังหวัดตาก มีเขตแดนติดต่อกับพม่า โดยเฉพาะอำเภอท่าสองยางและพบพระ จึงมีปัญหาการอพยพย้ายถิ่นของชาวเขาจากนอกประเทศและในเขตจังหวัดอื่นเข้ามาอยู่ในพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาด้านการพิสูจน์ความเป็นคนไทยโดยการเกิด เพื่อออกสัญชาติไทยให้ (หน้า 6-7)

Demography

จากการสำรวจประชากรชาวเขาพบว่า ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดตากมีจำนวนประชากรมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 69.8 รองลงมาเป็นม้งและเย้า ในงานวิจัยผู้วิจัยเลือกกลุ่มประชากรเป็นตัวแทนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอท่าสองยาง จำนวน 7 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 7 คน คือ ขะแนจือทะ จั่วคี ทีจือหล่อดี ป้อยาลู่ ตะโข๊ะบี้ ห้วยปูแกง ระโตะโกร การคัดเลือกใช้แนวทางพิจารณาว่า เป็นผู้นำชาวบ้านที่สนใจปัญหา มีความคิดก้าวหน้า พบปัญหาด้วยตนเอง (หน้า 3) จากข้อมูลการวิจัยเดือนเมษายนปี 2539 พบว่า - หมู่บ้านขะแนะจือทะ ตำบลแม่ต้าน ประกอบด้วยบ้าน 62 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 300 คน ร้อยละ 85 ไม่ได้รับสัญชาติไทย บางส่วนมีทะเบียนหรือบัตรประจำตัวชาวเขา ที่เหลือไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนของทางอำเภอและของกรมประชาสงเคราะห์ - หมู่บ้านแม่หละโพคี ตำบลแม่หละ ประกอบด้วยบ้าน 32 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 205 คน ประชากรส่วนใหญ่ได้รับสัญชาติและมีบัตรประจำตัวแล้ว - หมู่บ้านจั่วคี ตำบลแม่หละ ประกอบด้วยบ้าน 52 หลังคาเรือน บ้านบริวาร 5 หลัง จำนวนประชากรประมาณ 300 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 20 คน - หมู่บ้านพาตี้หม่อโจ ประกอบด้วยบ้าน 37 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 247 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 20 คน - หมู่บ้านจาตุ ประกอบด้วยบ้าน 26 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 100 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 10 คน - หมู่บ้านโหย่แฮหล่อโกร ประกอบด้วยบ้าน 11 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 90 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 5 คน - หมู่บ้านน้อยคำ ประกอบด้วยบ้าน 16 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 90 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 5 คน - หมู่บ้านขุนห้วยแม่หละ ประกอบด้วยบ้าน 26 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 100 คนผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 5 คน - หมู่บ้านขุนแม่ต้อคี ประกอบด้วยบ้าน 70 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 400 คน ชาวบ้านกว่าร้อยละ 75 ไม่มีทะเบียนบ้าน มีปัญหาด้านทะเบียนราษฎร์มาก - หมู่บ้านเลอเบ้ปลาคี ตำบลแม่ต้าน ประกอบด้วยบ้าน 50 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 250 คน เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่มีบัตรประชาชน - หมู่บ้านป้อยาลู่ ตำบลแม่ต้าน ประกอบด้วยบ้าน 30 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 200 คน ชาวบ้านบางส่วนมีทะเบียนบ้าน แต่ไม่ได้สัญชาติ (หน้า 14-15) ปัญหาด้านประชากรศาสตร์ที่พบส่วนใหญ่คือ การจัดทำทะเบียนบ้านและการพิจารณาให้สัญชาติ ส่งผลให้บุคคลที่ไม่ได้รับสัญชาติและไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ ไม่ได้รับบริการจากรัฐอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังพบปัญหาชาวเขานอกประเทศและชาวเขาในเขตจังหวัดอื่น อพยพโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำกิน ส่งผลต่อการพิสูจน์ความเป็นคนไทยโดยการเกิด เพื่อออกสัญชาติไทยให้ (หน้า 6-7)

Economy

ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมักไม่นิยมตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตร บางหมู่บ้านกลับคัดค้านการอนุญาตให้ทำไม้ในหมู่บ้านตน เช่น หมู่บ้านห้วยปูแกง ปัจจุบันพบว่ามีนายทุนเข้ามา บุกรุกทำลายป่า แต่จากสถิติการสำรวจของทางการพบว่า มีการบุกรุกทำลายแหล่งต้นน้ำลำธารจนสูญเสียพื้นที่ป่า หน้าดินเกิดการพังทลายจนต้องออกมาตรการควบคุมนอกจากนี้ กะเหรี่ยงยังประสบปัญหาสิทธิในที่ดินทำกิน เนื่องจากขาดเอกสารสิทธิและหลักฐานการครอบครองที่ดิน ในขณะที่ชาวบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีปัญหาการบุกรุกพื้นที่เขตอนุรักษ์ เพราะชาวเขาปลูกพืชที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรป่าและต้นน้ำ (หน้า 9, 25-27, 29-30) โดยปกติการใช้พื้นที่ดินทำกินของกะเหรี่ยงเป็นแบบอนุรักษ์ ชาวบ้านในหมู่บ้านจะได้รับการจัดหาพื้นที่ทำกินรองรับ โดยมุ่งเน้นให้หมู่บ้านที่พร้อมช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าด้วย การปลูกป่าทดแทน การใช้ที่ดินทำกินเพื่อปลูกพืชหมุนเวียน ไม่ถางหรือเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย หมู่บ้านที่ปลูกในเขตต้นน้ำลำธารเขตป่าอนุรักษ์ จำเป็นต้องอพยพเคลื่อนย้าย จัดระเบียบชุมชนเสียใหม่ เพื่อพัฒนาให้หมู่บ้านชาวเขาเป็นกลุ่มบ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีกรมพัฒนาที่ดินคอยประสานงานดูแลเพื่อให้เกิดการใช้ที่ดินบนพื้นที่สูง และเพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ (หน้า 12, 26) อย่างไรก็ดี การควบคุมการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำส่งผลกระทบต่อสภาพการดำรงชีวิตและจิตใจ การพัฒนาของชาวไทยภูเขา เนื่องจากแนวทางการใช้ประโยชน์ในที่ดินบนพื้นที่สูง ขัดแย้งกับวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมของชาวเขา นอกจากนี้ยังพบข้อจำกัดด้านพื้นที่ เนื่องมาจากสภาพพื้นที่ดินมีความลาดชันอีกทั้งยังขาดแหล่งน้ำ ขาดความรู้ด้านเทคนิคเพื่อการประกอบอาชีพหลักด้านการเกษตรทำให้ได้ผลผลิตต่ำ ชาวเขาจังหวัดตากจึงต้องประสบปัญหาความยากจน จากการศึกษาสภาพปัญหา ทำให้การพัฒนามุ่งเน้นวิธีการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรเพื่อยกระดับรายได้เฉลี่ยของครอบครัว (หน้า 6 - 7) ปัจจุบันชาวเขาในจังหวัดตาก ยังคงลักลอบปลูกฝิ่นและมีผู้ติดฝิ่นอยู่จำนวนมากทั้งยังมีแนวโน้มการติดสารเสพติดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นกลุ่มชาวเขาที่ด้อยคุณภาพ สำหรับพื้นที่ปลูกพืชเสพติด 6 อำเภอ คิดเป็น 106 ไร่ชาวเขาที่ติดฝิ่นร้อยละ 2.4 จำนวน 2,158 คน แม้ทางการจะมีแผนป้องกันและปราบปรามเข้มงวดในพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาและจัดตั้งหมู่บ้านตามกฎหมายแล้วก็ตาม ทางการมีโครงการควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาชาวเขา พร้อมมีแผนลดอัตราการปลูกพืชเสพติด ส่งเสริมการปลูกพืชอื่นแทนฝิ่นและประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจถึงพิษภัย อีกทั้งยังมีการบำบัดรักษาฟื้นฟูจนสามารถลดจำนวน ผู้เสพลงเหลือเพียงร้อยละ 1 แล้วก็ตาม (หน้า 9, 11) การประกอบอาชีพของกะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าวพอกิน ใช้พื้นที่เพาะปลูก 10 - 15 ไร่ ที่ดินได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษการใช้พื้นที่ทำกินมีลักษณะอนุรักษ์ นิยมปลูกพืชหมุนเวียน ไม่ทำไร่เลื่อนลอยหรือเผาป่า นอกจากนี้ยังปลูกถั่วเหลืองไว้ขาย หมู่บ้านที่อยู่บนดอยจะเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองเอง บ้างก็ทำไร่ทำนา หากพื้นที่ไม่ห่างไกลถนนจะใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ส่วนหมู่บ้านบนดอยจะใช้การเกษตรแบบดั้งเดิม ทำการเพาะปลูกเมื่อมีฝน บ้านที่ติดริมห้วยมีนาไว้ทำการเพาะปลูก หมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่บนดอยมักปลูกผักนอกฤดูฝน กะเหรี่ยงมักไม่นิยมเลี้ยงสัตว์ขายเป็นอาชีพ ส่วนใหญ่จะเลี้ยงไว้รับประทานเอง กะเหรี่ยงบางคนทำหน้าที่เป็นคนกลาง อาชีพอื่นนอกจากการเกษตรและแรงงานแล้ว ยังมีการจักสาน ทอผ้า ส่วนคนรุ่นใหม่ออกไปหางานทำในตัวเมือง เช่น รับจ้างเกี่ยวข้าวได้ค่าแรงวันละ 30 บาท (หน้า 25-26)

Social Organization

กลุ่มครัวเรือนหมู่บ้านกะเหรี่ยงประกอบด้วยคนกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มอาวุโสชาย มักเป็นผู้ที่แต่งงานแล้วมากกว่าชายโสด ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ เช่น การตัดสินคดีความ การปรับไหม กลุ่มเครือญาติสายมารดา มีหัวหน้าสายเป็นหญิงอาวุโส แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกของลูกหลานฝ่ายมารดา กลุ่มที่มีสมาชิกมากกว่าจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องต่าง ๆ เช่น สิทธิประโยชน์ในการครอบครองที่ดิน เป็นต้น กลุ่มสตรีแม่บ้าน มีบทบาทหน้าที่ต่อชุมชน เช่น ให้ความร่วมมือกับทางการส่งเสริมกิจกรรมของชุมชน มักวางบทบาทเป็นช้างเท้าหลังนอกบ้าน แต่ในบ้านช่วยชี้แนะและช่วยในการตัดสินใจ

Political Organization

การปกครอง กะเหรี่ยงรู้จักนายกรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นใคร แต่ยังไม่เคยเห็นนักการเมืองเข้ามาถึงหมู่บ้าน ใช้ผู้ใหญ่เป็นผู้แทนประสานงานติดต่อกับทางอำเภอ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขอสัญชาติของกะเหรี่ยง ตามระเบียบของสำนักงานทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการให้สัญชาติไทยแก่ชาวไทยภูเขา พ.ศ.2535 มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้คือ 1. เป็นบุคคลในความดูแลของหน่วยราชการ ได้รับการตรวจสอบและจดทะเบียนราษฎรชาวเขา 2. บุคคลตามข้อ 1 ต้องมีคุณสมบัติภายใต้เงื่อนไขดังนี้ 2.1 เกิดในประเทศไทยและบรรลุนิติภาวะหรือสมรสแล้วตามประเพณี 2.2 มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งถาวร มีรายการในทะเบียนบ้าน เป็นบุคคลที่มีหลักฐานทางทะเบียนต่อเนื่องกันมาไม่น้อยกว่า 5 ปีในเขตอำเภอเดียวกัน การมีถิ่นที่อยู่ใหม่อย่างถาวรด้วยการสมรส และแจ้งย้ายตามระบบทะเบียนราษฎรถูกต้อง รวมระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี 2.3 ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต มีอาชีพที่ไม่เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือประเทศชาติ 2.4 ไม่ปลูกพืชเสพติด หากเคยปลูกมาก่อนต้องเลิก 3. การร้องขอสัญชาติทำได้โดยยื่นต่อนายทะเบียนท้องที่ กรณีผู้ร้องมีบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ให้แจ้งชื่อบุตรพร้อมอายุไว้ในคำร้อง ยกเว้นบุตรสมรสแล้วให้ยื่นเรื่องต่างหาก สำหรับชาวไทยภูเขาที่เป็นผู้เยาว์ บิดามารดาเสียชีวิต หรือไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ต้องให้ผู้ปกครองผู้อุปการะเลี้ยงดูซึ่งมีสัญชาติไทยยื่นคำร้องแทน 4. ในการลงสัญชาติตามคำร้อง นายทะเบียนจะเป็นผู้ตรวจสอบเอกสารและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อนายอำเภอ ภายใน 10 วัน จากนั้น นายอำเภอจะสอบข้อเท็จจริง แล้วเสนอเรื่อง การสอบข้อเท็จจริงต้องกระทำภายในเวลา 20 วัน เงื่อนไขของการที่มี สิทธิยื่นขอสัญชาติไทยนั้น ต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 5 ปี มีความประพฤติดีและไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ ทั้งยังเป็นประเด็นชวนคิดว่าเข้าข่ายขัดต่อสิทธิมนุษยชนหรือไม่ (หน้า 15 - 17) ในส่วนปัญหาของไทยกะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง มักพบปัญหาคาบเกี่ยวด้านความมั่นคง ยังคงมีกะเหรี่ยงที่ลักลอบเข้าเมือง เนื่องมาจากการปราบปรามของรัฐบาลพม่าเสมอ จากข้อมูล พบปัญหาด้านการพิสูจน์ผู้มายื่นคำร้อง ว่าเป็นชาวเขาที่เกิดในประเทศจริงหรือไม่ โดยทั่วไปจะให้ผู้ใหญ่บ้าน ครู หมอตำแยช่วยรับรอง เกณฑ์ในการลงสัญชาติ ชาวเขาจะต้องพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากกลัวการสวมตัวลักลอบเข้าประเทศ ปัญหาดังกล่าว เกิดจากการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ทะเบียน มักนำชื่อคนเสียชีวิตมาขอลงสัญชาติให้ชาวเขาต่างด้าวเพื่อขอเป็นคนไทย การลงสัญชาติจึงต้องเน้นที่สามารถพูดไทยได้ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าเกิดในเมืองไทยจริง ผู้วิจัยให้ข้อโต้แย้งว่าเกณฑ์ดังกล่าวนี้อาจไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายการเกิดในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องพูดภาษาไทยได้ เพราะชาวเขาเองก็ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะคนที่มิได้อยู่ในวัยเรียนก็จะเขียนหรือพูดภาษาไทยไม่ได้เลย นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ปัญหาอีกประการหนึ่งที่พบก็คือ ข่าวลือและการแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อเรียกเก็บเงินค่าขอสัญชาติ กะเหรี่ยงบางหมู่บ้านซึ่งเคยถูกหลอกลวง จึงไม่อยากเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีก (หน้า 18-19) อุดมการณ์และความคาดหวังของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เนื่องจากทางการได้ตราแผนแม่บทที่วางแนวทางไว้ว่า ต้องการให้ชาวเขาอยู่ร่วมกับสังคมไทยโดยไม่ก่อปัญหา มีจิตสำนึกความเป็นไทย และตระหนักในสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากทัศนคติที่ว่า การขาดจิตสำนึกความเป็นคนไทยอาจเป็นชนวนให้ชาวเขาก่อปัญหาด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมตามมา จนถึงกับมีการตราข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในการขอลงสัญชาติไทย สำหรับกะเหรี่ยงที่จังหวัดตากใช้เกณฑ์หลักคือ ความสามารถในการพูดภาษาไทยได้ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันว่าเกิดในเมืองไทยจริง ในขณะที่ผลการวิจัยพบว่า ในจิตสำนึกของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ต่างก็มีความรู้สึกว่าตนเป็นคนไทยคนหนึ่ง มีหน้าที่ต้องทำประโยชน์ต่อสังคมไทยเช่นกัน (หน้า 7, 18, 30) คณะผู้วิจัยยังได้สอบถามถึงความคาดหวัง สะท้อนความรู้สึกของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ซึ่งมีความคาดหวังหลัก ๆ คือ ความต้องการมีบัตรประชาชน ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาในการออกไปรับจ้างทำงานนอกพื้นที่ ทำให้ได้สิทธิในการครอบครองที่ดิน เนื่องจากกะเหรี่ยงขาดเอกสารสิทธิและหลักฐานในการครอบครอง ทั้งยังไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน นอกจากนี้การมีบัตรยังส่งผลต่อการได้รับบริการด้านอนามัย สามารถส่งลูกเข้าเรียนประถมได้ กะเหรี่ยงคาดหวังว่า จะได้รับการชี้แจงปัญหาจากเจ้าหน้าที่โดยตรง เพราะอุปสรรคที่พบด้านภาษา การเดินทาง และการที่ผู้นำหมู่บ้านขาดประสิทธิภาพในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ แม้กะเหรี่ยงท่าสองยางจะเกิดในเมืองไทยหลายชั่วคน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ได้รับสัญชาติไทย ความคาดหวังที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การมีครูสอนในหมู่บ้านและการมีโรงเรียนที่ได้มาตรฐาน บางคนหวังให้มีการสอนภาษากะเหรี่ยงเพื่อให้เด็กเล็กได้เรียนภาษาของตนในโรงเรียนด้วย (หน้า 28-30)

Belief System

พิธีกรรม-ความเชื่อ-ศาสนา แม้ปัจจุบัน กะเหรี่ยงยังคงนับถือผีเช่นเดิม แต่พิธีกรรมบางอย่างกลับถูกแทนที่ด้วยพิธีกรรมทางศาสนา ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยางนั้น มีทั้งกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ กะเหรี่ยงพุทธมีวัดในหมู่บ้าน การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี กะเหรี่ยงยังคงเชื่อถือชนเผ่าตามจารีตประเพณี การกินผี เลี้ยงผี เสียผี และหมอผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 27-28, 32)

Education and Socialization

กะเหรี่ยงให้ความเคารพนับถือพระในฐานะที่เป็นผู้ช่วยสอนหนังสือ ทั้งยังช่วยพัฒนาหมู่บ้าน นิยมส่งลูกไปบวชเรียนที่เชียงใหม่ ส่วนกะเหรี่ยงคริสต์ มีโรงเรียนมิชชันนารีในอำเภอให้การสนับสนุนด้านการศึกษา (หน้า 27-28) กะเหรี่ยงที่อายุมากมักไม่ได้รับการศึกษา แต่มีค่านิยมในการส่งเสริมการศึกษาของลูกหลาน มักหวังให้ลูกหลานนำความรู้มาพัฒนาหมู่บ้าน ส่วนวัยรุ่นหวังจะใช้วุฒิเป็นใบเบิกทางในการประกอบอาชีพครอบครัวที่มีฐานะมักส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนสำนักงานประถมศึกษา สำหรับชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลจำเป็นต้องให้ลูกเรียนจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน หมู่บ้านที่ห่างไกลมักประสบปัญหาขาดแคลนครู หรือเปลี่ยนครูบ่อย อีกทั้งการที่เด็กไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านส่งผลให้เกิดปัญหาในการออกวุฒิบัตรให้ เด็กที่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน หรือไม่มีสัญชาติจะไม่ได้เรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติ กะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยางที่ได้รับการศึกษาจากมิชชันนารีถึงชั้นประถม 6 จะได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาต่อ มีการคัดเลือกเด็กที่มีสติปัญญาดีจากหมู่บ้านเพื่อเข้ามารับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี โดยไม่มีข้อผูกมัดที่จะใช้ทุน และไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาคริสต์ ปัญหาด้านการศึกษาที่พบคือ นักเรียนกะเหรี่ยงมักนิยมพูดภาษากะเหรี่ยงมากกว่าภาษาไทย เนื้อหาหลักสูตรไม่สอดคล้องกับสภาพชีวิตเป็นเรื่องไกลตัว เด็กชาวเขามักมีผลสัมฤทธิ์และความพร้อมในการเรียนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ มักเรียนไม่จบหลักสูตร ตกซ้ำชั้นบ่อย ๆ บ้างก็ขาดเรียนไปนานเพราะป่วย บางคนแต่งงานตั้งแต่อายุ ยังน้อยจึงไม่สนใจเรียนต่อ นอกจากนี้สภาพปัญหาที่พบ พบว่ามีหมู่บ้านจำนวน 136 หมู่บ้านที่รัฐไม่เอื้อให้บริการ ชาวเขาร้อยละ 17.3 เป็นผู้ที่สามารถอ่าน เขียนหนังสือไทย มีอายุระหว่าง 14 - 50 ปี และมีเด็กในวัยเรียนได้รับการศึกษาภาคบังคับร้อยละ 38.1 สำหรับปัญหาด้านสวัสดิการสังคม มีการอพยพของแรงงานชาวเขาเข้าสู่เมืองเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เนื่องจากภาคเกษตรกรรมไม่ประสบผล พบการอพยพของประชากรวัยแรงงานถึงร้อยละ 11.9 ก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่นตามมา อาทิ การหย่าร้าง เด็กและคนชราถูกทอดทิ้ง การใช้แรงงานเด็กและสตรี บางส่วนถูกผลักดันเข้าสู่ขบวนการค้าประเวณี จำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้าไปจัดระบบ เพื่อให้เกิดสวัสดิการสอดคล้องกับความต้องการและเพื่อให้เป็นไปอย่างทั่วถึง (หน้า 8, 24-25)

Health and Medicine

บริการด้านอนามัย สภาพปัญหาโดยรวมแล้ว ชาวเขามีสุขอนามัยในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับคนพื้นราบ พบการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ร้อยละ 27.3 ประสบภาวะขาดสารอาหาร ร้อยละ 23.8 ขาดสารไอโอดีน กะเหรี่ยงท่าสองยางดูแลรักษาสุขภาพโดยผสมผสานการรักษาด้วยวิธีพื้นบ้านกับการรักษาตามแผนปัจจุบัน ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจะมีผู้ช่วยสาธารณสุขชุมชนเป็นคนประสาน ด้านการให้บริการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค หรือได้ยาพื้นบ้านจากครู สำหรับกะเหรี่ยงห้วยปูแกง เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะรักษากับหมอพื้นบ้าน หรือหมอผีประจำหมู่บ้านใช้น้ำมนต์ การรักษาเรียกว่า "กินผี" มีหมอตำแยทำคลอด หากมารดาตายเมื่อมีเด็กคลอดเชื่อว่า เด็กจะตายตาม เพราะวิญญาณจะมาเอาลูกไปอยู่ด้วย ใช้วิธี "อยู่ก็เลี้ยง ตายก็ฝัง" ความเชื่อที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยจะมีการประกอบพิธีกรรม อาทิ การฆ่าสัตว์จำพวก หมู ไก่ การต้มเหล้าเพื่อใช้ในพิธีกรรม จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลกรณีที่เจ็บหนักหากหมู่บ้านไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก ส่วนสถานีอนามัยนั้นมีไม่ครบทุกหมู่บ้าน บางแห่งบริการของรัฐยังเข้าไม่ถึง ชาวบ้านจะประสบปัญหาต้องเดินทางไกลเพื่อไปรับบริการจากอนามัยในหมู่บ้านอื่น บางหมู่บ้านผู้ช่วยดูแลได้ไม่ทั่วถึงทำให้เกิดโรคระบาด บางครั้งก็เกิดการเสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย ท้องร่วง ส่วนในหมู่ผู้สูงอายุ มักเป็นโรคคอพอกเนื่องจากขาดธาตุไอโอดีน บางครั้งก็เป็นนิ่วเพราะดื่มน้ำโดยไม่ได้ต้ม ชาวบ้านในโครงการแปเป้อ ต้องการให้ตั้งกองทุนยาเพื่อสงเคราะห์การรักษาพยาบาล ทั้งยังต้องการให้สนับสนุนโภชนาการเด็กและสตรีในหมู่บ้านที่ห่างไกล โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคอยให้คำแนะนำให้ความรู้และให้บริการสม่ำเสมอทุกหมู่บ้าน นอกจากนี้ ชุมชนยังต้องการให้รัฐสนับสนุนด้านยารักษาโรค อาทิ ยาป้องกันไข้มาลาเรีย โรคขาดสารไอโอดีนและเท้าช้าง (หน้า 8 - 9, 22-24) ตัวอย่างปัญหาอนามัยที่พบ อาทิ ชาวเขาหมู่บ้านจะแนจือขาดแคลนห้องสุขา ภาชนะในการประกอบอาหารไม่สะอาดตามหลักอนามัย อนามัยหมู่บ้านจั่วคีอยู่ภายในการดูแลของสาธารณสุขชุมชนบ้านกามาผาโด้ เนื่องจากอยู่ห่างไกลอำเภอ (หน้า 21)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

การที่กะเหรี่ยงท่าสองยางยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรม สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้มากกว่าเผ่าอื่น เป็นผลดีต่อการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม กฎศีลธรรมในหมู่บ้านและชนเผ่า เนื่องจากห่างไกลถนนมาก การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม วัฒนธรรมอันเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของกะเหรี่ยง เมื่อได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมชาวพื้นราบก็เปลี่ยนแปลงไปมากในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ความเจริญ (ติดถนน) ผู้นำหมู่บ้านซึ่งมีแนวคิดเชิงอนุรักษ์เห็นว่า วัฒนธรรมของคนพื้นราบเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรรับและ มักไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางส่วนเห็นว่า ทำให้เกิดการพัฒนา ในขณะที่บางสิ่งจำเป็นต้องคงรักษาไว้ กะเหรี่ยงบางหมู่บ้านมีปัญหาการต้มเหล้าเถื่อน ผู้ใหญ่บ้านเอาเปรียบราษฎร การเล่นพนัน บางหมู่บ้านก็ยังมีคนติดฝิ่น และพบการค้ายาบ้า การติดต่อกับคนพื้นราบกี่ยวเนื่องกับการค้าขายหรือติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางการ พบอุปสรรคด้านภาษาและการสื่อสาร เนื่องจากกะเหรี่ยงส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ เจ้าหน้าที่เองก็พูดจาไม่ดี และบางทีก็มีการขอเงินใต้โต๊ะ ทำให้ชาวบ้านต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเกินกว่าเหตุ กะเหรี่ยงท่าสองยางมักไม่นิยมติดต่อราชการ และไม่ค่อยรักษาสิทธิของตน ทั้งยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึก และเมื่อมีปัญหากับทางการ ก็จะยอมรับสารภาพ ไม่ค่อยต่อสู้หรือปฏิเสธ อาจเป็นเพราะกะเหรี่ยงมีวัฒนธรรมที่เชื่อฟังและเคารพกฎเกณฑ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เข้าใจภาษาไทย ไม่รู้ขั้นตอนในการขึ้นศาล (หน้า 27-28, 31)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst เสาวนีย์ ศรีทับทิม Date of Report 09 พ.ค. 2556
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), สถานภาพ, การปกครอง, การดำรงชีวิต, ตาก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง