|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สถานภาพ,การปกครอง,การดำรงชีวิต,ตาก |
Author |
ณรงค์ ใจหาญ |
Title |
สภาพความเป็นอยู่และปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
47 |
Year |
2541 |
Source |
โครงการวิจัยประเมินสถานภาพองค์ความรู้ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
สภาพความเป็นอยู่และปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากเป็นผลมาจากปัญหาด้านการคมนาคม เนื่องจากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างไกลความเจริญ ทำให้บริการจากรัฐด้านต่างๆ เข้าไม่ถึง เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ ตามมา ทั้งปัญหาความยากจนเนื่องจากพื้นที่ทำการเกษตรไม่ได้ผล ปัญหาการไม่ได้รับสัญชาติไทย การขาดเอกสารสิทธิครอบครองในที่ดินทำกินของตน ปัญหาด้านสุขอนามัย ขาดแคลนครูเข้าไปสอน ขาดโรงเรียนและหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ยังพบอุปสรรคด้านภาษาและการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้นำหมู่บ้าน - ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ของทางการ ทำให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดูแลจากทางการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมคนพื้นราบ อีกทั้งเจตคติหรือทัศนคติเชิงลบของเจ้าหน้าที่ทางการต่อชาวเขา ส่งผลให้เกิดการตราข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในทางที่คล้ายเป็นการเลือกปฏิบัติ |
|
Focus |
เน้นศึกษาสภาพปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง จ.ตาก เช่น ปัญหาด้านสถานภาพ อนามัย การศึกษา การปกครอง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
พื้นที่ตั้งหมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ในจังหวัดตาก อยู่ในเขตอนุรักษ์ 318 หมู่บ้านยังไม่ได้รับการจัดตั้งอย่างถูกต้อง 347 หมู่บ้านอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 64 หมู่บ้าน อยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า 11 หมู่บ้านอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวเขาจึงประสบปัญหาการจัดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ที่จะมีสิทธิอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี การควบคุมการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ ทำให้มีผลกระทบต่อการพัฒนาชาวไทยภูเขา รวมถึงสภาพการดำรงชีวิตและจิตใจของชาวไทยภูเขาอีกด้วย เพราะแนวทางการจัดสรรที่ดินและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของบุคคลในที่สูง มีความเกี่ยวโยงกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และแหล่งต้นน้ำลำธาร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ความขัดแย้งกับวิถีทางการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม เนื่องจากจังหวัดตาก มีเขตแดนติดต่อกับพม่า โดยเฉพาะอำเภอท่าสองยางและพบพระ จึงมีปัญหาการอพยพย้ายถิ่นของชาวเขาจากนอกประเทศและในเขตจังหวัดอื่นเข้ามาอยู่ในพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาด้านการพิสูจน์ความเป็นคนไทยโดยการเกิด เพื่อออกสัญชาติไทยให้ (หน้า 6-7) |
|
Demography |
จากการสำรวจประชากรชาวเขาพบว่า ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดตากมีจำนวนประชากรมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 69.8 รองลงมาเป็นม้งและเย้า ในงานวิจัยผู้วิจัยเลือกกลุ่มประชากรเป็นตัวแทนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอท่าสองยาง จำนวน 7 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 7 คน คือ ขะแนจือทะ จั่วคี ทีจือหล่อดี ป้อยาลู่ ตะโข๊ะบี้ ห้วยปูแกง ระโตะโกร การคัดเลือกใช้แนวทางพิจารณาว่า เป็นผู้นำชาวบ้านที่สนใจปัญหา มีความคิดก้าวหน้า พบปัญหาด้วยตนเอง (หน้า 3) จากข้อมูลการวิจัยเดือนเมษายนปี 2539 พบว่า - หมู่บ้านขะแนะจือทะ ตำบลแม่ต้าน ประกอบด้วยบ้าน 62 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 300 คน ร้อยละ 85 ไม่ได้รับสัญชาติไทย บางส่วนมีทะเบียนหรือบัตรประจำตัวชาวเขา ที่เหลือไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนของทางอำเภอและของกรมประชาสงเคราะห์ - หมู่บ้านแม่หละโพคี ตำบลแม่หละ ประกอบด้วยบ้าน 32 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 205 คน ประชากรส่วนใหญ่ได้รับสัญชาติและมีบัตรประจำตัวแล้ว - หมู่บ้านจั่วคี ตำบลแม่หละ ประกอบด้วยบ้าน 52 หลังคาเรือน บ้านบริวาร 5 หลัง จำนวนประชากรประมาณ 300 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 20 คน - หมู่บ้านพาตี้หม่อโจ ประกอบด้วยบ้าน 37 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 247 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 20 คน - หมู่บ้านจาตุ ประกอบด้วยบ้าน 26 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 100 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 10 คน - หมู่บ้านโหย่แฮหล่อโกร ประกอบด้วยบ้าน 11 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 90 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 5 คน - หมู่บ้านน้อยคำ ประกอบด้วยบ้าน 16 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 90 คน ผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 5 คน - หมู่บ้านขุนห้วยแม่หละ ประกอบด้วยบ้าน 26 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 100 คนผู้มีบัตรประชาชนจำนวน 5 คน - หมู่บ้านขุนแม่ต้อคี ประกอบด้วยบ้าน 70 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 400 คน ชาวบ้านกว่าร้อยละ 75 ไม่มีทะเบียนบ้าน มีปัญหาด้านทะเบียนราษฎร์มาก - หมู่บ้านเลอเบ้ปลาคี ตำบลแม่ต้าน ประกอบด้วยบ้าน 50 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 250 คน เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่มีบัตรประชาชน - หมู่บ้านป้อยาลู่ ตำบลแม่ต้าน ประกอบด้วยบ้าน 30 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 200 คน ชาวบ้านบางส่วนมีทะเบียนบ้าน แต่ไม่ได้สัญชาติ (หน้า 14-15) ปัญหาด้านประชากรศาสตร์ที่พบส่วนใหญ่คือ การจัดทำทะเบียนบ้านและการพิจารณาให้สัญชาติ ส่งผลให้บุคคลที่ไม่ได้รับสัญชาติและไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ ไม่ได้รับบริการจากรัฐอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังพบปัญหาชาวเขานอกประเทศและชาวเขาในเขตจังหวัดอื่น อพยพโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำกิน ส่งผลต่อการพิสูจน์ความเป็นคนไทยโดยการเกิด เพื่อออกสัญชาติไทยให้ (หน้า 6-7) |
|
Economy |
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมักไม่นิยมตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตร บางหมู่บ้านกลับคัดค้านการอนุญาตให้ทำไม้ในหมู่บ้านตน เช่น หมู่บ้านห้วยปูแกง ปัจจุบันพบว่ามีนายทุนเข้ามา บุกรุกทำลายป่า แต่จากสถิติการสำรวจของทางการพบว่า มีการบุกรุกทำลายแหล่งต้นน้ำลำธารจนสูญเสียพื้นที่ป่า หน้าดินเกิดการพังทลายจนต้องออกมาตรการควบคุมนอกจากนี้ กะเหรี่ยงยังประสบปัญหาสิทธิในที่ดินทำกิน เนื่องจากขาดเอกสารสิทธิและหลักฐานการครอบครองที่ดิน ในขณะที่ชาวบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีปัญหาการบุกรุกพื้นที่เขตอนุรักษ์ เพราะชาวเขาปลูกพืชที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรป่าและต้นน้ำ (หน้า 9, 25-27, 29-30) โดยปกติการใช้พื้นที่ดินทำกินของกะเหรี่ยงเป็นแบบอนุรักษ์ ชาวบ้านในหมู่บ้านจะได้รับการจัดหาพื้นที่ทำกินรองรับ โดยมุ่งเน้นให้หมู่บ้านที่พร้อมช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าด้วย การปลูกป่าทดแทน การใช้ที่ดินทำกินเพื่อปลูกพืชหมุนเวียน ไม่ถางหรือเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย หมู่บ้านที่ปลูกในเขตต้นน้ำลำธารเขตป่าอนุรักษ์ จำเป็นต้องอพยพเคลื่อนย้าย จัดระเบียบชุมชนเสียใหม่ เพื่อพัฒนาให้หมู่บ้านชาวเขาเป็นกลุ่มบ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีกรมพัฒนาที่ดินคอยประสานงานดูแลเพื่อให้เกิดการใช้ที่ดินบนพื้นที่สูง และเพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ (หน้า 12, 26) อย่างไรก็ดี การควบคุมการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำส่งผลกระทบต่อสภาพการดำรงชีวิตและจิตใจ การพัฒนาของชาวไทยภูเขา เนื่องจากแนวทางการใช้ประโยชน์ในที่ดินบนพื้นที่สูง ขัดแย้งกับวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมของชาวเขา นอกจากนี้ยังพบข้อจำกัดด้านพื้นที่ เนื่องมาจากสภาพพื้นที่ดินมีความลาดชันอีกทั้งยังขาดแหล่งน้ำ ขาดความรู้ด้านเทคนิคเพื่อการประกอบอาชีพหลักด้านการเกษตรทำให้ได้ผลผลิตต่ำ ชาวเขาจังหวัดตากจึงต้องประสบปัญหาความยากจน จากการศึกษาสภาพปัญหา ทำให้การพัฒนามุ่งเน้นวิธีการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรเพื่อยกระดับรายได้เฉลี่ยของครอบครัว (หน้า 6 - 7) ปัจจุบันชาวเขาในจังหวัดตาก ยังคงลักลอบปลูกฝิ่นและมีผู้ติดฝิ่นอยู่จำนวนมากทั้งยังมีแนวโน้มการติดสารเสพติดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นกลุ่มชาวเขาที่ด้อยคุณภาพ สำหรับพื้นที่ปลูกพืชเสพติด 6 อำเภอ คิดเป็น 106 ไร่ชาวเขาที่ติดฝิ่นร้อยละ 2.4 จำนวน 2,158 คน แม้ทางการจะมีแผนป้องกันและปราบปรามเข้มงวดในพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาและจัดตั้งหมู่บ้านตามกฎหมายแล้วก็ตาม ทางการมีโครงการควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาชาวเขา พร้อมมีแผนลดอัตราการปลูกพืชเสพติด ส่งเสริมการปลูกพืชอื่นแทนฝิ่นและประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจถึงพิษภัย อีกทั้งยังมีการบำบัดรักษาฟื้นฟูจนสามารถลดจำนวน ผู้เสพลงเหลือเพียงร้อยละ 1 แล้วก็ตาม (หน้า 9, 11) การประกอบอาชีพของกะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าวพอกิน ใช้พื้นที่เพาะปลูก 10 - 15 ไร่ ที่ดินได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษการใช้พื้นที่ทำกินมีลักษณะอนุรักษ์ นิยมปลูกพืชหมุนเวียน ไม่ทำไร่เลื่อนลอยหรือเผาป่า นอกจากนี้ยังปลูกถั่วเหลืองไว้ขาย หมู่บ้านที่อยู่บนดอยจะเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองเอง บ้างก็ทำไร่ทำนา หากพื้นที่ไม่ห่างไกลถนนจะใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ส่วนหมู่บ้านบนดอยจะใช้การเกษตรแบบดั้งเดิม ทำการเพาะปลูกเมื่อมีฝน บ้านที่ติดริมห้วยมีนาไว้ทำการเพาะปลูก หมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่บนดอยมักปลูกผักนอกฤดูฝน กะเหรี่ยงมักไม่นิยมเลี้ยงสัตว์ขายเป็นอาชีพ ส่วนใหญ่จะเลี้ยงไว้รับประทานเอง กะเหรี่ยงบางคนทำหน้าที่เป็นคนกลาง อาชีพอื่นนอกจากการเกษตรและแรงงานแล้ว ยังมีการจักสาน ทอผ้า ส่วนคนรุ่นใหม่ออกไปหางานทำในตัวเมือง เช่น รับจ้างเกี่ยวข้าวได้ค่าแรงวันละ 30 บาท (หน้า 25-26) |
|
Social Organization |
กลุ่มครัวเรือนหมู่บ้านกะเหรี่ยงประกอบด้วยคนกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มอาวุโสชาย มักเป็นผู้ที่แต่งงานแล้วมากกว่าชายโสด ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ เช่น การตัดสินคดีความ การปรับไหม กลุ่มเครือญาติสายมารดา มีหัวหน้าสายเป็นหญิงอาวุโส แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกของลูกหลานฝ่ายมารดา กลุ่มที่มีสมาชิกมากกว่าจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องต่าง ๆ เช่น สิทธิประโยชน์ในการครอบครองที่ดิน เป็นต้น กลุ่มสตรีแม่บ้าน มีบทบาทหน้าที่ต่อชุมชน เช่น ให้ความร่วมมือกับทางการส่งเสริมกิจกรรมของชุมชน มักวางบทบาทเป็นช้างเท้าหลังนอกบ้าน แต่ในบ้านช่วยชี้แนะและช่วยในการตัดสินใจ |
|
Political Organization |
การปกครอง กะเหรี่ยงรู้จักนายกรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นใคร แต่ยังไม่เคยเห็นนักการเมืองเข้ามาถึงหมู่บ้าน ใช้ผู้ใหญ่เป็นผู้แทนประสานงานติดต่อกับทางอำเภอ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขอสัญชาติของกะเหรี่ยง ตามระเบียบของสำนักงานทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการให้สัญชาติไทยแก่ชาวไทยภูเขา พ.ศ.2535 มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้คือ 1. เป็นบุคคลในความดูแลของหน่วยราชการ ได้รับการตรวจสอบและจดทะเบียนราษฎรชาวเขา 2. บุคคลตามข้อ 1 ต้องมีคุณสมบัติภายใต้เงื่อนไขดังนี้ 2.1 เกิดในประเทศไทยและบรรลุนิติภาวะหรือสมรสแล้วตามประเพณี 2.2 มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งถาวร มีรายการในทะเบียนบ้าน เป็นบุคคลที่มีหลักฐานทางทะเบียนต่อเนื่องกันมาไม่น้อยกว่า 5 ปีในเขตอำเภอเดียวกัน การมีถิ่นที่อยู่ใหม่อย่างถาวรด้วยการสมรส และแจ้งย้ายตามระบบทะเบียนราษฎรถูกต้อง รวมระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี 2.3 ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต มีอาชีพที่ไม่เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือประเทศชาติ 2.4 ไม่ปลูกพืชเสพติด หากเคยปลูกมาก่อนต้องเลิก 3. การร้องขอสัญชาติทำได้โดยยื่นต่อนายทะเบียนท้องที่ กรณีผู้ร้องมีบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ให้แจ้งชื่อบุตรพร้อมอายุไว้ในคำร้อง ยกเว้นบุตรสมรสแล้วให้ยื่นเรื่องต่างหาก สำหรับชาวไทยภูเขาที่เป็นผู้เยาว์ บิดามารดาเสียชีวิต หรือไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ต้องให้ผู้ปกครองผู้อุปการะเลี้ยงดูซึ่งมีสัญชาติไทยยื่นคำร้องแทน 4. ในการลงสัญชาติตามคำร้อง นายทะเบียนจะเป็นผู้ตรวจสอบเอกสารและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อนายอำเภอ ภายใน 10 วัน จากนั้น นายอำเภอจะสอบข้อเท็จจริง แล้วเสนอเรื่อง การสอบข้อเท็จจริงต้องกระทำภายในเวลา 20 วัน เงื่อนไขของการที่มี สิทธิยื่นขอสัญชาติไทยนั้น ต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 5 ปี มีความประพฤติดีและไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ ทั้งยังเป็นประเด็นชวนคิดว่าเข้าข่ายขัดต่อสิทธิมนุษยชนหรือไม่ (หน้า 15 - 17) ในส่วนปัญหาของไทยกะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยาง มักพบปัญหาคาบเกี่ยวด้านความมั่นคง ยังคงมีกะเหรี่ยงที่ลักลอบเข้าเมือง เนื่องมาจากการปราบปรามของรัฐบาลพม่าเสมอ จากข้อมูล พบปัญหาด้านการพิสูจน์ผู้มายื่นคำร้อง ว่าเป็นชาวเขาที่เกิดในประเทศจริงหรือไม่ โดยทั่วไปจะให้ผู้ใหญ่บ้าน ครู หมอตำแยช่วยรับรอง เกณฑ์ในการลงสัญชาติ ชาวเขาจะต้องพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากกลัวการสวมตัวลักลอบเข้าประเทศ ปัญหาดังกล่าว เกิดจากการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ทะเบียน มักนำชื่อคนเสียชีวิตมาขอลงสัญชาติให้ชาวเขาต่างด้าวเพื่อขอเป็นคนไทย การลงสัญชาติจึงต้องเน้นที่สามารถพูดไทยได้ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าเกิดในเมืองไทยจริง ผู้วิจัยให้ข้อโต้แย้งว่าเกณฑ์ดังกล่าวนี้อาจไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายการเกิดในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องพูดภาษาไทยได้ เพราะชาวเขาเองก็ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะคนที่มิได้อยู่ในวัยเรียนก็จะเขียนหรือพูดภาษาไทยไม่ได้เลย นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ปัญหาอีกประการหนึ่งที่พบก็คือ ข่าวลือและการแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อเรียกเก็บเงินค่าขอสัญชาติ กะเหรี่ยงบางหมู่บ้านซึ่งเคยถูกหลอกลวง จึงไม่อยากเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีก (หน้า 18-19) อุดมการณ์และความคาดหวังของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เนื่องจากทางการได้ตราแผนแม่บทที่วางแนวทางไว้ว่า ต้องการให้ชาวเขาอยู่ร่วมกับสังคมไทยโดยไม่ก่อปัญหา มีจิตสำนึกความเป็นไทย และตระหนักในสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากทัศนคติที่ว่า การขาดจิตสำนึกความเป็นคนไทยอาจเป็นชนวนให้ชาวเขาก่อปัญหาด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมตามมา จนถึงกับมีการตราข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในการขอลงสัญชาติไทย สำหรับกะเหรี่ยงที่จังหวัดตากใช้เกณฑ์หลักคือ ความสามารถในการพูดภาษาไทยได้ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันว่าเกิดในเมืองไทยจริง ในขณะที่ผลการวิจัยพบว่า ในจิตสำนึกของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ต่างก็มีความรู้สึกว่าตนเป็นคนไทยคนหนึ่ง มีหน้าที่ต้องทำประโยชน์ต่อสังคมไทยเช่นกัน (หน้า 7, 18, 30) คณะผู้วิจัยยังได้สอบถามถึงความคาดหวัง สะท้อนความรู้สึกของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ซึ่งมีความคาดหวังหลัก ๆ คือ ความต้องการมีบัตรประชาชน ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาในการออกไปรับจ้างทำงานนอกพื้นที่ ทำให้ได้สิทธิในการครอบครองที่ดิน เนื่องจากกะเหรี่ยงขาดเอกสารสิทธิและหลักฐานในการครอบครอง ทั้งยังไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน นอกจากนี้การมีบัตรยังส่งผลต่อการได้รับบริการด้านอนามัย สามารถส่งลูกเข้าเรียนประถมได้ กะเหรี่ยงคาดหวังว่า จะได้รับการชี้แจงปัญหาจากเจ้าหน้าที่โดยตรง เพราะอุปสรรคที่พบด้านภาษา การเดินทาง และการที่ผู้นำหมู่บ้านขาดประสิทธิภาพในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ แม้กะเหรี่ยงท่าสองยางจะเกิดในเมืองไทยหลายชั่วคน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ได้รับสัญชาติไทย ความคาดหวังที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การมีครูสอนในหมู่บ้านและการมีโรงเรียนที่ได้มาตรฐาน บางคนหวังให้มีการสอนภาษากะเหรี่ยงเพื่อให้เด็กเล็กได้เรียนภาษาของตนในโรงเรียนด้วย (หน้า 28-30) |
|
Belief System |
พิธีกรรม-ความเชื่อ-ศาสนา แม้ปัจจุบัน กะเหรี่ยงยังคงนับถือผีเช่นเดิม แต่พิธีกรรมบางอย่างกลับถูกแทนที่ด้วยพิธีกรรมทางศาสนา ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยางนั้น มีทั้งกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ กะเหรี่ยงพุทธมีวัดในหมู่บ้าน การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี กะเหรี่ยงยังคงเชื่อถือชนเผ่าตามจารีตประเพณี การกินผี เลี้ยงผี เสียผี และหมอผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 27-28, 32) |
|
Education and Socialization |
กะเหรี่ยงให้ความเคารพนับถือพระในฐานะที่เป็นผู้ช่วยสอนหนังสือ ทั้งยังช่วยพัฒนาหมู่บ้าน นิยมส่งลูกไปบวชเรียนที่เชียงใหม่ ส่วนกะเหรี่ยงคริสต์ มีโรงเรียนมิชชันนารีในอำเภอให้การสนับสนุนด้านการศึกษา (หน้า 27-28) กะเหรี่ยงที่อายุมากมักไม่ได้รับการศึกษา แต่มีค่านิยมในการส่งเสริมการศึกษาของลูกหลาน มักหวังให้ลูกหลานนำความรู้มาพัฒนาหมู่บ้าน ส่วนวัยรุ่นหวังจะใช้วุฒิเป็นใบเบิกทางในการประกอบอาชีพครอบครัวที่มีฐานะมักส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนสำนักงานประถมศึกษา สำหรับชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลจำเป็นต้องให้ลูกเรียนจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน หมู่บ้านที่ห่างไกลมักประสบปัญหาขาดแคลนครู หรือเปลี่ยนครูบ่อย อีกทั้งการที่เด็กไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านส่งผลให้เกิดปัญหาในการออกวุฒิบัตรให้ เด็กที่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน หรือไม่มีสัญชาติจะไม่ได้เรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติ กะเหรี่ยงอำเภอท่าสองยางที่ได้รับการศึกษาจากมิชชันนารีถึงชั้นประถม 6 จะได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาต่อ มีการคัดเลือกเด็กที่มีสติปัญญาดีจากหมู่บ้านเพื่อเข้ามารับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี โดยไม่มีข้อผูกมัดที่จะใช้ทุน และไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาคริสต์ ปัญหาด้านการศึกษาที่พบคือ นักเรียนกะเหรี่ยงมักนิยมพูดภาษากะเหรี่ยงมากกว่าภาษาไทย เนื้อหาหลักสูตรไม่สอดคล้องกับสภาพชีวิตเป็นเรื่องไกลตัว เด็กชาวเขามักมีผลสัมฤทธิ์และความพร้อมในการเรียนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ มักเรียนไม่จบหลักสูตร ตกซ้ำชั้นบ่อย ๆ บ้างก็ขาดเรียนไปนานเพราะป่วย บางคนแต่งงานตั้งแต่อายุ ยังน้อยจึงไม่สนใจเรียนต่อ นอกจากนี้สภาพปัญหาที่พบ พบว่ามีหมู่บ้านจำนวน 136 หมู่บ้านที่รัฐไม่เอื้อให้บริการ ชาวเขาร้อยละ 17.3 เป็นผู้ที่สามารถอ่าน เขียนหนังสือไทย มีอายุระหว่าง 14 - 50 ปี และมีเด็กในวัยเรียนได้รับการศึกษาภาคบังคับร้อยละ 38.1 สำหรับปัญหาด้านสวัสดิการสังคม มีการอพยพของแรงงานชาวเขาเข้าสู่เมืองเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เนื่องจากภาคเกษตรกรรมไม่ประสบผล พบการอพยพของประชากรวัยแรงงานถึงร้อยละ 11.9 ก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่นตามมา อาทิ การหย่าร้าง เด็กและคนชราถูกทอดทิ้ง การใช้แรงงานเด็กและสตรี บางส่วนถูกผลักดันเข้าสู่ขบวนการค้าประเวณี จำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้าไปจัดระบบ เพื่อให้เกิดสวัสดิการสอดคล้องกับความต้องการและเพื่อให้เป็นไปอย่างทั่วถึง (หน้า 8, 24-25) |
|
Health and Medicine |
บริการด้านอนามัย สภาพปัญหาโดยรวมแล้ว ชาวเขามีสุขอนามัยในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับคนพื้นราบ พบการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ร้อยละ 27.3 ประสบภาวะขาดสารอาหาร ร้อยละ 23.8 ขาดสารไอโอดีน กะเหรี่ยงท่าสองยางดูแลรักษาสุขภาพโดยผสมผสานการรักษาด้วยวิธีพื้นบ้านกับการรักษาตามแผนปัจจุบัน ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจะมีผู้ช่วยสาธารณสุขชุมชนเป็นคนประสาน ด้านการให้บริการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค หรือได้ยาพื้นบ้านจากครู สำหรับกะเหรี่ยงห้วยปูแกง เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะรักษากับหมอพื้นบ้าน หรือหมอผีประจำหมู่บ้านใช้น้ำมนต์ การรักษาเรียกว่า "กินผี" มีหมอตำแยทำคลอด หากมารดาตายเมื่อมีเด็กคลอดเชื่อว่า เด็กจะตายตาม เพราะวิญญาณจะมาเอาลูกไปอยู่ด้วย ใช้วิธี "อยู่ก็เลี้ยง ตายก็ฝัง" ความเชื่อที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยจะมีการประกอบพิธีกรรม อาทิ การฆ่าสัตว์จำพวก หมู ไก่ การต้มเหล้าเพื่อใช้ในพิธีกรรม จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลกรณีที่เจ็บหนักหากหมู่บ้านไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก ส่วนสถานีอนามัยนั้นมีไม่ครบทุกหมู่บ้าน บางแห่งบริการของรัฐยังเข้าไม่ถึง ชาวบ้านจะประสบปัญหาต้องเดินทางไกลเพื่อไปรับบริการจากอนามัยในหมู่บ้านอื่น บางหมู่บ้านผู้ช่วยดูแลได้ไม่ทั่วถึงทำให้เกิดโรคระบาด บางครั้งก็เกิดการเสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย ท้องร่วง ส่วนในหมู่ผู้สูงอายุ มักเป็นโรคคอพอกเนื่องจากขาดธาตุไอโอดีน บางครั้งก็เป็นนิ่วเพราะดื่มน้ำโดยไม่ได้ต้ม ชาวบ้านในโครงการแปเป้อ ต้องการให้ตั้งกองทุนยาเพื่อสงเคราะห์การรักษาพยาบาล ทั้งยังต้องการให้สนับสนุนโภชนาการเด็กและสตรีในหมู่บ้านที่ห่างไกล โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคอยให้คำแนะนำให้ความรู้และให้บริการสม่ำเสมอทุกหมู่บ้าน นอกจากนี้ ชุมชนยังต้องการให้รัฐสนับสนุนด้านยารักษาโรค อาทิ ยาป้องกันไข้มาลาเรีย โรคขาดสารไอโอดีนและเท้าช้าง (หน้า 8 - 9, 22-24) ตัวอย่างปัญหาอนามัยที่พบ อาทิ ชาวเขาหมู่บ้านจะแนจือขาดแคลนห้องสุขา ภาชนะในการประกอบอาหารไม่สะอาดตามหลักอนามัย อนามัยหมู่บ้านจั่วคีอยู่ภายในการดูแลของสาธารณสุขชุมชนบ้านกามาผาโด้ เนื่องจากอยู่ห่างไกลอำเภอ (หน้า 21) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การที่กะเหรี่ยงท่าสองยางยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรม สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้มากกว่าเผ่าอื่น เป็นผลดีต่อการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม กฎศีลธรรมในหมู่บ้านและชนเผ่า เนื่องจากห่างไกลถนนมาก การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม วัฒนธรรมอันเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของกะเหรี่ยง เมื่อได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมชาวพื้นราบก็เปลี่ยนแปลงไปมากในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ความเจริญ (ติดถนน) ผู้นำหมู่บ้านซึ่งมีแนวคิดเชิงอนุรักษ์เห็นว่า วัฒนธรรมของคนพื้นราบเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรรับและ มักไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางส่วนเห็นว่า ทำให้เกิดการพัฒนา ในขณะที่บางสิ่งจำเป็นต้องคงรักษาไว้ กะเหรี่ยงบางหมู่บ้านมีปัญหาการต้มเหล้าเถื่อน ผู้ใหญ่บ้านเอาเปรียบราษฎร การเล่นพนัน บางหมู่บ้านก็ยังมีคนติดฝิ่น และพบการค้ายาบ้า การติดต่อกับคนพื้นราบกี่ยวเนื่องกับการค้าขายหรือติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางการ พบอุปสรรคด้านภาษาและการสื่อสาร เนื่องจากกะเหรี่ยงส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ เจ้าหน้าที่เองก็พูดจาไม่ดี และบางทีก็มีการขอเงินใต้โต๊ะ ทำให้ชาวบ้านต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเกินกว่าเหตุ กะเหรี่ยงท่าสองยางมักไม่นิยมติดต่อราชการ และไม่ค่อยรักษาสิทธิของตน ทั้งยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึก และเมื่อมีปัญหากับทางการ ก็จะยอมรับสารภาพ ไม่ค่อยต่อสู้หรือปฏิเสธ อาจเป็นเพราะกะเหรี่ยงมีวัฒนธรรมที่เชื่อฟังและเคารพกฎเกณฑ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เข้าใจภาษาไทย ไม่รู้ขั้นตอนในการขึ้นศาล (หน้า 27-28, 31) |
|
|