|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทลื้อ,ประวัติ,ความเป็นอยู่,ประเพณี,ภาษา,เชียงใหม่ |
Author |
รัตนาพร เศรษฐกุล, ชุลีพร วิมุกตานนท์, ราญ ฤนาท |
Title |
การสำรวจทางชาติพันธุ์ของชนเผ่าไทในลุ่มแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
84 |
Year |
2529 |
Source |
เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยพายัพ |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น คือ อธิบายประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเมืองลวง การตั้งถิ่นฐาน ชีวิตความเป็นอยู่ของไทลื้อบ้านเมืองลวง การจัดระเบียบทางสังคม ของชุมชน |
|
Focus |
แบบแผนการตั้งถิ่นฐาน ประวัติการก่อตั้งชุมชน ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถี การดำรงชีวิต โดยเน้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใช้แนวทฤษฎีอะไรเป็นกรอบในการจัดระเบียบข้อมูล แต่พยายามแสดงให้เห็น การเปลี่ยนแปลงระบบความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม เช่น ในสถาบันครอบครัว เครือญาติ การครองเรือน เศรษฐกิจ ความเชื่อ เป็นต้น (หน้า 63-81) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทลื้อบ้านเมืองลวง (หน้า 1-84) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทลื้อนั้นมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทอื่น เช่น ไทยวน ไทเขินและไทเหนือ ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนต่างกันตรงสำเนียงเท่านั้น (หน้า 10) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไทลื้อบ้านเมืองลวงมีความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของตนเองว่า บรรพบุรุษได้เดินทางอพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนาซึ่งปัจจุบันอยู่ในมณฑลยูนานทางใต้ของจีน เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านเมืองลวงราวพุทธศตวรรษที่ 20 เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะ สงคราม มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการอพยพของไทลื้ออีก 2 เหตุการณ์ คือ สงครามกับฮ่อในรัชสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนและการยกทัพไปตีสิบสองปันนาในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช จากข้อสรุปของผู้เขียนโดยอาศัยหลักฐานต่างๆ เข้า ด้วยกัน ในพุทธศตวรรษที่ 20 ได้มีชุมชนเรียกว่า "พันนาฝั่งแกน" ในบริเวณที่เป็นเมือง ลวง ปัจจุบันซึ่งยังเหลือร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีอยู่ แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นชุมชน ไทลื้อหรือไม่ แต่บรรพบุรุษของไทลื้อในปัจจุบันอพยพมาภายหลัง (หน้า 8,12-14) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของบ้านเมืองลวงจะอยู่รวมกันเป็นกระจุกเรียงรายตาม 2 ฝั่ง ตามแนวลำเหมืองแม่ลาย (หน้า 17) |
|
Demography |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนแต่จากการสุ่มตัวอย่างของชาวบ้านน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 114 ครัว เรือน (หน้า 20,23-25,39,69) |
|
Economy |
ลักษณะเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตัวเองเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้วในชุมชนบ้านเมืองลวง กิจกรรมอื่น ๆ ที่ชาวบ้านนิยมทำกันในยามว่าง เช่น งานจักสาน งานทอผ้า ก็ทำเพื่อประโยชน์ใช้สอยภายในครอบครัวทั้งสิ้น หากครัวเรือนใด บ้านใด ขาดเหลือสิ่งอุปโภคบริโภคก็จะใช้วิธีแลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งกันและกัน ระบบเงินตราถูกนำมาใช้ในชุมชนบ้านเมืองลวงในระยะแรกเพียงเพื่อใช้จ่ายในด้านพิธีกรรม เช่น การปรับไหม ต่อมา ในระยะหลังเงินได้เพิ่มความสำคัญให้กับตัวเองและทำให้เศรษฐกิจของบ้านเมืองลวง เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับเศรษฐกิจหมู่บ้านชนบททั่ว ๆ ไปในภาคเหนือด้วย ไทลื้อบ้านเมืองลวงยังคงมีอาชีพหลักในการทำนาอยู่ ผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่จะนำมาใช้สำหรับการบริโภคภายในครอบครัว เหลือจากนั้นจึงนำไปขาย บางปีหากมีน้ำพออาจปลูก พืชชนิดอื่นหมุนเวียนแทนข้าวได้ เช่น ถั่วเหลือง พริก กระเทียมหากปริมาณน้ำไม่เพียง พอ ชาวบ้านจะออกไปรับจ้างซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดขณะนั้น ลักษณะการถือครองที่ดินของครัวเรือนส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 65.1 มีที่ดินเป็น ของตัวเอง ร้อยละ 24.6 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินนั้นไม่ได้เช่าที่ผู้อื่นทั้งหมด เพราะได้รับอนุญาตให้ทำกินในที่ดินของผู้เป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า สมัยก่อนแรงงานรับจ้างหายากชาวบ้านจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปช่วยกันและกัน เรียกว่า "เอามื้อเอาวัน" เจ้าของนาไม่ต้องเสียเงินจ้าง แต่จะมีการเลี้ยงอาหารตอบแทน ปัจจุบัน นิยมการจ้างแรงงานมากขึ้นเพราะแรงงานรับจ้างหาง่ายกว่าแต่ก่อนสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย น้อยกว่าผู้มาเอามื้อเอาวันและยังได้งานมากกว่าอีกด้วย เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของภาคเหนือเป็นที่ราบระหว่างภูเขาทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำสำหรับเพาะปลูกได้ จึงต้องสร้างเหมืองฝายเพื่อทดน้ำเอาไว้ใช้เพาะปลูก |
|
Social Organization |
ชาวบ้านเมืองลวงมีความสัมพันธ์ระหว่างครัวเรือนแบบใกล้ชิดและพึ่งพาอาศัยกัน ลักษณะโครงสร้างของสังคมที่ประกอบด้วยชาวบ้าน รูปแบบความสัมพันธ์และกิจกรรมที่ทำ ยังผลให้ชาวบ้านเมืองลวงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่อาศัยวิถีประชาและจารีต เป็นบรรทัดฐานการรวมกลุ่มทางสังคม มีลักษณะที่ทำให้มีโครงสร้างของชุมชนที่เข้มแข็งสามารถรักษาสถานะทางสังคมของตนได้ ครอบครัวมีลักษณะเป็นผัวเดียวเมียเดียว ขนาดของครอบครัวมีขนาดเล็กเป็นครอบครัวเดี่ยว (59.65%) เป็นครอบครัวขยาย 40.35% การสืบสายโลหิตจะให้ความสำคัญทั้งญาติทางพ่อและแม่ หลังการสมรสนิยม มาอยู่กับญาติทางฝ่ายหญิง บุตรจะใช้นานสกุลของผู้เป็นพ่อ ลักษณะอำนาจที่ใช้ภายใน ครอบครัวจะให้อำนาจแก่บิดา ลักษณะของการสืบมรดกและมารดาจะแบ่งให้ลูกทุกคนโดยเท่าเทียมกัน การรวมกลุ่มทางสังคมของไทลื้อมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1. กลุ่มที่ทางการจัดตั้งขึ้น ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น ชาวบ้านให้ความสนใจ ในการเข้าเป็นสมาชิกไม่มากเท่าที่ควร เพราะยังไม่เข้าใจในหลักการ รวมทั้งยังไม่มั่นใจในหลักการ รวมทั้งไม่มั่นใจว่าตนจะได้รับประโยชน์หรือไม่ 2. กลุ่มที่ยอมรับว่าเป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มสตรีแม่บ้านมีบทบาทในการพัฒนาหมู่บ้านในวันสำคัญต่าง ๆ กลุ่มหนุ่มสาวมีบทบาทในการต้อนรับแขกต่างถิ่นที่มาเยี่ยมเยียนในงานเทศกาลต่าง ๆ นอกจากนี้มีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเจริญในแง่ของความทันสมัย ขณะเดียวกันก็ยังเป็นกลุ่มที่อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างไว้ได้อย่างดี เช่น กลุ่มช่างฟ้อน เป็นต้น กลุ่มฌาปนกิจดำเนินการในงานศพของสมาชิกซึ่งมีเงื่อนไขในการส่งเงินค่าสมาชิกครอบครัวละ 20 บาท เป็นลักษณะของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (หน้า 18,33-35,45-48,68) |
|
Political Organization |
ในอดีตผู้ปกครองชุมชน คือ แคว่นและแก่บ้าน รับผิดชอบหมู่บ้านของตนเองแคว่นจะคอยเก็บรวบรวมภาษีอากรให้เจ้านายเชียงใหม่ด้วย ในปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่บ้าน วิธีเลือก ผู้ใหญ่บ้านนั้นจะต้องเรียกประชุมชาวบ้านทั้งหมด มีประธานมักจะเป็นนายอำเภอหรือ ปลัดอำเภอและคณะกรรมการเลือกตั้ง ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าอาจจะเสนอชื่อบุคคลที่ตน เห็นว่าเหมาะสมขึ้น การเสนอชื่อแต่ละคนจะต้องมีผู้ออกเสียงรับรอง หลังจากนั้นชาวบ้านจะลงคะแนนลับ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ใหญ่บ้านคนต่อไป (หน้า 40-42) |
|
Belief System |
ชาวบ้านเมืองลวงนับถือพุทธศาสนาแล้วยังมีความเชื่อเรื่องผีปู่ย่าเป็นผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิงคอยปกป้องคุ้มครองสมาชิกในครอบครัว นับถือเสื้อบ้านหรือพ่อบ้านแม่บ้าน เป็นผู้คุ้มครองหมู่บ้านทั้งหมด หากมีคนป่วยในบ้านก็มักเชื่อกันว่าเป็นเพราะผีปู่ย่า โกรธ เนื่องจากมีผู้กระทำ "ผิดผี" คือ การที่ชายหญิงแตะเนื้อต้องตัวกันหรือ "ไปสู่" คือ ได้เสียกัน เป็นการกระทำผิดประเพณีทำให้ผีบรรพบุรุษไม่พอใจจึงบันดาลให้ญาติของ ฝ่ายหญิงเจ็บป่วย ฝ่ายชายต้องเสียผีโดยค่าเสียผีประมาณ 4 แถบ ครอบครัวของฝ่าย หญิงจะจัดการเลี้ยงผีโดยใช้หัวหมูหรือ "เหล้าไหไก่คู่" ตามความนิยมของบ้าน ความเชื่ออื่นๆก็ เช่น การสักน้ำหมึกรอบตัวบริเวณขาถึงท้องเชื่อว่าทำให้อยู่ยงคงกระพันมีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเหมืองฝาย คือ ก่อนทำการเพาะปลูกจะมีการบูชาผีฝายที่ทำหน้าที่ดูแล เหมืองฝายให้มีน้ำพอเพียงสำหรับการใช้ในหมู่บ้านตลอดทั้งปี รวมทั้งช่วยดูแลป้องกัน รักษาไม่ให้เหมืองฝายต้องได้รับความเสียหายจากภัยอันตราย พิธีกรรมนี้จะช่วยสร้าง ความมั่นใจให้แก่ชาวบ้านก่อนที่จะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกต่อไป (หน้า 34,55,58-59,61-62) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนของบ้านเมืองลวงก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2464 โดยอาศัยศาลาบาตรในบริเวณวัดศรีมุงเมืองเป็นห้องเรียน ให้ชื่อว่า โรงเรียนประชาบาลตำบลลวงเหนือ (บำรุงราษฏร์วิทยา) เริ่มสอนตั้งแต่ชั้นประถม 1-3 ต่อมาในปี พ.ศ.2495 มีการสร้างอาคารสถานที่ใหม่ในบริเวณที่เป็นโรงเรียนปัจจุบันซึ่งเป็นธรณีส่งฆ์เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนบ้านลวงเหนือ ชาวบ้านให้ความสนใจส่งบุตรหลานมารับการศึกษาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีการขยายถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อมาได้เพิ่มชั้นประถมปีที่ 5 ใน พ.ศ. 2514 และชั้นประถมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2517 ชาวบ้านเมืองลวงที่มีฐานะดีมักนิยมส่งบุตรหลานไปเข้าโรงเรียนในเมืองและให้เรียนต่อไปถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อจะมีโอกาสในการทำงานที่ดีขึ้น ส่วนที่ไม่มีโอกาสศึกษาในระดับสูงนั้นมักประกอบอาชีพสืบต่อจากบิดามารดา แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังมีโอกาสรับการอบรมวิชาชีพต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยอบรม |
|
Health and Medicine |
เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้น ชาวบ้านที่เชื่อในเรื่องผีจะรักษาโดยการไปถามผีเจ้านายหรือ ถามผีหม้อนึ่ง โดยนำดอกไม้ ธูป เทียน วัน เดือน ปี เกิดและเสื้อผ้าผู้ป่วยพร้อมกับเงิน ค่าบูชาครูไปมอบให้ผู้เข้าทรงซึ่งจะทำพิธีเข้าทรงแล้วบอกสาเหตุและวิธีการแก้ไขการ เจ็บป่วย (หน้า 59) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในวัดศรีมุงเมืองมีเจดีย์แบบพม่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นแบบแนวใหม่ เสาแต่ละต้น และรูปนาคที่บันไดทางเข้าวิหารมีลักษณะรูปแบบและลายปูนปั้นแบบใหม่ เนื่องจาก ได้รับการปรับปรุงอย่างเสมอ (ภาพระหว่างหน้า 12-13) ลักษณะบ้านเรือนมีหลังคาลาด ต่ำลงมา ใต้ถุนสูงมีเสามาก (หน้า 50,52) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทลื้อเมืองลวงติดต่อค้าขายกับพ่อค้าจีน เงี้ยว พม่าและคนเมืองที่ตลาดดอยสะเก็ดและ ได้อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างไว้อย่างดี เช่น กลุ่มช่างฟ้อน (หน้า 36-37,46) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ ตามขั้นตอน เช่น จากการเปลี่ยนการผลิตเพื่อเลี้ยงดูตนเองไปสู่การผลิตเพื่อขาย มีการจ้างแรงงานมากขึ้นเพราะ แรงงานรับจ้างหาง่ายกว่าแต่ก่อน หน้าที่ของชาวบ้านในปัจจุบัน คือ การเสียภาษีอากร และปฏิบัติตามกฎหมายการเกณฑ์แรงงานถูกยกเลิก ขนาดของครอบครัวแต่เดิมเป็น ครอบครัวขยาย เนื่องจากมีความต้องการแรงงานในการผลิตทางการเกษตร แต่ปัจจุบัน เป็นครอบครัวเดี่ยว ที่อยู่อาศัยของคู่สมรสแต่เดิมหลังจากพิธีแต่งงานเสร็จแล้วเจ้าบ่าวต้องกลับไปอยู่บ้านของตนมากกว่า 3 วัน จึงจะกลับไปอยู่กับเจ้าสาวได้และต้องอยู่มี กำหนดอย่างช้า 3 ปี หลังจากนั้นผู้หญิงก็ไปอยู่บ้านผู้ชายอีก 3 ปี แล้วจึงแยกตัวไปตั้งครอบครัวอยู่ต่างหากได้ แต่ในปัจจุบันพบว่าภายหลังแต่งงานผู้ชายนิยมไปตั้งถิ่นฐานอยู่กับผู้หญิง และเนื่องจากคนเมืองเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองลวง จึงทำให้บางครอบครัวมีโอกาสเลือกที่อยู่อาศัยได้มากกว่าแต่ก่อน การแบ่งงานกันทำตามเพศและอายุลดความสำคัญลง จะเน้นที่ความสามารถและความรู้ที่ได้จากการเล่าเรียนมากขึ้น (หน้า 22,26, 45,63) |
|
Map/Illustration |
ภาพที่ 3 แผนที่หมู่บ้าน ภาพที่ 5 รูปถ่ายเจดีย์วัดศรีมุงเมือง ภาพที่ 6 รูปถ่ายภายใน วิหาร ภาพที่ 8 รูปถ่ายคันดิน ภาพที่ 9 รูปถ่ายกำแพง ภาพที่ 12 รูปถ่ายแหล่งน้ำใช้ใน การเกษตร ภาพที่ 14 รูปถ่ายเรือนไทลื้อ (หน้า ค,จ,ฉ,ฌ,ญ,ฏ,ฑ) |
|
|