|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,ตะกร้า,ประเพณี,ความคิดความเชื่อ,การเปลี่ยนแปลง,ศาสนาคริสต์,ภาคเหนือ |
Author |
Conelia Ann Kammeren |
Title |
Discarding the Basket: The Reinterpretation of Tradition by Akha Christians of Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
14 |
Year |
2539 |
Source |
Journal of Southeast Asian Studies 27, 2 (September 1996): 320-333? 1996 by National University of Singapore. |
Abstract |
อาข่ากล่าวถึงการละทิ้งหรือเลิกใช้ตะกร้าสะพายหลังว่าเป็นผลมาจากการกระทำตามคัมภีร์ทางศาสนาคริสต์ แต่จากการเก็บข้อมูลวิจัย นอกเหนือจากเหตุผลดังกล่าวแล้วอาข่าเองสมัครใจจะเลิกใช้ตะกร้าดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าไม่ร่วมสมัย |
|
Focus |
อิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อประเพณีของอาข่า ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่าเป็นชาวเขาที่ตั้งถิ่นฐานตามพื้นที่ภูเขา ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่แถบตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ทางตะวันออกของพม่า ทางตะวันตกของประเทศลาว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามและทางเหนือของประเทศไทย (หน้า 321) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
อาข่าใช้ภาษาในตระกูล พม่า-ธิเบต (Tibeto-Burman) (หน้า 321) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
อาข่ามีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาตั้งแต่ทางตอนใต้ของจีนลงมายังตอนเหนือของไทย เวียดนาม พม่าและลาว อาข่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทยราวปี ค.ศ. 1903 โดยมีความเชื่อดั้งเดิมเฉพาะกลุ่ม และไม่ได้นับถือคริสต์ศาสนาจนกระทั่งราวต้น ปี ค.ศ. 1960 ซึ่งเผยแพร่โดยมิชชันนารี ที่เข้ามายังไทยในปี ค.ศ. 1955 (หน้า 321-322) |
|
Demography |
อาข่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีราว 500,000 คน สำหรับอาข่าในประเทศไทยมีราว 32,000 คน และพื้นที่ที่มีอาข่ามากที่สุด คือ จ.เชียงราย (หน้า 321) |
|
Economy |
ไม่ได้ระบุโดยตรง แต่กล่าวถึงบ้างเล็กน้อย ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (ราวปี ค.ศ. 1990) อาข่ามีอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก วัฒนธรรมสำคัญที่แสดงให้เห็นคือ การใช้ตะกร้าสานสะพายหลัง สามารถขนสัมภาระต่างๆ ได้ดีรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรด้วย (หน้า 321, 325) หลังจากที่ความเจริญได้เข้ามาสู่ชุมชนอาข่า เกิดการติดต่อกันระหว่างคนพื้นราบกับอาข่ามากขึ้น ในที่สุดช่วงต้นปี ค.ศ.1990 อาข่าบางส่วนได้อพยพมาอยู่ จ.เชียงใหม่ เพื่อหาอาชีพและศึกษา (หน้า 332) |
|
Social Organization |
ในราวต้น ปี ค.ศ. 1990 มีจำนวนของอาข่าอาศัยอยู่ใน จ.เชียงใหม่ กว่าร้อยคน ดังนั้นในปี ค.ศ. 1993 อาข่าจึงรวมกันก่อตั้งสมาคมตามแบบสมาคมของประเทศจีน ซึ่งเป็นสมาคมที่เกี่ยวกับการการช่วยเหลือด้านพิธีศพ สมาชิกราว 300 รายมีทั้งนับถือศาสนาคริสต์ทั้งสองนิกาย และศาสนาพุทธ (หน้า 332) |
|
Political Organization |
ในปี ค.ศ. 1980 และ 1990 ทางรัฐบาลได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เกี่ยวกับการไร้ที่อยู่อาศัยถาวร มีผลโดยตรงกับอาข่า เนื่องจากได้รับการจัดสรรที่ดินให้อยู่ร่วมกันทั้งอาข่าที่นับถือศาสนาคริสต์ทั้งสองนิกายและศาสนา อื่น ๆ ในหมู่บ้านชาวเขา และได้มีการส่งเสริมให้อาข่าเป็นชาวเขาที่มีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม (หน้า 332) |
|
Belief System |
ระบบความเชื่อที่กล่าวถึงในบทความชิ้นนี้นอกจากความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับตำนานที่ว่ามีคนไทยเหนือ จีน ละหู่ ลีซอและอาข่า ได้เดินทางไปยังถิ่นของผู้สร้าง ตะกร้าที่สานจากไม้ไผ่ของทุกชนชาติล้วนแล้วแต่ชำรุด มีแต่ของอาข่าเท่านั้นที่แข็งแรงดังนั้นจึงไม่มีสิ่งของใด ๆ ตกหล่นเสียหายระหว่างทางเลย (หน้า 325-326) นอกจากความเชื่อดังกล่าวต่อมาเมื่อราว ปี ค.ศ.1957 คู่สามีภรรยามิชชันนารีตะวันตก ได้เดินทางจากพม่าเพื่อมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และสำเร็จลงในปี ค.ศ.1962 มีการตั้งหมู่บ้านคริสเตียนขึ้น ความสำเร็จนี้ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของการเปลี่ยนมานับถือคริสต์ โดยมีผู้มาร่วมงานมากมายจากทั้งชาติตะวันตก คนไทยพื้นราบและมิชชันนารีที่เคยเข้ามาเผยแพร่ศาสนา (หน้า 322-323) |
|
Education and Socialization |
หลังจากที่รัฐบาลไทยเข้ามาจัดสรรที่ดินสำหรับตั้งถิ่นฐานใน ปี ค.ศ. 1980 และ1990 ให้แก่อาข่าแล้ว รัฐบาลไทยได้เข้ามาจัดระบบการศึกษาและจัดหางานทำให้แก่อาข่าอีกด้วย (หน้า 325) |
|
Health and Medicine |
ในปี ค.ศ. 1990 เกิดการระบาดของเชื้อ เอชไอวี ในหมู่ของอาข่า ทางรัฐบาลไทยและมิชชันนารีได้เข้ามาให้ความรู้ ความเข้าใจและการศึกษาเพื่อให้รู้จักป้องกันตนเอง (หน้า 325-356) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่ได้ระบุแน่ชัด จากการประมวลบทความแล้วงานหัตถกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของอาข่า คือ ตะกร้าสะพายหลัง ตะกร้านี้สานมาจากไม้ไผ่ มีอยู่หลายขนาดเพื่อให้ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาข่าใช้ตะกร้าในการใส่สัมภาระต่างๆ โดยเฉพาะขนเม็ดข้าวจากบ้านไปยังทุ่งนา คล้ายๆ กับกระเป๋าสะพายของคนทั่วไป (หน้า 325,328) |
|
Folklore |
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตะกร้าสะพายหลังของอาข่าว่า นานมาแล้วกลุ่มชนต่าง ๆ ได้เดินทางไปยังที่ที่ผู้สร้างอยู่ ทุกชนเผ่ามีตะกร้าสะพายที่ไม่แข็งแรง สานไม่แน่นหนา ทำให้เมื่อใส่ข้าวเข้าไปแล้วตกหล่น แต่ตะกร้าของอาข่าแข็งแรงและสามารถใส่ข้าวจากบ้านมาที่ทุ่งนาได้ดีที่สุด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้สร้างจึงให้ตะกร้าสะพายหลังของอาข่าแก่ชนกลุ่มต่างๆ เพื่อจะนำไปใช้ (หน้า 325-326) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของอาข่านอกเหนือจากภาษาเฉพาะกลุ่ม และเครื่องแต่งกายแล้ว สิ่งที่แสดงเอกลักษณ์ได้ดีที่สุดในบทความนี้คือ ตะกร้าสะพายหลังสำหรับขนย้ายสัมภาระ โดยเฉพาะข้าวและผลิตผลทางการเกษตร ตะกร้าสะพายหลังนี้เรียกเป็นภาษาอาข่าว่า zah (หน้า 325-328) สำหรับความสัมพันธ์กับชนชาติอื่น ๆ มีปรากฏทั้งในเรื่องเล่า และที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน ได้แก่ คนจีน ลาว พม่า ไทย และชาวตะวันตก โดยเฉพาะชาวตะวันตกเป็นผู้ที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้แก่อาข่าภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา (หน้า322-323) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนใช้สัญลักษณ์ zah หรือตะกร้าใส่สัมภาระ แทนวัฒนธรรมดั้งเดิมของอาข่าที่ถูกละทิ้งไป ในปัจจุบันอาข่าคริสต์ไม่นิยมใช้ตะกร้าใส่สัมภาระ โดยให้เหตุผลว่าเป็นไปตามคัมภีร์หรือคำสอนทางศาสนา ที่กล่าวว่าให้ละสิ่งที่แบกอยู่ ผู้ที่แบกของในคัมภีร์คือชนชั้นแรงงาน สิ่งที่แบกอยู่นั้นอาข่าตีความว่าเป็นตะกร้า และอาข่าถือว่าตนไม่ใช่ชนชั้นแรงงานจึงไม่ควรแบกสิ่งใด ๆ ไว้ต่อไป แต่ในสายตาของมิชชันนารีกล่าวว่า เหตุผลสำคัญในการละทิ้งตะกร้า ซึ่งสัญลักษณ์สำคัญของตน เนื่องจากเห็นว่าเป็นการล้าสมัย และโบราณ (หน้า 325-329) อีกทั้งยังวัฒนธรรมดั้งเดิมของอาข่าถูกมองจากมิชชันนารีว่าป่าเถื่อน ไม่เจริญ (หน้า 330) อาข่าจึงค่อยๆ เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงพัฒนาการทางสังคมเพื่อให้เป็นที่ยอมรับแล้ว อาข่ายังนำศาสนาคริสต์เป็นเกณฑ์แบ่งจากอาข่าหรือกลุ่มที่ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับตน อย่างไรก็ตามความเจริญได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมของอาข่ามากขึ้น มีการติดต่อกับคนในพื้นที่ราบ และมีการย้ายบ้านเข้ามาอยู่อาศัยในเขตเมืองจนกลายเป็นชุมชน เช่น ที่ จ.เชียงใหม่ ปี ค.ศ.1980 และ ค.ศ.1990 ทางรัฐบาลได้จัดสรรที่อยู่อาศัยถาวรให้แก่อาข่า และจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้านทางวัฒนธรรม ช่วงสองถึงสามทศวรรษดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยในชุมชนของอาข่าที่ จ.เชียงใหม่ ได้จัดตั้งสมาคมช่วยเหลือเกี่ยวกับ พิธีศพโดยไม่แยกศาสนา นอกจากนี้ เนื่องจากเชื้อเอดส์ได้เข้ามาระบาดในประเทศไทย ทางรัฐบาลเองจึงจัดให้มีการให้ความรู้และการป้องกันเกี่ยวกับโรคเอดส์แก่อาข่าอีกด้วย การจัดตั้งสมาคมอาข่าที่ จ.เชียงใหม่ นับว่าเป็นการรวมเอาอาข่าที่นับถือศาสนาเดียวกันหรือต่างศาสนากันให้เป็นหนึ่งเดียว และเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับกลุ่มชนอื่นๆ เช่น ชาวพื้นราบอีกด้วย ซึ่งก่อให้เกิดผลประโยชน์ทั้งทางด้านอาชีพ การศึกษา และสวัสดิการในพิธีศพ นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ของการรวมกัน (หน้า 332-333) |
|
Map/Illustration |
1. Thailand's first Akha converts to Protestantism? หน้า 324 2. Crowd assembled to celebrate? หน้า 324 3. สะพายตะกร้า หน้า 328 4. แผนที่ภาคเหนือ หน้า 333 |
|
|