|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายู,อัตลักษณ์ท้องถิ่น,ตำนาน,ประวัติศาสตร์,ท้องถิ่น |
Author |
Chuleeporn Virunha |
Title |
Past Perception of Local Identity in the Upper Peninsular Area: A Comparative Study of Thai and Malay Historical Literatures |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
22 |
Year |
2547 |
Source |
A Plural Peninsula: Historical Interactions among the Thai, Malays, Chinese and Others, เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการนานาชาติ, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 5-7 กุมภาพันธ์ 2547 |
Abstract |
บทความนี้ต้องการจะวิเคราะห์มุมมองต่ออัตลักษณ์ในท้องถิ่นแหลมมลายูส่วนบนในอดีต ตามที่ปรากฏในวรรณกรรมของท้องถิ่นไทยและมลายู สิ่งที่เลือกมาศึกษาคือศูนย์กลางอำนาจท้องถิ่นในช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ได้แก่ เมืองขนาดเล็กของไทยหรือ "maung" และของมลายูเรียก "karajaan" โดยศึกษาในเชิงเปรียบเทียบจากวรรณกรรมของทั้งสองฟากชายแดนแต่มุ่งความสนใจไปที่ "Hikayat Patani", "Hikayat merong Mahawangsa", "the Tale of Lady White Blood" และ "Tamnan Maung Nakorn Si Thammarat" การศึกษาทั้งเนื้อหาและบริบททางประวัติศาสตร์จากเรื่องดังกล่าวมีประเด็น 2 ประเด็นหลักได้แก่ ประการแรกปัญหาของอัตลักษณ์ - มุมมองของฝ่ายหนึ่ง(พวกเรา) ต่อคนอื่น(พวกเขา) ถูกสะท้อนออกมาอย่างไร ปัจจัยอะไรที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบอัตลักษณ์ กลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรมหรือความจำเป็นเพื่อความปลอดภัย ประการที่สองคือเรื่องปฏิสัมพันธ์ สะท้อนว่าท้องถิ่นนี้เป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์กับภายในภูมิภาคอย่างไร ผลที่ยังไม่เป็นทางการของการศึกษานี้ปรากฏว่าก่อนที่จะมีแนวคิดเรื่องรัฐชาติและเขตแดน มุมมองของอัตลักษณ์ในพื้นที่คาบสมุทรมลายูส่วนบน แสดงถึงนัยสำคัญของ 'ความแตกต่าง' และ 'ความหลากหลาย' การเข้าใจอัตลักษณ์โดยส่วนมากในหลายกรณีค่อนข้างแคบและรวมศูนย์ด้วยความรู้ตัว แต่ไม่ยึดติดกับชาติพันธุ์หรือภูมิภาคว่าเป็นปัจจัยแห่งความแตกต่างของอัตลักษณ์โดยเฉพาะ ในขณะเดียวกันมีความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่เป็น "ภูมิภาค" ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเพื่อที่จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และระหว่างรัฐในแง่ของการมีต้นกำเนิดและประสบการณ์ร่วมกัน สำหรับปัญหาปฏิสัมพันธ์ การสำรวจวรรณกรรมพื้นเมืองเสนอการดำรงอยู่ของการปฏิสัมพันธ์แบบคู่ขนาน 2 คู่ ได้แก่การปฏิสัมพันธ์แนวตรงระหว่างศูนย์กลางไทยและมลายูในแหลมมลายูส่วนบน คู่ขนานกับระบบอุปถัมภ์ภายในและภายนอกภูมิภาค แม้ว่าจะมีการแข่งขันและความขัดแย้งอยู่มาก อีกทั้งมีการบังคับในความสัมพันธ์แบบบรรณาการก็ตาม แต่ความทรงจำที่สะท้อนในประวัติศาสตร์นิพนธ์เสนอภาพของระบบที่ดำรงอยู่ร่วมกันมากกว่าการครอบงำ จากมุมมองของประวัติศาสตร์ก่อนสมัยใหม่ ในฐานะที่เป็นมุมมองในอดีตต่ออัตลักษณ์ผ่านประวัติศาสตร์นิพนธ์ของคนพื้นเมือง ยืนยันความพิเศษเฉพาะของพื้นที่แหลมมลายูส่วนบนว่า เป็นจุดบรรจบของความสัมพันธ์ทางอำนาจ วัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์ |
|
Focus |
เปรียบเทียบตำนานอิงประวัติศาสตร์ของไทยและมลายู |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
คริสต์ศตวรรษที่ 2 ตอนกลางของแหลม บริเวณตอนใต้ของคอคอดกระถึงบริเวณที่เป็นปัตตานีและรัฐ Kedah ของมาเลเซีย เป็นดินแดนซึ่งมีชุมชนโบราณหลายชุมชน ทำหน้าที่เป็นเส้นทางสำคัญในการแลกเปลี่ยนในแหลม เชื่อมไปสู่ตลาดใหญ่ของอินเดียและจีน เป็นสถานที่พบปะของผู้คนจากหลายกำเนิด เชื้อชาติและภาษาถิ่น พัฒนาไปสู่ตลาดเศรษฐกิจที่มีวัฒนธรรมการค้าแข็งแกร่งแบบฮินดู-พุทธมหายาน หลังศตวรรษที่ 13 บริเวณนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากชุมชนโบราณ เช่น Tambralinga (ตามพรลิงค์) และลังกาสุกะ เกิดศูนย์กลางการค้าและการเมืองใหม่ขึ้น กลายเป็นเมืองสำคัญจากศตวรรษที่ 15 ถึง 17 ได้แก่ นครศรีธรรมราช หรือ Ligor ปัตตานี Kedah พัทลุง และสงขลา อย่างไรก็ตามการเข้ามาของศาสนาอิสลามและพุทธเถรวาท แบ่งแยกบริเวณนี้เป็น 2 วัฒนธรรม เมืองต่างๆ ยังคงใช้ทรัพยากรธรรมชาติและชีวิตเศรษฐกิจร่วมกัน มุ่งสู่การเกษตรและการค้า ในปัจจุบันประวัติของนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา จะต้องทำความเข้าใจภายในกรอบของรัฐไทย ในขณะที่ Kedah เข้าร่วมกับรัฐมาเลย์อื่นๆ แต่คนปัตตานีตกอยู่ในสถานะอันน่าเศร้าเป็น "ชนกลุ่มน้อย" ในรัฐไทย จากการศึกษาประวัติศาสตร์และการแบ่งเขตแดน เป็นที่รู้กันว่าการเมืองการปกครองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีเขตแดนที่แน่นอน และศูนย์กลางการปกครองในบริเวณนี้ก็ยืดหยุ่นและเป็นไปอย่างหลวม ๆ จึงควรคำนึงในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในเรื่องนี้ แม้ว่าเราจะมองว่าพื้นที่ส่วนกลางของแหลมเป็นท้องถิ่นเดียวกัน แต่เป็นท้องถิ่นที่อยู่ระหว่าง 2 ศูนย์อำนาจ คือ อำนาจในปริมณฑลของไทยซึ่ง ศูนย์กลางอยู่ที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา และอำนาจในปริมณฑลของมาลักคาและยะโฮร์ในทางตอนใต้ (หน้า 4) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
1. Hikayat Patani บอกเล่าเรื่องราวของเมืองปัตตานีตั้งแต่จุดกำเนิดไปจนถึงราวปี ค.ศ. 1730 มี 6 ตอน 3 บทแรกของตอนแรกเป็นเรื่องจุดกำเนิดของราชวงศ์ในพื้นดินผู้ก่อตั้งปัตตานี เกี่ยวกับการสร้างเมือง การกลายเป็นอิสลาม และการสร้างปืนใหญ่อันมีชื่อ เวลาในเรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถกำหนดแน่ชัด หลังจากนี้ เรื่องราวเปิดเผยในบทหนึ่งตามลำดับเวลาถึงการปกครองที่ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นด้วย Sultan Mudhaffar Shah กับความล้มเหลวของพระองค์ในการบุกอยุธยา เหตุการณ์นี้ถ้าเกิดขึ้นจริงควรจะอยู่ในระหว่างปี ค.ศ.1563 - 1564 ตอนที่อยุธยากำลังถูกพม่าโจมตี ตอนแรกจบลงเมื่อราชินี Kuning สวรรคต (ราชินีองค์สุดท้ายของ Inland Dynasty ปี ค.ศ.1688) มีเหตุการณ์ภายในและการเมืองถูกกล่าวถึง เช่น เรื่องการขุดคลอง การทะเลาะกันของราชวงศ์ ความขัดแย้งระหว่างลูกพี่ลูกน้องในเรื่องบัลลังก์ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและเสนาบดี อย่างไรก็ตามมีหลายเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายนอก ขณะที่สยาม (อยุธยา) และJohor มีอิทธิพลกว้างขวาง มีหลายบทเกี่ยวกับการโจมตีปาเลมบัง และการคานอำนาจทางการเมืองลึก ๆ ระหว่างปัตตานีและเมืองใกล้เคียงชื่อ Sail ส่วนตอนที่ 2 ถึง 5 เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัตตานีในสมัยของราชวงศ์ Kelantan จากปี ค.ศ.1688 จนถึงการตายของ Alung Yunus เชื่อกันว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นช่วงปี ค.ศ.1729 เนื้อเรื่องของตอนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันมากกว่า และเกี่ยวพันกันซับซ้อนกว่า อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้อำนาจที่แท้จริงภายในราชสำนักดูเหมือนว่าจะอยู่ที่สำนักของ Bendahara หรือนายกรัฐมนตรีมากเสียจนกระทั่งสำนักนี้มีค่าควรแก่การแย่งชิง ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้คือการแข่งขันขององค์ประกอบท้องถิ่น ผลประโยชน์ในแคว้น รัฐเพื่อนบ้านและอำนาจจากต่างประเทศ ตอนสุดท้ายเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ปัตตานี (หน้า 6-7) 2. Hikayat Merong Mahawangsa เป็นเรื่องของการปกครองของ Kedah โดย Raja Merong Mahawangsa เป็นผู้ปกครองคนแรกและผู้ก่อตั้งเมือง รัชกาลที่ 8 Sultan Mu'azzam Shah ผู้ทรงโปรดให้บันทึกเรื่องราวไว้ ไม่มีเนื้อความเรื่องเวลาไว้ให้ แต่เรารู้ได้จากเนื้อหาว่าระหว่างรัชกาลผู้ปกครองคนที่ 7 Kadah กลายเป็นรัฐอิสลามและรุ่งเรืองนับจากนั้น ความจริงเรื่องนี้เป็นตำนานที่น่าสนใจมาก เต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ ยักษ์และอื่นๆ ทำนองเดียวกันนั้น เรื่องเริ่มจาก Raja Merong Mahawangsa ผู้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ และเป็นพระสหายของผู้ปกครองของ Byzantium ขณะที่เดินทางไปเมืองจีน พระองค์เสด็จขึ้นหาดที่ Kedah แล้วทรงตัดสินพระทัยจะตั้งรกรากที่นั่น เมืองเจริญรุ่งเรืองและจากคำแนะนำของราชา พระโอรสของพระองค์ส่งพระโอรสไปตั้งสยาม Perak และปัตตานี ตามลำดับ โอรสองค์สุดท้องรับมรดกราชบัลลังก์ Kedah พระโอรสพระองค์นี้เป็นผู้เริ่มประเพณีการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปสยามเป็นเครื่องหมายของมิตรภาพระหว่างพี่น้อง อย่างไรก็ตามปัญหาก่อตัวขึ้นเมื่อผู้ปกครองคนที่ 4 ไม่เคารพคำเตือนของบรรพบุรุษแล้วไปแต่งงานกับนางยักษ์ ผลก็คือ Raja Besiung ลุ่มหลงในกามารมณ์และกลายเป็นผู้ปกครองที่โหดร้าย ฆ่าคนตามใจชอบ Raja Besiung ถูกขับไล่ไป แต่พระโอรสของพระองค์ที่เกิดจากพระสนมที่เป็นลูกสาวชาวนาถูกเลือกเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของ Kedah ความจริงสยามก็เข้ามามีส่วนในเรื่องนี้ นายพลชาวสยามคนหนึ่งถูกส่งลงใต้เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ปกครองคนใหม่ถูกตั้งอย่างถูกต้องและเพื่อให้คำแนะนำในการปกครองประเทศอย่างถูกวิธี ภายใต้การปกครองของราชาพระองค์นี้ Kedah กลับฟื้นคืนดี ราชาคนที่ 7 ซึ่งเป็นลูกชายของราชาองค์ก่อนเข้ารับศาสนาอิสลาม เป็นช่วงที่รัฐ Kedah รุ่งเรืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากเรื่องที่บรรยายมานี้เป็นการรวบรวมรายชื่อกษัตริย์ในส่วนท้ายของเนื้อเรื่องจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 (หน้า 7) 3. The Tale of Lady White Blood มีรากฐานมาจากมุขปาฐะ เป็นนิทานที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในแหลมนี้ มีหลายสำนวน สำนวนที่รู้จักเป็นทางการคือของวัดเขียนบางแก้ว รวบรวมโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระหว่างที่เสด็จราชการภาคใต้ราวๆ คริสต์ศตวรรษที่ 20 เพลานางเลือดขาวฉบับวัดเขียนบางแก้ว (Phlao Nang Luad Khao Chabab Wat Khain Bang Kaeo) เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระนางเลือดขาว (Lady White Blood) และสามี ผู้ถูกพบในกอไผ่ และได้รับการอุปถัมภ์โดยคู่สามีภรรยาซึ่งเป็นควาญช้างที่รับใช้ผู้ปกครองสทิงพระ หลังจากที่คู่ควาญช้างตาย พวกเขาไปอาศัยที่ Ban Phra Koet ดำรงชีพเป็นควาญช้างเหมือนพ่อแม่บุญธรรม รับผิดชอบส่งช้างเป็นส่วยให้อยุธยาทุกปี พระนางและสามีเข้าร่วมในการก่อตั้งวัดหลายวัดในพัทลุง หลังจากนั้นก็เริ่มต้นเดินทางไปในแคว้นสร้างวัดอีกหลายแห่งไกลจากที่เดิม เช่นที่ตรัง และชายฝั่งตะวันตกของแหลม หลายปีต่อมา พวกเขาไปถึงนครศรีธรรมราชหล่อพระพุทธรูปและร่วมกับผู้ปกครองนครศรีธรรมราชค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ ชื่อเสียงของพระนางได้ยินไปถึงกรุงศรีอยุธยา จึงถูกเรียกตัวให้ไปเป็นราชินี อย่างไรก็ตาม เมื่อพระนางมีครรภ์กับสามีแล้ว หลังจากที่คลอดลูกก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านที่ Ban Phra Koet เธอและสามีถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ประมาณ 70 ปี เรื่อง "พระนางเลือดขาว" (Phlao Nang luad Khao) ไม่ได้จบลงไปพร้อมกับเรื่องราวของพระนางเลือดขาว แต่ดำเนินต่อไปยังเรื่องที่ 2 ซึ่งสืบเนื่องจากเรื่องแรก ตอนที่ 2 นี้เป็นเรื่องราวของ Phra Khru Intharamoli หรือพระครูอิน ผู้ช่วยในการทำลายศัตรูของอยุธยาทำให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าของคณะสงฆ์ Pa Kaeo Buddhist ทางภาคใต้ ศูนย์กลางสำคัญของคณะสงฆ์ Pa Kaeo 2 ศูนย์กลางในบริเวณใกล้เคียงกับบางแก้ว (Bang Kaeo) ได้แก่ wat Khian และ Wat Sathang ซึ่งได้รับพระราชทานที่ดินและผู้คนพร้อมกับวัดอีก 298 วัด ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ Pa Kaeo หรือคณะสงฆ์ Langka Kaeo (หน้า 15-18) 4. พงศาวดารนครศรีธรรมราช (The Chronicle of Nakhon Si Thammarat) เป็นเรื่องที่รู้จักกันมากที่สุดในนครศรีธรรมราช มาจากหลักฐานท้องถิ่นจาก 2 แหล่งที่มา ได้แก่ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช 2 เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกันแต่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชเริ่มจากเรื่องราวของพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งถูกฝังไว้ที่หาดทรายแก้ว หาดทรายแห่งนี้กลายเป็นที่ตั้งของนครศรีธรรมราช หลังจากที่ได้ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุที่ถูกฝังไว้และแบ่งปันกับอินเดียว (หรือซีลอน) พระมหาธาตุเจดีย์ถูกสร้างเพื่อให้เป็นที่บูชาพระบรมสารีริกธาตุ เมืองที่เจริญขึ้นรอบๆ พระมหาธาตุมีชื่อเสียงขึ้นและมีอำนาจมากขึ้น เป็นกลุ่มรวมกัน 12 เมือง ตั้งแต่ชุมพรทางด้านเหนือไปจนถึงปาหังทางด้านใต้ กิตติศัพท์นี้นำมาซึ่งความขัดแย้งกับท้าวอู่ทองแห่งอยุธยา ต่อมาความขัดแย้งถูกขจัดไปด้วยสนธิสัญญามิตรภาพและการรับรองอิทธิพลในแต่ละถิ่น อย่างไรก็ตามเมืองนี้เสื่อมสลายลงมากกว่า 1 ครั้ง และผู้นำก็มีการเปลี่ยนราชวงศ์หลายครั้ง ราชวงศ์สุดท้ายและเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวเริ่มจาก Phra Phanomthale ผู้มาจากเมืองหนึ่งทางเหนือเพื่อก่อตั้งเมืองเล็ก ๆ เรียกว่าเพชรบุรี พระองค์แต่งงานกับพระราชธิดาของจักรพรรดิจีน ซึ่งพระโอรสของพระองค์ชื่อ พระพนมวัง ได้บูรณะนครศรีธรรมราช และริเริ่มอิทธิพลเหนือเมืองขึ้นมาเลย์ขึ้นมาใหม่ หลังจากการสวรรคตของพระองค์ พระโอรสของพระองค์มีชื่อว่า เจ้าศรีราชา ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ (ในเพชรบุรี) ระหว่างที่ทรงครองเมือง พระมหาธาตุได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ พี่น้องและหลาน 3 คนของเจ้าศรีราชา คือ Chao Ku, Chao Yu, และ Chao U พร้อมด้วยครอบครัวญาติสายโลหิตได้รับสิทธิจากกษัตริย์ให้เก็บส่วยในนครศรีธรรมราชเพื่อส่งพระคลังหลวง ตอนสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ในฉบับที่ตีพิมพ์ไม่จบสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าจะมีตอนเริ่มต้นของฎีกาโดยผู้หญิง 2 คนด้วย (หน้า 18) 5. ตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช เกี่ยวกับเรื่องราวก่อนสมัยเมืองเพชรบุรี มีรายละเอียดที่เหมือนกันพอสมควร พร้อมทั้งมีข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วย จากหนังสือเล่มนี้ราชวงศ์แรกที่ครองเมืองมาจาก Pegu ราชวงศ์อื่นๆ อาจจะมาจากราชอาณาจักรเขมรทางตะวันออก และการล่มสลายของนครศรีธรรมราชเกิดขึ้นจากชาวชวาเข้ามารุกราน จากจุดนี้เรื่องราวในหนังสือทั้ง 2 เล่มเริ่มจะแตกต่างกัน สำนวนนี้ไม่มีทั้งการอ้างถึงราชวงศ์เพชรบุรี และไม่มีเรื่องการตั้งเมืองขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องราวพระบรมธาตุเองที่ถูกค้นพบอีกครั้งและได้รับการบูรณะซึ่งอุปถัมภ์โดยกษัตริย์อยุธยา โดยส่งพระสงฆ์จากเมืองหลวงมาดูแลกระบวนการซ่อม ได้ใส่รายละเอียดเรื่องราวของการบูรณะไว้มาก ในขณะเดียวกันมีหมู่บ้านมาตั้งรอบๆ บริเวณโดยกระบวนการ Kanlapana เช่น ในกรณีเมืองพัทลุง เริ่มแรกของส่วนนี้ในเนื้อเรื่องกล่าวถึงเจ้าศรีมหาราชา ผู้ครองเมือง Lantaka ซึ่งมาช่วยพระสงฆ์ในการบูรณะ ลูกหลานของพระองค์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองที่นครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตามในตอนท้ายเรื่อง ขุนนางจากอยุธยาถูกส่งมาเป็นเจ้าเมืองแทน ที่อ้างถึงล่าสุดในเรื่องนี้มาจาก Tanasserim ค.ศ. 1654 ในยุคหลัง เมืองนี้ถูกปราบปรามเนื่องจากมีโจรสลัดจำนวนหนึ่ง (หน้า 18) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้วิเคราะห์เปรียบเทียบตำนาน 5 เรื่องดังกล่าวในแง่ที่ว่าเป็นการสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น (Local identity) เช่นเรื่อง Hikayat Patani และ Hikayat Merong Maha Wongsa นำเสนอประวัติศาสตร์ภายใต้แนวคิด "kerajaan" ซึ่งหมายความว่าพระราชาเป็นหลักสำคัญของรัฐ ขาดพระราชาก็เป็นจุดจบของรัฐ ในขณะที่ในตำนานไทยอย่างตำนานเมืองพัทลุง พระราชาไม่ใช่แกนกลางของเรื่อง ซึ่งมีผลในเรื่องการตีความอัตลักษณ์ ผู้เขียนได้ตั้งประเด็นว่า ตำนานทั้งสองนำเสนอประวัติศาสตร์ในลักษณะที่เป็นอยู่ เพราะคนต้องการบอกหรือเล่าอะไรเกี่ยวกับตนเอง ซึ่งจะเข้าใจได้ก็ต้องเข้าใจบริบท คือหน้าที่ของตำนาน จากหลักฐานหลายอย่างประกอบกัน ทั้ง 2 น่าจะเขียนในช่วงประมาณทศวรรษของ ค.ศ.1730-1830 ซึ่งป็นช่วงของความยากลำบากในพื้นที่ และอัตลักษณ์ถูกสร้างและสื่อสารในช่วงวิกฤติดังกล่าว รัฐปัตตานีเองก็อาจจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แล้วไม่ได้เป็นรัฐอิสระ ในขณะที่ตำนาน Mahawangsa แสดงให้เห็นว่า Kedah เป็นรัฐอิสลามและเป็นรัฐอิสระที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ตำนานสะท้อนให้เห็นสัญลักษณ์ร่วมกันของอัตลักษณ์มลายู คือ ศาสนาอิสลาม ตำนาน "Plao nang Luad Khao" เป็นตำนานเกี่ยวกับเมืองพัทลุงในบางส่วน แต่ที่แท้จริงแล้วจะแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของชุมชนบางแก้ว (Bang Kaeo) มากกว่า และความสัมพันธ์ที่มีกับชุมชนใกล้เคียงในการต่อต้านอิทธิพลของผู้นำท้องถิ่นที่จะเข้ามาคุกคามความอิสระของชุมชน โดยการฟ้องไปยังอำนาจศูนย์กลางที่อยุธยา ในแง่นี้ตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับพัทลุงได้ทำหน้าที่สะท้อนอดีตจากทัศนะของคนธรรมดาซึ่งไม่ปรากฏในตำนานต่าง ๆ ของมลายู ส่วนตำนานเกี่ยวกับนครศรีธรรมราชซึ่งมี 2 ตำนาน และมีความแตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ต่างกัน แต่การจะพิจารณาบริบทของตำนานเพื่อจะดูว่าเขียนในทัศนะของใคร จะยากกว่ามาก เพราะหลักฐานง่อนแง่นว่าเขียนในสมัยใด จากหลักฐานที่สืบค้นมาได้ ตำนานพระบรมธาตุ อาจจะเขียนก่อนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และตำนานเมืองนครศรีธรรมราช อาจเขียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่อาจจะมาจากแหล่งเดียวกัน องค์ประกอบสำคัญของตำนานคือ ความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจของนครศรีธรรมราช ภายใต้การสถาปนาและการกระทำของวีรบุรุษทางวัฒนธรรม อาจจะเป็นไปได้ว่าตำนานนี้เขียนเมื่ออยุธยากำลังแผ่อิทธิพลลงมา ในแง่นี้ตำนานนครศรีธรรมราช วัดทำหน้าที่คล้ายตำนานเมืองมลายูคือแสดงอัตลักษณ์ท้องถิ่น โดยเป็นที่ผู้นำหรือวีรบุรุษสถาปนาเมืองและความสำคัญของศาสนา แต่อาจจะมีความต่างกันเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่ออยุธยา |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|