|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
หลวงพ่อทวด,พุทธศาสนา,วีรบุรุษทางวัฒนธรรม,บูรณาการ,ปัตตานี |
Author |
Patrick Jory |
Title |
Luang Pho Thuat as a Thai Cultural Hero: Popular Religion in the Integration of Pattani |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
11 |
Year |
2541 |
Source |
A Plural Peninsula: Historical Interactions among the Thai, Malays, Chinese and Others, เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการนานาชาติ, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ |
Abstract |
การบูชาหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เข้าใจว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมืองกับรัฐไทยในการบูรณาการปัตตานีและจังหวัดรอบๆ ในฐานะเมืองศูนย์กลางพุทธศาสนาในขณะที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวเพื่ออำนาจปกครองตนเองของชาวมาเลย์ในปัตตานี (หน้า 36) |
|
Focus |
ความเป็นวีรบุรุษของหลวงพ่อทวดมีอิทธิพลต่อคนภาคใต้และทั่วประเทศ ลัทธิการนับถือหลวงพ่อทวดมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดปัตตานีซึ่งเป็นเขตที่มีมุสลิมเชื้อสายมลายูมากที่สุดและเป็นที่ที่มีความเคลื่อนไหวแยกดินแดนมายาวนาน (หน้า 28) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทย - พุทธ และมุสลิมเชื้อสายมลายู |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Political Organization |
การปฏิสังขรณ์วัดช้างไห้และการส่งเสริมภาพพจน์ของวัดว่ามีความเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทวด เกิดขึ้นพร้อมกับความพยายามของรัฐบาลไทยที่จะรวบรวมปัตตานีและภาคใต้เข้าเป็นรัฐไทย ขณะนั้นเป็นเวลาที่การเมืองในภาคใต้รุนแรงและไร้เสถียรภาพ พร้อมกับการขยายตัวของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศไทยเป็นแนวร่วมกับญี่ปุ่น และการเติบโตของการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในหมู่มลายูปัตตานี ทำให้กองกำลังของไทยดำเนินการปราบปรามประชากรมลายูเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีการแพร่ระบาดของกองกำลังกบฏพรรคคอมมิวนิสต์มลายู ประวัติศาสตร์การรวมปัตตานีเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่แวดวงผู้มีการศึกษามากกว่าชุมชนไทยในวงกว้าง สุลต่านองค์สุดท้ายของปัตตานี อับดุลคาดีร์กามมารูดิน (Abdul Kadirkammarudin) ถูกขับไล่จากตำแหน่งในปี ค.ศ.1902 โดยรัฐบาลไทยส่วนกลาง แล้วถูกคุมขังอยู่ที่พิษณุโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองท้องถิ่นระบบเทศาภิบาล แต่ปัจจุบันขึ้นตรงกับกรุงเทพ ในปี ค.ศ. 1909 มีการลงนามในข้อตกลงแองโกลสยาม(the Anglo-Siamese agreement) เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะอันกำกวมของภาคใต้ทั้งหมดอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดเขตแดนที่ชัดเจนระหว่างสยามและมาเลเซียซึ่งเป็นของอังกฤษ และรัฐบาลไทยตกลงใจที่จะให้ กลันตรัน ตรังกานู เกด้า และปะริส แก่อังกฤษ นโยบายชาตินิยมแรกเริ่มรับเข้ามาอย่างมากในรัฐบาลจอมพล ป. มีผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนมุสลิมในปัตตานีและจังหวัดโดยรอบ โดยผ่านทาง "คำสั่งทางวัฒนธรรม" รัฐบาลพยายามจะส่งเสริมนโยบายทางวัฒนธรรมซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ไทยเป็นชาติศิวิไลซ์ ประชาชนถูกบังคับให้ใช้ชื่อ "ไทย" เรียนภาษาไทยในโรงเรียน และศาสนาพุทธได้รับการประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติ กฎหมายอิสลามถูกแทนที่ด้วยกฎหมายสยาม นโยบายนี้กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านอย่างมากในหมู่คนมลายูปัตตานี ซึ่งมีวัฒนธรรม ภาษา และศาสนาแตกต่างจากไทยภาคกลาง และพวกเขาเห็นว่าเป็นการพยายามกำจัดวัฒนธรรมอันเป็นลักษณะพิเศษของเขา การแพร่ระบาดของสงครามแปซิฟิก ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ต่อมาญี่ปุ่นแพ้สงคราม ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นจึงต้องคืน กลันตัน ตรังกานู เกด้า และปะริสให้อังกฤษไป จากความมั่นใจในการสนับสนุนของอังกฤษ ผู้นำนักการเมืองมลายูจากปัตตานีเข้าหาอังกฤษเพื่อหาผู้สนับสนุนในการปลดปล่อยคนมาเลย์ในภาคใต้ของไทย แต่อย่างไรก็ตามคำขอไม่ได้รับการตอบรับ ผู้นำที่โดดเด่นคนหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางการเมืองคือ หะยี สุหลง อับดุลกาดีร์ หลังจากที่จอมพล ป.กลับมามีอำนาจอีกครั้ง การจับกุมหะยี สุหลง และพรรคพวกในปี ค.ศ.1947 ด้วยข้อหาแบ่งแยกดินแดนในปัตตานีและจังหวัดโดยรอบ ทำให้เกิดการประท้วงและจากการปราบปรามของฝ่ายความมั่นคงของไทยทำให้การประท้วงในบางครั้งนำไปสู่ความรุนแรง เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านดูซงยอร์ ในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เดือนเมษายน ค.ศ.1948 เกิดการต่อสู้กับตำรวจมีคนถูกฆ่าประมาณ 30-100 คน และมีผู้คนมากกว่า 6,000 คนหนีข้ามชายแดนไปมาเลเซีย การปราบปรามมีแม้กระทั่งทิ้งระเบิดทางอากาศ ขณะที่หะยี สุหลง ถูกปล่อยและพ้นข้อหากบฎในปี ค.ศ.1954 แต่อย่างไรก็ตาม เขาและผู้ร่วมอุดมการณ์ 3 คน รวมทั้งลูกชายของเขาหายตัวไป เชื่อกันว่าถูกถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลาโดยตำรวจของ เผ่า สียานนท์ จากการเติบโตของความเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในหมู่คนมลายูปัตตานีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 และการเพิ่มมากขึ้นของอาวุธบริเวณชายแดนไทยมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาโดยชาวจีนผู้สนับนุนของพรรคคอมมิวนิสต์มาเลย์ นำไปสู่การที่อังกฤษในมาเลเซียประกาศสถานะการณ์ฉุกเฉินในปีเดียวกัน 1 ปีต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์กุมอำนาจในจีนได้ ทำให้นักการเมืองชาวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกสงสัยมากยิ่งขึ้นว่าเป็นผู้เคลื่อนไหวแยกดินแดนปลดปล่อยจากการเป็นเมืองขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยมองเรื่องความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น (หน้า 34) |
|
Belief System |
ภายใต้การนำของอาจารย์ทิม และอนัน คณานุรักษ์ วัดช้างไห้เป็นวัดแรกที่ผลิตเครื่องรางที่มีรูปหลวงพ่อทวด การสร้างเครื่องรางต่างๆ ไม่เพียงแต่แพร่กระจายตำนานหลวงพ่อทวดไปทั่วภาคใต้ แต่ยังแพร่หลายไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันช่วยตอกย้ำตำนานหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ในขณะที่วัดอื่นๆ สร้างกลุ่มเครื่องรางของตัวเอง ทว่าเครื่องรางดั้งเดิมของวัดช้างไห้เป็นที่ต้องการเสาะหามากที่สุด ความดังของเครื่องรางทำให้วัดร่ำรวยที่สุดในถิ่นนั้น และสามารถสร้างอาคารใหม่หลายหลัง เรื่องราวที่อนันเล่าว่าในปี ค.ศ.1954 หลวงพ่อทวดมาเข้านิมิตในฝันของเขาว่าขอให้เขาสร้างเครื่องรางเป็นรูปท่าน อนันเชื่อฟังและได้สร้างเครื่องรางในปี ค.ศ.1954 จำนวน 64,000 องค์ จากเป้าหมาย 84,000 องค์ ซึ่งเป็นจำนวนพระธรรมในพระไตรปิฎก ไม่บรรลุเป้าเพราะเวลากระชั้นเกินไป ต่อมา อนันถามอาจารย์ทิมว่าควรจะตั้งชื่อเครื่องรางตามวัดเดิมของหลวงพ่อทวดคือวัดพะโคะไหม หลังจากเข้าญาณติดต่อกับหลวงพ่อทวด อาจารย์ทิมตอบว่าหลวงพ่อทวดบอกว่าต้องการให้เครื่องรางใช้ชื่อว่า "หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" ชื่อนี้และชื่อเดิมของพระรูปนี้คือ "เจ้าแห่งพะโคะ" เลือนหายไปตามกาลเวลาในขณะที่ความสัมพันธ์กับวัดช้างไห้มาแทนที่ ในวงการตลาดเครื่องราง เครื่องรางวัดช้างไห้ของหลวงพ่อทวดประสบความสำเร็จมาก ประวัติหลวงพ่อทวดและวัดช้างไห้ของอนันมีบทบาทเด่นในการแพร่กระจายชื่อเสียงด้านเหนือธรรมชาติของเครื่องรางหลวงพ่อทวด บทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้รวบรวมบันทึกและจดหมายที่ส่งมาถึงอนันเกี่ยวกับผู้ที่สวมเครื่องรางนี้ว่าพ้นภัยอันตรายได้อย่างไร เมื่อเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ออกไป ราคาและคุณค่าของเครื่องรางหลวงพ่อทวดก็ยิ่งทวีขึ้นไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ที่ส่งบันทึกเข้ามาเล่ามีจำนวนมากมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล รวมถึงทหาร ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ประจำท้องถิ่น มีเรื่องหนึ่งมาจาก พลเอกสิทธิ์ จิรโรจน์ ว่ากองทัพไทยได้แจกจ่ายเครื่องรางหลวงพ่อทวดแก่ทหารที่ทำหน้าที่ในท้องถิ่นนี้ ซึ่งภัยอันตรายที่ทหารเผชิญหน้าคือ "พวกโจร" หรือบางทีเรียกว่า "พวกโจรจีน" ซึ่งอยู่ชายแดนไทยมาเลเซีย เมื่อชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดแพร่ขยายออกไป หนังสือของอนันเป็นต้นแบบให้คนเลียนแบบ มีหนังสือเล่มหนึ่งเล่าเรื่องของดาราผู้นับถือหลวงพ่อทวด รวมถึง รัตนพล อินทรกำแหง สมบัติ เมทะนี ล้อต้อก และมิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นตำนานเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพราะเขาแขวนเครื่องรางหลวงพ่อทวดแต่โชคร้ายที่เขาตกเฮลิคอปเตอร์ตาย เพราะเขาลืมแขวนเครื่องรางหลวงพ่อทวด หนังสืออีกเล่มหนึ่งขียนเกี่ยวกับบทหนึ่งของผู้เลื่อมใสหลวงพ่อทวด ได้แก่ วิษณุ เครืองาม วิษณุเป็นคนสำคัญในทางการเมืองหลายสิบปี เคยมีตำแหน่งเลขาคณะรัฐมนตรีในหลายรัฐบาล ช่วง ค.ศ.1993 ถึง ค.ศ.2002 ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เขาเกิดในสงขลาปี ค.ศ.1951 วิษณุมีชื่อเดิมว่า ภิธาน ตอนเด็กๆ ภิธานสุขภาพไม่ดีและเรียนไม่เก่ง วันหนึ่งมีคนแนะนำให้เขาไปวัดช้างไห้เพื่อสวดมนต์อ้อนวอนต่อหลวงพ่อทวด เขาได้พบอาจารย์ทิม ท่านได้ทดสอบเชาว์ปัญญาของเด็กชายคนนี้แล้วเปลี่ยนชื่อให้เป็น วิษณุ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด สุขภาพของเขาแข็งแรงขึ้น เรียนก็ดีขึ้นมาก จนได้เรียนจบดอกเตอร์จาก UCLA Berkeley และเป็นศาตราจารย์ในคณะนิติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนอายุ 32 ปี อีกส่วนหนึ่งมีปรากฏการณ์ว่าเขาจะถูกครอบงำโดยวิญญาณของหลวงพ่อทวด เมื่อมีคนรู้ก็มาที่บ้านเขาเป็นจำนวนมาก แม่ของเขาเลยให้เขาออกจากสงขลาไปเรียนที่กรุงเทพ หนังสือเล่มเดียวกันนี้ยังมีชีวประวัติของผู้เลื่อมใสหลวงพ่อทวดอีกคนหนึ่ง คือตำรวจชื่อดังของนครศรีธรรมราช But Phantharak ตอนหลังได้รับราชทินนามว่า "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" (Khun Phan Rak Ratchadet) ท่านมีชื่อเสียงระดับชาติจากการฆ่าและจับโจรร้ายระดับประเทศ ไม่เพียงแต่ทางภาคใต้ของไทยเท่านั้นแต่ยังดังถึงภาคกลางด้วย ส่วนหนึ่งของชื่อเสียงของตำรวจคนนี้คือการใช้ไสยศาสตร์จนได้รับชัยชนะเหนือศัตรู ท่านเป็นศิษย์ของวัดเขาออ (wat khao or) ในอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นที่รู้จักกันดีว่าทั้งตำรวจและโจรมาเรียนไสยศาสตร์ที่นี่ ท่านยังสนิทสนมกับอาจารย์ทิม วัดช้างไห้และร่วมพิธีปลุกเสกเครื่องรางหลวงพ่อทวดรุ่นแรกผลิตในปี ค.ศ.1954 ซึ่งท่านมี 1 องค์ ในจำนวนผลงานหลายอย่างของท่าน ท่านมีส่วนจับกุมโจรแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ จับหัวหน้าโจร Awaesado Tale แห่งเทือกเขาบูโด ทราบกันว่าสุลต่านแห่งกลันตันส่งมีดมาให้ท่านเป็นน้ำใจที่ปราบเหล่าร้ายได้ (หน้า 32) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หรือ สมเด็จเจ้าพะโคะ เป็นที่รู้จักทั่วภาคใต้และทั้งประเทศไทย หลวงพ่อทวดเป็นเจ้าอาวาสวัดพะโคะ อำเภอสะทิงพระ จังหวัดสงขลา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 17 ท่านยังเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า หลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ตามชื่อวัดในอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พยายามทำให้เป็นที่รู้จักชื่อเสียงของหลวงพ่อทวด เรื่องราวของหลวงพ่อทวดในด้านอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตและภายหลัง เป็นที่รู้จักไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก็เป็นที่รู้จักกันดี ในปัจจุบันเครื่องรางของท่านเป็นที่นิยมมากไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ทหารตำรวจ และดาราต่างก็มีศรัทธาอย่างมาก รูปปั้นหลวงพ่อทวดมีที่หาดใหญ่ และมีโครงการสร้างหลวงพ่อทวดใหญ่ที่สุดในโลก สูง 17 เมตร หนัก 80 ตันในวัดที่หัวหินและประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 27) ตำนานเริ่มเรื่องจากเรื่องของเด็กชายชื่อว่า "Jao Sami Ram" เกิดที่อำเภอสะทิงพระ ในจังหวัดสงขลา วันหนึ่งขณะที่ทำงานอยู่ในทุ่งนา แม่ของเด็กกลับมาเจอลูกชายถูกงูจงอางขดตัวล้อมไว้โดยไม่ทำอันตราย และยังทิ้งลูกแก้วไว้ให้เด็กด้วย เด็กคนนี้ได้บวชเป็นสามเณรและเรียนเก่งมาก หลังจากที่ท่านเรียนหนังสือที่นครศรีธรรมราชหลายปี ท่านตัดสินใจเดินทางไปอยุธยาเพื่อเรียนต่อให้จบ ขณะที่โดยสารเรือไปอยุธยาท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีกล่าวคือท่านจุ่มเท้าลงในทะเลแล้วทำให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืด ท่านสำเร็จการศึกษาที่อยุธยา ความเก่งในการเรียนของท่านทำให้พระมหากษัตริย์สนพระทัย ท่านสามารถแก้ปัญหายากๆ ในพระอภิธรรมได้ กษัตริย์จึงบริจาคที่ดินที่วัดพะโคะและชาวนารอบๆ วัดได้รับการยกเว้นภาษีโดยให้ไปทำงานดูแลวัดแทน หลวงพ่อทวดกลับภาคใต้เป็นเจ้าอาวาสวัดพะโคะเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนนั้น (หน้า 28-29) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|