สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject หลวงพ่อทวด,พุทธศาสนา,วีรบุรุษทางวัฒนธรรม,บูรณาการ,ปัตตานี
Author Patrick Jory
Title Luang Pho Thuat as a Thai Cultural Hero: Popular Religion in the Integration of Pattani
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 11 Year 2541
Source A Plural Peninsula: Historical Interactions among the Thai, Malays, Chinese and Others, เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการนานาชาติ, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
Abstract

การบูชาหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เข้าใจว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมืองกับรัฐไทยในการบูรณาการปัตตานีและจังหวัดรอบๆ ในฐานะเมืองศูนย์กลางพุทธศาสนาในขณะที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวเพื่ออำนาจปกครองตนเองของชาวมาเลย์ในปัตตานี (หน้า 36)

Focus

ความเป็นวีรบุรุษของหลวงพ่อทวดมีอิทธิพลต่อคนภาคใต้และทั่วประเทศ ลัทธิการนับถือหลวงพ่อทวดมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดปัตตานีซึ่งเป็นเขตที่มีมุสลิมเชื้อสายมลายูมากที่สุดและเป็นที่ที่มีความเคลื่อนไหวแยกดินแดนมายาวนาน (หน้า 28)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทย - พุทธ และมุสลิมเชื้อสายมลายู

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

การปฏิสังขรณ์วัดช้างไห้และการส่งเสริมภาพพจน์ของวัดว่ามีความเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทวด เกิดขึ้นพร้อมกับความพยายามของรัฐบาลไทยที่จะรวบรวมปัตตานีและภาคใต้เข้าเป็นรัฐไทย ขณะนั้นเป็นเวลาที่การเมืองในภาคใต้รุนแรงและไร้เสถียรภาพ พร้อมกับการขยายตัวของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศไทยเป็นแนวร่วมกับญี่ปุ่น และการเติบโตของการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในหมู่มลายูปัตตานี ทำให้กองกำลังของไทยดำเนินการปราบปรามประชากรมลายูเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีการแพร่ระบาดของกองกำลังกบฏพรรคคอมมิวนิสต์มลายู ประวัติศาสตร์การรวมปัตตานีเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่แวดวงผู้มีการศึกษามากกว่าชุมชนไทยในวงกว้าง สุลต่านองค์สุดท้ายของปัตตานี อับดุลคาดีร์กามมารูดิน (Abdul Kadirkammarudin) ถูกขับไล่จากตำแหน่งในปี ค.ศ.1902 โดยรัฐบาลไทยส่วนกลาง แล้วถูกคุมขังอยู่ที่พิษณุโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองท้องถิ่นระบบเทศาภิบาล แต่ปัจจุบันขึ้นตรงกับกรุงเทพ ในปี ค.ศ. 1909 มีการลงนามในข้อตกลงแองโกลสยาม(the Anglo-Siamese agreement) เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะอันกำกวมของภาคใต้ทั้งหมดอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดเขตแดนที่ชัดเจนระหว่างสยามและมาเลเซียซึ่งเป็นของอังกฤษ และรัฐบาลไทยตกลงใจที่จะให้ กลันตรัน ตรังกานู เกด้า และปะริส แก่อังกฤษ นโยบายชาตินิยมแรกเริ่มรับเข้ามาอย่างมากในรัฐบาลจอมพล ป. มีผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนมุสลิมในปัตตานีและจังหวัดโดยรอบ โดยผ่านทาง "คำสั่งทางวัฒนธรรม" รัฐบาลพยายามจะส่งเสริมนโยบายทางวัฒนธรรมซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ไทยเป็นชาติศิวิไลซ์ ประชาชนถูกบังคับให้ใช้ชื่อ "ไทย" เรียนภาษาไทยในโรงเรียน และศาสนาพุทธได้รับการประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติ กฎหมายอิสลามถูกแทนที่ด้วยกฎหมายสยาม นโยบายนี้กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านอย่างมากในหมู่คนมลายูปัตตานี ซึ่งมีวัฒนธรรม ภาษา และศาสนาแตกต่างจากไทยภาคกลาง และพวกเขาเห็นว่าเป็นการพยายามกำจัดวัฒนธรรมอันเป็นลักษณะพิเศษของเขา การแพร่ระบาดของสงครามแปซิฟิก ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ต่อมาญี่ปุ่นแพ้สงคราม ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นจึงต้องคืน กลันตัน ตรังกานู เกด้า และปะริสให้อังกฤษไป จากความมั่นใจในการสนับสนุนของอังกฤษ ผู้นำนักการเมืองมลายูจากปัตตานีเข้าหาอังกฤษเพื่อหาผู้สนับสนุนในการปลดปล่อยคนมาเลย์ในภาคใต้ของไทย แต่อย่างไรก็ตามคำขอไม่ได้รับการตอบรับ ผู้นำที่โดดเด่นคนหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางการเมืองคือ หะยี สุหลง อับดุลกาดีร์ หลังจากที่จอมพล ป.กลับมามีอำนาจอีกครั้ง การจับกุมหะยี สุหลง และพรรคพวกในปี ค.ศ.1947 ด้วยข้อหาแบ่งแยกดินแดนในปัตตานีและจังหวัดโดยรอบ ทำให้เกิดการประท้วงและจากการปราบปรามของฝ่ายความมั่นคงของไทยทำให้การประท้วงในบางครั้งนำไปสู่ความรุนแรง เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านดูซงยอร์ ในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เดือนเมษายน ค.ศ.1948 เกิดการต่อสู้กับตำรวจมีคนถูกฆ่าประมาณ 30-100 คน และมีผู้คนมากกว่า 6,000 คนหนีข้ามชายแดนไปมาเลเซีย การปราบปรามมีแม้กระทั่งทิ้งระเบิดทางอากาศ ขณะที่หะยี สุหลง ถูกปล่อยและพ้นข้อหากบฎในปี ค.ศ.1954 แต่อย่างไรก็ตาม เขาและผู้ร่วมอุดมการณ์ 3 คน รวมทั้งลูกชายของเขาหายตัวไป เชื่อกันว่าถูกถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลาโดยตำรวจของ เผ่า สียานนท์ จากการเติบโตของความเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในหมู่คนมลายูปัตตานีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 และการเพิ่มมากขึ้นของอาวุธบริเวณชายแดนไทยมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาโดยชาวจีนผู้สนับนุนของพรรคคอมมิวนิสต์มาเลย์ นำไปสู่การที่อังกฤษในมาเลเซียประกาศสถานะการณ์ฉุกเฉินในปีเดียวกัน 1 ปีต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์กุมอำนาจในจีนได้ ทำให้นักการเมืองชาวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกสงสัยมากยิ่งขึ้นว่าเป็นผู้เคลื่อนไหวแยกดินแดนปลดปล่อยจากการเป็นเมืองขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยมองเรื่องความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น (หน้า 34)

Belief System

ภายใต้การนำของอาจารย์ทิม และอนัน คณานุรักษ์ วัดช้างไห้เป็นวัดแรกที่ผลิตเครื่องรางที่มีรูปหลวงพ่อทวด การสร้างเครื่องรางต่างๆ ไม่เพียงแต่แพร่กระจายตำนานหลวงพ่อทวดไปทั่วภาคใต้ แต่ยังแพร่หลายไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันช่วยตอกย้ำตำนานหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ในขณะที่วัดอื่นๆ สร้างกลุ่มเครื่องรางของตัวเอง ทว่าเครื่องรางดั้งเดิมของวัดช้างไห้เป็นที่ต้องการเสาะหามากที่สุด ความดังของเครื่องรางทำให้วัดร่ำรวยที่สุดในถิ่นนั้น และสามารถสร้างอาคารใหม่หลายหลัง เรื่องราวที่อนันเล่าว่าในปี ค.ศ.1954 หลวงพ่อทวดมาเข้านิมิตในฝันของเขาว่าขอให้เขาสร้างเครื่องรางเป็นรูปท่าน อนันเชื่อฟังและได้สร้างเครื่องรางในปี ค.ศ.1954 จำนวน 64,000 องค์ จากเป้าหมาย 84,000 องค์ ซึ่งเป็นจำนวนพระธรรมในพระไตรปิฎก ไม่บรรลุเป้าเพราะเวลากระชั้นเกินไป ต่อมา อนันถามอาจารย์ทิมว่าควรจะตั้งชื่อเครื่องรางตามวัดเดิมของหลวงพ่อทวดคือวัดพะโคะไหม หลังจากเข้าญาณติดต่อกับหลวงพ่อทวด อาจารย์ทิมตอบว่าหลวงพ่อทวดบอกว่าต้องการให้เครื่องรางใช้ชื่อว่า "หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" ชื่อนี้และชื่อเดิมของพระรูปนี้คือ "เจ้าแห่งพะโคะ" เลือนหายไปตามกาลเวลาในขณะที่ความสัมพันธ์กับวัดช้างไห้มาแทนที่ ในวงการตลาดเครื่องราง เครื่องรางวัดช้างไห้ของหลวงพ่อทวดประสบความสำเร็จมาก ประวัติหลวงพ่อทวดและวัดช้างไห้ของอนันมีบทบาทเด่นในการแพร่กระจายชื่อเสียงด้านเหนือธรรมชาติของเครื่องรางหลวงพ่อทวด บทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้รวบรวมบันทึกและจดหมายที่ส่งมาถึงอนันเกี่ยวกับผู้ที่สวมเครื่องรางนี้ว่าพ้นภัยอันตรายได้อย่างไร เมื่อเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ออกไป ราคาและคุณค่าของเครื่องรางหลวงพ่อทวดก็ยิ่งทวีขึ้นไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ที่ส่งบันทึกเข้ามาเล่ามีจำนวนมากมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล รวมถึงทหาร ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ประจำท้องถิ่น มีเรื่องหนึ่งมาจาก พลเอกสิทธิ์ จิรโรจน์ ว่ากองทัพไทยได้แจกจ่ายเครื่องรางหลวงพ่อทวดแก่ทหารที่ทำหน้าที่ในท้องถิ่นนี้ ซึ่งภัยอันตรายที่ทหารเผชิญหน้าคือ "พวกโจร" หรือบางทีเรียกว่า "พวกโจรจีน" ซึ่งอยู่ชายแดนไทยมาเลเซีย เมื่อชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดแพร่ขยายออกไป หนังสือของอนันเป็นต้นแบบให้คนเลียนแบบ มีหนังสือเล่มหนึ่งเล่าเรื่องของดาราผู้นับถือหลวงพ่อทวด รวมถึง รัตนพล อินทรกำแหง สมบัติ เมทะนี ล้อต้อก และมิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นตำนานเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพราะเขาแขวนเครื่องรางหลวงพ่อทวดแต่โชคร้ายที่เขาตกเฮลิคอปเตอร์ตาย เพราะเขาลืมแขวนเครื่องรางหลวงพ่อทวด หนังสืออีกเล่มหนึ่งขียนเกี่ยวกับบทหนึ่งของผู้เลื่อมใสหลวงพ่อทวด ได้แก่ วิษณุ เครืองาม วิษณุเป็นคนสำคัญในทางการเมืองหลายสิบปี เคยมีตำแหน่งเลขาคณะรัฐมนตรีในหลายรัฐบาล ช่วง ค.ศ.1993 ถึง ค.ศ.2002 ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เขาเกิดในสงขลาปี ค.ศ.1951 วิษณุมีชื่อเดิมว่า ภิธาน ตอนเด็กๆ ภิธานสุขภาพไม่ดีและเรียนไม่เก่ง วันหนึ่งมีคนแนะนำให้เขาไปวัดช้างไห้เพื่อสวดมนต์อ้อนวอนต่อหลวงพ่อทวด เขาได้พบอาจารย์ทิม ท่านได้ทดสอบเชาว์ปัญญาของเด็กชายคนนี้แล้วเปลี่ยนชื่อให้เป็น วิษณุ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด สุขภาพของเขาแข็งแรงขึ้น เรียนก็ดีขึ้นมาก จนได้เรียนจบดอกเตอร์จาก UCLA Berkeley และเป็นศาตราจารย์ในคณะนิติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนอายุ 32 ปี อีกส่วนหนึ่งมีปรากฏการณ์ว่าเขาจะถูกครอบงำโดยวิญญาณของหลวงพ่อทวด เมื่อมีคนรู้ก็มาที่บ้านเขาเป็นจำนวนมาก แม่ของเขาเลยให้เขาออกจากสงขลาไปเรียนที่กรุงเทพ หนังสือเล่มเดียวกันนี้ยังมีชีวประวัติของผู้เลื่อมใสหลวงพ่อทวดอีกคนหนึ่ง คือตำรวจชื่อดังของนครศรีธรรมราช But Phantharak ตอนหลังได้รับราชทินนามว่า "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" (Khun Phan Rak Ratchadet) ท่านมีชื่อเสียงระดับชาติจากการฆ่าและจับโจรร้ายระดับประเทศ ไม่เพียงแต่ทางภาคใต้ของไทยเท่านั้นแต่ยังดังถึงภาคกลางด้วย ส่วนหนึ่งของชื่อเสียงของตำรวจคนนี้คือการใช้ไสยศาสตร์จนได้รับชัยชนะเหนือศัตรู ท่านเป็นศิษย์ของวัดเขาออ (wat khao or) ในอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นที่รู้จักกันดีว่าทั้งตำรวจและโจรมาเรียนไสยศาสตร์ที่นี่ ท่านยังสนิทสนมกับอาจารย์ทิม วัดช้างไห้และร่วมพิธีปลุกเสกเครื่องรางหลวงพ่อทวดรุ่นแรกผลิตในปี ค.ศ.1954 ซึ่งท่านมี 1 องค์ ในจำนวนผลงานหลายอย่างของท่าน ท่านมีส่วนจับกุมโจรแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ จับหัวหน้าโจร Awaesado Tale แห่งเทือกเขาบูโด ทราบกันว่าสุลต่านแห่งกลันตันส่งมีดมาให้ท่านเป็นน้ำใจที่ปราบเหล่าร้ายได้ (หน้า 32)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ตำนานเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หรือ สมเด็จเจ้าพะโคะ เป็นที่รู้จักทั่วภาคใต้และทั้งประเทศไทย หลวงพ่อทวดเป็นเจ้าอาวาสวัดพะโคะ อำเภอสะทิงพระ จังหวัดสงขลา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 17 ท่านยังเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า หลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ตามชื่อวัดในอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พยายามทำให้เป็นที่รู้จักชื่อเสียงของหลวงพ่อทวด เรื่องราวของหลวงพ่อทวดในด้านอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตและภายหลัง เป็นที่รู้จักไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก็เป็นที่รู้จักกันดี ในปัจจุบันเครื่องรางของท่านเป็นที่นิยมมากไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ทหารตำรวจ และดาราต่างก็มีศรัทธาอย่างมาก รูปปั้นหลวงพ่อทวดมีที่หาดใหญ่ และมีโครงการสร้างหลวงพ่อทวดใหญ่ที่สุดในโลก สูง 17 เมตร หนัก 80 ตันในวัดที่หัวหินและประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 27) ตำนานเริ่มเรื่องจากเรื่องของเด็กชายชื่อว่า "Jao Sami Ram" เกิดที่อำเภอสะทิงพระ ในจังหวัดสงขลา วันหนึ่งขณะที่ทำงานอยู่ในทุ่งนา แม่ของเด็กกลับมาเจอลูกชายถูกงูจงอางขดตัวล้อมไว้โดยไม่ทำอันตราย และยังทิ้งลูกแก้วไว้ให้เด็กด้วย เด็กคนนี้ได้บวชเป็นสามเณรและเรียนเก่งมาก หลังจากที่ท่านเรียนหนังสือที่นครศรีธรรมราชหลายปี ท่านตัดสินใจเดินทางไปอยุธยาเพื่อเรียนต่อให้จบ ขณะที่โดยสารเรือไปอยุธยาท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีกล่าวคือท่านจุ่มเท้าลงในทะเลแล้วทำให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืด ท่านสำเร็จการศึกษาที่อยุธยา ความเก่งในการเรียนของท่านทำให้พระมหากษัตริย์สนพระทัย ท่านสามารถแก้ปัญหายากๆ ในพระอภิธรรมได้ กษัตริย์จึงบริจาคที่ดินที่วัดพะโคะและชาวนารอบๆ วัดได้รับการยกเว้นภาษีโดยให้ไปทำงานดูแลวัดแทน หลวงพ่อทวดกลับภาคใต้เป็นเจ้าอาวาสวัดพะโคะเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนนั้น (หน้า 28-29)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst นันทวัน หาญสมบูรณ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG หลวงพ่อทวด, พุทธศาสนา, วีรบุรุษทางวัฒนธรรม, บูรณาการ, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง