|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ลัทธิฤาษี,วาทกรรมคนชายขอบ,การปรับตัว,ความอยู่รอดของชาติพันธุ์,ตาก |
Author |
ภาสกร ภูแต้มนิล |
Title |
ลัทธิฤาษี : วาทกรรมของคนชายขอบ (กะเหรี่ยง) ภาพสะท้อนพลังชุมชนสู่สังคมอุดมคติ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
14 |
Year |
2546 |
Source |
รวมบทความทางวิชาการไทศึกษา โครงการปริญญาเอกไทศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อเป็นกรอบในการดำรงและการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยความเชื่อที่ยึดโยงสังคมกะเหรี่ยงคือ ลัทธิฤาษี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ตกผลึกสั่งสมมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ กะเหรี่ยงจึงดำรงอยู่อย่างพึ่งพาธรรมชาติ เคารพธรรมชาติ มีข้อห้ามทางศาสนาเป็นเครื่องมือควบคุมทางสังคม โดยมีฤาษีเป็นผู้นำทางความเชื่อที่มีบทบาทในการปกครอง และมีความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงทั้งฝั่งไทยและพม่า มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและการร่วมกันใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม มีการไปมาหาสู่อย่างไร้พรมแดน เมื่อความเจริญเข้ามามีความสำคัญ เกิดการพยายามเปลี่ยนแปลงโดยรัฐชาติ ที่เข้ามาแทรกแวงการดำรงตนของกะเหรี่ยง โดยเข้าไปจัดระบบการศึกษา ยกเลิกพิธีกรรมความเชื่อ และมองกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อย หรือคนชายขอบ ที่ก่อให้เกิดปัญหา เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาแรงงาน ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย บริเวณชายแดนไทย-พม่า โดยเป็นการมองที่ขาดความเข้าใจถึงรากของปัญหา ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ |
|
Focus |
เน้นการศึกษาการปรับตัวของกะเหรี่ยงบริเวณชายแดนไทย-พม่า ผ่านลัทธิฤาษีซึ่งถูกมองว่าเป็นวาทกรรมของคนกะเหรี่ยงที่กลายเป็นคนชายขอบ |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยมองว่ากะเหรี่ยงโปว์และสะกอที่อาศัยบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ถูกวาทกรรมการพัฒนาของรัฐไทย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้กะเหรี่ยงซึ่งยึดถือวัฒนธรรมดั้งเดิมที่พึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก ถูกมองว่าเป็นกลุ่มชนล้าหลังที่ต้องการการพัฒนาเพื่อให้เกิดความเจริญ ต้องมีการเรียนรู้ตามระบบการศึกษาไทย และเลิกล้มความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ทำให้กะเหรี่ยงบางกลุ่มต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่มีกะเหรี่ยงบางกลุ่มที่ยึดถือในลัทธิฤาษีที่ผสมผสานความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติและพุทธศาสนาเข้าด้วยกันได้ และยึดมั่นในสังคมประเพณีเดิมได้อาศัยพลังอำนาจลัทธิฤาษีต่อต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผ่านการสร้างวาทกรรมที่ว่า กะเหรี่ยงเป็นนักอนุรักษ์ทรัพยากรเพราะอยู่อย่างสมถะ เคารพธรรมชาติซึ่งจะนำไปสู่สังคมสันติสุข (หน้า 143, 148) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโปว์และสะกอ เป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย อาศัยอยู่ตามที่ราบเชิงเขาตามแนวตะเข็บชายแดนทางด้านตะวันตก คือบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า (หน้า 139) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในงานการศึกษาระบุเพียงว่ากลุ่มกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณพรมแดนไทย-พม่า ทางตะเข็บชายแดนทางตะวันตก นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศแบ่งตามเกณฑ์ภาษาออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงบะเว และกะเหรี่ยงตองตู่หรือต่องสู้ (หน้า 140) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุว่าได้ทำการศึกษาช่วงปีใด แต่ระบุว่าในขณะที่เขียนบทความยังเก็บข้อมูลไม่เสร็จสิ้น การศึกษาน่าจะอยู่ในช่วงปีประมาณ 2545 |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์การตั้งชุมชนในบริเวณชายแดนระหว่างไทย-พม่า โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงตามบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง จากจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน และจังหวัดตาก ได้อาศัยอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้มาช้านนานก่อนที่ชาวไทยจะอพยพเข้ามา ดังปรากฎในตำนานพระธาตุและพงศาวดารเมืองเหนือว่า "นอกจากมีพวกลัวะหรือละว้าแล้วยังมีพวกยางหรือกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ตามป่ารอบเมือง" แต่ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดและการอพยพยย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงยังไม่ชัดเจน เพียงแต่สันนิษฐานว่า ถิ่นเดิมของชนกะเหรี่ยงอยู่ทางทิศตะวันออกของธิเบต แล้วอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศจีนเมื่อ 3,334 ปีล่วงมาแล้ว หรือ 733 ปี ก่อนพุทธกาลโดยตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณแม่น้ำแยงซีเกียง ชาวจีนเรียกว่า "โจว" ต่อมาถูกชนชาติจีนรุกรานจึงอพยพม่าตั้งถิ่นฐานยังแหลมอินโดจีน บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มแม่น้ำสาละวิน และลุ่มแม่น้ำเมยในเขตไทยและพม่า ชุมชนกะเหรี่ยงจึงมีลักษณะเป็นรัฐกันชน ระหว่างไทยกับพม่ามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (หน้า 139-140) |
|
Settlement Pattern |
การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยง อาจแบ่งตามช่วงเวลาที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมก่อนเกิดรัฐชาติ และกลุ่มที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 2 ประการคือ หนีภัยสงคราม และการอพยพเข้ามาหาที่ทำกินใหม่ โดยลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนฝั่งไทย เมื่ออพยพเข้ามาในไทยจึงตั้งหมู่บ้านขึ้นเรียกว่า "เลตองคุ" และตั้งสำนักฤาษีขึ้นเป็นศูนย์กลางพลังอำนาจควบคุมการขับเคลื่อนทางสังคม (หน้า 140, 147) |
|
Demography |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจากการสำรวจประชากรอย่างเป็นทางการ ปี พ.ศ.2544-2545 พบว่ามีประชากรกะเหรี่ยงในประเทศไทยจำนวน 438,450 คน และมีสัญชาติไทยไม่ถึง 40% อาศัยอยู่หนาแน่นตามเส้นตะเข็บชายแดนบริเวณจังหวัดตาก ตั้งแต่อำเภอท่าสองยาง อำเภอแม่ระมาด อำเภอแม่สอด อำเภอพบพระ และอำเภออุ้มผาง ชาวกะเหรี่ยงส่วนมากไม่ต้องการที่จะอพยพพลัดจากบ้านเกิดเมืองนอน แต่มีเหตุปัจจัยความไม่มั่นคงและความปลอดภัยในพม่า ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่พม่าได้รับอิสระจากอังกฤษในปี 2491 เพราะพม่าต้องการผนวกเอาดินแดนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติพม่า โดยการยกเลิกรัฐธรรมนูญและสัญญาปางโหลง ที่พม่าและกลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ ทำขึ้นร่วมกัน โดยมีเงื่อนไขและตกลงกันไว้ว่าหากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ร่วมมือกับรัฐบาลพม่า ร่วมต่อต้านและร่วมเรียกร้องอิสระจากจักรวรรดินิยมอังกฤษสำเร็จ หลังจากนั้น 10 ปี หากกลุ่มชาติพันธุ์ใดต้องการแยกตัวไปปกครองตนเองก็สามารถทำได้ แต่เมื่อครบกำหนดพม่ากับไม่ปฏิบัติตาม มีการส่งกองกำลังทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กลายเป็นชนกลุ่มน้อยของพม่า จึงเกิดการอพยพหนีเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย (หน้า 138-141) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงยังชีพโดยการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน เป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง พออยู่พอกินภายใต้ระบบนิเวศที่มีดุลยภาพ นอกจากนี้ยังมีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับกะเหรี่ยงในประเทศพม่า มีการร่วมใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (หน้า 143-144, 146) |
|
Political Organization |
ลัทธิฤาษี เป็นลัทธิความเชื่อที่มีการนับถือมาอย่างยาวนาน ลัทธิฤาษีที่กลุ่มชนกะเหรี่ยงนับถือ เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งของ กะเหรี่ยงโปว์และสะกอ ที่อาศัยตามตะเข็บชายแดนไทย-พม่า สร้างขึ้นเพื่อความเป็นปึกแผ่นและเป็นการปรับตัวเพื่อการเอาตัวรอดของชาติพันธุ์ ในอดีตกะเหรี่ยงกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในพม่า และถูกพม่ารังแกอย่างน้อย 2 ครั้งคือ ครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอลองพญาทำสงครามชนะมอญ พ.ศ. 2318 ครั้งที่ 2 คือ พ.ศ. 2355 พม่าปราบปรามกะเหรี่ยงเมื่อทราบว่ามีทัศนะที่ดีต่ออังกฤษ ทำให้ต้องอพยพเข้ามาในประเทศไทยแล้วสร้างลัทธิฤาษีขึ้นมา สมาชิกในโซนวัฒนธรรมลัทธิฤาษีต้องปฏิบัติตามข้อห้าม เช่น ห้ามดื่มสุรา ยาเสพติด เคารพในธรรมชาติ และทุกวันพระต้องไปทำบุญที่ศูนย์กลางวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นการควบคุมทางสังคม โดยผ่านฤาษี เจ้าฤาษีมีการส่งผ่านอำนาจมาแล้ว 10 คน โดยมี 2 ลักษณะในการส่งผ่าน ประการแรกเจ้าฤาษีองค์ก่อนแต่งตั้งนักบวชในสำนักก่อนมรณภาพ และประการที่สองหากเจ้าฤาษีมรณภาพก่อนแต่งตั้ง จะแต่งตั้งโดยผ่านการเข้าฝันนักบวช อย่างน้อย 3 คน และฝัน 3 ครั้ง จึงจะได้เป็นเจ้าฤาษี ท่ามกลางการรุกคืบของอำนาจรัฐและอำนาจโลกาภิวัตน์ ที่พยายามเข้าไปพัฒนาและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรม เช่น กรณีการปะทะกันระหว่างกะเหรี่ยงกับตำรวจตระเวนชายแดนที่ ต.แม่จัน อ.อุ้มผางจ.ตาก เมื่อปี 2535 ในขณะเดียวกัน การจัดการแบบโซนวัฒนธรรมลัทธิฤาษีในปัจจุบัน มีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐไทยที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่น ลัทธิฤาษีก็มีการปกครองโดยเจ้าฤาษี มีกรอบกติกาของพลังทางการเมือง ผูกโยงไว้กับผู้ที่มีอำนาจ เพื่อใช้อำนาจนั้นเป็นกลไกควบคุมทางสังคม สมาชิกคนใดหากละเมิดจะถูกทำโทษจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งจากสมาชิกทั้งไทยและพม้า จำนวน 12 คน ที่เรียกว่า "บูโค๊ะเคอะ" ลงโทษอย่างหนักคือการไล่ออกจากชุมชน เช่น กรณีทำผิดลูกเมียคนอื่น (หน้า 145-147, 149-150) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงโปว์และสะกอ ที่อาศัยอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า บริเวณ อ.ท่าสองยาง อ.แม่ระมาด อ.แม่สอด อ.อุ้มผาง จังหวัดตาก อ.สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ตลอดจนที่อยู่ในจังหวัดดูปาย่า จังหวัดเมียวดีของพม่า มีระบบวัฒนธรรมอยู่ภายใต้ระบบความเชื่อในพุทธศาสนา คริสต์ศาสนาและลัทธิฤาษี โดยกลุ่มที่นับถือลัทธิฤาษีมักจะตั้งชุมชนอยู่เฉพาะกลุ่ม เช่น กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และจังหวัดเคียวดอน พม่า ลัทธิฤาษีนั้นเป็นลัทธิความเชื่อที่มีการนับถือมาอย่างยาวนาน คำว่า ฤาษี แปลว่า ผู้เห็น หมายถึง การแลเห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌานสามารถแลเห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในโซนวัฒนธรรมลัทธิฤาษีพัฒนามาจากกระบวนการปรับตัวเพื่อความสอดคล้องกับบริบทสังคมที่อาศัย เดิมกะเหรี่ยงอาศัยในพม่าและปกรองโดยพือย่าแฮ (ปู่หรือฤาษี) อยู่กันเป็นปึกแผ่นพึ่งพาธรรมชาติชีวิตเรียบง่าย มีความเชื่อตัวเดียวกันคือ ผีบ้าน และผีเรือน ผีของชนกะเหรี่ยงจะเป็นผีพหูพจน์ คือมีการนับถือผีหลายตัวร่วมกัน เช่น เจ้าแห่งผืนน้ำ (คองซากา) เทพธิดาปกป้องดิน (ซ่าทะรี) เทพยดาแห่งน้ำ (โปโลกุ) เทพธิดาแห่งข้าว (พิบือโย) และผีบรรพบุรุษ ความเชื่อเหล่านี้เมื่อผสมผสานกับพุทธศาสนาจึงเกิดเป็นลัทธิฤาษี โดยหากแบ่งตามลัทธิความเชื่อพอแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม คือ กลุ่ม ความเชื่อดั้งเดิมที่หลากหลาย กลุ่มกะเหรี่ยงพุทธ กลุ่มกะเหรี่ยงคริสต์ และกลุ่มกะเหรี่ยงลัทธิฤาษี (หน้า 140, 142, 143, 145, 147) |
|
Education and Socialization |
มีการพยายามจากรัฐที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น การพยายามจัดระบบการศึกษาเป็นระบบโรงเรียนแบบส่วนกลาง โดยที่กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยึดมั่นในความเชื่อเรื่องผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเหนียวแน่นมายาวนาน วัฒนธรรมชุมชนจึงตั้งอยู่บนฐานของความเชื่อในอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติ และมีบทบาทต่อการกำหนดกิจกรรมในการดำเนินชีวิตทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ขนบประเพณี การดูแลสุขภาพ และการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ความเชื่อจึงเป็นแกนสำคัญในกระบวนการขัดเกลา เช่น ความเชื่อในลัทธิฤาษีซึ่งมีการผลิตซ้ำและส่งผ่านจากบรรพชนมายาวนานกว่า 200 ปี สมาชิกส่วนมากอาศัยอยู่ในป่าลึกที่สมบูรณ์ พึ่งพาธรรมชาติ มีเศรษฐกิจแบบพอเพียง โดยมีกรอบวัฒนธรรมของลัทธิฤาษีเป็นแบบแผนกำหนดให้สมาชิกในโซนวัฒนธรรมลัทธิฤาษีปฏิบัติทำให้โครงสร้างทางสังคมเข้มแข็ง (หน้า 142-143, 146) |
|
Health and Medicine |
ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน แค่เพียงระบุว่า วัฒนธรรมชุมชนจึงตั้งอยู่บนฐานของความเชื่อในอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติ และมีบทบาทต่อการกำหนดกิจกรรมในการดำเนินชีวิตทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ขนบประเพณี การดูแลสุขภาพ และการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม (หน้า 142) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ลัทธิฤาษีนั้น ฤาษีเริ่มปรากฎหลักฐานในมหากาพย์รามายณะ และมหาภารตะของกลุ่มวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งลัทธิฤาษีเป็นเรื่องของจิตใจภายในเกิดขึ้นกับบุคลในทุกศาสนาและกลุ่มพิธีกรรมต่างๆ ฤาษีบางคนจะออกมาช่วยเหลือสังคม โดยการเป็นผู้นำทางคุณธรรมด้านต่าง ๆ เช่น เป็นผู้สื่อผ่านระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ดังปรากฏในเกร็ดพงศาวดารมอญ เรื่องเมืองหงสาวดีว่าพระอินทร์ประทานกลองวิเศษให้ฤาษี และฤาษีมอบกลองนี้ให้เชื้อพระวงศ์ของมอญ เป็นผู้มีเมตตาให้ความช่วยเหลือนางสีดาในรามายณะ เป็นผู้นำในการสร้างบ้านแปลงเมือง ในตำนานจามเทวีวงศ์กล่าวถึงฤาษีวาสุเทพ และฤาษีสุกกทันตฤาษี ได้สร้างเมืองลำพูน เป็นต้น (หน้า 145) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
บริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ที่มีความยาว 2,532 กิโลเมตร ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึงจังหวัดระนองมีช่องทางติดต่อระหว่างกันประมาณ 76 ช่องทางตลอดพรมแดน ในอดีตก่อนเกิดรัฐชาติพื้นที่ดังกล่าว ล้วนเป็นพื้นที่วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย เช่น ม้ง กะเหรี่ยง เย้า ลีซอ มูเซอ อีก้อ ฯลฯ หากมองมิติทางประวัติศาสตร์จะเห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับรัฐไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎชื่อ สิน ภูมิโลกเพชร แม่ทัพหน้ากะเหรี่ยง และพระวอ นายทหารกองสอดแนม ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกไปตีตองอู พระยาศรีสุวรรณ นายอำเภอสังขละบุรี พระพิชัยสงคราม นายอำเภอศรีสวัสดิ์ และพระแม่กลอง นายอำเภออุ้มผาง ซึ่งนับได้ว่าเป็นความเกี่ยวข้องผูกพันระหว่างกลุ่มกระเหรี่ยงกับคนไทยที่มีต่อกันมายาวนาน (หน้า 137-138, 140) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้สร้างวาทกรรมการพัฒนาพร้อมพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติตั้งแต่แผนที่ 1-9 ความเจริญ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจระบบทุนนิยม เน้นตลาด ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาสังคมไทย พร้อมกับแพร่ขยายไปยังสังคมกะเหรี่ยงบริเวณชายแดนไทย-พม่า ชาวกะเหรี่ยงถูกมองว่าเป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อย ที่ล้าหลัง รัฐต้องเข้าไปพัฒนา เช่น การพยายามจัดระบบการศึกษาแบบระบบโรงเรียน การพยายามยกเลิกพิธีกรรมความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยการเผยแพร่พุทธศาสนา คริสต์ศาสนาโดยมิชชั่นนารี การพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองชองชุมชนให้เหมือนชุมชนสังคมไทย ผลจากการพัฒนาก่อให้เกิดการทำลายสถาบันและระบบความเชื่อดั้งเดิมของกะเหรี่ยงที่เน้นการพึ่งพาระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ การผลิตเปลี่ยนเป็นผลิตเพื่อตลาด มีการแข่งขันดิ้นรนเพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งตกเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนทางการเมืองของกลุ่มผู้มีอำนาจทั้งไทยและพม่า เกิดการสู้รบกันบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งทำให้เกิดปัญหาทางสังคมที่กะเหรี่ยงตกเป็นจำเลยทางสังคมตามที่ปรากฎตามสื่อต่างๆ (หน้า 143, 144) |
|
|