|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การผูกข้อมือ,การกินน้ำสุก,พุทธศาสนา,ภาคกลาง |
Author |
สุรพงษ์ กองจันทึก |
Title |
ประเพณีการผูกข้อมือ-การกินน้ำสุกและพระพุทธศาสนา : ศึกษากรณีกะเหรี่ยงโปภาคกลาง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ห้องสมุดสถาบันวิจัยชาวเขา, ห้องสมุดสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
66 |
Year |
2530 |
Source |
ฝ่ายศาสนาและสันติวิธี กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม |
Abstract |
เดิมกะเหรี่ยงโปว์ด้ายขาวมีการไหว้ผี กินอ้นกินปลา บูชาต้นไม้ เมื่อรับพุทธศาสนาจากมอญ กะเหรี่ยงบางกลุ่มเปลี่ยนมาผูกข้อมือด้วยด้ายเหลืองสะเดิ่ง บางกลุ่มเลิกผูกข้อมือและเปลี่ยนมากินน้ำสุก กลุ่มด้ายขาวในประเทศไทยพยายามปรับตัวเข้าหาพุทธศาสนา โดยเปลี่ยนจากไหว้ผีป่าเป็นไหว้ผีบ้านและไหว้พระในบ้าน จนกระทั่งผู้อื่นก็สามารถไหว้พระที่บ้านของตนได้ กลุ่มด้ายเหลืองสะเดิ่งก็เปลี่ยนเป็นด้ายเหลืองพระ เพื่อให้มีสีเหลืองคุ้มครองเช่นเดียวกับพระ ไหว้และเคารพพระแทนการไหว้เจดีย์เสาสะเดิ่งและเจ้าวัด ความเคร่งครัดในประเพณีปฏิบัติเริ่มคลายลงเมื่อกลุ่มกินน้ำสุกได้ตีความว่าเหล้าก็เป็นน้ำสุกและหันมาดื่มเหล้า ส่วนกะเหรี่ยงที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์ได้เลิกผูกข้อมือและกินน้ำสุกแล้ว อย่างไรก็ดี สังคมกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในพุทธศาสนา จะงดฆ่าสัตว์ ตัดต้นไม้ และจะไปทำบุญที่วัดในวันพระ วัดและเจ้าวัดยังคงเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของกะเหรี่ยงทุกคน (หน้า 65-66) |
|
Focus |
ศึกษาประเพณีการผูกข้อมือและการกินน้ำสุกในบริบททางพุทธศาสนา ตลอดจนคุณค่าและความเป็นมาของประเพณีดังกล่าวที่มีต่อวิถีชีวิตและการจัดระเบียบชุมชนของกะเหรี่ยงโปว์ภาคกลาง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo Karen) หมู่บ้านกะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และอุทัยธานี ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากคนไทย (หน้า 14) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงโปว์ในกรณีศึกษายังคงพูดภาษากะเหรี่ยงดัดแปลงมาจากภาษามอญ แต่ปัจจุบันมีผู้อ่านและเขียนภาษากะเหรี่ยงน้อยลง และหันมาพูดภาษาไทยกลางมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่การคมนาคมเข้าถึง บ้านที่อ่าน-เขียนภาษากะเหรี่ยงได้มากที่สุดคือ บ้านตะเพินคี่ คิดเป็นร้อยละ 21.21 รองลงมาคือ บ้านเจ้าวัด คิดเป็นร้อยละ 18 (หน้า 30) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เดิมกะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันออกของธิเบต ก่อนจะอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศจีน ต่อมาถูกกษัตริย์ราชวงศ์จิ้นรุกราน จึงถอยร่นลงมาตามลำน้ำโขงกับแม่น้ำสาละวิน บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำอิระวดี มีรัฐปกครองตนเอง คือ รัฐคะยาและรัฐ ก่อตูเล บางส่วนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยบริเวณต้นน้ำแม่ปิงและแม่น้ำสาละวิน ราวพุทธศตวรรษที่ 24 พระเจ้าอลองพญาฝ่ายพม่าได้ทำสงครามกับมอญ กะเหรี่ยงเป็นมิตรกับมอญจึงพากันหลบหนีเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมาก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งขอเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณเมืองกาญจนบุรี หลังจากนั้นก็มีการอพยพเข้ามาเป็นครั้งคราว จนกระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กะเหรี่ยงในแถบจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรีได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ให้มีส่วนร่วมในสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับคนไทย กระทั่งมีบทบาททางการปกครองในระดับหมู่บ้าน (หน้า 5-14) บ้านเขาเหล็กก่อตั้งโดยกะเหรี่ยงที่อพยพมาจากพม่าเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว เดิมมีเฉพาะกลุ่มกินน้ำสุก ต่อมามีกลุ่มด้ายเหลืองสะเดิ่ง ด้ายเหลืองพระ และพวกไม่มีด้ายที่มีภรรยาเป็นคนไทยได้อพยพมาสมทบ (หน้า 21-22) บ้านกลางมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 150 ปี (หน้า 23) บ้านองหลุก่อตั้งประมาณ 100 ปีมาแล้ว เป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากบ้านนาสวน และถูกรวมเข้าไว้ในเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ในปี พ.ศ.2524 (หน้า 25) บ้านตะเพินคี่มีประวัติความเป็นมากว่า 100 ปี (หน้า 27) บ้านเจ้าวัดเพิ่งตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยย้ายมาจากขุล่องพูซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านปัจจุบันประมาณ 1 กิโลเมตร (หน้า 29) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเขาเหล็กตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มบริเวณลำห้วยแม่พลู บ้านเรือนส่วนใหญ่ปลูกด้วยไม่ไผ่ บางบ้านปลูกด้วยไม่กระดาน (หน้า 21-22) บ้านกลางตั้งบ้านเรือนกระจายตัวตามลำห้วยแม่พลูและลำห้วยแม่อุย (หน้า 23) บ้านหนองหลุตั้งบ้านเรือนกระจายตัวระหว่างหุบเขาตลอดแนวลำห้วยองหลุ (หน้า 25) บ้านตะเพินคี่และบ้านเจ้าวัดยังคงสภาพ ดั้งเดิมของชุมชนกะเหรี่ยงอยู่มาก บ้านเรือนปลูกด้วยไม่ไผ่ยกพื้นสูง มีเตาไฟอยู่ในบ้าน มีเพียงบางบ้านที่ปลูกด้วยไม่ไผ่และสังกะสี (หน้า 27, 29) |
|
Demography |
จากการศึกษาพบว่าบ้านเขาเหล็กมีชุมชน 36 หลังคาเรือน เป็นจำนวน 231 คน (หน้า 21) บ้านกลางมีชุมชน 21 หลังคาเรือน เป็นประชากร 105 คน (หน้า 23) บ้านองหลุ มีชุมชน 40 หลังคาเรือน เป็นจำนวน 247 คน (หน้า 25) บ้านตะเพินคี่ มีบ้านเรือน 18 หลังคาเรือน เป็นประชากร 99 คน (หน้า 27) บ้านเจ้าวัดมีชุมชน 6 หลังคาเรือน เป็นจำนวน 50 คน (หน้า 29) จะเห็นว่าบ้านเจ้าวัดและบ้านตะเพินคี่ มีจำนวนหลังคาเรือนน้อยกว่าหมู่บ้านอื่น ส่วนบ้านเขาเหล็ก บ้านกลาง และบ้านองหลุเริ่มมีจำนวนประชากรและหลังคาเรือนเพิ่มขึ้นจาก 10 กว่าปีที่แล้ว มีประมาณ 20 หลังคาเรือน เนื่องจากกะเหรี่ยงส่วนใหญ่แต่งงานกับคนไทยเชื้อสายลาว และคนพม่า มอญ แล้วย้ายมาตั้งบ้านเรือนในหมู่บ้าน (หน้า 30-31) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาปลูกข้าวไร่และพืชสวนไว้บริโภคในครัวเรือน ต่อมาเกิดฝนแล้งจึงต้องซื้อข้าวจากตลาดมาบริโภคและหันมาหาของป่า ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่เพื่อการเกษตร 1-2 ปี จากนั้นปล่อยให้พื้นดินพักตัว 3-5 ปี จึงกลับมาใช้ประโยชน์ในที่ดินเดิม เช่น บ้านเขาเหล็กและบ้านกลาง มีอาชีพขายพืชผลจำพวกละหุ่ง ถั่วดำ นอกจากนี้ยังริเริ่มปลูกกระวานกันอย่างจริงจัง (หน้า 21, 23) บ้านองหลุ บางครอบครัวมีอาชีพปลูกฝ้าย แต่เกือบทุกครัวเรือนมีรายได้จากการตัดไม้ไผ่ (หน้า 25-26) บ้านตะเพินคี่ มีรายได้หลักจากการปลูกกระวานเฉลี่ย 40,000-50,000 บาท/ปี (หน้า 27) บ้านเจ้าวัด มีรายได้หลักจากการหาของป่าและปลูกพืชหมุนเวียน (หน้า 32) |
|
Social Organization |
ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษายังคงมีองค์กรทางศาสนาตามระบบจารีตประเพณี แม้ว่าจะมีองค์กรทางการปกครองของรัฐอย่างผู้ใหญ่บ้านหรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่การกำหนดกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติภายในหมู่บ้านยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าวัด ภายในครอบครัวจะมีผู้เฒ่าผู้แก่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้นำในประเพณีการผูกข้อมือ กินน้ำสุก และเลี้ยงผีประจำตระกูล เจ้าวัดที่เป็นประธานในการประกอบพิธีผูกข้อมือด้ายเหลืองสะเดิ่งและกินน้ำสุกจะต้องเป็นผู้ที่คนในหมู่บ้านยอมรับ และปกครองชุมชนด้วยหลักทางพุทธศาสนา โดยบ้านตะเพินคี่ มีเจ้าวัดเหลืองสะเดิ่งสืบต่อกันมา 5 คนแล้ว ปัจจุบันมีเจ้าวัดข่องมึ้งเฌ้เป็นหลักของหมู่บ้านในการรักษาธรรมเนียมปฏิบัติ เจ้าวัดจะไม่กินเนื้อหมู เนื้อไก่บ้าน และเนื้อสัตว์ทุกชนิดในวันพระ (หน้า 62) บ้านเจ้าวัด มีเจ้าวัดเหลืองสะเดิ่งสืบกันมาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ปัจจุบันมีเจ้าวัดตอลโพ่เป็นผู้ปกครองดูแลบ้านด้วยความเข้มงวด กระทั่งห้ามเล่นและดูการพนัน (หน้า 63) บ้านกลางมีเจ้าวัดกินน้ำสุกชื่อโตไดโพ่ แต่เนื่องจากมีสุขภาพไม่แข็งแรงจึงเป็นประธานในพิธีกินน้ำสุกเพียงบางครั้งเท่านั้น บทบาทในหมู่บ้านจึงเป็นของลูกชายเจ้าวัด (หน้า 64) |
|
Political Organization |
กะเหรี่ยงโปว์ในกรณีศึกษาปกครองชุมชนด้วยกฎเกณฑ์แบบจารีตประเพณีดั้งเดิม เจ้าวัดเป็นบุคคลที่สมาชิกในหมู่บ้านต่างให้ความเคารพนับถือ เพราะนอกจากจะมีความเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ที่กะเหรี่ยงเชื่อถือตั้งแต่ครั้งอดีตแล้ว ยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในศีลธรรม ปกครองหมู่บ้านให้อยู่ในจารีตและกฎหมายบ้านเมือง กระทั่งเป็นที่ยอมรับจากสถาบันรัฐและพระสงฆ์ (หน้า 63) ปัจจุบันมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรี เป็นผู้ดูแลพัฒนาภายใต้ความเห็นชอบจากผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน (หน้า 21) |
|
Belief System |
ความเป็นมาของการผูกข้อมือและการกินน้ำสุกกล่าวว่า เดิมกลุ่มที่ผูกข้อมือด้ายขาวเป็นพวกที่นับถือผี ต่อมาเกิดเลื่อมใสในพระภิกษุและพุทธศาสนาแต่ถูกกีดกัน ตาเกียะเซเสิ้งจึงนำด้ายเหลืองมาผูกข้อมือแทนการเป็นพระ และภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าวัด บ้างเล่าว่า ซุวเซ่อเนจี่ได้ตั้งกองผ้าป่าลอยน้ำ และจัดตั้งเจ้าวัดด้ายเหลืองสะเดิ่ง พร้อมกับผูกข้อมือและตั้งเจ้าวัดกินน้ำสุกที่เป็นคนพูดจริงทำจริง ยึดมั่นในคุณความดี ต่อมาเจ้าวัดกินน้ำสุกอยากมีภรรยา และถือเอาน้ำเหล้าเป็นน้ำนมพระแม่โพสพเพื่อดื่มกิน ทำให้ประเพณีปฏิบัติของกลุ่มกินน้ำสุกเสื่อมลง มีการกินเหล้า เล่นการพนัน และพูดปด ส่วนเจ้าวัดด้ายเหลืองสะเดิ่งยังคงเคร่งครัดในวัติปฏิบัติไม่เสื่อมคลาย (หน้า 34-35) การผูกข้อมือด้ายเหลืองสะเดิ่งเกี่ยวข้องกับวัฏจักรของชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เช่น เมื่อแรกเกิด เพื่อเป็นการเรียกขวัญให้กับทารก เมื่อตั้งชื่อให้ทารก โดยที่บ้านตะเพินคี่ ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่จะเป็นผู้ทำพิธีผูกข้อมือให้ทารกเมื่ออายุตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป มีความหมายถึงการยอมรับสภาพความเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างสมบูรณ์ ส่วนที่บ้านเจ้าวัดจะผูกข้อมือให้ทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 เดือน เมื่อมีงานผูกข้อมือประจำปี จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 5 กับแรม 1 ค่ำ หรือ 2 ค่ำ โดยกะเหรี่ยงจะไปรวมกันที่บ้านเจ้าวัด หรือฝากด้ายเหลืองไปเข้าร่วมพิธี ที่บ้านตะเพินคี่ ผู้มาร่วมงานทุกคนจะต้องล้างเท้าให้เจ้าวัด จะมีการแห่สะเดิ่งและสวดอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาร่วมพิธี จากนั้นเจ้าวัดจึงจะผูกข้อมือให้ ส่วนที่บ้านเจ้าวัดจะนำด้ายไปร่วมในพิธีและนำกลับมาผูกกันเองในครอบครัว เมื่อแต่งงาน โดยฝ่ายชายจะต้องเปลี่ยนไปผูกข้อมือตามฝ่ายหญิง และต้องไปช่วยงานบ้านฝ่ายหญิงอย่างน้อย 1 ฤดูกาลผลิต ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องล้างเท้าให้บุพการี และเมื่อเจ็บป่วย ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการดำรงชีวิต (หน้า 38-44) การผูกข้อมือด้ายขาวหรือกลุ่มตะหละโดงซึ่งเป็นกลุ่มที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมและเคร่งครัดในการรักษาศีลมาก ยังคงแต่งกายและไว้ผมแบบกะเหรี่ยง กลุ่มนี้มีความเชื่อเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรย ที่บ้านเจ้าวัดจะต้องมีเจดีย์และหละ (หลักบ้าน) เป็นเจดีย์ 5 องค์ ตั้งอยู่ทิศหัวนอน ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ (หน้า 35-36) การผูกข้อมือของกลุ่มด้ายขาวจะกระทำในโอกาสพิเศษของชีวิตและงานประจำปี ซึ่งนิยมจัดขึ้นในวันพระตลอดเดือน 9 แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละครอบครัว มีข้อสังเกตว่าในงานผูกข้อมือประจำปีดังกล่าว กลุ่มของผู้ผูกข้อมือด้ายขาวในจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี จะผูกข้อมือด้วยด้ายสีแดง ส่วนในพิธีแต่งงานจะใช้ด้ายสีแดงและสีขาวผูกรวมกัน (หน้า 47-48) งานเลี้ยงผีประจำปีราวเดือน 9 ในพิธีจะมีการปลูกบ้านหลังเล็กๆ สำหรับทำพิธีในป่าใกล้ต้นผีประจำตระกูล และทุกคนจะต้องไปทำพิธีที่บ้านนี้ตลอด 2-3 วัน ต่อมามีการดัดแปลงพิธีกรรมให้ง่ายขึ้นเปลี่ยนเป็นการบูชาต้นพระบนหิ้งบูชาในบ้าน อย่างไรก็ดีบางหมู่บ้านได้เลิกการเลี้ยงต้นพระแล้ว และหันไปไหว้พระพุทธรูปบนหิ้งแทน เช่น บ้านนาสวน และบ้านองหลุ และอนุโลมให้คนบ้านอื่นไหว้พระที่บ้านตนได้ (หน้า 59-61) การผูกข้อมือด้ายเหลืองพระดัดแปลงมาจากกลุ่มด้ายขาวจึงมีประเพณีคล้ายคลึงกัน ในบางโอกาสไม่นิยมผูกข้อมือกันแล้ว เช่น เมื่อเดินทางไกล จะมีเพียงการกราบไหว้พระที่หัวนอนก่อนออกเดินทางเท่านั้น (หน้า 49-51) การกินน้ำสุกเกี่ยวข้องกับวัฏจักรของชีวิต เช่น เมื่อตั้งชื่อ จะมีการผูกข้อมือด้วยด้ายสีแดงและเรียกขวัญทารก จากนั้นจึงกินน้ำสุกโดยเรียงตามลำดับจากอาวุโสมากไปน้อย เมื่อเจ็บป่วย จะมีการกรวดน้ำขมิ้นและกินน้ำสุก เพื่ออธิษฐานขอให้อยู่ดีกินดี มีความสุข และเรียกขวัญให้มาอยู่กับตัว เมื่อถวายข้าว เป็นการสะเดาะเคราะห์แก่ครอบครัวที่เกิดเรื่องร้าย ๆ เมื่อทำบุญข้าวใหม่ ซึ่งจัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ที่บ้านแม่โพสพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สัตว์และพืช และเป็นการขอบคุณพระแม่โพสพ เมื่อขึ้นปีใหม่ นิยมจัดในวันขึ้น 5 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เดือน 6 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งไม่ดีขึ้น (หน้า 52-56) |
|
Education and Socialization |
การถ่ายทอดความรู้วัฒนธรรมกะเหรี่ยงโปว์ทั้ง 5 หมู่บ้านสู่เยาวชนเป็นการเรียนรู้จากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การประกอบพิธีกรรม ตำนาน คำบอกเล่า ปัจจุบันได้รับการส่งเสริมด้านการศึกษาจากศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดอุทัยธานี โดยมีโรงเรียนในระดับประถมศึกษา บางแห่งเปิดสอนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทำให้เด็กๆ กะเหรี่ยงยังขาดความรู้ภาษาไทยอยู่มาก บางหมู่บ้านที่ไม่มีโรงเรียน อาทิเช่นบ้านเจ้าวัดเด็กบางคนจะเรียนรู้หนังสือกะเหรี่ยงซึ่งดัดแปลงมาจากอักษรมอญกับพ่อแม่ ประกอบกับไม่ค่อยมีผู้ให้ความสนใจเท่าที่ควร จึงมีผู้อ่าน-เขียนภาษากะเหรี่ยงได้น้อยมาก (หน้า 30) |
|
Health and Medicine |
กะเหรี่ยงด้ายเหลืองสะเดิ่งยังคงรักษาโรคด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์และยาสมุนไพร เชื่อว่าอาการป่วยเกิดจากการผิดผี หรือถูกเจ้าที่กระทำซึ่งเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อขวัญหรือทำให้ขวัญหลุดลอยออกไปจากร่างกายแล้วไม่กลับมา จึงต้องทำพิธีผูกข้อมือเพื่อเรียกขวัญ (หน้า 43) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชุมชนในพื้นที่ศึกษา เช่น บ้านเขาเหล็กและบ้านกลาง ส่วนใหญ่นิยมแต่งกายแบบคนไทย และจะแต่งกายด้วยผ้านุ่งกะเหรี่ยงในบางโอกาส เด็กนักเรียนจะสวมชุดกะเหรี่ยงไปโรงเรียนในวันจันทร์และวันศุกร์ และนิยมแต่งชุดกะเหรี่ยงไปวัดในวันพระ ผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงกะเหรี่ยง สวมเสื้อคอกระเช้า ส่วนผู้ชายนุ่งโสร่ง (หน้า 22) บ้านตะเพินคี่ ผู้หญิงยังคงแต่งกายด้วยชุดกะเหรี่ยง ผู้ชายบางคนยังนุ่งโสร่งแบบกะเหรี่ยง แต่ส่วนใหญ่จะแต่งกายแบบคนไทย (หน้า 27) บ้านเจ้าวัด ทุกคนแต่งกายชุดกะเหรี่ยง เด็กหญิงสวมชุดกระสอบทอมือมีลวดลายที่แขนและรอบคอเสื้อ หญิงที่แต่งงานแล้วสวมเสื้อและนุ่งผ้าถุง ผู้ชายนุ่งผ้าทอสีขาว ทั้งชายและหญิงนิยมไว้ผมยาว โดยผู้หญิงจะมัดไว้ข้างหลัง ส่วนผู้ชายจะขมวดเป็นจุกไว้ข้างหน้า (หน้า 29) |
|
Folklore |
นิทานปรัมปรากล่าวถึงกะเหรี่ยงว่าเกิดจากนางฟ้า และได้รับมอบหนังสือจากมารดา แต่ได้ลืมไว้บนตอไม้ จึงทำให้กะเหรี่ยงไม่มีโอกาสได้รู้หนังสือ ส่วนผู้ที่รู้หนังสือและฉลาดปราดเปรื่องที่สุดก็คือฝรั่งผู้เป็นน้องของกะเหรี่ยงซึ่งได้หนังสือนั้นไป (หน้า 17-18) ตำนานกล่าวถึงกะเหรี่ยง 3 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยง กะหร่าง และตองสู เป็นพี่น้องกัน อยู่มาวันหนึ่งกะเหรี่ยงและกะหร่างล่าเม่นมาได้ และไม่ได้แบ่งเนื้อให้ตองสูผู้น้อง จึงเกิดความน้อยใจและหนีผู้พี่ไป แต่คนตองสูกลับเล่าว่า วันหนึ่งกะเหรี่ยงไปเที่ยวป่าและเอามีดแทงตาปลากั้งเป็นบรรพบุรุษฝ่ายมารดาของพม่า พม่าจึงไล่ฆ่ากะเหรี่ยงและกะหร่างหลบหนีเข้ามาอยู่เมืองไทย ดังมีบทเพลงแปลเป็นภาษาไทยว่า สมัยก่อนนั้นอยู่ร่วมกับพวกมอญ พวกหนึ่งอพยพมาอยู่เมืองไทย นอนตอนกลางคืนน้ำตาร่วง นึกถึงอดีตที่เจดีย์ขวนเก่อบง (หน้า 19) ตำนานเกี่ยวกับการบวชเรียนของกะเหรี่ยงในพุทธศาสนาเล่าว่า ตอนที่ยังอยู่ที่บ้านสุกะร่องเมืองทวายได้ถูกมอญข่มเหงรังแก ไม่ยอมสมาคมและเรียนหนังสือด้วย มีกะเหรี่ยงชื่อ พู้ตะไม้ชอบไปแอบฟังมอญเรียนหนังสือที่วัด วันหนึ่งพระอาจารย์ที่สอนหนังสือถามปัญหาแต่ไม่มีใครตอบได้ พู้ตะไม้แอบฟังอยู่ใต้ถุนศาลาได้ตอบคำถาม ทำให้เป็นที่ชื่นชมของพระอาจารย์ จึงไปขอบวชเรียนกับพระอาจารย์ แต่พระองค์อื่น ๆ คัดค้าน เพราะเห็นว่าเป็นคนป่าดงต่ำต้อย พู้ตะไม้จึงกล่าวอ้างว่า เหตุไฉนในสมัยพุทธกาลลิงซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานยังได้รับความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า โดยได้รับผ้าเหลืองห่มเพื่อคลายหนาว ส่วนตนเองเป็นมนุษย์กลับไม่ได้รับการบวช พระอาจารย์เห็นแจ้งดังนั้นจึงให้พู้ตะไม้บวชเรียนได้ พู้ตะไม้จึงเป็นต้นแบบในการนำพระพุทธศาสนาและตัวหนังสือของมอญมาเผยแพร่ให้กะเหรี่ยง บ้างก็เล่าว่าพู้ตะไม้ไปขอพระมหากษัตริย์ให้กะเหรี่ยงบวชเป็นพระได้ ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าด้ายขาว ด้ายเหลือง หรือกินน้ำสุกจึงได้รับการบวชเรียน (หน้า 36) นิทานเกี่ยวกับพระแม่โพสพ 2 เรื่อง เรื่องแรกกล่าวว่ากะเหรี่ยงดำรงชีพด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์ วันหนึ่งยิงนกเขาได้ ผ่าออกมาพบกับเมล็ดข้าวเจ้าและข้าวเหนียวจึงนำไปปลูก ทำให้กะเหรี่ยงมีข้าวบริโภคตั้งแต่นั้นมา เรื่องที่สองกล่าวว่า นานมาแล้วมีเมือง ๆ หนึ่งประสบภัยแล้งยาวนาน ทำให้ชาวเมืองอดอยากยากแค้นจึงต้องไปหาของป่า ระหว่างทางพบเหยี่ยวขนาดใหญ่เป็นแม่โพสพแปลงกายติดอยู่ในดงหนาม และรอคอยความช่วยเหลือจากชาวเมืองที่ผ่านไปมา อยู่มาวันหนึ่งพี่น้อง 7 คน ได้ผ่านมาจึงช่วยเหยี่ยวตัวนั้นแล้วพากลับไปที่พัก อานิสงฆ์ของการทำความดี เหยี่ยวแม่โพสพจึงตอบแทนด้วยข้าวเปลือกจำนวนมาก ความทราบไปถึงกษัตริย์ จึงให้ทหารนำพี่น้องทั้ง 7 คนและเหยี่ยวเข้าเฝ้า เหยี่ยวแม่โพสพเห็นชาวเมืองอดอยากจึงช่วยเหลือด้วยการกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ข้าวเปลือกร่วงลงมาดั่งสายฝน เวลาผ่านไประยะหนึ่งเหยี่ยวแม่โพสพจึงบินกลับบ้านไป ชาวเมืองได้แต่คิดถึงจึงทำบุญแม่โพสพ ทำให้เกิดประเพณีทำบุญข้าวใหม่ของด้ายเหลืองสะเดิ่ง (หน้า 54-56) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต มีชื่อเรียกแตกต่างกัน คนสมัยก่อนเรียก โซ่, กั้ง พม่าเรียกกะยิ่น คนไทยในรัฐฉานและทางภาคเหนือของไทยเรียก ยาง คนแถบจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์เรียก กะหร่าง ยุโรปและอเมริกันเรียก Karen (หน้า 3) กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย คือ กะเหรี่ยงสะกอหรือ ปกา-เกอะ-ญอ มีศูนย์กลางเดิมอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดี และลุ่มแม่น้ำ Sittan ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานกระจายตัวบริเวณจังหวัดเชียงราย กะเหรี่ยงโปว์หรือ Phlong หรือ Pro มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับกะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงบะเวหรือดะยางหรือยางแดง ตั้งถิ่นฐานหนาแน่นบริเวณอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน และกะเหรี่ยงตองตูหรือปาโอ มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณใกล้เมืองตองยี (หน้า 14-16) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กระแสวัฒนธรรมที่หลั่งไหลเข้าสู่หมู่บ้านกะเหรี่ยงผ่านการปฏิสัมพันธ์กับคนนอกหมู่บ้าน อาทิเช่น กลุ่มด้ายเหลืองสะเดิ่งที่ไปอยู่ในหมู่บ้านอื่นได้เปลี่ยนจากการไหว้เจ้าวัดและเจดีย์มาเป็นการไหว้พระหรือเปลี่ยนเป็นกลุ่มด้ายเหลืองพระ ขณะเดียวกันมีกลุ่มด้ายเหลืองสะเดิ่งบางพวกที่ไม่สามารถเดินทางไปประกอบพิธีกับเจ้าวัดได้ เนื่องจากหนทางไกลและยากลำบาก จึงหันมาผูกข้อมือกันเองในวันพระ และไหว้พระพุทธรูปหรือพระที่หัวนอนแทนการไหว้เจ้าวัด (หน้า 37) อย่างไรก็ดี บางหมู่บ้านที่ไม่ค่อยจะยึดมั่นในหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ประกอบกับมีเจ้าวัดที่ไม่เข้มแข็งอยู่แล้ว จึงเริ่มเสื่อมคลายจากประเพณีปฏิบัติเดิมและมีความเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น อันจะก่อให้เกิดความต้องการทางด้านต่าง ๆ มากขึ้น จนกระทั่งประสบปัญหาเช่นเดียวกับสังคมเมือง (หน้า 66) มีข้อสังเกตเกี่ยวกับประเพณีการแต่งงานของด้ายเหลืองสะเดิ่งในปัจจุบันว่าเริ่มกลายไปบ้างแล้ว เช่น การผูกข้อมือไม่นิยมร้อยเหรียญสตางค์ รวมถึงมีการขว้างข้าวที่รับประทานใส่เฉพาะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ไม่ได้ขว้างใส่คนที่มาร่วมงาน และอาจมีพิธีแตกต่างกันบ้างในแต่ละหมู่บ้าน ขึ้นอยู่กับผู้ทำพิธีจะเป็นผู้กำหนด (หน้า 43) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ และตาราง ประกอบการอธิบายสภาพที่ตั้งชุมชน ข้อมูลด้านประชากรและการศึกษาของชุมชน เช่น แผนที่สังเขปแสดงชุมชนชาวเขากะเหรี่ยง จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และอุทัยธานี แผนที่บ้านเขาเหล็ก บ้านกลาง บ้านองหลุ บ้านตะเพินคี่ บ้านเจ้าวัด ตารางแสดงแสดงหลังคาเรือนประชากรและการศึกษา (หน้า 30) ตารางแสดงลักษณะด้ายที่ผูกข้อมือหรือกินน้ำสุก (หน้า 31) |
|
|