|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),โครงสร้างทางสังคม,บ้านตีนธาตุ,ตาก,ภาคเหนือ |
Author |
ชวลิต ธนาคำ |
Title |
โครงสร้างทางสังคมของชนเผ่ากะเหรี่ยง กรณีศึกษาหมู่บ้านตีนธาตุ ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
76 |
Year |
2528 |
Source |
หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต (บัณฑิตอาสาสมัคร) สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ผลการศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของประชากรกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุ ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ทำให้ทราบว่าประชากรกะเหรี่ยงนั้นมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไปจากคนไทยโดยทั่วไป ส่งผลให้ภาพรวมของโครงสร้างทางสังคมมีลักษณะเฉพาะตน แต่ในปัจจุบันสังคมของกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุกำลังเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยเนื่องจากมีการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนภายนอกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการไหลบ่าของวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าสู่หมู่บ้านมากขึ้นตามไปด้วย (หน้า ก-ข) |
|
Focus |
ศึกษาและทำความเข้าใจในพฤติกรรม กิจกรรมและปรากฏการณ์ทางสังคมของประชากรกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุ ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษากลุ่มชนเผ่ากะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุ หมู่ที่ 10 ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ถือเป็นหมู่บ้านที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับคนพื้นราบอย่างใกล้ชิด จึงได้รับผลของการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมจากคนพื้นราบตลอดเวลา (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาคำโดด จัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (หน้า 17) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนกันยายน 2527 ถึงเดือนมีนาคม 2528 |
|
History of the Group and Community |
จากคำบอกเล่าของนายหมูพอ อายุ 72 ปี ราษฎรหมู่บ้านตีนธาตุ ทำให้ทราบว่าบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านตีนธาตุในปัจจุบันนั้น แต่เดิมเป็นพื้นที่รกร้างไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ต่อมาจึงได้มีนายนุโพ นายโหย่ลอยและนายลิอู กะเหรี่ยงจากหมู่บ้านจบปิห่างจากหมู่บ้านตีนธาตุออกไปทางทิศใต้ราว 4 กิโลเมตร ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการเกษตร จากนั้นกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ต้นน้ำของลำห้วยแม่จะเรา จึงได้ทยอยโยกย้ายมาสมทบมากขึ้นจนตั้งเป็นชุมชนในที่สุด ทางด้านนายหมูพอนั้น แต่เดิมอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ต้นน้ำของลำห้วยแม่จะเราเช่นเดียวกัน จนเมื่ออายุประมาณได้ 20 ปี จึงได้สมรสกับบุตรสาวของนายนุโพ ปัจจุบันมีอายุ 62 ปี ดังนั้น หมู่บ้านตีนธาตุจึงอาจตั้งขึ้นในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมา หรือในราวพ.ศ. 2468-2478 (หน้า 12-13) |
|
Settlement Pattern |
ราษฎรของหมู่บ้านตีนธาตุเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยง นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ตามเชิงเขาหรือเนินเตี้ยๆ ในระดับความสูงไม่เกิน 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยมักตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำไหลผ่านตลอดปี ส่วนพื้นที่เพาะปลูกมักตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดเอียงตามไหล่เขา ห่างออกไปจากหมู่บ้านราว 2-4 กิโลเมตร โดยอาศัยน้ำฝนในการกสิกรรม (หน้า 14) |
|
Demography |
หมู่บ้านตีนธาตุมีประชากรทั้งหมด 192 คน โดยในจำนวนนี้เป็นประชากรเชื้อสายกะเหรี่ยง 188 คน และเป็นคนเมืองจำนวน 4 คน สามารถแบ่งเป็นออกได้เป็นเพศชาย 108 คน และเพศหญิง 84 คน นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็นประชากรในวัยแรงงานนับจากอายุ 15 ปีขึ้นไปจนถึง 60 ปี มีจำนวนร้อยละ 58.85 ส่วนที่เหลือคือ ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปีร้อยละ 38.55 และประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 2.60 เท่ากับในหมู่บ้านตีนธาตุมีประชากรอยู่ในวัยภาระพึ่งพิงถึงร้อยละ41.15 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในหมู่บ้าน (หน้า 16-18) |
|
Economy |
ชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยงหมู่บ้านตีนธาตุในรอบหนึ่งปีนั้นมักจะวนเวียนอยู่กับการทำมาหากินเพื่อยังชีพเป็นส่วนใหญ่ ในด้านการเพาะปลูก ชาวบ้านมักทำไร่เลื่อนลอย ไม่มีอาณาเขตที่แน่นอนและจะมีการโยกย้ายไปอยู่เสมอ แต่จากการที่หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดินทำกินแต่อย่างใด พืชที่มีความสำคัญในฐานะอาหารหลักและจะปลูกเหมือนกันทุกครอบครัวก็คือ ข้าว ฤดูการเพาะปลูกจะเริ่มขึ้นในราวเดือนมีนาคมเป็นต้นไปจนกระทั่งเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงเสร็จสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวในไร่แล้ว ชาวบ้านในแต่ละครอบครัวที่ว่างเว้นจากกิจวัตรประจำวันจึงสามารถเดินทางไปรับจ้างเกี่ยวข้าวนาดำของหมู่บ้านใกล้ๆ ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น (หน้า 30-33) สำหรับการปศุสัตว์นั้น ชาวบ้านมักเลี้ยงสัตว์ไว้ด้วยวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ เลี้ยงไว้เพื่อการบริโภคและเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน สัตว์ที่เลี้ยงสำหรับบริโภคได้แก่ ไก่และหมู ส่วนใหญ่จะปล่อยให้หากินตามลานบ้านหรือตามราวป่า ทำให้สัตว์มีการเจริญเติบโตช้าและเกิดโรคระบาดได้ง่าย สัตว์เลี้ยงเหล่านี้บางครั้งอาจกลายเป็นสินค้าที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันกับพ่อค้าจากต่างหมู่บ้านจึงกลายเป็นรายได้เสริมอีกส่วนหนึ่งให้กับชาวบ้าน ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงไว้สำหรับใช้งานได้แก่ ช้าง วัว และควาย อาจถือได้ว่าช้างเป็นสัตว์ที่สามารถทำรายได้ให้กับเจ้าของได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จากการนำช้างไปรับจ้างชักลากไม้ในป่าโดยจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานเป็นผู้ว่าจ้าง (หน้า 32-33) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยายขนาดเล็ก ยังคงยึดถือในวัฒนธรรมการแต่งงานอย่างเคร่งครัด ในลักษณะครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวมีโอกาสเลือกคู่ครอง โดยจะมีโอกาสพบปะทำความรู้จักกันในงานประเพณีต่างๆ และกิจกรรมการแลกเปลี่ยนแรงงาน เช่น ประเพณีงานศพ งานลงแขกเกี่ยวข้าว เมื่อคบหาดูใจกันจนเป็นที่แน่ใจทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงจะมีพิธีแต่งงานซึ่งจัดที่บ้านฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงจะต้องเป็นธุระในการจัดเตรียมอาหารและทอผ้า เพื่อให้ฝ่ายชายสวมในพิธีแต่งงาน ฝ่ายชายจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี หลังจากนั้นจึงแยกออกไปตั้งครอบครัวของตนเองในบริเวณใกล้เคียง จึงเกิดการรวมกลุ่มทางสังคมของญาติพี่น้องทางฝ่ายมารดา แต่ถ้าหากเจ้าสาวเป็นลูกคนสุดท้องแม้จะแต่งงานแล้วก็ยังต้องอยู่อาศัยกับพ่อแม่ต่อไปตามประเพณีที่สืบกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อย่างไรก็ดีประเพณีการแต่งงานมีข้อห้ามไม่ให้แต่งงานกันเองภายในกลุ่มสมาชิก และระหว่างที่ฝ่ายชายอาศัยอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิง บุตรสาวคนอื่นๆ ของครอบครัวจะแต่งงานไม่ได้จนกว่าคู่แต่งงานจะแยกครอบครัวออกไป (หน้า 55-60) สำหรับการแบ่งชนชั้นทางสังคมของกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุนั้น สามารถแบ่งได้ตามระดับเศรษฐกิจและสังคม มี 3 ระดับคือ ครอบครัวรวย ครอบครัวปานกลาง และครอบครัวจน อย่างไรก็ตามการจัดระดับดังกล่าวถือเอาฐานะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านเป็นหลักจึงไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสังคมภายนอกได้ (หน้า 39-42) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านตีนธาตุเป็นส่วนหนึ่งของหมู่ที่ 10 ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด จ.ตาก (หน้า 6) มีผู้นำอย่างเป็นทางการทำหน้าที่ปกครองดูแลคือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นตัวเชื่อมระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกับประชาชนในหมู่บ้านโดยจะมีหน้าที่เป็นตัวแทนเดินทางไปร่วมประชุมในอำเภอเพื่อรับนโยบายต่างๆ จากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 37-38) |
|
Belief System |
สืบเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในธรรมชาติและไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ทำให้เกิดลัทธิถือผีขึ้น โดยชาวบ้านเชื่อว่าผีเป็นสิ่งที่บันดาลให้เกิดได้ทั้งคุณและโทษ ดังนั้น ความเชื่อถือศรัทธา ศาสนาและพิธีกรรมของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุจึงเกี่ยวข้องกับลัทธิการถือผี พิธีกรรมดังกล่าว เช่น ประเพณีการเลี้ยงผีบ้าน การเลี้ยงผีเรือน การเลี้ยงผีไร่ และการเลี้ยงผีเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย อย่างไรก็ตามจากพัฒนาการทางด้านการศึกษาและการไหลบ่าทางวัฒนธรรมของสังคมเมืองที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน จึงอาจมีผลสั่นคลอนความศรัทธาดั้งเดิมของชาวบ้านอยู่บ้าง (หน้า 43-47) |
|
Education and Socialization |
กระบวนการส่งผ่านความรู้ในชั้นต้นของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุนั้นจะถ่ายทอดผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งประเพณีในชีวิตประจำวันและการนับถือผี เช่นที่กล่าวว่า "...สำหรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านนั้น กิจกรรมหลักได้แก่ การทำมาหาเลี้ยงชีพของชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นการถางไร่ ปลูกข้าว เกี่ยวข้าว นวดข้าว ถัดจากนั้นมาก็เป็นกิจกรรมตามประเพณีในโอกาสต่างๆ เช่นการขึ้นปีใหม่ การแต่งงาน งานศพ เป็นต้น ตามปกติกิจกรรมเหล่านี้ดำเนินไปได้ด้วยความเคยชินจากการเรียนรู้ของชาวบ้านเองที่กระทำติดต่อกันมาเป็นเวลานาน..." (หน้า 25) สำหรับสถาบันการศึกษาที่จัดตั้งขึ้นภายในหมู่บ้านคือ โรงเรียนประจำหมู่บ้านตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507 โดยตำรวจตระเวนชายแดนจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 6 จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสอนในโรงเรียน ปัจจุบันเปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึงชั้น ป.4 อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่มักไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งบุตรหลานมาเรียนหนังสือ ประกอบกับเทคนิควิธีการสอนที่ไม่มีความจูงใจหรือกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้จึงทำให้อัตราการรู้หนังสือของชาวบ้านยังอยู่ในระดับต่ำ (หน้า 28-30) |
|
Health and Medicine |
กะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุมักต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคพยาธิลำไส้ รวมทั้งไข้ป่า โรคเหล่านี้มักเกิดขึ้นเนื่องจากความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นหากเป็นอาการป่วยเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดศีรษะหรือเป็นไข้ ชาวบ้านมักจะขอยาจากตำรวจตระเวนชายแดนที่จะผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทำหน้าที่สอนเด็กในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน บ้างก็พึ่งพาหมอผีและยาสมุนไพรที่ได้จากป่าซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิม แต่หากเป็นการเจ็บป่วยที่จำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิฉัยโรคแล้ว ชาวบ้านจะต้องเดินทางไปยังสถานีอนามัยของหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว 4 กิโลเมตร เนื่องจากภายในหมู่บ้านตีนธาตุไม่มีสถานีอนามัย (หน้า 26-28) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ประเพณีการแต่งกายของคู่บ่าวสาวกะเหรี่ยง เมื่อเข้าสู่พิธีการแต่งงานในช่วงกลางวันเจ้าสาวจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดขาวที่แสดงถึงความเป็นสาวพรหมจารีย์ออกแล้วสวมแทนด้วยผ้าถุงสีแดงและเสื้อสีดำประดับด้วยลูกปัดและลายปักอย่างสวยงามตามแบบหญิงที่แต่งงานแล้ว สำหรับเจ้าบ่าวนั้นจะเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่เจ้าสาวเป็นผู้ทอเตรียมไว้สำหรับพิธีนี้โดยเฉพาะ เป็นกางเกงสีดำและเสื้อสีแดง (หน้า 59) |
|
Folklore |
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบกันมาว่า เดิมทีบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านมีสภาพเป็นป่ารกไม่มีผู้คนอยู่อาศัย มีแต่เพียงกองอิฐหักพังกระจัดกระจายอยู่เป็นแห่งๆ คล้ายเป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาที่มีกองสถูปหักพังอยู่ ต่อมามีพระภิกษุจากหมู่บ้านใกล้เคียงเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านและได้บูรณะปฏิสังขรณ์สถูปองค์นั้นขึ้นเพื่อให้เป็นที่สักการะบูชาสำหรับประชาชนในหมู่บ้านตีนธาตุและหมู่บ้านใกล้เคียง ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านตีนธาตุจึงมีชื่อในภาษากะเหรี่ยงว่า "โคะเล" แปลว่า "พระธาตุหน้าผา" (หน้า 8-9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ประชากรกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับหมู่บ้านห้วยแห้งและหมู่บ้านจบปิ เนื่องจากหมู่บ้านเหล่านี้ต่างรวมตัวกันเพื่อก่อตั้งขึ้นเป็นหมู่ที่ 10 จึงส่งเสริมให้มีการติดต่อสัมพันธ์กันอยู่ตลอด อย่างไรก็ตามกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุมักจะเกิดความรู้สึกว่าตนนั้นด้อยกว่าคนในหมู่บ้านจบปิ เนื่องมาจากบ้านจบปิเป็นที่ตั้งของที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านก็มักจะดึงเอาโครงการต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเสนอนำมาดำเนินการในหมู่บ้านจบปิทั้งหมด (หน้า 23) ด้านความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงกับบุคคลภายนอกนั้นยังเป็นไปในลักษณะถือเขาถือเรา เนื่องมาจากคนเมืองมักถือว่าตนเป็นผู้มีวัฒนธรรมเหนือกว่า และมองกะเหรี่ยงเป็นเสมือนบุคคลชั้นสอง แม้ว่าพวกเขาจะได้รับสัญชาติไทยแล้วก็ตาม (หน้า 24) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงภายในหมู่บ้านตีนธาตุ เกิดขึ้นเนื่องจากการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนภายนอกที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ส่งผลให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมขึ้นในสังคม และเป็นเหตุให้สมาชิกภายในสังคมต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องไปกับกระแสของความเปลี่ยนแปลง ดังเห็นได้จากการที่เด็กๆ ภายในหมู่บ้านเริ่มร้องเพลงภาษาไทย ตลอดจนรูปแบบการแต่งกายและการสร้างบ้านที่ใกล้เคียงกับคนเมืองมากขึ้น บทบาทของหมอผีก็เริ่มลดความสำคัญลงจากเดิมเนื่องจากชาวบ้านเริ่มตระหนักว่าความป่วยไข้ของตนสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาแผนปัจจุบัน โดยในครอบครัวที่หันไปนับถือศาสนาอื่นๆ บางครอบครัวถึงกับยกเลิกพิธีกรรมการเลี้ยงผีที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษโดยสิ้นเชิงทีเดียว (หน้า 62-65) |
|
Other Issues |
ผู้ศึกษาได้แสดงข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันมีต่อสภาพความยากจน ความป่วยไข้และความไม่รู้ของประชากรกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตีนธาตุที่ปรากฏออกมาในงานศึกษาไว้ โดยแบ่งเป็นด้านต่างๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ เสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุ อาทิ การส่งเสริมและให้ความรู้เรื่องการผลิตแก่ประชาชน ให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นเพื่อช่วยในการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในหมู่บ้าน ด้านการศึกษา เสนอให้มีการแก้ปัญหาด้วยการทำความเข้าใจกับผู้ปกครองให้หันมาตระหนักในคุณค่าของการศึกษาและมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้เด็กมาเรียนหนังสือมากขึ้น สำหรับด้านการสาธารณสุข เสนอให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงที่อยู่อาศัยของชาวบ้านให้ถูกสุขลักษณะอันจะนำมาซึ่งสุขอนามัยที่ดีของกะเหรี่ยงบ้านตีนธาตุต่อไป (หน้า 66-69) |
|
Map/Illustration |
ผู้ศึกษาได้จัดทำตารางและแผนภูมิขึ้น เพื่อนำมาใช้ประกอบการอธิบายข้อมูลทางด้านประชากรศาสตร์และโครงสร้างทางสังคม อาทิ ตารางแสดงจำนวนของประชากรจำแนกตามเพศและอายุ (หน้า 18) แผนภูมิแสดงกลุ่มมาตุพงษ์ในหมู่บ้านตีนธาตุ (หน้า 56) |
|
|