|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,การคุมกำเนิด,แม่ฮ่องสอน,ตาก |
Author |
Peerasit Kamnuansilpa, Peter Kunstadter, Nanta Auamkul |
Title |
Hilltribe Health and Family Planning : Results of a Survey of Hmong (Meo) and Karen Households in Northern Thailand |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
91 |
Year |
2530 |
Source |
Family Health Division, Department of Health Ministry of Public Health, Bangkok. |
Abstract |
มีเนื้อหาเกี่ยวกับม้งและกะเหรี่ยงเกี่ยวกับโรคติดต่อจากที่อยู่อาศัย โรคขาดสารอาหาร การคลอดบุตร และสุขภาพของเด็กๆ กับสุขภาพของครรภ์มารดาที่พบว่า งานสาธารณะสุขชุนชนมีน้อย รวมไปถึงเรื่องของการคุมกำเนิดของสตรีวัยเจริญพันธ์ที่แต่งงานแล้ว การให้นมบุตร และการบริการสุขภาพให้กับเด็ก |
|
Focus |
ศึกษาประชากร สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ของกะเหรี่ยงและม้ง เพื่อเพิ่มบริการสาธารณะสุข |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงและม้งเป็นกลุ่มศึกษา เนื่องจากกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุดในประเทศไทย รองลงมาคือม้ง นักวิจัยได้เลือกกะเหรี่ยงและม้งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และในอำเภอเมือง อำเภอท่าสูงยาง อำเภอแม่สอด และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก อำเภอเหล่านี้มีกะเหรี่ยงและม้งอาศัยอยู่มาก ในประเทศไทยมีกลุ่มกะเหรี่ยงอยู่ 2 กลุ่มหลัก คือ กะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์ เชื่อว่ากะเหรี่ยงสะกอมีจำนวนมากกว่า งานศึกษานี้ ได้ศึกษากะเหรี่ยงสะกอใน 39 หมู่บ้าน และกะเหรี่ยงโปว์ในสองหมู่บ้าน ม้งและกะเหรี่ยงมีวัฒนธรรมที่ต่างกันอยู่มาก กะเหรี่ยงประกอบอาชีพเป็นชาวไร่ชาวนา อาศัยอยู่ในหมู่บ้านถาวร พวกเขาอาศัยอยู่บนที่สูง ทำเกษตรกรรมด้วยการปลูกข้าวหรือพืชผลต่างๆ ส่วนม้งจะตั้งถิ่นฐานอยู่ชั่วคราว โดยมีการทำเกษตรกรรมจนกระทั่งดินเสื่อมสภาพ หรือจนปลูกพืชไม่ได้ ม้งในประเทศไทยมีอยู่ 2 กลุ่มคือ ม้ง Njua ( Blue Meo) และม้ง Der (White Meo) (หน้า 2-5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่กล่าวถึงผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์อาจจะไม่รู้หนังสือ และพูดภาษาไทยไม่ได้ หญิงม้งและกะเหรี่ยงรุ่นปัจจุบันจะต้องเรียนภาษาท้องถิ่น (ภาษาม้งและภาษากะเหรี่ยง) (หน้า 26) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยออกแบบสอบถามในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปี ค.ศ.1985 และออกภาคสนามในเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1986 การวิเคราะห์ข้อมูลและเขียนรายงานเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1986 (หน้า 8-10) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
บ้านตามแบบประเพณีของม้งจะสร้างอยู่บนพื้นดิน ทำให้เกิดโรคติดต่อที่มาจากการสัมผัสกับพื้นดิน บ้านม้งจะสร้างด้วยฝาไม้และหลังคาเป็นไม้วางเหลื่อมกัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ม้งจะสร้างบ้านที่ทันสมัยขึ้น เช่น มีการใช้พื้นไม้ และมีสองชั้น บ้านของม้งมีขนาดและพื้นที่ใหญ่กว่าบ้านกะเหรี่ยง และมักจะใช้วัสดุที่มีความคงทนกว่าอีกด้วย บ้านตามแบบประเพณีของกะเหรี่ยงบนพื้นที่สูงโดยมากจะมีเสาบ้านที่มีความสูง 1 เมตร หรือมากกว่านั้นเหนือพื้นดิน กะเหรี่ยงที่อาศัยในบ้านแบบชาวไทยสมัยใหม่ มีวัสดุที่เป็นหลังคา เช่น หญ้า ใบไม้ โลหะ สังกะสี (หน้า 11,12) และหากที่อยู่อาศัยมีความแออัด กะเหรี่ยงอาจเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการมีโรคติดต่อ (หน้า 75) |
|
Demography |
ในปี ค.ศ.1986 มีประชากรกะเหรี่ยงมากกว่า 260,000 คน ซึ่งมีจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรชาวเขาทุกกลุ่ม และเป็นกลุ่มที่อยู่กันกระจัดกระจายมากที่สุดในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ในปี ค.ศ.1986 ม้งมีจำนวนประชากรมากกว่า 80,000 คน เป็นกลุ่มชาวเขาที่มีขนาดใหญ่รองเป็นอันดับสองจากกะเหรี่ยง เทียบกับในปี ค.ศ.1973 พบว่า ประชากรกะเหรี่ยงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3 ต่อปี ขณะที่ประชากรม้งเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 ต่อปี เป็นไปได้ว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรกะเหรี่ยง เนื่องจากอัตราการเกิดมากกว่าการตาย (หน้า 2) จากประวัติการสำรวจในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986 คลอบคลุม 705 ครัวเรือนม้ง มีสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้ว 1,051 คน รวมประชากร 6,702 คน ใน 12 ชุมชนของจังหวัดตาก และมี 1,275 ครัวเรือนกะเหรี่ยง รวมสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้ว 1,104 คน รวมทั้งหมด 6,580 คน ใน 41 ชุมชน ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก ประชากรม้งมีจำนวนหนุ่มสาวที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ถึงร้อยละ 52 ส่วนประชากรกะเหรี่ยงมีร้อยละ 42 แสดงถึงภาวะเจริญพันธุ์สูง และการเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มม้ง (หน้า 77) |
|
Economy |
ม้งผลิตข้าวได้น้อยกว่ากะเหรี่ยง แต่ผลิตธัญพืชอื่น ๆ ได้มากกว่ากะเหรี่ยง เพราะม้งปลูกธัญพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์และบริโภคเอง ทำให้ปลูกข้าวได้อย่างจำกัด ครอบครัวม้งจะรับประทานผักเกือบทุกวันมากกว่ากะเหรี่ยง ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคขาดวิตามินน้อย ขณะที่การรับประทานเนื้อของม้งและกะเหรี่ยงมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ 3 ครั้ง หรือมากกว่านี้ต่อสัปดาห์ (หน้า 77) ทั้งม้งและกะเหรี่ยงมีอาชีพทำไร่ไถนาซึ่งต้องอาศัยแรงงานในครัวเรือน ม้งเลือกที่จะมีครอบครัวใหญ่ เพื่อให้เด็กๆ เป็นเเรงงาน และเพื่อให้บุตรเป็นผู้ดูแลเมื่อแก่เฒ่า (หน้า 78,79) กะเหรี่ยงที่อาศัยบนพื้นที่ราบมีระบบเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับการเกษตร ทำนาทดน้ำ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายพืชผล และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากป่า หรือการอุตสาหกรรม (หน้า3) ม้งอาศัยอยู่บนพื้นสูง และทำการเกษตรแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นแบบผสม มีการเพาะปลูกที่กินระยะเวลานานจนดินเสื่อมสภาพ หรือจนกระทั่งหญ้าขึ้นปกคลุมจนยากแก่การเพาะปลูก ม้งปลูกข้าวและข้าวโพดเป็นพืชหลัก เลี้ยงหมูเพื่อบริโภคและขาย และปลูกฝิ่นด้วย (หน้า 5) |
|
Social Organization |
ไม่ได้กล่าวชัดเจน แต่กล่าวว่าครอบครัวของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ส่วนม้งเป็นครอบครัวขยายที่มีคนหลายรุ่น (หน้า 77,88) |
|
Belief System |
ศาสนาหลักของม้งและกะเหรี่ยงคือ การนับถือผีวิญญาณ รวมถึงม้งหรือกะเหรี่ยงที่เป็นชาวพุทธด้วย ความเชื่อที่ว่าผีวิญญาณเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการป่วยไข้จึงต้องมีหมอผีเป็นผู้รักษา พบว่ากะเหรี่ยงใช้น้ำมนต์ที่ได้จากพระในการรักษาโรคต่าง ๆ ส่วนประเพณีของม้งที่ให้ความสำคัญกับผีบรรพบุรุษและจำเป็นต้องสืบทอดต่อไป ทำให้เกิดแรงกระตุ้นความต้องการบุตรชายมาก เพื่อจะสืบทอดบรรพบุรุษต่อไปภายหลังจากที่บิดามารดาได้ตายไป (หน้า 79) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของม้งและกะเหรี่ยงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยเฉพาะผู้หญิงพบว่า ม้งเพศชายอายุ 15-34 ปีมีเพียงร้อยละ 28 ที่มีการศึกษา ส่วนกะเหรี่ยงเพศชายในช่วงอายุเดียวกันมีร้อยละ 21 และม้งเพศหญิงที่มีอายุระหว่าง 15-34 ปี มีเพียงร้อยละ 4 ที่ได้รับการศึกษา ส่วนกะเหรี่ยงเพศหญิงมีร้อยละ 11 จากการศึกษาทำให้ทราบว่าผู้หญิงม้งมีสถานภาพต่ำ ในขณะที่การศึกษาในประเทศไทยได้ขยายไปทั่ว เพื่อให้ประชากรได้รับการศึกษาเท่าเทียมกันทั้งหญิงและชาย (หน้า 78) |
|
Health and Medicine |
จากการศึกษาพบว่าพวกเขายังเชื่อว่า ผีวิญญาณเป็นเหตุแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 58) ศูนย์สุขภาพประจำตำบลและโรงพยาบาลของอำเภอเป็นสถานที่รักษาโรค ผู้ทำงานด้านสุขภาพของชุมชนพบว่ามีน้อย (หน้า 83) การให้บริการด้านสุขภาพครรภ์ของมารดามีน้อย และการให้ภูมิคุ้มกันโรคกับเด็ก ๆ ยังมีจำนวนน้อยเพราะขาดความเข้าใจ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของเด็ก การป้องกันโรคต่าง ๆ จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องของน้ำดื่มที่นำมาใช้บริโภค เรื่องส้วม สุขนิสัยรักความสะอาด และการป้องกันโรคมาลาเรียที่ควรจะใช้มุ้งในหมู่บ้านกะเหรี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค (หน้า 90,91) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
การคุมกำเนิด ผู้ตอบคำถามทั้งม้งและกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ ( 96.4% และ 85.5% ตามลำดับ) บอกว่า รู้จักวิธีคุมกำเนิดแบบสมัยใหม่อย่างน้อย 1 วิธี วิธีที่รู้จักกันมากคือ ยาฉีดและยาเม็ด หากผู้ถามไม่ได้ให้ความรู้ก่อน แต่หลังจากอธิบายแล้ว ผู้ตอบส่วนใหญ่จะบอกว่ารู้จักเกือบทุกวิธี คู่สมรสที่คุมกำเนิดมีสัดส่วนที่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานระดับชาติ และวิธีที่ใช้มักเป็นยาฉีด การดูแลรักษาครรภ์ และการให้บริการคลอดบุตร จากการวิจัยพบว่าม้งและกะเหรี่ยงที่เป็นมารดาได้รับการดูแลสุขภาพครรภ์ ในสัดส่วนที่ต่ำเพราะขาดแคลนเจ้าหน้าที่ (หน้า 83,84) ประจำศูนย์หรือหน่วยแพทย์ที่จะมาให้บริการ นอกจากนี้พบว่ามีส่วนน้อย ที่มีความเข้าใจเรื่องของการฉีดภูมิคุ้มกันโรคให้กับเด็ก (หน้า 90) ทั้งม้งและกะเหรี่ยงให้กำเนิดบุตรโดยญาติหรือสามีเป็นผู้ทำคลอด ม้งและกะเหรี่ยงจะใช้บริการจากหน่วยแพทย์ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาที่ยุ่งยากในการคลอด (หน้า 84) สัดส่วนของเด็กม้งที่มีชีวิตรอดมาได้อายุ 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี มีจำนวนสูงกว่าเด็กกะเหรี่ยง พ่อแม่กะเหรี่ยงรายงานถึงอาการของโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าที่พ่อแม่ม้งทำ ผลจากการวิจัยนี้ได้แนะนำให้ป้องกันโรคด้วยการดูแลเรื่องน้ำที่ใช้บริโภค สุขอนามัย และการป้องกันโรคมาลาเรีย (หน้า 90,91) |
|
|