|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เมี่ยน อิวเมี่ยน,ลัวะ,การสื่อสาร,สภาพสังคม,เศรษฐกิจ,น่าน |
Author |
กองควบคุมพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักนายกรัฐมนตรี |
Title |
สภาพสังคมเศรษฐกิจและพฤติกรรมการสื่อสารของชาวเขาเผ่า เย้า ม้ง และถิ่น ในจังหวัดน่าน ข้อเสนอแนะสำหรับการวางแผนผลิตสื่อเพื่อการเผยแพร่นวัตกรรม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
161 |
Year |
2527 |
Source |
กองควบคุมพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักนายกรัฐมนตรี |
Abstract |
ในกระบวนการพัฒนาผู้ที่จะนำในการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีคุณสมบัติทางจิตวิทยา และพบว่าการแพร่ขยายของสื่อมวลชนจะช่วยให้คนล้าหลังกลายเป็นคนทันสมัย ดังนั้นนักพัฒนาจึงต้องหยิบใช้เครื่องมือจากสื่อให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้รับข่าวสารเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง ซึ่งกองควบคุมพืชเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีนโยบายหลักที่จะช่วยให้ชาวเขาลดหรือขจัดการปลูกฝิ่น โดยได้ทำการศึกษาชาวเขาเผ่าเย้า ม้ง ถิ่น ใน 4 หมู่บ้านคือ บ้านละเบ้ายา บ้านกอก บ้านสะกาดเหนือและบ้านสะกาดกลางในจังหวัดน่าน ตั้งแต่วันที่ 3-9 พฤศจิกายน พ.ศ 2526 สภาพสังคมของชาวบ้านทั้ง 4 เขต มีประเพณีของชนเผ่ายึดถือและปฏิบัติกันเป็นรอยรีต และเริ่มมีการรับความเชื่ออื่นเข้ามา เช่น พุทธศาสนา เป็นต้น ด้านเศรษฐกิจเป็นระบบการผลิตเพื่อยังชีพ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบ้าง เช่น เมี่ยง ฝ้าย ข้าวโพด และสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ส่วนพฤติกรรมการสื่อสาร ชาวบ้านมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นส่วนมากและมีความสนในต่อการอบรมในเรื่องการเกษตรและการทำมาหากิน โดยวิทยุเป็นรูปแบบการสื่อสารที่เข้าถึงชาวบ้านมากที่สุด แต่ในรูปแบบอื่นยังไม่ได้รับความสนใจจากชาวบ้านเนื่องจากความไม่เข้าใจ |
|
Focus |
ศึกษาสภาพสังคม เศรษฐกิจและพฤติกรรมการสื่อสารของม้ง เย้า และถิ่นในจังหวัดน่าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง เย้า และถิ่น ใน 4 พื้นที่ของจังหวัดน่าน คือ บ้านละเบ้ายา ตำบลถืมตอง อำเภอเมือง บ้านกอก ตำบลเชียงกลาง อำเภอเชียงกลาง บ้านสะกาดเหนือ และบ้านสะกาดกลาง ตำบลสถาน อำเภอปัว จังหวัดน่าน (หน้า 4,5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ถิ่นจัดเป็นชาวเขากลุ่มหนึ่งในสาขามอญ-เขมร อยู่ในกลุ่มภาษาออสโตรเอเชียติก (หน้า 20) ม้งถูกจัดเข้าอยู่ในกลุ่มภาษา ตระกูลจีนธิเบต (Sino-Tibetan) (หน้า 23) และเย้า เป็นชาติพันธุ์ที่ได้รับการจัดให้อยู่ในพวกมองโกลอยด์ ทางด้านภาษาศาสตร์ บ้างก็จัดเย้าให้อยู่ในกลุ่มภาษาม้ง-เย้า-ปาเต็ง ในตระกูลภาษาชีโน-ธิเบตัน (จีนธิเบต) บ้างก็ว่าอยู่ในตระกูลภาษามอญ-เขมร นอกจากนั้นยังมีผู้จัดให้ภาษาเย้าอยู่รวมกับภาษาม้ง ไท กะได อินโดเนเชียน มอญ-เขมร และเวียดนามในตระกูลภาษาโปรโตร-ออสตริค (หน้า 25) ม้งเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีเพียงภาษาพูดโดยไม่มีตัวหนังสือใช้ เสียงพยัญชนะมีมากกว่า 50 เสียง และมีพยัญชนะหลายเสียงที่มีแหล่งกำเนิดเสียงแตกต่างไปจากพยัญชนะไทย เสียงสระมีประมาณ 14-15 เสียงและเสียงวรรณยุกต์ประมาณ 7-9 เสียง ดังนั้นการใช้ตัวอักษรไทยเขียนภาษาม้ง โดยใช้อักขระวิธีแบบไทยจึงมีความคลาดเคลื่อนจากเสียงที่แท้จริงอยู่มาก (หน้า 36) ภาษาม้งขาวมีความผิดเพี้ยนกับภาษาม้งน้ำเงินอยู่บ้างแต่ยังสามารถใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นที่เข้าใจ (หน้า 38) |
|
Study Period (Data Collection) |
3 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 |
|
History of the Group and Community |
ในพื้นที่ของจังหวัดน่านได้ปรากฎร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์ไม่น้อยกว่า 10,000 ปี มาแล้ว จากการค้นพบหลักฐาน เครื่องมือ เครื่องใช้ของมนุษย์หิน ตั้งแต่สมัยกลางและสมัยหินใหม่ (ราว 3,000 - 4,000 ปี) ตามบริเวณที่ราบบนไหล่เขาและที่ราบลุ่มในหุบเขาใกล้กับลำน้ำหลายแห่งด้วยกัน หลักฐานของมนุษย์สมัยหินกลางค้นพบที่ บริเวณดอยแก้วและดอยชมภูซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของลำน้ำน่าน ใกล้กับบ้านดู่และบ้านเชียงรายได้ค้นพบเครื่องมือหินกะเทาะ แกนหินและสะเก็ดหินพร้อมทั้งได้พบขวานหินขัดในหลายท้องที่เป็นต้นว่า อ.สา อ.ปัว และอ.นาน้อย นอกจากนี้ยังได้ค้นพบเครื่องมือทำการเพาะปลูกบนที่ราบในเขต อ.แม่จริม อันเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์สมัยหินใหม่ ในยุคโลหะ (ราว 1,700 3 2,000 ปี) ได้ค้นพบเครื่องมือจำพวกพร้า สำริดและขวานบ้อง ส่วนใหญ่จะพบทางใต้ของจังหวัดที่ติดต่อกับจังหวัดแพร่และจังหวัดอุตรดิตถ์ น่านในสมัยประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 18 และต้นพุทธศตวรรษที่ 19 "พญาภูคา" ผู้นำกลุ่มคนไทยเมืองย่าง ได้สร้างเมืองปัว (วรนคร) ในแถบตำบล ศิลาเพชร อ. ปัว ในปัจจุบัน และให้เจ้าขุนฟองราชบุตรเป็นผู้ปกครองเมือง (ตรงกับรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง) ต่อมาปี พ.ศ. 1901 ในสมัยของพระยากลางเมืองซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์ต่อมาได้อพยพผู้คนมาตามลำน้ำน่านและสร้างเมืองใหม่บริเวณ ดอยภูคาแช่แห้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 1911 เกิดความแห้งแล้ง พระยาผากองซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้นจึงได้อพยพผู้คนไปสร้างเมืองใหม่บริเวณห้วยไค้ อันเป็นที่ตั้งของเมืองน่านในปัจจุบัน แล้วขนานนามเมืองว่า "เมืองน่าน" หรือนันทบุรี หลังจากเจ้าผาแสงถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. 2004 เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ส่งขุนนางมาปกครองเมืองน่านแทน จนถึงปี พ.ศ. 2257 น่านก็อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงค์กษัตริย์พม่าคือเจ้าฟ้าเมียวซา ซึ่งเมื่อถึงแก่พิราลัยขุนนางชาวเมืองน่านได้ขอพระบรมราชานุญาตจากกษัตริย์พม่าเพื่ออัญเชิญเจ้าพระยาหลวงติ๋นมหาวงค์ เจ้าเมืองเชียงใหม่มาเป็นผู้ปกครองในปี พ.ศ. 2269 จนกระทั่งมีการยกเลิกการปกครองโดยเจ้าผู้ครองนครในปี พ.ศ. 2474 (หน้า 10-11) "ถิ่น" อพยพเข้าประเทศไทยครั้งแรกเมื่อประมาณ 60 - 80 ปีมาแล้วโดยอพยพจากประเทศลาวเข้ามาอยู่ในจังหวัดน่าน แต่ในหนังสือบางเล่ม ผู้เขียนมีความเห็นว่าถิ่นอาจอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานก่อนที่คนไทยอพยพมาจากประเทศจีนก็ได้ เพราะถิ่นอาศัยอยู่ตามพรมแดนไทยลาวโดยไม่ทราบเส้นกั้นอาณาเขตของประเทศ ส่วนการอพยพครั้งใหญ่นั้น เมื่อเกิดมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศลาวเป็นระบบสังคมนิยมในปี พ.ศ.2518 (หน้า 20) "เย้า" มีชื่อปรากฎในเอกสารของจีนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตศักราชและได้เริ่มอพยพโยกย้ายลงมาทางใต้ของจีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช รายงานบางฉบับกล่าวว่าเย้าได้อพยพลงมาทางใต้เข้าสู่ตังเกี๋ยเมื่อคริสตวรรษที่ 4 แต่ส่วนมากมีความเห็นว่าการอพยพของเย้าเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา กล่าวกันว่าเย้าเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้เองคือหลัง ค.ศ. 1800 และเย้ากลุ่มใหญ่ได้เข้าสู่ประเทศไทยเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 (หน้า 25) และเล่ากันว่าในอดีตกาลเย้ามีรูปแบบการปกครองที่มีหัวหน้าสูงสุดเป็นกษัตริย์ด้วย (หน้า 28) หลักฐานเก่าแก่ที่สุดตามประวัติศาสตร์จีนที่มีเอ่ยถึงม้ง คือ เมื่อประมาณศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสตกาลหรือประมาณ 4,600 กว่าปีมาแล้วแม้กระนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่กล่าวถึงแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของชนเหล่านี้ นักเขียนหลายคนได้ตั้งข้อสมมติฐานเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของม้งแตกต่างกันไปหลายประการ แต่หลักฐานที่ปรากฎพวกเขาได้อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองแล้วต่อมาได้มีการปะทะกับชาวจีนมีศึกสงครามอยู่เรื่อยมาแล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศเวียดนาม ลาว ไทยในที่สุด ประมาณกันว่าม้ง อพยพเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณร้อยกว่าปีมานี้เอง (ประมาณ พ.ศ.2393) โดยแยกเคลื่อนย้ายกันมาเป็น 3 เส้นทาง คือบริเวณชายแดนติดต่อกับประเทศลาว ที่จังหวัด เชียงราย น่าน และเลย (หน้า 30) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้าน "ถิ่น" จะมีบ้านตั้งแต่ 5-7 หลังคาเรือน การปลูกบ้านของ "ถิ่น" ไม่มีระเบียบต่างคนต่างปลูก บ้านแต่ละหลังไม่มีรั้ว แสดงอาณาเขตของบ้านโดยอาศัยแนวต้นไม้ ส่วนบ้านจะปลูกยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้ไผ่หรือไม้เบญจพรรณ ใต้ถุนบ้านใช้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงในเวลากลางคืน หรือบางบ้านอาจมีคอกสัตว์แยกต่างหาก ส่วนยุ้งข้าวนั้นถ้ามีข้าวไม่มากก็จะทำไว้บนบ้าน ถ้ามีข้าวมากและบ้านแคบเกินไปก็มียุ้งข้าวสร้างขึ้นต่างหาก (หน้า 21) หมู่บ้าน "เย้า" มีขนาดหมู่บ้านประกอบด้วยบ้านตั้งแต่สองสามหลังไปจนถึงร้อยหลังคาเรือน เป็นครัวเรือนของ "เย้า" จากหลายตระกูล โดยมีหนึ่งหรือสองตระกูลที่จะมีสมาชิกมากและเป็นตระกูลของผู้นำหรือผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน (หน้า 26) ม้งตั้งหมู่บ้านอยู่ในระดับความสูงแตกต่างกันตั้งแต่ระดับความสูงเกินกว่า 3,000 ฟุตลงมาจนถึงระดับพื้นราบ ขนาดของหมู่บ้านโดยเฉลี่ยมีประมาณ 21-30 หลังคาเรือน ลักษณะของบ้านเป็นเรือนไม้ปลูกคร่อมลงบนพื้นดินโดยจะปลูกบ้านหันหน้าไปตามลาดเขา ภูมิประเทศที่เหมาะสมในการตั้งหมู่บ้านคือพื้นที่ลาดเขา มีลำห้วยอยู่บริเวณใกล้เคียงเบื้องหลังลำห้วยออกไปมีแนวเขาสับหว่างกันขวางอยู่ (หน้า 33-34) |
|
Demography |
เขตสะกาดเหนือ มีประชากร 86 ครัวเรือน เขตสะกาดกลางมีประชากร 215 ครัวเรือน เขตละเบ้ายามีประชากร 130 ครัวเรือน และเขตบ้านกอกมีประชากร 48 ครัวเรือน (หน้า 6) "ถิ่น" ในประเทศไทยที่ศูนย์วิจัยชาวเขาได้รวบรวมไว้ ในปี 2522 มีจำนวน 47 หมู่บ้าน 3,231 หลังคาเรือน และประชากร 19,700 คนโดยอาศัยอยู่ใน 6 อำเภอของจังหวัดน่านทั้งหมด โดยเฉพาะที่อำเภอปัว มีมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีถิ่นอพยพจากประเทศลาว อยู่ในศูนย์อพยพบ้านน้ำยาว อ.ปัว และศูนย์อพยพบ้านสบตวง อ.แม่จริม จังหวัดน่าน ประมาณ 4,000 คน (หน้า 21) เชื่อกันว่ามีเย้าในเอเชียอาคเนย์ทั้งหมดประมาณไม่เกิน 8,000,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศจีนตอนใต้ รายงานบางฉบับกล่าวว่าใน พ.ศ.2473 มีเย้าในประเทศไทย 3,000 คน และข้อมูลของศูนย์วิจัยชาวเขารายงานว่ามีเย้ากระจายตัวอยู่ใน 9 จังหวัดในภาคเหนือ คือเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง พิษณุโลก สุโขทัย และกำแพงเพชร ประมาณ 23,801 คน (หน้า 26) ปัจจุบันประชากรม้งที่กระจายตัวอยู่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย ยังไม่อาจยืนยันอย่างแน่ชัดถึงตัวเลขที่แน่นอนและถูกต้องได้ แต่มีแหล่งอ้างอิง 2 แหล่งที่นำมาพิจารณา คือการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขาภาคเหนือในประเทศไทย พ.ศ. 2508-2509 ว่ามีจำนวนประชากรม้งในจังหวัดน่าน 9,454 คนและรวมทั้งหมด 53,031 คน และแหล่งที่ 2 คือทำเนียบหมู่บ้านชาวเขาประจำปี 2521 โดยโครงการรวบรวมข้อมูลชาวเขาของศูนย์วิจัยชาวเขา ว่ามีชาวเขาเผ่าม้งในจังหวัดน่าน 7,173 คน และรวมทั้งหมด 39,304 คน (หน้า 30,31) |
|
Economy |
การผลิตของ "ถิ่น" เป็นการผลิตเพื่อการยังชีพที่ต้องมีการปลูกข้าวไร่ให้พอกินตลอดปีเป็นหลัก ส่วนรายได้ที่เป็นเงินสดนั้น ถิ่นจะหาได้จากการล่าสัตว์ ขายสัตว์เลี้ยง การรับจ้างหรือหาของป่าไปขาย นอกจากข้าวไร่ที่ปลูกกันทุกหมู่บ้านแล้วก็มีบางหมู่บ้านที่เริ่มทำนาดำ พืชที่ปลูกมีทั้งข้าวโพด ข้าวฟ่าง และพืชผักต่างๆ บางหมู่บ้านมีการเก็บชาป่ามาทำเมี่ยง เพื่อขายต่อไป และบางหมู่บ้านแถบตำบลบ่อเกลือเหนือและบ่อเกลือใต้ มีการทำนาเกลือเพื่อขายให้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงอีกด้วย (หน้า 24) "เย้า" เป็นเกษตรกรที่ทำไร่ "เลื่อนลอย" ปลูกข้าวเพื่อการบริโภค และปลูกข้าวโพดบ้างเพื่อเลี้ยงสัตว์และบริโภคบ้าง แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ปลูกข้าวโพดเพื่อการค้ามากขึ้น เย้าเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเกษตรกรที่มีความชำนาญในการปลูกฝิ่น และหมู่บ้านเย้าที่อยู่ในระดับความสูงมากๆ ยังคงปลูกฝิ่นอยู่ แต่ลดปริมาณการปลูกลงมากแล้ว หมู่บ้านเย้าจำนวนมากได้อพยพลงสู่ที่ต่ำและบ้างก็เลิกปลูกฝิ่นโดยเด็ดขาด หันมาปลูกข้าวโพดและฝ้ายแทน การทำไร่ของเย้าคล้ายกับของกะเหรี่ยง กล่าวคือ ถ้าเป็นป่าทุติยภูมิจะทำการปลูกข้าวเพียงปีเดียวแล้วหมุนเวียนไร่ แต่ถ้าเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์อาจทำถึง 1-3 ปี (หน้า 26) ม้งทำเกษตรกรรมแบบทำไร่ "เลื่อนลอย" โดยการโค่นถางป่าและเผาเพื่อปลูกพืช จนเมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์จึงอพยพย้ายถิ่นเสียครั้งหนึ่ง พืชหลัก 3 ชนิดที่ชาวเขาเผ่าม้งปลูกกันมาแต่ดั้งเดิมคือ ฝิ่น ข้าว และข้าวโพด (หน้า 32) หัวหน้าครัวเรือนเกือบทั้งหมดใน 4 เขต ทำสวนทำไร่เป็นอาชีพหลัก และมีอาชีพรองในบางหมู่บ้าน และอาชีพรองเป็นการทำการเกษตรเช่นกัน เช่น ทำสวนครัวหรือสวนเมี่ยง เฉพาะที่บ้านละเบ้ายา มีอาชีพขอทานเพียง 1 ราย ที่เขตสะกาดกลางไม่มีอาชีพ 1 ราย (หน้า41) ส่วนอาชีพของคู่สมรสพบว่าส่วนใหญ่ทำไร่ทำสวนเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 50 ไม่มีอาชีพรอง ยกเว้นเขตบ้านกอกที่เลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพรอง นอกนั้นจะเป็นการเกษตรชนิดที่ไม่ซ้ำกับอาชีพหลัก ที่เขตสะกาดกลาง และเขตละเบ้ายามีผู้ระบุทำสวนส้มเป็นอาชีพรองเขตละ 1 ราย เนื่องจากอาชีพหลักของชาวเขา คือ การทำไร่ทำสวนจึงพบว่ารายได้ของแต่ละครัวเรือนส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก (หน้า 42) มีการใช้ยาปราบศรัตรูพืชบ้างบางส่วนแต่ไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากไม่เคยรู้จักและไม่มีเงินซื้อ (หน้า 55) ลักษณะการจำหน่ายผลผลิตพบว่า นอกจากการผลิตเพื่อการอุปโภคบริโภคแล้วยังมีผลผลิตที่มีคนมารับซื้อถึงที่แต่เป็นจำนวนที่ไม่มาก เช่น เมี่ยง เป็นต้น (หน้า 60) |
|
Social Organization |
การแต่งงานของ "ถิ่น" ในบ้านหลังหนึ่งๆ อาจประกอบไปด้วยครอบครัวเดี่ยว (เป็นครอบครัวใหม่) หรือครอบครัวขยาย ซึ่งเกิดจากการที่ลูกสาวแต่งงานและนำสามีเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย ถ้าหากมีลูกสาวหลายคนก็มีหลายครอบครัว ครอบครัวของพี่สาวคนโตสามารถแยกไปตั้งบ้านใหม่ได้ ส่วนครอบครัวของลูกสาวคนเล็กจะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ตลอดไป จึงทำให้ถิ่นอยากได้ลูกสาวมากกว่าลูกชาย เพราะเมื่อแต่งงานแล้วลูกชายต้องไปอยู่บ้านภรรยาทำให้ครอบครัวขาดแรงงาน ถิ่นมีการสืบสายหรือนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายมารดา ผู้ชายที่แต่งงานแล้วต้องตัดขาดจากผีเดิมมานับถือผีของฝ่ายภรรยา (หน้า 21) และเมื่อมีลูกแล้วลูกก็นับถือผีฝ่ายมารดาเช่นกัน ถิ่นที่นับถือผีเดียวกันจะมีอยู่เฉพาะภายในหมู่บ้านเท่านั้น ซึ่งแสดงถึงความเป็นเครือญาติของแต่ละคน การใช้นามสกุลของถิ่นไม่สามารถบอกลักษณะความเป็นพี่น้องกันได้เพราะในหมู่บ้านหนึ่งจะมีเพียง 1 นามสกุลเท่านั้น ส่วนนามสกุลที่นอกเหนือจากนี้แสดงถึงการอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านทีหลัง ถิ่นนิยมแต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกันมากกว่าคนจากหมู่บ้านอื่น และไม่นิยมได้เสียกันก่อนแต่งงาน เพราะเป็นที่รังเกียจของคนในหมู่บ้านและจะต้องมีการเลี้ยงผีบรรพบุรุษและถูกปรับไหม พิธีแต่งงาน จะกระทำขึ้นที่บ้านฝ่ายหญิง มีการเลี้ยงผีและให้พรของผู้อาวุโสและเลี้ยงเพื่อนบ้านที่มาช่วยงาน จากนั้นฝ่ายชายก็จะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง ผู้ชายจะมีภรรยาได้เพียงคนเดียว ถึงแม้ว่าฐานะดีก็กระทำมิได้นอกจากต้องหย่าขาดจากภรรยาคนเดิมเสียก่อน จึงทำให้การหย่าร้างของคู่แต่งงานเกิดขึ้นเสมอ แต่ในการหย่าร้างต้องได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโสเสียก่อน (หน้า 22) ครอบครัวและการแต่งงานของม้ง องค์กรขั้นพื้นฐานที่สำคัญ คือครอบครัวและแซ่สกุล ม้งมีระบบการนับถือผู้อาวุโสอย่างเคร่งครัด โครงสร้างของครอบครัวเป็นแบบครอบครัวขยาย มีรูปแบบครอบครัวเดี่ยวที่แตกออกมาจากครอบครัวขยาย และภายหลังได้เปลี่ยนรูปแบบกลับไปเป็นครอบครัวขยายในที่สุด ในครอบครัวชายเป็นใหญ่กว่าหญิงและเป็นหัวหน้าครัวเรือน ผู้อาวุโสสูงฝ่ายชายเป็นบุคคลสำคัญภายในแซ่ อันเป็นลักษณะการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ การแต่งงานนิยมแต่งงานภายในเผ่า แต่ห้ามมิให้แต่งงานภายในสกุลเดียวกัน หญิงและชายอาจมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานได้ แต่เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย จะต้องออกจากแซ่สกุลเดิมของตน (หน้า 23) และภายในหมู่บ้านจะมีประเพณีขนบธรรมเนียมของหมู่บ้านที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาซึ่งเรียกรีตหรือฮีต เป็นกฎหมายของหมู่บ้านด้วย (หน้า 24) การแต่งงานของเย้า เย้าเป็นกลุ่มที่มีระบบการแต่งงานกับคนในชาติพันธุ์เดียวกัน แต่การปฏิบัติในปัจจุบันได้คลายความเคร่งครัดลงมาก มีการแต่งงานกับคนนอกเผ่ามากขึ้น เย้ามีลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวขยาย นิยมให้ลูกชายนำภรรยาเข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัวของบิดามารดาเป็นเวลาหลายปี มีบิดามารดาเป็นหัวหน้าครัวเรือน มีอำนาจเด็ดขาดเหนือบุตรทั้งหลาย ครอบครัวของบุตรจะทำไร่ของตนเอง ยกเว้นบุตรที่ยังไม่ได้แต่งงานจะทำไร่กับบิดามารดาผลผลิตที่ได้จากไร่จะนำมาบริโภคร่วมกันยกเว้นรายได้จากการปลูกฝิ่น ถือว่าเป็นทรัพย์ของแต่ละครอบครัว การมีภรรยาหลายคนเป็นระบบที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากเย้ายังถือว่าคนเป็นแรงงานและครอบครัวต้องแสวงหาแรงงานจึงต้องการมีบุตรมาก อย่างไรก็ตามการแต่งงานต้องใช้จ่ายเงินมากการมีภรรยาหลายคนจึงนิยมปฏิบัติกันแต่เฉพาะผู้มีฐานะความเป็นอยู่มั่งคง หรือ ภรรยาคนแรกไม่สามารถมีบุตรให้สืบสกุล แต่ไม่ทำกันอย่างแพร่หลายเพราะเย้ามีการรับเด็กจากภายนอกเข้าเป็นบุตรบุญธรรม การแต่งงานกับภรรยาคนแรกมักจะประกอบพิธีกรรมใหญ่โตเชิญคนไปกินเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน หากเจ้าบ่าวเป็นคนมีฐานะพอที่จะจ่ายค่าตัวเจ้าสาวได้หมดหรือจ่ายได้ส่วนใหญ่ พิธีแต่งงานจะกระทำเป็นงานใหญ่ 3 วัน 3 คืนที่บ้านเจ้าบ่าว เมื่อแต่งงานแล้วภรรยาจะอาศัยอยู่กับสามีตลอดไป บุตรที่เกิดมาจะนับถือบรรพบุรุษของบิดา แต่หากเจ้าบ่าวยากจนจ่ายค่าตัวเจ้าสาวได้เล็กน้อย พิธีแต่งงานอาจจะจัดที่บ้านเจ้าสาวด้วยพิธีกรรมเล็กๆ มีการกินเลี้ยงภายในวันเดียว เมื่อแต่งงานแล้วเจ้าบ่าวจะอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยา ทำงานรับใช้เพื่อแลกกับเงินค่าตัวเจ้าสาว เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้สามีสามารถจะนำภรรยากลับไปอยู่กับครอบครัวของตนได้ บุตรที่เกิดในระยะที่ขึ้นเขย จะต้องนับถือบรรพบุรุษและสืบตระกูลของฝ่ายแม่ นอกจากนั้น ถ้าหากชายยากจนจริงๆ และครอบครัวฝ่ายหญิงมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ชายอาจต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยาตลอดชีวิตก็ได้ (หน้า 27) |
|
Political Organization |
การปกครองของถิ่นเป็นไปอย่างง่าย มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ปกครองสูงสุด ซึ่งอาจได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของคนในหมู่บ้าน ตลอดจนเป็นผู้รักษาระเบียบประเพณีของเผ่า นอกจากนี้ยังมี เจ้าฮีต หมอผี และคณะผู้อาวุโส เป็นคณะกรรมการของหมู่บ้านด้วย ซึ่งมีกฎระเบียบในการปกครอง (หน้า 22) เย้า มีรูปแบบการปกครองที่ให้ความสำคัญในระดับหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านจะมีหัวหน้าซึ่งมักได้แก่ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านขึ้น และตำแหน่งหัวหน้าจะตกทอดจากพ่อสู่ลูก เมื่อหมู่บ้านเย้าถูกจัดให้อยู่ในระบบการปกครองของไทย หมู่บ้านเย้าก็กลายเป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบล หัวหน้าหมู่บ้านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในกรณีที่มีคนไทยพื้นราบเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่หากหมู่บ้านเย้าได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบล เย้าก็จะได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านและอาจมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งเป็นหัวหน้าทางราชการซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับทางราชการ และหัวหน้าทางจารีตประเพณี ซึ่งลูกบ้านจะให้ความเคารพยำเกรงกว่าคนแรก กิจกรรมใดของหมู่บ้านที่ต้องการการตัดสินใจ หัวหน้าหมู่บ้านมักจะหารือกับผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งเป็นหัวหน้าครัวเรือน คล้ายๆ กับการมีสภาที่ปรึกษาอาวุโส (หน้า 28) ระบบการปกครองของม้งในหมู่บ้าน เริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดคือ จากหัวหน้าครอบครัวมาสู่หัวหน้าครัวเรือนและผู้อาวุโสของแซ่สกุล ตามปกติถ้าหมู่บ้านหนึ่งมีหลายสกุล ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในหมู่บ้าน หรือกล่าวได้ว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ก็คือผู้อาวุโสของสกุลที่มีสมาชิกมากที่สุดในหมู่บ้าน สำหรับกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในสกุลเดียวกัน ผู้อาวุโสในสกุลนั้นอาจตัดสินให้เสร็จสิ้นไปได้ แต่ในกรณีพิพาทระหว่างสกุล หัวหน้าหมู่บ้านจะต้องเชิญผู้อาวุโสสกุลอื่นมาร่วมในการพิจารณาด้วย และหากมีการปรับค่าปรับไหม ก็จะถูกแบ่งให้ผู้ร่วมตัดสินทุกคนรวมทั้งผู้ชนะคดีด้วย(หน้า 34) |
|
Belief System |
ถิ่น ส่วนมากยังนับถือผี เช่น ผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีประจำหมู่บ้าน เป็นต้น และเชื่อว่าปรากฎการณ์ต่างๆ นั้นเกิดจากการกระทำของผีซึ่งมีทั้งดีและร้ายทำให้เกิดการเจ็บป่วย จึงต้องมีการเซ่นเลี้ยงผีในโอกาสต่างๆ เป็นประจำ แต่มีถิ่นบางหมู่บ้านเริ่มหันมานับถือพุทธศาสนาบ้าง มีการทำบุญที่วัด แต่จะเลี้ยงผีเฉพาะประเพณีที่สำคัญของเผ่าเท่านั้น (หน้า 24) เย้า นับถือผีบรรพบุรุษ และได้รับอิทธิพลจากจีนมาก มีรูปเคารพซึ่งเชื่อว่าเป็นผีใหญ่คุ้มครองโลกมนุษย์และโลกของผี ในแต่ละบ้านจะมีหิ้งผีสำหรับเชิญผีบรรพบุรุษมาสิงสถิตย์เมื่อจัดพิธีกรรมต่างๆ เย้ามีวันปีใหม่และวันเชงเม้งซึ่งตรงกับของจีน ชาวเย้าทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วถือว่าเป็นคนดิบถ้าตายต้องนำไปฝัง แต่ถ้าเป็นคนสุกแล้วด้วยการผ่านพิธีบวชตามประเพณีกวางตุ้งและโตไช เมื่อตายต้องเผา การเจ็บป่วยถือว่าเป็นการกระทำของผีร้ายต่างๆ และขวัญจะออกจากร่างกาย การรักษาจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ทำพิธีเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่ร่างกายแล้วเท่านั้น ในปัจจุบันเย้าเริ่มหันไปนับถือศาสนาพุทธ มีการส่งบุตรหลานไปบวชเป็นพระและสามเณร และมีเย้าที่นับถือศาสนาคริสต์ด้วยเช่นกัน (หน้า 28) ม้ง มีการบูชาผีบรรพบุรุษแนวความคิดทางศาสนาจัดอยู่ในระดับ "Animism" และความเชื่อในเรื่องผีนี้เกี่ยวพันกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ผีตามความเชื่อของม้งแบ่งได้ดังนี้ 1. ผีฟ้า เป็นผีที่สิงสถิตย์อยู่บนฟ้า มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ เช่น - เหย่อโช้ว เป็นผู้ดูแลโลก กล่าวกันว่ามีเสียงเป็นฟ้าร้องและมีอาวุธเป็นสายฟ้า - ยุ่วั้งตั่วเต่ง มีหน้าที่สอบสวนวิญญาณคนตายและเป็นผู้อนุญาตให้คนและสัตว์ไปเกิดใหม่ได้ - ยงเหล่า มีหน้าที่ไม่แน่ชัดบ้างกล่าวว่าเป็นหัวหน้าผีฟ้าทั้งปวง บ้างก็ว่าเป็นผู้มาเอาชีวิตคนไป - หนะสือกลั๊ง เป็นผีแม่ผีพ่อของทารก ก่อนจะมาเกิดยังโลกมนุษย์ - ก๊ะยิ่ง เป็นผู้สามารถให้บุตรแก่คู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตรได้ถ้าประกอบพิธีพิเศษขึ้น 2. ผีเรือน เป็นผีที่อยู่ภายในบ้านเรือน ได้แก่ ผีประตู ผีเตาไฟใหญ่ ผีเตาไฟเล็ก สื่อกั๋ง ผีบรรพบุรุษ ผีครู (ในกรณีที่คนในบ้านเป็นหมอผี) ผียา (ในกรณีที่คนในบ้านเป็นหมอยา) ผีกลอง ในหมู่บ้านหนึ่งๆ จะมีกลองที่มีผีอยู่เพียงใบเดียวเพื่อใช้ในพิธีศพและกลองนี้จะตกทอดสู่ลูกหลานต่อไป บางหมู่บ้านอาจไม่มีกลองชนิดนี้ เมื่อมีการตายก็จะทำกลองขึ้นใช้ชั่วคราวและเมื่อเสร็จพิธีก็จะทำลายทิ้งไป 3. ผีทั่วไป ได้แก่ ผีป่า ผีดอย ผีไร่ ผีนา ผีจอมปลวก เป็นต้น ถ้ามีการทำผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมักจะให้โทษเจ็บป่วยจนถึงตายได้ จึงต้องมีการเซ่นสรวงเป็นกรณีๆ ไป (หน้า 35) |
|
Education and Socialization |
พบว่า เขตสะกาดเหนือ มีผู้ไม่ได้รับการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 29 และมีผู้จบการศึกษาหรือเทียบเท่า 3 ราย เขตสะกาดกลางมีผู้จบการศึกษามีผู้จบประถมศึกษาคิดเป็นร้อยละ 15.4 และไม่เคยศึกษาเลยร้อยละ 7.7 และเขตบ้านกอกมีผู้ไม่เคยเข้ารับการศึกษาเลยร้อยละ 40 เขตที่มีการศึกษาดีคือ เขตสะกาดกลาง และละเบ้ายา ส่วนบ้านกอกเป็นเขตที่ไม่มีการศึกษาเลย ส่วนระดับการศึกษาของผู้หญิงพบว่าส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการศึกษาเลย (หน้า 41) |
|
Health and Medicine |
ในเขตสะกาดเหนือมักมีผู้คนล้มป่วยด้วยไข้มาลาเรีย และไข้หวัดมากที่สุด และโรคระบบทางเดินอาหารเป็นอันดับสอง ในเขตสะกาดกลาง มีผู้ป่วยเป็นไข้หวัดมากที่สุด (หน้า 45) เขตละเบ้ายา จะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมากที่สุด และเขตบ้านกอก ป่วยเป็นไข้มาลาเรียมากที่สุด เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ ชาวเขาทั้ง 4 เขตส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นการกระทำของสิ่งลึกลับหรือผีลงโทษ แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านมีแนวโน้มที่เกิดความไม่แน่ใจและไม่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และเริ่มไม่แน่ใจว่าการรักษาโดยพ่อมอหมอผีจะรักษาให้หายได้ (หน้า 46) น้ำดื่มน้ำใช้ของชาวเขาทั้ง 4 เขตมักจะได้จากลำห้วยเป็นส่วนใหญ่ และไม่มีการต้มก่อนดื่ม มักขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจาก ขาดแหล่งน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ชาวเขามักอาบน้ำกันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งทุกวัน มีการแปรงฟันทุกวันเช่นกัน แต่ก็มีเป็นจำนวนน้อยที่ไม่ได้แปรงฟันซึ่งมักเป็นคนแก่และเด็ก ทุกหมู่บ้านทารกจะได้รับข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าเป็นอาหารหลักแต่เพียงอย่างเดียวโดยคลุกผสมน้ำตาลมีทั้งข้าวสวยและข้าวต้ม รองลงมาเป็นนมแม่และกล้วย ยกเว้นที่บ้านสะกาดกลาง ละเบ้ายา และบ้านกอก ที่ให้อาหารประเภทเนื้อมากกว่านมและกล้วย โดยทั่วๆ ไปเด็กทารกไม่มีลักษณะของโรคขาดสารอาหารและไม่ซีดเหลือง การให้ภูมิคุ้มกันโรค ในบ้านสะกาดเหนือและสะกาดกลางมีเด็กได้รับภูมิคุ้มกันโรคมากกว่าที่บ้านละเบ้ายาและบ้านกอก อาหารหลักของชาวบ้านคือผักและน้ำพริก อาหารประเภทโปรตีนได้รับเป็นส่วนน้อย (หน้า 47) กล่าวคือชาวเขาทั้ง 4 หมู่บ้านได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ โดยขาดสารอาหารประเภท เกลือแร่ ไขมันและเนื้อสัตว์ ชาวเขาทั้ง 4 เขตมีการคุมกำเนิดโดยการใช้ยาคุมกำเนิดเป็นส่วนน้อย แต่มีการทำหมันชาย เป็นจำนวนมาก เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ทราบแหล่งจำหน่ายยาคุมกำเนิด ทัศนคติในการสูบฝิ่นของชาวเขา คือ ในเขตสะกาดเหนือส่วนใหญ่เห็นว่าการสูบฝิ่นไม่ทำให้เกิดโรคแต่อย่างใด เขตละเบ้ายาส่วนใหญ่เห็นว่าทำให้เสียเงิน และทำให้ร่างกายอ่อนแอทำมาหากินไม่ได้ ส่วนเขตบ้านกอกเห็นว่าฝิ่นทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสียทรัพย์(หน้า 48) ส่วนการรักษาแบบดั้งเดิมมีระบุแค่การรักษาของม้งว่า หมอผีมีบทบาทสำคัญมากในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แม้ว่าม้งจะมีวิธีการรักษาผู้ป่วยอยู่หลายวิธีแต่การใช้หมอผีเป็นผู้รักษานับเป็นวิธีที่นิยมกันอย่างมาก โดยมีหมอผีอยู่ 2 ประเภท คือ หมอผีที่ผีเข้า เรียกกันว่า "เน่งเท่อ" การที่ผีเข้าจะเป็นได้ก็โดยความประสงค์ของผีเท่านั้น และหมอผีที่ใช้คาถาเรียกว่า "เน่งเก่อ" หรือผีเรือน โดยเรียนจากคนที่เป็นหมอผีคาถาอยู่แล้วซึ่งใครที่อยากเป็นก็สามารถเรียนเอาได้ (หน้า 36) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวเขาเผ่าม้งรู้จักการทอผ้าใช้เอง การย้อมผ้า การทำเครื่องเงิน การตีเหล็ก ถึงขั้นรู้จักการทำอาวุธปืนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากจีน การทำกระดาษใช้เอง และมีเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น ขลุ่ย เเคน ใช้ในงานศพและงานบันเทิง และเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า "หยั่ง" ลักษณะคล้ายจ้องหน่อง ใช้เป่าเป็นเพลง และใช้เป็นเครื่องมือเรียกหญิงสาวให้ออกมาหาในเวลากลางคืน รวมทั้งเพลงร้องซึ่งมีมากมาย ลักษณะการเต้นรำมีปรากฎเฉพาะเพศชาย มีทั้งการฟ้อนแคนและการรำดาบ มีการโยนลูกบอลผ้าระหว่างหนุ่มสาว และการเล่นลูกข่างในวันปีใหม่ (หน้า 36) |
|
Folklore |
"เย้า" เรียกตนเองว่า "เมี่ยน" มีความหมายว่า "คน" และจีนเรียกชนกลุ่มนี้ว่า "เย้า" คนไทยก็เรียกเช่นนั้นด้วย คำว่า "เย้า" กล่าวกันว่าหมายถึง สุนัขป่าเถื่อน หรือผู้สืบสายจากสุนัข ตามนิยายปรัมปราที่เล่ากันมาว่า บรรพบุรุษของเย้าเป็นสุนัขมังกรสีเหลือง ชื่อ "พั่นหู" ในเวียดนามและลาวเรียกชนกลุ่มนี้ว่า "หม่าน" (หน้า 25) ตามความเชื่อของชนเผ่าม้ง "เหย่อโช้ว" เป็นผีฟ้าชนิดหนึ่ง มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลโลก มีตำนานเล่ากันมาว่า กาลครั้งหนึ่ง "เหย่อโช้ว" ได้ลูกชายแต่ภรรยาของตนไม่มีน้ำนมจะเลี้ยงลูก ตนจึงไปขอน้ำนมจากม้งแต่กลับถูกปฏิเสธ เหย่อโช้วจึงโกรธมากและได้สาปแช่งไว้ว่าถ้าหญิงม้งให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ลูกของตนกินนม คนผู้นั้นจะต้องตาย ซึ่งจวบจนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนเลย (หน้า 35) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เย้าเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีความสามารถในการปรับตัว มีการติดต่อกับสังคมพื้นราบอย่างกว้างขวาง และรับเอาวัฒนธรรมของคนพื้นราบไปใช้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแต่งกาย มีความสนใจให้บุตรหลานได้รับการศึกษาเล่าเรียน รวมถึงความสนใจในเรื่องการค้าขาย (หน้า 29) |
|
Other Issues |
การติดต่อสื่อสาร ชาวบ้านจะมีการพบปะสนทนาในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำมาหากิน และการเกษตร รวมถึงมีความกล้าในการแสดงความคิดเห็นต่อคำบรรยายของเจ้าหน้าที่เข้ามาแนะนำส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ และมีความสนใจในการอบรมเรื่องการเกษตร และการทำมาหากินมาก (หน้า 50,51) วิทยุเป็นสื่อสารมวลชนที่ค่อนข้างแพร่หลายมากที่สุด และมีความสนใจในการชมภาพยนตร์กลางแปลงเป็นจำนวนมาก (หน้า 52) มากกว่าครึ่งหนึ่งของชาวบ้านเมื่อรับฟังรายการต่างๆ แล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟัง และวิพากษ์วิจารณ์กันรวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้อีกด้วย ส่วนภาพโปสเตอร์เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ชาวเขาส่วนใหญ่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจแผนภาพ (หน้า 53) |
|
Map/Illustration |
1. ภาพปกเทปรายการวิทยุภาษาผลิตโดย กองควบคุมพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส., หน่วยควบคุมยาเสพติดของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย NAU เรื่อง - มาปลูกกาแฟอาราบิก้ากันเถอะ - การปลูกและดูแลรักษาต้นกาแฟ - โรคกาแฟและวิธีป้องกันรักษา - โรคอหิวาต์ไก่ (หน้า 12 หลังสรุปโครงการ) - อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย - โรคไข้หวัดและภูมิคุ้มกันโรค (หน้า 13 หลังสรุปโครงการ) - วิธีทำปุ๋ยหมัก - การปลูกและดูแลรักษาต้นกาแฟ - การเก็บผลกาแฟและการผลิตสารกาแฟ - การตัดแต่งกลิ่นกาแฟ (หน้า 14 หลังสรุปโครงการ) 2. แผ่นพลิก Flip Chart สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและ หน่วยควบคุมสาเสพติดของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย NAU เรื่อง - หมู่บ้านของเราสีเขียว (หน้า 15 หลังสรุปโครงการ) - ช่วยกันรักษาป่าไม้ไว้ให้ลูกหลาน - อนามัยดีแต่เล็ก อนาคตเด็กแจ่มใส (หน้า 16 หลังสรุปโครงการ) 3. แผนภาพแสดงแบบบ้านของแม้วน้ำเงินซึ่งประกอบด้วย ห้องนอน ที่เก็บข้าวโพด ข้าว ประตูใหญ่ เตาไฟ หิ้งผี เป็นต้น (หน้า 33) 4. แผนภาพแสดงแบบบ้านของแม้วขาวซึ่งประกอบด้วย ห้องนอน ห้องเก็บผลผลิต ประตู เตาไฟ หิ้งผี (หน้า 34) |
|
|