สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อูรักลาโว้ย,ชาวเล,สังกาอู้,การเปลี่ยนแปลงทางสังคม,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ภาษา,กระบี่
Author เยาวลักษณ์ ศรีสุกใส
Title การเปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม : ศึกษากรณีชาวเลสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 143 Year 2545
Source หลักสูตรภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

งานชิ้นนี้ศึกษาถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ย บ้านสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ภายใต้พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีข้อสมมติฐานถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า เกิดขึ้นเนื่องจากการเข้ามาของรัฐและระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ผลจากการศึกษาทำให้ทราบว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ การขยายตัวของอำนาจรัฐ และธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพภายในชุมชนเปลี่ยนไปเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น เกิดระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ ส่งผลต่อวิถีชีวิต สภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อชาวบ้านสังกาอู้หลายประการ เช่น เงินตราเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เกิดอาชีพที่หลากหลาย เกิดการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมกับภายนอก คนในชุมชนมีค่านิยมทางวัตถุ อย่างไรก็ดีด้วยพื้นฐานการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังมีสำนึกในบรรพบุรุษร่วมกัน และการมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติได้เป็นแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงด้านอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวเลเป็นไปอย่างไม่รวดเร็วนัก (หน้า ง)

Focus

เน้นการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชุมชนชาวเลบ้านสังกาอู้ ม.7 ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ (หน้า 19)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย (Urak Lawoi) ที่บ้านสังกาอู้ ม.7 อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ (หน้า 18,19) โดยสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของชาวเลไว้ว่า เป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของแหลมมลายูที่ยังเหลืออยู่ ชนกลุ่มนี้อพยพมาอยู่ในแหลมมลายูสมัยดึกดำบรรพ์ ก่อนที่ชาวมลายูจะเข้ามาอาศัย ชาวมลายูเรียกชาวเลว่า "โอรัง ละอุต" (Orang Laut) แปลว่าคนทะเล คนพม่าเรียก "ฉลาง" ไทยเพี้ยนเป็น ถลาง ชาวอังกฤษเรียก "Sea Gypsy" หมายถึงยิปซีทะเล อาจเนื่องมาจากชาวเลอพยพเร่ร่อน ทำมาหากินไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอน คล้ายกับพวกยิปซีที่อพยพเร่ร่อนอยู่ในทวีปยุโรป บางทีก็เรียกทับศัพท์ว่า "Chaonam" (หน้า 11,23)

Language and Linguistic Affiliations

ชาวเลที่บ้านสังกาอู้มีภาษาเฉพาะถิ่นเรียกว่า "ภาษาอูรักลาโว้ย" ถึงแม้ชาวเลกลุ่มนี้จะรู้ภาษาไทยเพื่อติดต่อกับคนภายนอก แต่โดยปกติแล้วจะใช้ภาษาดั้งเดิมของตนในการติดต่อกับเพื่อนบ้าน (หน้า 71,118) อย่างไรก็ดีรูปแบบของภาษาได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกดัดแปลงโดยการหยิบยืมจากวัฒนธรรมภายนอก คือ ภาษาไทยทางภาคใต้ ดังนั้นบางคำจึงเกิดการผสมหรือการใช้ทับศัพท์ในภาษาอูรักลาโว้ย แต่มีบางคำที่ชาวเลจะพูดภาษาไทยปนไปกับภาษาอูรักลาโว้ยในหนึ่งประโยค (หน้า 118) นอกจากนี้ยังมีคำเรียกเครือญาติ ได้แก่ ทวด ว่า มูญัง เรียกปู่-ตา ว่า แจ เรียกย่า-ยาย ว่า แย เรียกพ่อตา-พ่อสามี ว่า ปะบึตูฮา เรียกแม่ยาย-แม่สามี ว่า มะบึตูฮา เรียกอา น้า (ผู้หญิง) ว่า ไมนีมีนี เรียกอา น้า (ผู้ชาย) ว่า มากีลากี (หน้า 62)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลาในการสำรวจข้อมูลภาคสนามแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเดือนพฤษภาคม และระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม 2544 ช่วงที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ เดือนพฤษภาคม และในเดือนตุลาคม 2545 (หน้า 19-20) รวมระยะเวลาประมาณ 8 เดือน (ผู้เขียน)

History of the Group and Community

อ.เกาะลันตาเดิมขึ้นกับอ.คลองพน ต่อมาพ.ศ.2444 พระยาอุตรกิจพิจารณ์เป็นข้าหลวงเมืองกระบี่ได้ยกฐานะขึ้นเป็นอ.เกาะลันตา (หน้า 30) นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อเกาะลันตาถึง 3 แห่ง ในแผนที่การเดินทางค้าขายของกลุ่มอาหรับในคริสต์ศตวรรษที่ 15 คือ เกาะลันตาด้านตรงข้าม จ. ระนอง ถัดลงมาบริเวณ จ.พังงา และถัดลงมาทางใต้ คือ เกาะลันตาใน จ.กระบี่ ดังปรากฏชื่อ "JANUBIRANTA" หรือลันตาใต้ ซึ่งภาษามลายูแปลว่า ขั้วโลกใต้ ส่วนคำว่าลันตามาจากอะไรยังไม่ได้ข้อยุติ บางท่านว่ามาจากคำ "ลันตัส" แปลว่า ผรา หรือ แผงตากกุ้งปลาตามชายหาด คำ LANTAS ในภาษามลายูแปลว่า ตรงออกไปหรือพุ่งออกไป ซึ่งชาวเลเรียก ปูเลาส่าตั๊ก แปลว่า เกาะที่มีภูเขาเป็นแนวยาว นอกจากนี้มอแกนยังเรียกชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยที่เกาะลันตาว่า ORANG LANTA คำว่า LONTA ในภาษามลายูแปลว่า คนจนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบอยู่เสมอ (หน้า 29) อย่างไรก็ดี ได้มีผู้ศึกษาประวัติการตั้งถิ่นฐานของชาวเลว่ามีการตั้งถิ่นฐานแบบไม่ถาวร กล่าวคือในอดีตชาวเลมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามชายฝั่งทะเล และอพยพย้ายถิ่นไปอาศัยบริเวณเกาะต่าง ๆ ตามฤดูกาล เช่น เกาะลันตา ดังปรากฏหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชาวเลที่บ้านทุ่งหยีเพ็ง บ้านทุ่งส้าน ทุ่งโต๊ะเขียว และเจ๊ะหลี รวมถึงบ้านบ่อแหน ซึ่งเล่ากันว่าเคยมีชาวเลอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เนื่องจากพบร่องรอยของสุสานเก่าแก่ในบริเวณดังกล่าว และมีศาลโต๊ะบาหลิวซึ่งเป็นศาลบรรพบุรุษที่ชาวเลให้ความเคารพสักการะ ตลาดศรีรายาก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ชาวเลอาศัยอยู่ ก่อนที่จะมีการตั้งถิ่นฐานแบบถาวรที่บ้านหัวแหลมกลาง แต่ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและประชากรกับชาวเลอีกหลายครั้ง อันเนื่องมาจากปัจจัยทางด้านการเมือง นโยบายของภาครัฐ รวมถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างภาครัฐกับชาวเล เป็นต้นว่าในปีพ.ศ.2452 เมื่อไทยต้องยกกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปริสให้แก่อังกฤษ ชาวเลจากเกาะลันตาและเกาะสิเหร่จึงต้องย้ายไปตั้งถิ่นฐานบริเวณเกาะอาดัง และในปีพ.ศ.2480 เมื่อทางรัฐมีนโยบายให้เด็กชาวเลเข้ารับการศึกษา รวมถึงนโยบายการปฏิรูปทางวัฒนธรรมสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามในปีพ.ศ.2485 ตลอดจนกระทั่งการอพยพเพื่อหนีการคัดเลือกเข้ารับราชการทหารและตำรวจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น อย่างไรก็ดีภายหลังที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินีนาถทรงจัดตั้งโรงเรียนสำหรับชาวเลขึ้นในปีพ.ศ.2512 ชาวเลจึงเริ่มทยอยกลับมาอยู่บริเวณอ่าวสังกาอู้ อ่าวมะเล และอ่าวคลองปอ จนกระทั่งในปีพ.ศ.2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสให้พระราชทานกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และพระราชทานอนุญาตให้ชาวเลได้รับการยกเว้นจากการเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ ชาวเลจึงอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 35-37)

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานของชาวเลมักตั้งถิ่นฐานเป็นการชั่วคราวตามชายฝั่งทะเลเฉพาะช่วงฤดูมรสุม และย้ายถิ่นไปอาศัยชั่วคราวบริเวณหมู่เกาะต่าง ๆ ตามฤดูกาล และหวนกลับมาถิ่นเดิมในฤดูกาลเดียวกันของทุกปี ชาวเลไม่ชอบอยู่ปะปนกับชนต่างกลุ่มต่างวัฒนธรรม บางครั้งต้องอพยพย้ายถิ่นเนื่องจากถูกคนต่างกลุ่มรุกราน (หน้า 35) ส่วนระบบการตั้งถิ่นฐานของชาวเลเป็นแบบ Matrilocal โดยฝ่ายชายจะเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงภายหลังการแต่งงาน และมีการสืบทอดอำนาจทางฝ่ายแม่ แต่จะมีการนับญาติทั้งสองฝ่าย (Bilateralkinship) (หน้า 62) สภาพบ้านเรือนของชาวเลที่บ้านสังกาอู้ส่วนใหญ่จะสร้างติด ๆ กัน และเรียงเป็นแถวตามแนวชายทะเล โดยหันหน้าบ้านเข้าหาฝั่ง ส่วนหลังบ้านสร้างยื่นลงไปในทะเล บางบ้านมีทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน ไม่มีรั้วกั้นแสดงขอบเขตของแต่ละบ้าน ส่วนบ้านที่สร้างถัดจากฝั่งขึ้นมาบนเนินดิน จะสร้างบ้านหันหน้าเข้าหาทะเล และยกใต้ถุนสูงประมาณ 1 เมตร เพื่อเลี้ยงเป็ดไก่ มีศาลบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน คือ ศาลโต๊ะจันทร์ โดยชาวเลมีความเชื่อว่าศาลแห่งนี้จะคอยปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีศาลาอเนกประสงค์เป็นศูนย์กลางในการแจ้งข่าวสารระหว่างราชการกับชาวเลในหมู่บ้าน (หน้า 42-43)

Demography

บ้านสังกาอู้มีประชากร 81 ครัวเรือน 93 ครอบครัว รวมประชากรทั้งสิ้น 358 คน แยกออกเป็นชาย 158 คน หญิง 200 คน ทั้งหมดเป็นชาวเล มีชาวจีนเพียง 1 คน ที่แต่งงานกับชาวเลในหมู่บ้าน (หน้า 42) สามารถจำแนกประชากรตามช่วงอายุต่าง ๆ ดังตารางแสดงจำนวนประชากรแยกตามเพศ-วัย และช่วงอายุ (หน้า 46) และตารางแสดงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ให้ข่าวสำคัญ ระบุชื่อ เพศ อายุ จำนวนบุตร การศึกษา อาชีพ (หน้า 21)

Economy

ชุมชนชาวเลมีการจัดระเบียบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ (Dual Economy) ที่ผสมผสานกันระหว่างเศรษฐกิจแบบยังชีพกับเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ โดยยังคงเน้นการผลิตเพื่อการบริโภคภายในครอบครัว ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันบนพื้นฐานความสัมพันธ์ทางเครือญาติ (หน้า 109) การทำมาหาเลี้ยงชีพยังคงผูกพันกับการจับสัตว์ทะเล ทั้งในด้านการจับเพื่อบริโภคและเพื่อขาย โดยในอดีตจะเป็นการออกเรือเพื่อยังชีพ แต่มีการแลกเปลี่ยนในรูปของสิ่งของคล้ายระบบ barter system และในการออกทะเลแต่ละครั้งจะออกไปเป็นกลุ่มบ้านใกล้เรือนเคียง หรือในกลุ่มญาติ ส่วนการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ได้เน้นการประกอบอาชีพเพื่อการค้า มีการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา (Money Economic) หวังผลกำไร และคิดถึงเหตุผลในเชิงเศรษฐศาสตร์ (หน้า 84,110) ปัจจุบันชาวเลประกอบอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น โดยอาชีพประมงถือเป็นอาชีพหลักและเป็นการทำประมงชายฝั่ง แต่ในวันที่ไม่ได้ออกทะเลก็จะไปรับจ้าง เช่น ทำงานในรีสอร์ท แบกหาม ตัดหญ้าที่เทศบาล และก่อสร้าง หรือทำการเกษตรกรรม ได้แก่ สวนมะพร้าว มะม่วงหินพานต์ และสะตอ (หน้า 49-50) สำหรับการออกหาปลาของสังคมชาวเลบ้านสังกาอู้นั้นได้มีการแบ่งงานกันระหว่างหญิงและชาย โดยผู้ชายมักจะทำงานหนัก ๆ ที่ต้องใช้กำลัง เช่น กรรเชียงเรือ ตกปลา ส่วนผู้หญิงจะนั่งหัวเรือคอยบอกทิศทาง และทำหน้าที่ติดต่อแลกเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นกับบุคคลภายนอก (หน้า 85) อย่างไรก็ดีฝ่ายชายยังคงเป็นหัวหน้าครอบครัว ทำหน้าที่หารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานบ้านต่าง ๆ (หน้า 62)

Social Organization

สังคมชาวเลมีการแบ่งงานกันระหว่างชายหญิงในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน โดยผู้ชายจะต้องออกทะเล ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่หุงหาอาหาร ซักผ้าและประกอบกิจวัตรประจำวัน เมื่อสามีไปหาปลากลับมาในตอนสาย คนในครอบครัวจะมาช่วยกันปลดหอย กุ้ง ปลา ฯลฯ ออกจากอวนเพื่อนำไปจำหน่าย ยามว่างในเวลาบ่ายจะเป็นเวลาพักผ่อนของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะนำอุปกรณ์ประมงมาซ่อมแซม (หน้า 47-48) ครอบครัวของชาวเลมักมีการแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อย โดยผู้ชายจะแต่งงานเมื่ออายุ 20-23 ปี ส่วนผู้หญิงจะแต่งงานเมื่ออายุ 16-17 ปี ซึ่งส่วนมากจะเป็นการแต่งงานกันเองระหว่างคนในหมู่บ้านสังกาอู้ อย่างไรก็ดีเมื่อมีการพบปะกับบุคคลภายนอกทำให้เกิดการผสมผสานกลมกลืนกันทางวัฒนธรรม เช่น ได้มีผู้หญิงชาวเลในหมู่บ้านคนหนึ่งไปแต่งงานกับคนจีนและย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ (หน้า 61) อย่างไรก็ดีครอบครัวของชาวเลส่วนใหญ่ยังมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติแบบครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) โดยภายหลังจากแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิง แต่ไม่นานก็จะออกไปสร้างครอบครัวของตนเอง นอกจากนี้ยังมีครอบครัวขยาย (Extened Family) ซึ่งมักเป็นครอบครัวของลูกคนสุดท้อง (หน้า 60,64) มีผู้ศึกษาถึงการสืบทอดมรดกทางทรัพย์สินของชาวเล พบว่าในอดีตชาวเลยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน มีเพียงทรัพย์สินที่เป็นอุปกรณ์ในการทำมาหากินเท่านั้น จึงแทบจะไม่มีการสืบทอดทางทรัพย์สินเลย จนกระทั่งหลังพ.ศ.2518 เป็นต้นมาเมื่อชาวเลได้รับพระราชทานที่ดินและมีเอกสารในการถือครองที่ดินอย่างเป็นทางการ จึงได้มีการมอบมรดกที่เป็นเรือนพักอาศัยให้กับลูกผู้หญิงที่เลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ในกรณีที่ไม่มีลูกผู้หญิง ลูกผู้ชายจะเลี้ยงดูพ่อแม่และเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในเรือนพักอาศัย ต่อมาได้มีกฏเกณฑ์ให้ลูกชายคนสุดท้ายเป็นผู้ได้รับมรดก แต่บางครอบครัวก็ให้ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ในช่วงที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ และเมื่อมีการแยกครอบครัวกันออกไปแล้ว ครอบครัวใหม่ก็จะกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มเครือญาติ และมีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน อย่างไรก็ดีปัจจุบันการแบ่งมรดกทางทรัพย์สินไม่ได้มีความเข้มงวดเหมือนในอดีต ลูก ๆ จะได้รับการแบ่งทรัพย์สินในสัดส่วน เท่า ๆ กัน โดยได้รับการพิจารณาตามความเหมาะสมจากพ่อแม่ หรือเป็นการตกลงกันภายในครอบครัว (หน้า 65-66) ด้านความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกชุมชนนั้นไม่ปรากฏมากนักกับสังคมชาวเลในอดีต เนื่องจากการคมนาคมยังไม่เอื้ออำนวย ทัศนคติของชาวเลต่อบุคคลภายนอกจึงเป็นไปในด้านลบ และมีแต่ความหวาดกลัว ไม่ไว้วางใจ ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนเข้า หมู่บ้านจึงมีความสะดวกสบายในการคมนาคมมากขึ้น ก่อให้เกิดการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างหมู่บ้านชาวเลกับชุมชนภายนอก และเกิดการหลั่งไหลทางวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้ชาวเลมีค่านิยมทางวัตถุมากขึ้น หลายครอบครัวมีมอเตอร์ไซด์ใช้และไปจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดนัดหน้าเทศบาลกันทุกวันจันทร์ บางครอบครัวก็นำผลิตผลจากทะเลไปวางจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีการติดต่อกับบุคคลภายนอกที่เดินทางเข้ามาค้าขายในหมู่บ้าน เช่น แม่ค้าขายผลไม้ พ่อค้าผ้าและข้าวของเครื่องใช้ชาวอินเดีย จนกระทั่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยและยอมรับซึ่งกันและกัน (หน้า 65-68)

Political Organization

ในอดีตชุมชนชาวเลมีระบบเชื่อฟังโต๊ะหมอในชุมชน ซึ่งมีหน้าที่รับเรื่องราวปัญหาต่าง ๆ ภายในชุมชน (หน้า 115) ต่อมาเมื่อรับระบบการสาธารณะสุขที่ทันสมัยจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโครงสร้างการปกครอง ทำให้ชาวเลมีความสัมพันธ์กับทางราชการมากขึ้น ภายในหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านที่เป็นชาวเลซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการให้เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน โดยเป็นผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง 2 คน ผู้ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย และอบต.อีก 2 คน เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งจากคนภายในหมู่บ้าน ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการติดต่อกับทางราชการ และประสานงานเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ในหมู่บ้านแทนโต๊ะหมอ เช่น การแจ้งเกิด การแจ้งตาย การทำบัตรประชาชน และการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่สถานีอนามัย อย่างไรก็ดีการติดต่อระหว่างชาวเลในหมู่บ้านกับหน่วยงานราชการส่วนมากจะหยุดอยู่ที่ระดับอำเภอ เนื่องจากยังขาดการลงพื้นที่จากผู้ว่าราชการจังหวัดและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ภายในชุมชนยังมีโรงเรียนซึ่งถือเป็นหน่วยงานราชการที่ชาวเลเข้ามาใช้บริการมากที่สุด โดยผ่านการศึกษาภาคบังคับ (หน้า 69-70)

Belief System

ชาวเลบ้านสังกาอู้นับถือผีบรรพบุรุษและสิ่งเหนือธรรมชาติร่วมกับการนับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ได้เข้าวัดทำบุญ และผู้ชายก็ไม่ต้องบวชในพุทธศาสนา แต่จะรับธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่างจากชาวพุทธ เช่น บางคนห้อยพระเครื่อง บางบ้านมีหิ้งพระพุทธรูป และมีศาลบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน คือ ศาลโต๊ะจันทร์ ซึ่งจะมีพิธีบูชาศาลเพื่อบอกกล่าวให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองคนในหมู่บ้าน พิธีนี้จะจัดขึ้นทุกปีในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 7 (หน้า 73-74) นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต เช่น พิธีบูชาแม่ย่านางเรือ จัดขึ้นเพื่อความเป็นศิริมงคลต่อการทำมาหากิน จะจัดวันไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นวันที่น้ำขึ้น (หน้า 75) พิธีลอยเรือจะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในวันขึ้น 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ ของเดือน 6 และเดือน 11 (ประมาณเดือนพฤษภาคมและเดือนตุลาคม) เรือที่นำไปลอยเรียกว่าเรือปาจั๊ก ทั้งนี้เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ผีร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อส่งวิญญาณบรรพบุรุษไปสู่แดนสถิต คือ ฆูนุงฌึรัย และเพื่อส่งวิญญาณสัตว์ที่เคยฆ่าเป็นอาหารคืนให้เจ้าของเดิม โดยจะมีพิธีบอกกล่าวศาลโต๊ะกรามาต ที่บ้านหัวแหลม เพื่อเชิญบรรพบุรุษให้มาร่วมในพิธีด้วย (หน้า 76,119)

Education and Socialization

การศึกษาภาคบังคับในโรงเรียนรัฐบาลของชาวเลนั้นเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 เมื่อรัฐบาลมีนโยบายให้เด็ก ๆ ชาวเลได้เรียนหนังสือร่วมกับเด็กทั่วไป แต่ก็ต้องประสบความล้มเหลว เนื่องจากชาวเลยังมีความหวาดระแวงคนภายนอกชุมชนอยู่มาก ต่อมา ในปีพ.ศ.2481 ทางอำเภอจึงจัดสถานที่ให้เด็กชาวเลได้เรียนหนังสือร่วมกันในสวนของชาวบ้าน และมีครูมุสลิมเป็นผู้สอนเพียงคนเดียว ซึ่งต่อมาได้ประสบปัญหาเรื่องห้องเรียนและที่ดินสร้างอาคาร จึงต้องย้ายมาสร้างอาคารบริเวณสนามกีฬาประจำหมู่บ้าน แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนก็ต้องปิดลงอีกครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2513 ภายหลังจากที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จฯเกาะลันตา ทรงมีพระราชดำรัสให้ทางอำเภอสร้างโรงเรียนสำหรับชาวเลโดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้รับงบประมาณแผ่นดินเป็นการอุดหนุนเรื่อยมา ปัจจุบัน (พ.ศ. 2544) โรงเรียนบ้านสังกาอู้มีการขยายชั้นเรียนเพื่อรองรับเด็กชาวเลที่เพิ่มมากขึ้น และเปิดสอนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยสามารถจำแนกจำนวนนักเรียนตามระดับชั้นได้ดังนี้ ชั้นอนุบาล 1 จำนวน 7 คน อนุบาล 2 จำนวน 7 คน ประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 คน ประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 คน ประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 คน ประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 คน ประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 4 คน และประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 3 คน (หน้า 51-53) เมื่อภาครัฐเข้มงวดกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษามากขึ้น เด็กชาวเลจึงได้รับการศึกษาทุกคนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ที่กำหนด โดยหลักสูตรที่ใช้สอนในโรงเรียนบ้านสังกาอู้เป็นหลักสูตรของส.ป.ช.มีการสอดแทรกความรู้ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สอนให้เด็กอ่านฉลากยา สอนให้อ่านตาชั่ง มีการอบรมจริยธรรม และสอนให้รู้จักวัฒนธรรมไทย อย่างไรก็ตามชาวเลหมู่บ้านสังกาอู้ยังต้องประสบปัญหาอีกหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบการศึกษา ซึ่งทำให้เด็ก ๆ ชาวเลขาดโอกาสทางการศึกษา คือ เด็กชาวเลส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกว่าพื้นฐานความรู้ของตนด้อยกว่าเด็กกลุ่มอื่น และไม่มั่นใจว่าจะปรับตัวให้ทันเพื่อน ๆ ได้ รวมถึงปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย เนื่องจากเด็กชาวเลยังไม่คุ้นเคยกับการออกไปอยู่ต่างถิ่นที่ไม่ใช่บ้านของตน ปัญหาเรื่องเงินทุน เนื่องจากอาชีพประมงมีรายได้ไม่มากนัก อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับฤดูกาลจึงไม่ค่อยมีเงินสะสม และประการสำคัญคือ ความต้องการแรงงานภายในครอบครัว โดยครอบครัวของชาวเลมักจะส่งลูกเข้ารับการศึกษาแค่ภาคบังคับถึงชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 จากนั้นเด็กชาวเลจะต้องไปเป็นแรงงานในครอบครัว (หน้า 54-56) ส่วนการศึกษานอกระบบนั้นจะเริ่มเมื่อเด็ก ๆ ชาวเลอายุประมาณ 5-6 ขวบ โดยผู้ชายจะติดตามพ่อหรือพี่ชายออกทะเล ส่วนเด็กผู้หญิงจะเริ่มช่วยแม่หุงข้าวและเลี้ยงน้อง และในการถ่ายทอดความรู้ในการออกหาปลาแต่ละครั้งนั้นจะต้องอาศัยผู้ที่มีประสบการณ์ ซึ่งก็คือผู้ใหญ่หรือหัวหน้าครอบครัว บรรดาลูกหลานที่ได้ร่วมออกหาปลาด้วยจะเคารพเชื่อฟัง และจดจำประสบการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการสอนให้รู้จักสภาพภูมิอากาศและเครื่องมือที่ใช้จับปลา (หน้า 81) นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดความรู้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของโต๊ะหมอ ซึ่งจะต้องได้รับการคัดเลือกจากโต๊ะหมอคนก่อนแล้วว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจดจำคาถาที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ สมุนไพรที่ใช้รักษาโรค และได้รับการถ่ายทอดหรือเรียนรู้จากโต๊ะหมอคนก่อน (หน้า 58)

Health and Medicine

ในอดีตการรักษาพยาบาลของชาวเลมีโต๊ะหมอประจำหมู่บ้านทำหน้าที่รักษา เนื่องจากชาวเลมีความเชื่อว่าการเจ็บป่วยไม่สบายนั้นเกิดจาก "ผีกิน" หรือเกิดจากการทำให้ผีบรรพบุรุษไม่พอใจ จึงเป็นหน้าที่ของโต๊ะหมอที่จะต้องรักษาด้วยการขับไล่หรือเชิญผีให้ออกไป โดยวิธีร่ายเวทมนต์ เป่าคาถาอาคม หรือดูเทียนเพื่อดูอาการของโรค หรือติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ตามที่ชาวเลเคารพนับถือ เพื่อหาสาเหตุ แต่ภายหลังจากที่มีโรงพยาบาลทำให้ชาวเลใช้บริการกับโรงพยาบาลมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลแบบโบราณที่เรียกว่า "ทำยา" ลดลง การคลอดบุตรเองแบบในอดีตหายไป และรู้จักวางแผนครอบครัว โดยในหมู่บ้านจะมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) คอยให้คำแนะนำแก่ชาวบ้านในการรักษาโรคเบื้องต้น ทำหน้าที่ประสานงานกับสาธารณสุขอำเภอและโรงพยาบาล อย่างไรก็ดีชาวเลยังคงรับการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิมจากโต๊ะหมอและจากโรงพยาบาลควบคู่กัน (หน้า 57-59,114)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ลักษณะบ้านเรือนของชาวเลเป็นบ้านชั้นเดียว ฝาบ้านตีด้วยไม้หรือฝาไม้ไผ่ขัดสานเป็นลวดลาย หลังคาบ้านมุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง ขนาดของบ้านกว้างประมาณ 3X4 เมตร บ้านของชาวเลเกือบทุกหลังจะมีนอกชานยื่นออกมาหน้าบ้านเพื่อใช้เป็นที่นั่งเล่น (หน้า 42-43) อุปกรณ์ที่ใช้ในการหาปลาตามชายฝั่งทะเลของชาวเลในอดีต ได้แก่ เรือขนาดเล็กที่ทำขึ้นเองอย่างง่าย ๆ จากไม้หงอนไก่ เรียกว่า ปราฮู้บราไว้ (เรือกรรเชียง) (หน้า 81) และไซ ซึ่งทำขึ้นเองจากวัสดุที่หาได้ภายในท้องถิ่น เช่น หวาย เถาวัลย์ (หน้า 84) การแต่งกายของชาวเลไม่นิยมสวมเสื้อ ผู้หญิงส่วนใหญ่นุ่งผ้าปาเต๊ะและกระโจมอก ส่วนผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยวโดยใช้ผ้าปาเต๊ะหรือผ้าขาวม้า แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวเลได้เปลี่ยนไปตามสมัยนิยม (หน้า 73-74)

Folklore

มีตำนานเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ที่แฝงความเชื่อว่า เดิมชาวเลกลุ่มมอแกนและอูรักลาโว้ย รวมทั้งมนุษย์เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มีบรรพบุรุษร่วมกัน ตำนานกล่าวว่า นานมาแล้วได้เกิดไฟล้างโลก เหลือไว้แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อผู้หญิงคนนั้นหันสะโพกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้ให้กำเนิดชาวมาเลย์ หันสะโพกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้กำเนิดออรังลอนตา หรือออรังกาอุต (อูรักลาโว้ย) และเมื่อหันไปทางตะวันออกเฉียงใต้ให้กำเนิดมอแกน ต่อมาผู้หญิงคนนั้นได้ขอร้องให้ยักษ์ใจดีตนหนึ่งสร้างเกาะและสร้างโลกใหม่ให้มนุษย์อาศัยจนทุกวันนี้ (หน้า 25) นอกจากนี้ยังมีอีกตำนานที่มีเนื้อความว่าชาวเลกลุ่มมอแกนเป็นบรรพบุรุษของชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย ตำนานกล่าวว่ามอแกนบางกลุ่มถูกชาวมาเลย์จับตัวไป และได้แต่งงานกับชาวมาเลย์ ชาวจีนและนิกริโต และกลายเป็นออรังลาอุตหรือออรังลอนตา ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวเลกลุ่มมอแกนใช้เรียกชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยที่อาศัยบนเกาะลันตา จ.กระบี่ (หน้า 27) รวมถึงตำนานเกี่ยวกับที่มาของชาวเลอูรักลาโว้ยที่กล่าวว่าพระเจ้าได้ส่งนะบีโน๊ะมาชักชวนให้บรรพบุรุษของชาวเลนับถือพระเจ้า แต่ถูกปฏิเสธ จึงสาปแช่งให้พวกชาวเลต้องเคลื่อนย้ายลงมาชายฝั่ง เชิงเขา "ฆูนุงฌึรัย" บ้างก็เข้าป่ากลายเป็นคนป่า บ้างก็กลายเป็นลิง บ้างก็เป็นกระรอก บ้างก็เป็นอูรักลาโว้ย และชาวเลกลุ่มแรกบางส่วนได้ตั้งพื้นฐานในป่าเคดาห์ บางส่วนตั้งถิ่นฐานที่เกาะลันตา จ.กระบี่ (หน้า 28)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในประเทศไทยนอกจากคำว่า "ชาวเล" ซึ่งเป็นคำเรียกชื่อของคนกลุ่มน้อยในปักษ์ใต้แล้ว ยังมีคำอื่น ๆ ที่ใช้เรียกชนกลุ่มนี้ เช่น "ชาวน้ำ" เป็นคำที่ชนกลุ่มนี้ถือว่าไม่สุภาพ และดูถูกเหยียบหยามพวกเขา โดยเขาให้เหตุผลว่า คนเราเกิดมาจากน้ำอสุจิ ซึ่งถือเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นคำว่า "ชาวน้ำ" จึงถือเป็นคำต่ำ เป็นคำที่ชาวเลรังเกียจมาก และคำว่า "คนไทยใหม่" ซึ่งเป็นคำที่ทางราชการกำหนดให้เรียก เพื่อต้องการลดช่องว่างด้านความรู้สึกว่าชาวเลได้รับการยกย่องให้มีความเสมอภาคเท่าเทียมกับคนไทยส่วนใหญ่ (หน้า 3) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวของอำนาจรัฐภายหลังจากที่รัฐมีนโยบายให้ชาวเลตั้งถิ่นฐานถาวร มีบัตรประชาชน และเรียนหนังสือในโรงเรียน ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ โดยรัฐไทยที่ใช้มุมมองของความกรุณาในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า (Authoritativeness/Paternity) ต่อกลุ่มที่ด้อยกว่า หรือกลุ่มที่อยู่ใต้การปกครอง จึงมีการเรียกขาน "ชาวเล" ว่า "ไทยใหม่" ทำให้ชาวเลเกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยมากขึ้น (หน้า 113-114) อย่างไรก็ดีได้มีการแสดงให้เห็นว่าอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวเลที่บ้านสังกาอู้มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อครั้งอดีต อาจเนื่องมาจากการแพร่กระจายของกระแสโลกสมัยใหม่ ดังจะเห็นได้จากการที่เขายอมรับในการเรียกชื่อ "ชาวเล" (ชาวเลที่อื่นมักไม่พอใจเมื่อถูกเรียกว่าชาวเล จะพอใจกับคำว่า"ไทยใหม่") แต่ชาวเลที่บ้านสังกาอู้ก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาวเล อาจเป็นเพราะวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับทะเลทำให้พวกเขายอมรับความเป็นชาวประมงที่ยึดถืออาชีพนี้เป็นหลัก และถือว่าการเรียกตัวตนพวกเขาจากลักษณะที่เห็นนั้นเป็นเรื่องปกติที่สามารถเรียกได้ (หน้า 119)

Social Cultural and Identity Change

เมื่อมีการตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้านทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเกิดการจัดระเบียบเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ที่เข้ามาผสมผสานกับระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมหลายประการ เช่น เกิดการจ้างแรงงานทั่วไปเพื่อทำงานในตลาด เทศบาล และรีสอร์ท (หน้า 92-93) ผู้หญิงต้องออกทะเลกับสามี เนื่องจากมีผู้คนมาติดต่อซื้ออาหารทะเลมากขึ้น จึงต้องปรับปรุงกรรมวิธีในการทำประมงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกหาปลา จากอดีตที่อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำการประมงยังมีไม่มากนัก และสามารถหาได้ในท้องถิ่น แต่ปัจจุบันการหาปลาต้องแข่งขันกับเวลา เนื่องจากชาวเลต้องใช้เงินทุนจากเถ้าแก่เพื่อลงทุนซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำประมง และต้องผ่อนชำระโดยการนำปลามาขายให้กับเถ้าแก่คนนั้น ๆ (หน้า 50,87-89) ทำให้ชาวเลเริ่มซึมซับและยอมรับเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มีตลาดเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน จนบางครั้งสิ่งของบางอย่างที่ไม่จำเป็นต่อสังคมในหมู่บ้านก็กลายเป็นสิ่งที่ต้องหามาให้เท่าเทียมกับบ้านอื่น ๆ (หน้า 59,67,100-101) นอกจากนี้การมีกองทุนหมู่บ้านยังทำให้ชาวเลมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น และสูญเสียระบบการพึ่งตนเอง (หน้า 104,115) เมื่อชาวบ้านต้องออกไปทำงานมากขึ้น และต้องรีบออกทะเลเพื่อให้ได้ผลผลิต ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวของชาวเลห่างเหินลงไป ครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น (หน้า 101) ในอดีตเมื่อถึงพิธีลอยเรือชาวเลจะเข้าร่วมกันทุกคน แต่ปัจจุบันระบบความเชื่อในประเพณีดั้งเดิมลดความเข้มข้นลง จะมีชาวบ้านบางกลุ่มที่ไม่ยอมไปร่วมงาน เนื่องจากต้องออกหาปลาเพื่อให้ได้เงินมากกว่า (หน้า 105)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ ตาราง แผนผัง และภาพประกอบในงานวิจัย เช่น แผนที่ หมู่บ้านสังกาอู้ ตารางแสดงข้อมูลของประชากรบ้านสังกาอู้ แผนผังแสดงการนับเครือญาติ ภาพถ่ายสภาพบ้านเรือน วิถีชีวิต กิจกรรม และประเพณีของชาวบ้านสังกาอู้ (หน้า 129-142)

Text Analyst ดวงใจ พิชิตณรงค์ชัย Date of Report 24 ก.ย. 2555
TAG อูรักลาโว้ย, ชาวเล, สังกาอู้, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, ความเชื่อ, พิธีกรรม, ภาษา, กระบี่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง