|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลัวะ,วัฒนธรรม,ภาคเหนือ |
Author |
David Filbeck |
Title |
T'in Culture: An Ethnography of the T’in Tribe of Northern Thailand |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
165 |
Year |
2515 |
Source |
Department of Sociology and Anthropology, Faculty of Social Sciences, Chiang Mai University, 1972 |
Abstract |
เอกสารมีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณีและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของถิ่น ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังที่มีความเจริญมากขึ้น |
|
Focus |
วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อเอกลักษณ์ ของถิ่น ที่มีถิ่นฐานใน อ.ปัว จ.น่าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
คำว่า ถิ่น (Tin) เป็นคำไทยที่ปรากฏในเอกสารของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ และเอกสารอื่นๆอีกหลายฉบับ อย่างไรก็ตาม ถิ่นกลับไม่เรียกตนเองว่า ถิ่น และมีชนบางกลุ่มเช่น ไทยยวนที่อาศัยอยู่ใน จ.น่านเรียก ถิ่น ว่า ลัวะ (lua หรือ lwa) สำหรับ ถิ่นที่ผู้เขียนทำการศึกษานั้นเรียกตนเองว่า Maal และ Pray หรือ Prai และ/หรือ Lua (หน้า 1-8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้จัดอยู่ในตระกูล มอญ-เขมร แต่ก็มีนักวิชาการที่เชื่อว่าภาษาเป็นภาษาตระกูล ออสโตรนีเชียน เนื่องจากไม่มีอิทธิพลของ มอญ-เขมร ภาษาถิ่นมีความเกี่ยวข้องกับภาษาสองภาษา คือ Mal และ Pray ซึ่งจัดเป็นสาขาของภาษาถิ่น สำหรับในไทยนั้นภาษา Mal ที่ใช้ในหมู่บ้าน Mal ที่ อ.ปัว จ.น่าน ภาษาถิ่นในไทยเกิดจากการผสมเติมคำจากภาษาอื่นมากกว่าหนึ่งภาษา โดยเฉพาะภาษาเหนือ (คำเมือง) ที่ใช้กันแพร่หลายในแถบนั้น และด้วยการติดต่อกับชนเผ่าต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะม้ง ทำให้ถิ่นบางกลุ่มใช้ภาษาพูดถึงสามภาษา คือ ภาษาถิ่น ภาษาเหนือ และภาษาม้ง อย่างไรก็ตาม เด็กๆ มักจะเริ่มเรียนภาษาเหนือก่อน จากนั้นจึงเริ่มเรียนภาษาถิ่น ทั้งนี้เพื่อการติดต่อสื่อสารกับคนไทยเหนือนั่นเอง (หน้า 8-13) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่าง ค.ศ. 1962 - 1967 (หน้า iv) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
บ้านของถิ่น มีด้วยกันสองประเภทคือ 1. บ้านถิ่น เป็นบ้านที่ปลูกตามลักษณะความลาดชันของแนวเขา ปลายสุดของบ้านสร้างเป็นห้อง ขนาดของบ้านขึ้นอยู่กับจำนวนของห้องที่ต้องการใช้งาน พื้นและผนังสร้างจากไม้ไผ่ หรือไม้ หรือทั้งสองอย่าง หลังคายาวลงถึงพื้นดิน ความสูงของบ้านราว 6 ฟุต ภายในแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนสำหรับทำครัว และส่วนที่เป็นห้องนอน 2. คือ บ้านแบบคนไทยเหนือ (หน้า [2-12], [2-13]) |
|
Demography |
สถิติจากศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รายงานว่า จำนวนประชากรของถิ่น ใน อ.ปัว จ.น่าน มีจำนวน 23,379 คน (ค.ศ. 1969) (หน้า 1) |
|
Economy |
อาชีพหลัก ของถิ่น คือ การทำนาข้าว โดยเฉพาะข้าวเหนียว เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ในแถบเทือกเขาที่มีความสูงกว่า 3,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล แต่อากาศในบริเวณดังกล่าวไม่เหมาะกับการปลูกฝิ่นเหมือนชาวเขาเผ่าอื่นๆ (หน้า [2-7]) การเพาะปลูกข้าวในรอบปีเริ่มต้นในเดือนธันวาคมที่ข้าวเจริญเติบโตจนเกี่ยวได้ แล้วปล่อยให้นาแห้ง จากนั่นจึงเผาเพื่อเตรียมปลูกข้าวรอบต่อไปในเดือนพฤษภาคม พันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกคือ Khaw daw เนื่องจากโตเร็วภายในระยะเวลา 90 วัน รองลงมาคือพันธุ์ Khaw pii สำหรับอุปกรณ์หลักที่ใช้ทำนา คือ ขวานหลากหลายขนาด จัดเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้สำหรับงานหัตถกรรม เช่น เข็มไม้ สำหรับทำเครื่องจักสาน และแพ นอกจากการปลูกข้าวแล้วถิ่นยังนิยม จับปลา เลี้ยงไก่ไว้เป็นอาหารและเลี้ยงหมูเป็นสินค้า(หน้า [2-9]) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของถิ่นเป็นครอบครัวแบบขยาย โดยแต่ละครอบครัวจะให้ความสำคัญแก่เด็กและผู้อาวุโสซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว (หน้า [5-1]-[5-2]) ในสังคมของถิ่นให้ความสำคัญกับผู้อาวุโส โดยจะได้รับความเคารพจากผู้คนในหมู่บ้าน และจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำในกิจกรรมต่างๆ เช่น การแต่งงาน งานศพ การประชุม เป็นต้น สถานะทางสังคมมีความแตกต่างกันตามเพศและวัย โดยชายฉกรรจ์จะรับหน้าที่ทำงานหนัก ส่วนฝ่ายหญิงจะทำงานที่เบากว่า เช่น การทำความสะอาดบ้าน และโดยมากผู้อาวุโสมักจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า[2-14]-[2-16]) พิธีการแต่งงานของถิ่นจัดว่ามีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง กล่าวคือ จนกว่าจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวจะไม่มีการฉลอง เมื่อมีการยอมรับฝ่ายชายจะย้ายเข้าบ้านฝ่ายหญิงและอยู่โดยไม่ได้เข้าหอเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ เพื่อให้ครอบครัวฝ่ายหญิงพิจารณาว่ามีพฤติกรรมสมควรแก่การแต่งงานหรือไม่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้จึงจะมีพิธีแต่งงาน (หน้า [6-7] - [6-8]) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านของถิ่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย โดยที่ระบบการปกครองภายในของหมู่บ้านอาศัยหน้าที่ทั่วไปดังต่อไปนี้ 1. การจัดการของสาธารณะ เป็นการควบคุมเกี่ยวกับ ระดับพฤติกรรมและการแสดงออกของแต่ละครัวเรือน 2. การควบคุมโดยสังคม 3. การพิจารณา ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การนำของหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นคนกลางที่เชื่อมโยงระหว่างถิ่นกับหน่วยงานของรัฐบาลไทย เช่นมีหน้าที่เก็บภาษี รายงานความเคลื่อนไหวทางกายภาพ (จำนวนประชากร) ให้แก่ที่ว่าการอำเภอ รับนโยบายจากรัฐบาลมาสู่สมาชิกในหมู่บ้าน เป็นต้น (หน้า [4-2] - [4-6]) |
|
Belief System |
ระบบความเชื่อของถิ่น คือ การให้ความเคารพความสมดุลระหว่างธรรมชาติและสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เนื่องจากธรรมชาติคือ วิถีทางแห่งชีวิต และเชื่อว่ามนุษย์และโลกของวิญญาณมีความเชื่อมโยงกันอยู่ สิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมคือสิ่งที่เกิดจากวิญญาณและเรื่องเหนือธรรมขาติ (หน้า [3-1] - [3-2]) |
|
Education and Socialization |
ต้น ปี ค.ศ. 1960 ทางรัฐบาลไทยจัดตั้งโรงเรียนปฐมศึกษาขนาดเล็กขึ้นใน อ.ปัว จ.น่าน (หน้า [8-29]) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในส่วนของงานหัตถกรรมของถิ่น แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ 1. ประเภทของสถาปัตยกรรม นัน่คือ บ้านแบบถิ่น (กล่าวถึงในหัวข้อที่ 15) 2. วรรณกรรมต่างๆที่เป็นเรื่องเล่า หรือที่ผู้เขียนเรียกว่านิยายกว่า 48 เรื่อง (กล่าวถึงในหัวข้อที่ 25) |
|
Folklore |
ผู้เขียนกล่าวว่ามีเรื่องเล่าหรือตำนานเกี่ยวกับถิ่นมากมายกว่า 48 เรื่อง ซึ่งผู้เขียนเองได้แบ่งประเภทไว้ดังต่อไปนี้ 1.เรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีพิธีกรรมของถิ่นมีเรื่องราวกว่า 29 เรื่อง 2.เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวรรณคดีของถิ่น 13 เรื่อง และ3.เรื่องราวที่ผู้เขียนเรียกว่า "นิยาย" อีก 5 เรื่อง (หน้า [7-3] - [7-4]) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์กับชนกลุ่มอื่นที่เห็นได้ชัดคือ ความสัมพันธ์กับสังคมไทยทางเหนือ ผลของความสัมพันธ์นั้นแสดงออกมาในทางภาษา ถิ่นจะให้ภาษาเหนือควบคู่กับการใช้ภาษาถิ่น และลักษณะบ้านของถิ่นที่มีสองประเภทคือ แบบถิ่น และแบบไทยเหนือ |
|
Social Cultural and Identity Change |
แน่นอนว่าเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้นวิถีชีวิตของถิ่นย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอกมากขึ้น เช่น การอยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐบาลไทย โดยมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเหมือนสะพานในการเชื่อมโยงการปกครอง ระบบการศึกษาแบบไทยที่ถิ่นได้รับ โดยการจัดตั้งโรงเรียนประถมศึกษาขึ้นเพื่อให้การศึกษาพื้นฐานให้แก่ถิ่น เป็นต้น |
|
Map/Illustration |
1. Mal Kinship Term (หน้า 5-10) |
|
Text Analyst |
ศิริเพ็ญ วรปัสสุ |
Date of Report |
25 ก.ย. 2567 |
TAG |
ลัวะ, วัฒนธรรม, ภาคเหนือ, |
Translator |
- |
|