|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เมี่ยน, ลีซู, ม้ง,ชาวเขา,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การปรับตัว,สังคมเมือง,เชียงใหม่ |
Author |
ทวิช จตุวรพฤกษ์, สมเกียรติ จำลอง, ทรงวิทย์ เชื่อมสกุล |
Title |
จากยอดดอยสู่สลัม : การปรับตัวของชาวเขาในเมืองเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลีซู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
108 |
Year |
2540 |
Source |
เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยชาวเขา |
Abstract |
เนื้อหาในงานศึกษากล่าวถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาสังคมไปสู่สังคมทันสมัย ประวัติศาสตร์การอพยพเคลื่อนย้ายและการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมืองเชียงใหม่ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและแนวทางการปรับตัวของครอบครัวคนเย้า ลีซอกลุ่มหนึ่ง และผู้หญิงม้งที่อพยพเข้ามาประกอบอาชีพในเมืองเชียงใหม่ |
|
Focus |
มุ่งวิเคราะห์ถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในเรื่องการประกอบอาชีพของกลุ่มชาวเขา ที่อพยพจากเขตชายขอบทางภูมิศาสตร์ เข้าสู่ศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ (หน้า 10) โดยเน้นศึกษาเฉพาะกรณีคือ ครอบครัวคนเย้าโดยเลือกศึกษาครอบครัวนายจัน (นามสมมติ) ที่ชุมชนศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ (หน้า 31-32) ลีซอกลุ่มหนึ่งที่ได้ผ่านประสบการณ์และเผชิญปัญหาในการดำรงชีวิต ที่ชุมชนหัวฝาย (หน้า 54) และกลุ่มผู้หญิงม้ง ที่พักอยู่ริมบาทวิถีหน้าร้านค้าแห่งหนึ่งของถนนวิชยานนท์โดยจะหยิบยกเอาประวัติชีวิต และประสบการณ์ของ นางผิง (นามสมมติ) มาเป็นกรณีศึกษา (หน้า 14,79) |
|
Theoretical Issues |
นโยบายการพัฒนาประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อไปสู่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมทันสมัย ส่งผลให้ชุมชนชาวเขาถูกผลักดันให้เข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมขนานใหญ่ ทำให้ชุมชนบนภูเขาถูกครอบงำโดยลัทธิบูชาสินค้า ซึ่งนอกจากจะทำให้ชุมชนชาวเขาสูญเสียพลังทางสังคมและวัฒนธรรมไป (หน้า 101) โดยเริ่มจากการสูญเสียอำนาจในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตและการควบคุมทรัพยากรตามจารีตประเพณี รัฐได้กำหนดมาตรการควบคุมการเข้าถึงและการใช้ทรัพยากรบนที่สูงอย่างเข้มงวด ทำให้สถานที่ตั้งชุมชน และระบบการทำไร่หมุนเวียน กลายเป็นสิ่งต้องห้าม ครัวเรือนชาวเขาไม่อาจเข้าถึงที่ดินด้วยระบบกรรมสิทธิ์ตามจารีตได้อีก การล่มสลายของกิจการด้านการเกษตร ก่อให้เกิดภาวะแตกกระจายของชุมชน เพราะเท่ากับว่าได้สูญเสียงานของท้องถิ่น (หน้า 97-99) พวกเขาจำต้องเปลี่ยนแปลงทั้งวิถีการผลิต วิถีชุมชนและวัฒนธรรมไปอย่างรวดเร็ว จากกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคยตั้งบ้านเรือนอยู่บนที่สูง สามารถทำการผลิตเพื่อบริโภคและใช้แลกเปลี่ยนกับปัจจัยการดำรงชีพที่ผลิตเองไม่ได้เกือบทั้งหมด (หน้า 97) ต้องตัดสินใจเคลื่อนย้ายไปประกอบอาชีพเชิงพาณิชย์ในเมือง ผู้ศึกษามีแนวคิดว่า การปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่แบบเมือง โดยผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนอาชีพ ไม่ได้เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนวิธีการหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเชื่อมหรือสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงหรือได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต และประกอบอาชีพใหม่ในเมือง รวมทั้งเป็นหลักประกันให้กับชีวิต ว่าจะมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ (หน้า 13-14) |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษา 3 ชาติพันธุ์ คือ เย้า ลีซอ และ ม้ง เย้า ในประเทศไทย เรียกตัวเองว่า "เมี่ยน" หรือ "อิวเมี่ยน" มีความหมายว่า "คน" มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน แถบมณฑล หูหนาน นักวิชาการจีนได้แบ่งคนเย้าที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในจีนออกเป็น 4 กลุ่ม คือ เมี่ยน มูนุ ฉาซัน และผิงตี้ ในบรรดา 4 กลุ่ม เมี่ยนเป็นกลุ่มประชากรที่มีมากที่สุด มีการอพยพและมีรัศมีการกระจายตัวออกไปไกลที่สุด (หน้า 28-29) ลีซอ เรียกขานตนเองว่า "ลีซู" คำว่า ลีซู มีความหมายอยู่ 2 นัย ซึ่งมีทั้งด้านบวกและลบ ลีซอบางคนอธิบายว่า ลีซูหมายถึง ผู้ที่มักจะหลบหนีหลังจากประสบความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ส่วนอีกความหมายหนึ่งมีการอธิบายว่า คำว่าลี มาจาก อิ๊หลี่ ซึ่งมีความหมายว่าจารีต ประเพณี และได้นิยามคำว่าลีซู ว่า หมายถึงผู้ที่ยึดมั่นในจารีตประเพณีของตนเองอย่างเหนียวแน่น (หน้า 50) ม้ง ในงานศึกษานี้ ศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้หญิงม้งที่ได้รอนแรมจากถิ่นที่อยู่ เพื่อมาเป็นคนขายผ้าในตรอกเล่าโจ๊ว และ ไนท์บาซ่าร์ (หน้า 79) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เย้า มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน แถบมณฑล หูหนาน นักวิชาการจีนได้แบ่งคนเย้าที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในจีนออกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ เมี่ยน มูนุ ฉาซัน และผิงตี้ ในบรรดา 4 กลุ่ม เมี่ยนเป็นกลุ่มประชากรที่มีมากที่สุด มีการอพยพและมีรัศมีการกระจายตัวออกไปไกลที่สุด เย้าในไทยเป็นกลุ่มเมี่ยนนี้เอง ประวัติการอพยพเคลื่อนย้ายจากถิ่นกำเนิดไปสู่มณฑลต่างๆ ทางทิศใต้ของจีนนับพันปีแล้ว และเมื่อกว่าครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา จึงได้อพยพเข้าสู่เขตเวียดนาม ลาว พม่า และไทย ตามลำดับ จนกระทั่งมีการอพยพไปสู่ทวีปอเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกา และแคนาดา) และยุโรป (ฝรั่งเศส และสวีเดน) หลังสิ้นสุดสงครามอินโดจีน เมื่อประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมา เย้าที่ตั้งถิ่นฐานในเขตปัจจุบัน เกือบทั้งหมดอพยพมาจากลาว เหยาซุ่นอัน นักวิชาการจีนได้ศึกษาประวัติการอพยพของชนเผ่าเย้า และได้สรุปสาเหตุของการอพยพว่ามีอยู่ 3 ประการ คือ การทำไร่เลื่อนลอย การถูกกดขี่จากชนชาติที่มีอำนาจเหนือกว่า และการหลบหนีภัยธรรมชาติและโรคภัยไข้เจ็บ (หน้า 28-29) |
|
Settlement Pattern |
ไม่ได้กล่าวถึงรูปแบบการตั้งถิ่นฐานอย่างชัดเจน กล่าวเพียงว่าการเข้าไปอยู่ในชุมชนแออัดได้สะท้อนถึงปัญหาความไม่มั่งคงของการตั้งถิ่นฐานอย่างเด่นชัด การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนร่วมกันเป็นชุมชนบนภูเขาแม้ว่าจะมีความจำเป็นในการเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ แต่ไม่ได้แสดงถึงความไม่มั่นคงในการตั้งถิ่นฐานหรือหลักลอยไร้หลักการ พวกเขาเคลื่อนย้ายอย่างมีทิศทาง มีแบบแผน และผ่านกระบวนการตัดสินใจอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย โดยมีระบบเครือญาติเป็นหลักประกัน หรือมีพันธมิตรคอยช่วยเหลือ ทั้งในด้านการตั้งบ้านเรือน และการมีที่ทำกินอันเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆ ของการเคลื่อนย้าย (หน้า 7) |
|
Demography |
อัตราการขยายตัวของจำนวนประชากรชาวเขาในเมืองเชียงใหม่ ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทางราชการได้เริ่มให้ความสนใจกับการดำรงอยู่ในฐานะชนกลุ่มน้อยบนที่สูงของชาวเขาอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปให้การสงเคราะห์ และควบคุมดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขา ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 และผู้อพยพได้ทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการเร่งรัดพัฒนาชุมชนบนที่สูงของทางราชการ ต่อมาในราวทศวรรษที่ 1960 เชียงใหม่ได้เริ่ม กลายเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว กิจการขายสินค้าของชาวเขา เช่น เสื้อผ้า และงานเย็บปักประดิษฐ์ ฯลฯ เป็นอาชีพที่มีกำไรงามและขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีร้านค้าหัตถกรรมชาวเขาเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยเริ่มแรกร้านค้าเหล่านี้ได้ติดต่อซื้อขายผ่านตำรวจตระเวนชายแดน และซื้อโดยตรงจากชาวเขาที่ลงมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ในเมือง ในระยะต่อมา มีกลุ่มคนแม้ว เย้า อีก้อและลีซอ เริ่มมองเห็นลู่ทางในการทำการค้ากับร้านเหล่านี้ด้วยตนเอง จึงมีกลุ่มแม้วจากบ้านหนองหอย และบ้านดอยปุย ได้เริ่มประกอบกิจการในลักษณะนี้เป็นกลุ่มแรก ๆ ต่อมาเมื่อการคมนาคมสะดวกขึ้น ทำให้ชาวเขากลุ่มอื่น สามารถเดินทางเข้าเมืองไปติดต่อค้าขายกับค้าโดยตรงได้อย่างสะดวก โอกาสในเชิงเศรษฐกิจเช่นนี้เองที่เป็นปัจจัยเร้าให้ชาวเขาบางกลุ่มตัดสินใจเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองอย่างถาวร(หน้า 21-22) |
|
Economy |
ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและกระบวนการเชิงพาณิชย์ กลุ่มชาวเขา มีระบบการเพาะปลูกแบบหมุนเวียนตามจารีตประเพณี ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทำการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองและแลกเปลี่ยนกับคนอื่นได้เองเกือบทั้งหมด เมื่อปรับตัวมาเป็นการเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ ทำให้ต้องพึ่งพาปัจจัยการผลิตและระบบตลาดจากภายนอกแทบทั้งหมด ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ข่าวสาร เงินทุน และกลไกตลาด ที่บ้านใหม่ร่มเย็นครอบครัวนายจันซึ่งเป็นเย้าปลูกข้าวโพด มันสำปะหลังขายเป็นพืชหลัก และมีการปลูกฝ้ายตามความต้องการของพ่อค้า ซึ่งครอบครัวนายจันต้องประสบกับปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่าง ๆ ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาลงทุนทางการเกษตร (หน้า 11) ต่อมาภายหลังจากที่อพยพเข้ามาอยู่ที่เชียงใหม่ นายจันและครอบครัวได้เข้ามารับจ้างเป็นนักแสดงประจำศูนย์ และมีรายได้เสริมจาการขายของที่ระลึก (หน้า 44) กลุ่มลีซอที่ศึกษา จากแต่เดิมที่เคยทำการเกษตร ก็เปลี่ยนมาเป็นการค้าของเก่าที่ไนท์บาซาร์ (หน้า 66) ม้ง ประกอบอาชีพเพาะปลูก พืชที่นิยมได้แก่ ต้นกัญชง แต่ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาว่าปลูกกัญชาเนื่องมาจากความเข้าใจผิด เพราะลักษณะคล้ายกับต้นกัญชามาก จึงเปลี่ยนเป็นการค้าผ้ากัญชงที่นำมาจากฝั่งลาวแทน สินค้าที่เป็นที่นิยมมากคือ กระโปรงผ้าใยกัญชงของแม้ว ต่อมากลุ่มผู้หญิงม้งได้อพยพเข้ามาขายผ้ากัญชงในเมือง (หน้า 88) |
|
Political Organization |
ผู้ศึกษากล่าวถึงปมความขัดแย้งทางการเมืองกับการอพยพของคนเย้าว่า ในปี พ.ศ.2512 พื้นที่สูงแถบอำเภอนครไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ม้งในหมู่บ้านได้เอนเอียงไปเป็นแนวร่วมของ พคท. ทำให้ฝ่ายบ้านเมืองส่งกองกำลังทหารขึ้นมาปราบปราม ม้งส่วนใหญ่หลบหนีไป แต่กลุ่มเย้ายังคงอยู่ และทำมาหากินตามปกติ เนื่องจากคิดว่าพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับ พคท.จึงไม่น่าจะมีความผิด และไม่คิดจะทิ้งถิ่นฐานไปไหน แต่กองทหารที่ขึ้นไปปราบปรามได้พยายามหาข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของ พคท. ในพื้นที่หลบซ่อนของม้งจากชาวบ้าน ซึ่งบางครั้งมีการบีบคั้นและคุกคามเย้าอยู่เนืองๆ ทำให้ได้รับความเดือนร้อน และรู้สึกเกรงกลัวทั้งฝ่ายม้งและทหาร ในที่สุดต้องอพยพ ทิ้งบ้าน ทิ้งไร่ ไปทำกินอยู่ที่อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร บางส่วนย้ายไปอยู่ที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก แต่อยู่ได้ไม่นาน ต้องอพยพอีกครั้ง เพื่อไปอยู่ที่บ้านใหม่ร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ทางราชการตั้งขึ้นและจัดสรรที่ทำกินให้กับครัวเรือนคนไทยภูเขา ที่อพยพหนีภัยจากเขตอิทธิพลของ พคท. (หน้า 33-34) นอกจากนี้แล้ว ผู้ศึกษาก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดทางการเมืองด้านอื่น ๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาอีก |
|
Belief System |
เย้าเห็นว่าการอพยพโยกย้ายเป็นปรากฏการณ์ปกติในชีวิต พวกเขาจะเตรียมความพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ เพื่อรักษามาตรฐานการครองชีพเอาไว้ แนวทางการจัดองค์กรทางสังคมที่สำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อันเหมาะสม และปกป้องทรัพย์สินได้ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ก็คือ การมีครัวเรือนและพันธมิตรขนาดใหญ่ (หน้า 29) เย้ามีคตินิยมทางด้านอาชีพที่มีเกียรติ คือ หมอผี ช่างไม้ และค้าขาย เนื่องจากเห็นว่า หมอผีทำหน้าที่ควบคุมข่าวสาร และสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพลังเหนือธรรมชาติ อันเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงอยู่ อาชีพช่างฝีมือ เป็นการใช้ทักษะพิเศษที่คนอื่นไม่มี ส่วนการค้าขาย พวกเขาเห็นว่า คุณสมบัติของการเป็นพ่อค้า ต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ทันคน ขยันหมั่นเพียร กล้าหาญ อดทน และมีความเป็นผู้นำ เนื่องจากต้องใช้ความรอบรู้และรอบคอบในการตัดสินใจหลายอย่างที่เกี่ยวกับการแข่งขันในทางการค้า ในสังคมเย้าผู้ที่ร่ำรวยจากการค้าขาย มักจะได้รับความนิยมยกย่องและเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น ในปัจจุบัน อาชีพค้าขาย ยังคงเป็นอาชีพในฝันของคนเย้าทั่วไป (หน้า 46-47) ในมุมมองของคนลีซอ เชื่อว่า การมีสถานภาพเป็นคน จะต้องประกอบด้วยพละกำลังทางกายภาพที่ได้รับมาโดยกำเนิด (มี๊) ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่เท่ากัน ทำให้แต่ละคนมีรูปร่างสูงต่ำดำขาวแตกต่างกัน มีโชควาสนาและชะตากรรมไม่เหมือนกัน ทำให้ประสบปัญหาในชีวิตหนักเบาแตกต่างกันไปได้ นอกจากนี้ยังต้องประกอบด้วยพลังทางวัฒนธรรม (ดุ) ซึ่งหมายถึงความรู้ ความสามารถ ในการผลิตและการผลิตซ้ำ ศักยภาพทางการผลิตได้แก่ สมรรถภาพของมนุษย์ในการดัดแปลง แปรสภาพ และปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้กลายเป็นปัจจัยการดำรงชีพ ส่วนสมรรถภาพในการผลิตซ้ำ เป็นมิติด้านการสร้างสรร เป็นด้านการจัดโครงสร้างทางสังคม ความสามารถทั้งสองด้านนี้ของมนุษย์ ได้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามประสบการณ์การผ่านพ้นอุปสรรค การติดต่อสัมพันธ์ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับคนอื่น ซึ่งการสร้างสรรและการสืบทอดความเป็นชาติพันธุ์ของลีซอ ได้แสดงถึงศักยภาพของชนเผ่าในการจัดระบบความสัมพันธ์ให้คน สิ่งแวดล้อม และอำนาจเหนือธรรมชาติ ดำรงอยู่ด้วยกันได้อย่างสอดคล้องกัน ซึ่งส่งผลให้มนุษย์สามารถสร้างระบบความหมายขึ้นมาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบได้อย่างลงตัว ดังนั้น ศักดิ์ศรี (หมิดุ) ของความป็นลีซอ หรือการเป็นคนลีซอที่มีศักดิ์ศรี นอกจากจะต้องแสดงความสามารถของตนให้ประจักษ์ ตามวิถีทางอันสอดคล้องกับความหวังของคนอื่นหรือชุมชน และเป็นไปตามพันธะทางสังคมแล้ว ยังอยู่ที่การสืบทอดพลังทางวัฒนธรรม ที่ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนและผลิตซ้ำจากการที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์และปัญหาในชีวิตประจำวันมาอย่างต่อเนื่อง จนตกผลึกเป็นระบบความคิดอันแจ่มชัดที่เรียกว่า อิ๊หลี่ เพื่อธำรงรักษาลักษณะเฉพาะหรือพื้นที่ของความเป็นลีซอ ไม่ให้เสื่อมสลายไป (หน้า 51-52) ทางด้านของพิธีกรรมผู้ศึกษาไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียด กล่าวเพียงแต่ว่า มีการร่วมกันทำพิธีก่อสร้าง อาปามุฮี หรือศาลผีเสื้อบ้าน มีพิธีกินข้าวใหม่ หรือฉื่อแปกั๊วะ มีการอันเชิญผีดอยใหญ่ (ได้แก่ ผีดอยเชียงดาว) ให้มาสิงสถิตอยู่ที่ศาลผีของหมู่บ้าน ซึ่งพวกเขาสร้างเอาไว้ใกล้กันแต่อยู่สูงกว่า อาปาหมุฮี (หน้า 62) ความเชื่อดั้งเดิมของม้งที่เกี่ยวกับพิธีศพคือ จะใช้ฟั่นเชือกที่ทำจากเส้นใยของต้นกัญชง มาสานเป็นรองเท้าสำหรับคนตาย และใช้ฟั่นเชือกมัดศพไว้กับไม้คาน จะไม่นิยมใช้วัสดุหรือเชือกชนิดอื่นทดแทน (หน้า 70) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กล่าวถึงม้งว่ามีการนำเปลือกของกัญชงมาทำเป็นเส้นใย ใช้ทอเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ฟั่นเป็นเชือก สำหรับใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นสายสะพาย หรือหัวยึดติดกับตะกร้า (เกอะว์) ซึ่งใช้ขนฟืนและพืชผล ใช้ฟั่นเชือกทำสายหน้าไม้ (เหน็ง) สำหรับล่าสัตว์ สานเป็นรองเท้าสำหรับคนตายใช้มัดศพกับไม้คาน (หน้า 70) |
|
Folklore |
กล่าวเพียงเรื่องตำนานเก่าแก่ของชนชาติเย้าที่เชื่อว่าบรรพชนของพวกเขามีสถานภาพ เป็น " อ๋อง" คนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ได้รับอภิสิทธิ์ และมีอิสระในการเคลื่อนย้ายไปยังแหล่งที่ทำกิน เนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับการอพยพ โดยสรุปใน "เกียเซ็นป๊อง" หรือ "หนังสือเดินทางข้ามเขตภูเขา" ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับตำนานว่าด้วยความเป็นมาของชนชาติเย้า ซึ่งเย้าในประเทศไทยถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด (หน้า 30) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ครอบครัวเย้าที่เป็นกรณีศึกษามีการติดต่อกับพ่อค้าม้ง โดยรับจ้างทำเครื่องประดับเงินให้พ่อค้าที่มาว่าจ้าง (หน้า32) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวเขาที่อพยพเข้ามาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายทั้งวิถีชีวิตชุมชนและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิถีการผลิตจากแต่เดิมเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้นำส่วนเกินมาผลิตซ้ำมาทำให้เกิดกำไรได้ สามารถทำการผลิตเลี้ยงตนเองและแลกเปลี่ยนกับคนอื่นมาได้เป็นอย่างดี เมื่ออพยพเข้ามาในเมืองเป็นผู้บริโภค ทำให้สูญเสียความสามารถในการจัดการทรัพยากร ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและกระบวนการเชิงพาณิชย์ กลุ่มชาวเขา มีระบบการเพาะปลูกแบบหมุนเวียนตามจารีตประเพณี ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทำการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองและแลกเปลี่ยนกับคนอื่นได้เองเกือบทั้งหมด เมื่อปรับตัวมาเป็นการเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ ทำให้ต้องพึ่งพาปัจจัยการผลิตและระบบตลาดจากภายนอกแทบทั้งหมด ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ข่าวสาร เงินทุน และกลไกตลาด นอกจากนี้ ชุมชนระบบเครือญาติ กฏเกณฑ์ตามจารีตประเพณีรวมทั้งระบบทรัพย์สินส่วนรวมถูกทำลายลง วัฒนธรรมท้องถิ่น และกิจกรรมตามจารีตของชนเผ่าถูกลดคุณค่า กลายเป็นเพียงการแสดงเพื่อบริการแก่นักท่องเที่ยว ประดิษฐกรรมจากภูมิปัญญาชนเผ่ากลายเป็นของเก่าที่ถูกซื้อไปประดับบารมี หรือเป็นเครื่องบอกรสนิยมของคนพื้นราบและชาวต่างประเทศ แรงงานกลายเป็นสินค้าถูก การทำงานและการประกอบอาชีพใหม่ กลายเป็นภาระอันซ้ำซาก น่าเบื่อหน่ายชีวิตสังคมเป็นเรื่องแปลกแยกและสับสน (หน้า 97) |
|
|