|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,การฟ้อน,เรณูนคร,นครพนม |
Author |
พจน์มาลย์ สมรรคบุตร |
Title |
การฟ้อนผู้ไทยในเรณูนคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
324 |
Year |
2541 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย ภาควิชานาฏยศิลป์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การฟ้อนผู้ไทยในเรณูนคร มีพัฒนาการและกระบวนการฟ้อนจากกิริยาของมนุษย์ สัตว์และการเคลื่อนไหวของพืช การพัฒนาสามารถแบ่งได้ 5 ขั้นตอนคือ 1.การฟ้อนผู้ไทยในอดีตกาล ได้แก่ การฟ้อนในพิธีเหยาเพื่อรักษาโรคโดยผู้หญิง การฟ้อนเล่น กินเหล้า การฟ้อนลงข่วง และการฟ้อนเลาะตูบ ซึ่งเป็นการฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟในงานบุญเดือนหกโดยผู้ชาย 2.นำท่านิยมในอดีตมาปรับปรุงเป็นท่านิยม 5 ท่า นำผู้หญิงมาฟ้อนคู่ผู้ชาย จัดแสดงหน้าพระที่นั่ง เมื่อ พ.ศ. 2498 3.เริ่มท่าฟ้อนเป็น 9 ท่า จัดกระบวนท่าฟ้อนเป็น 3 ช่วง 4.เพิ่มท่าฟ้อนเป็น 12 ท่า และ 5.เพิ่มท่าฟ้อนเป็น 16 ท่า ผนวกด้วยท่ามวยยวน ท่าฟ้อนของผู้ชายเข้มแข็ง ทะมัดทะแมง ท่าฟ้อนของผู้หญิงนุ่มนวล ลักษณะเฉพาะของการฟ้อนผู้ไทพบว่า - มีการใช้เท้า ขา ลำตัว มือและแขน การใช้เท้ามี 5 แบบ คือ การเปิดปลายเท้าตอนยืน การลงส้นเท้าตอนเดิน การแตะปลายเท้าเฉพาะหญิง การเปิดส้นเท้าหลัง การวางเท้าเต็มฝ่าเท้าซึ่งมีลักษณะพิเศษคือการก้าวกระโดดสั้นๆ ให้เท้าทั้งสองลอยอยู่ในอากาศ ก่อนเปลี่ยนน้ำหนักจากเท้าหนึ่งไปสู่อีกเท้าหนึ่ง - การใช้ขามี 5 แบบคือ ยกขาไปด้านข้าง การยกขามาด้านหน้า การยกขาไปด้านหลัง การนั่งเหยียดขาข้างเดียวไปด้านหลัง การก้าวไขว้ขา - การใช้ลำตัวมี 3 แบบคือ ลำตัวตรง ลำตัวโน้มมาหน้าทำมุม 45 องศากับแนวตั้งและลำตัวโน้มต่ำเกือบขนานกับพื้น การใช้มือมี 4 แบบคือ การจีบที่นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไม่ติดกัน การตั้งวง การม้วนมือและการกำมือหลวมๆ - การใช้แขนมี 4 แบบคือ การเหยียดแขนตึงหงายท้องแขน การงอแขนเป็นวงระดับไหล่ การหักศอกคว่ำขึ้นตั้งฉาก การงอแขนแบบหักข้อศอกหงายตั้งฉาก |
|
Focus |
ศึกษาความเป็นมาและพัฒนาการตลอดจนองค์ประกอบของฟ้อนผู้ไทยในเรณูนคร จังหวัดนครพนม |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไทยแต่ละแห่งจะมีชื่อเรียกที่ต่างกันตามที่ตั้งบ้านเรือน เช่น ผู้ไทยที่ตั้งบ้านเรือนในอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอคำม่วง อำเภอสมเด็จ อำเภอสหัสขันธ์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ เรียกกันว่า "ผู้ไทยกาฬสินธุ์" ผู้ไทยที่ตั้งบ้านเรือนในอำเภอเมือง อำเภอนาแก อำเภอธาตุพนม เรียกกันว่า "ผู้ไทยเรณูนคร" (หน้า 1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้ไทในอำเภอเรณูนครเป็นชนชาติไทยในภาคอีสาน มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองแถง ในแคว้นสิบสองจุไทยซึ่งปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟู ในปี พ.ศ. 2384 มีชาววังกลุ่มหนึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงโดยการนำของท้าวเพชรและท้าวสายซึ่งเป็นหัวหน้าพาผู้ไทพร้อมด้วยท้าวไพ น้องท้าวเพชรบุตรพระยาเตโช ท้าวบุตรและท้าวอินทิสาร เป็นพี่เขยของท้าวสาย นำผู้ไทยกลุ่มใหญ่ไปตั้งอยู่ที่บ้านดงหวายหรือบุ่งหวาย แขวงเมืองนครพนม และได้จัดขี้ผึ้งหนัก 10 ชั่ง เป็นเครื่องราชบรรณาการให้แก่พระสุนทรราชวงศาและพระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนม มีท้าวมนตรีเมืองเรณูนครคุมลงไปส่งถึงกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2385 ท้าวสายนายครัวเมืองวัง ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงเมืองนครพนมจัดเครื่องบรรณาการส่งให้เจ้าเมืองนครพนมโดยมีท้าวเพชรกับไพร่คุมไปทูลเกล้าฯถวายที่กรุงทพฯ ในปี พ.ศ. 2387 สมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านดงหวายสายบ่อแก มีนาย-ไพร่รวม 2,648 คน ตั้งขึ้นเป็นเมืองเรณูนคร ขึ้นกับเมืองนครพนม แต่งตั้งท้าวสายเป็น "พระแก้วโกมล" เป็นเจ้าเมืองเรณูนครคนแรก ตั้งแต่ปีมะโรง ฉศก จ.ศ.1206 พ.ศ.2387 ต่อมาใน พ.ศ. 2393 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหัวเมืองชั้นนอกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 เมือง ซึ่งรวมถึงเมืองเรณูนครด้วย รัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2441 ได้ทรงยกเลิกการปกครองตามธรรมเนียมเดิมที่มีตำแหน่งเจ้าเมืองอุปฮาด ราชบุตร เปลี่ยนเป็นคณะกรรมการเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 ได้ปรับปรุงการปกครองหัวเมืองภาคอีสานขึ้นใหม่เป็น 3 มณฑล ปี พ.ศ. 2446 เปลี่ยนมณฑลเป็นการปกครองเป็นเมือง อำเภอเรณูนครจึงเป็นอำเภอหนึ่งบริเวณธาตุพนมขึ้นกับมณฑลอุดร เรณูนครจึงเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองนครพนม พ.ศ. 2451 ย้ายอำเภอไปตั้งที่บ้านธาตุพนม ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำโขงเรียกว่าอำเภอธาตุพนม ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ทางราชการประกาศยกฐานะตำบลเรณู ตำบลโพนทองและตำบลท่าลาดขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเรณูนครขึ้นกับเขตการปกครองของอำเภอธาตุพนม ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 92 ตอนที่ 166 ลงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2518 ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอเรณูนครเป็นอำเภอเรณูนครขึ้นกับจังหวัดนครพนมจนถึงปัจจุบัน (หน้า 8-16, 276) |
|
Economy |
ผู้ไทยเรณูนครในอดีต มักจะประกอบอาชีพทำนา ทอผ้าและเดินทางไปค้าขายในที่ต่างๆ (หน้า 32) สำหรับค่าตอบแทนในการฟ้อนผู้ไทย กลุ่มชาวบ้านส่วนมากจะได้ค่าตอบแทนเป็นสิ่งของ เช่น ผ้าเช็ดตัว สบู่ มีน้อยครั้งที่ได้รับเป็นเงินรางวัล ประมาณคนละ 50-100 บาท กลุ่มนักเรียนถ้าเป็นการแสดงในพื้นที่นักเรียนจะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากทางราชการคนละ 200-300 บาท ถ้าแสดงนอกพื้นที่จะได้รับคนละ 500 บาท กลุ่มเจ้าหน้าที่ ถ้าเป็นคำสั่งของทางราชการจะไม่มีค่าตอบแทน ส่วนกลุ่มที่เป็นอาชีพเสริม แสดงในพื้นที่ ราคา ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป นอกพื้นที่ 7,000 บาทขึ้นไป ถ้าผู้ร่วมงานในคณะ 25-30 คน คิดราคา 10,000 บาทขึ้นไป (หน้า 257-258) |
|
Belief System |
ผู้ไทยมีความเชื่อเรื่องผีมาตั้งแต่อยู่ในเมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดได้แก่ การนับถือ "ผีเชื้อ" และการนับถือ "ผีเรือน" การนับถือ "ผีเชื้อ" คือการนับถือผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับ แต่ละเชื้อสายจะมีการเซ่นไหว้หรือของที่จะนำมาแก้บนต่างกัน ส่วนการนับถือ "ผีเรือน" เป็นการสืบเนื่องจากผีเชื้อ ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะทำพิธีรับผีขึ้นไปอยู่บนบ้านเพื่อให้ผีคุ้มครองผู้อาศัยภายในบ้านนอกจากนี้ยังมีการเชิญผีเรือนให้มาช่วยรักษาคนป่วยและขับไล่ผีป่า พิธีเหยา เป็นความเชื่อที่สืบทอดจากการนับถือผีเป็นพิธีเสี่ยงทาย โดยเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการผิดผี ในพิธีจะมีเครื่องเซ่นไหว้ มีหมอแคน มีการหาผู้หญิงออกท่าฟ้อนซึ่งเป็นการฟ้อนในพิธีกรรม มิใช่ฟ้อนเพื่อการบันเทิงโดยมีคำร้องอ้อนวอนไปตามพิธีของหมอเหยา (หน้า 19-21) ประเพณีเลี้ยงผีปู่ถลา ปู่ถลาคือวิญญาณบรรพบุรุษของผู้ไทในอดีตเป็นนักรบและเป็นหัวหน้าชาวเมืองวัง คอยต่อสู้กับญวนเพื่อปกป้องผู้ไท แต่ต่อมาถูกญวนจับใส่แคร่หามไปเมืองญวน โดยก่อนไปได้สั่งเสียไว้ว่าถ้าอยากจะให้ช่วยอะไร เมื่อตั้งบ้านเรือนที่ใดให้ตั้งศาลของท่านไว้เพื่อให้ลูกหลานจุดธูปเทียนบอกกล่าว ในทุกปีชาวเรณูนครจะมีการเซ่นไหว้ ปีละ1 ครั้งในวันขึ้น 6 ค่ำเดือน 6 (หน้า 22,24) ผู้ไทยเรณูนครมีการจัดกิจกรรมทางศาสนาในแต่ละเดือน "ฮีตสิบสอง" ที่วัดธาตุเรณูนคร เช่น เดือนอ้าย ประเพณีบุญเข้ากรรม คือการเข้าอยู่ประพฤติวัตรของพระภิกษุโดยเคร่งครัดในป่าหรือป่าช้าเพื่อชำระจิตใจ เดือนยี่ ประเพณีบุญคูณลาน เป็นการทำบุญสู่ขวัญข้าวที่นวดเสร็จ โดยการทำพิธีบรวงสรวงพระแม่โพสพ นิมนต์พระมาสวดก่อนจะขนข้าวขึ้นสู่ยุ้งฉาง เดือนสาม ประเพณีงานบุญข้าวจี่ เดือนสี่ ประเพณีงานบุญพระเวสหรือเทศน์มหาชาติ (หน้า 24-26) ประเพณีการต้อนรับด้วยพิธีบายศรีสู่ขวัญ ในพิธีประกอบด้วยบายศรีที่เย็บด้วยใบตองพร้อมด้วยเครื่องบวงสรวงต่างๆ ผู้ฟ้อนเพื่อเชิญพระขวัญประมาณ 6 คน โดยมีหมอสูตรขวัญทำพิธีเชิญเทวดาด้วยสำเนียงภาษาถิ่นเป็นการบอกกล่าวเทวดาอารักษ์ให้ช่วยดูแล "ขวัญ" เมื่อเสร็จพิธีจะมีการผูกแขนให้กับผู้มาเยือนและให้ไข่ต้มคนละ 1 ฟองไว้รับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล(หน้า 28) |
|
Education and Socialization |
การฟ้อนผู้ไทย มีการฝึกหัดเป็นระบบโดยมีศิลปินเป็นครู ทำการสอนเยาวชนซึ่งเป็นศิษย์หรือเครือญาติโดยฝึกหัดที่บ้านของครูหรือโรงเรียน (หน้า 276) |
|
Health and Medicine |
ผู้ไทยหญิงจะฟ้อนเหยาในพิธีรักษาผู้ป่วย (หน้า 2) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ฟ้อนผู้ไทย การฟ้อนเป็นศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของผู้ไทยที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ การฟ้อนผู้ไทยผู้ฟ้อนหญิงต้องเป็นสาวโสด ถ้าแต่งงานแล้วจะไม่นิยมฟ้อน (หน้า 4) เป็นการนำท่าทางธรรมชาติของพืชและสัตว์มาเป็นท่าฟ้อน มักนิยมฟ้อนเล่นกินเหล้า ฟ้อนลงข่วงและฟ้อนเลาะตูบ ต่อมามีการพัฒนาฟ้อนผู้ไทยเป็นการฟ้อนคู่ชาย-หญิงเพื่อจัดเป็นขบวนฟ้อนบวงสรวงองค์พระธาตุพนม องค์พระธาตุเรณูและศาลปู่ถลา ส่วนในเทศกาลงานบุญจะนิยมฟ้อนในงานบุญเดือนสี่ (บุญพระเวส) บุญเดือนหก (บุญบั้งไฟ) งานกฐิน งานผ้าป่า และจัดฟ้อนผู้ไทยต้อนรับแขกผู้มาเยือนต่อจากพิธีบายศรีสู่ขวัญ (หน้า 30) ลักษณะการฟ้อน ผู้ไทยในอดีตมีการฟ้อน 2 ลักษณะคือ ฟ้อนรักษาโรคและฟ้อนเล่น ปัจจุบัน พิธีฟ้อนรักษาโรค (พิธีเหยา) ไม่มีการทำ ส่วนการฟ้อนเล่นยังมีปรากฏถึงปัจจุบัน สามารถจำแนกได้เป็น 3 ลักษณะคือ 1) ฟ้อนเล่นกินเหล้า เป็นการฟ้อนโอ้อวดระหว่างผู้ชายกับผู้ชายในวงเหล้า 2) ฟ้อนลงข่วง เป็นสื่อในประเพณีไปคุยสาวในขณะที่เข็นฝ้ายลงข่วงและ 3)ฟ้อนเลาะตูบซึ่งจะฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟเทศกาลงานบุญเดือนหก (หน้า 32,34,66) ตัวอย่างคำเซิ้งฟ้อนเล่นกินเหล้า (หน้า 37) เช่น "...โอโอ ขอเหล้าเด็ดนำนายจั๊กโอ๋ โอโอ ขอเหล้าขาวกับนายสักขัน ขอเหล้าโทนำนายจั๊กถ้วย หวานจ๊วยจ๊วย ขอเหล้าอุกินสักถ้วยหนึ่ง มันหวานอร่อย เข้าปากหลานชาย เอามาหยายหลานซาย ให้หลายชายกิน เอามาแจกหลานชาย ให้มันคู่ หยายคู่แล้วหลานแก้วสิลาไป ให้มันครบ แจกครบแล้วหลานจะลาไป" กระบวนการฟ้อน จากการศึกษากระบวนการฟ้อนผู้ไทยเรณูนครของผู้วิจัยพบว่า "ท่ากาเต้นก้อนขี้ไถ" เป็นท่าฟ้อนที่ใช้มากที่สุด ท่าลมพัดพร้าว ท่าชมหมอก ท่ารำขวาน ท่าตบผาบมาร ท่ารำเกี้ยว ท่าตัดไม้ข่มนาม และท่าส่องกล้องเลือกคู่ เป็นท่าฟ้อนที่ใช้น้อยที่สุด (หน้า 180) แนวคิดในการประดิษฐ์ท่าฟ้อนสามารถจำแนกได้เป็น 5 ลักษณะได้แก่ 1) กลุ่มเลียนแบบกิริยาสัตว์ปีก 2) กลุ่มเลียนแบบกิริยาสัตว์สี่เท้า 3) กลุ่มเลียนแบบกิริยามนุษย์ 4) กลุ่มเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพืชและ 5) กลุ่มเบ็ดเตล็ด เช่น ท่าเตรียมหรือท่ารำโยก ท่านั่งปรบมือและท่านั่งไหว้ เป็นต้น (หน้า 209) จำนวนผู้ฟ้อน จะใช้ขนาดและลักษณะสถานที่ฟ้อนเป็นตัวกำหนด ถ้าฟ้อนที่ลานกว้าง นิยมใช้ผู้ฟ้อนคู่ชาย-หญิง ต่ำสุดประมาณ 6 คู่ สูงสุดประมาณ 12 คู่ขึ้นไป ใช้นักดนตรี 8-12 คนและพิธีกร 1 คน (หน้า 212) เครื่องดนตรี ที่ใช้ประกอบการฟ้อน มีทั้งหมด 3 ประเภทคือ 1) ประเภทเครื่องตี ได้แก่ กลองตุ้ม กลองหาง พังฮาด ฆ้องโหม่ง ฉิ่ง ฉาบ กั๊บแก๊บ โปงลาง บางคณะก็เพิ่มกลองชุดสากลเข้ามา 2) ประเภทเครื่องเป่า ได้แก่ แคนและโหวด 3) ประเภทเครื่องดีด ได้แก่ พิณ แต่เดิมนั้น เครื่องตนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนใช้เพียง 5 ชิ้นคือ กลองตุ้ม พังฮาด ฆ้องโหม่ง กลองหางและฉาบ (หน้า 214,223) การแต่งกายและการแต่งหน้า - ผู้ฟ้อนชาย สวมเสื้อแขนสั้นตัดเย็บด้วยผ้าโทเรสีน้ำเงินผ่าหน้า คอตั้งหรือคอจีนขลิบด้วยผ้าโทเรสีแดง ที่กระเป๋าเสื้อทั้ง 3 ใบ และจากคอเสื้อลงมาถึงสาบเสื้อด้านนอกยาวจนสุดชายเสื้อ ติดกระดุมสีขาวเรียงลงมา 5 เม็ดปล่อยชายเสื้อไว้ด้านนอกนุ่งกางเกงขาก๊วยตัดเย็บด้วยผ้าโทเรสีน้ำเงิน มีฝ้ายหรือไหมทอเป็นผืนผ้าลายขิดสีแดงผืนยาวมัดทับเสื้อไว้ที่เอว สวมสร้อยคอเงิน 1 เส้น - ส่วนการแต่งกายของผู้ฟ้อนหญิง สวมเสื้อแขนยาวตัดเย็บด้วยผ้าโทเรสีน้ำเงิน คอตั้งหรือคอจีนและปลายแขนทั้งสองข้างขลิบด้วยผ้าโทเรสีแดง จากคอเสื้อยาวลงมาสุดชายเสื้อติดกระดุมสีขาวยาวลงมา 7 คู่ นุ่งผ้าถุงตัดเย็บด้วยผ้าโทเรสีน้ำเงินยาวปิดข้อเท้า ทับชายเสื้อไว้ด้านในและใช้ผ้าโทเรสีแดงสอดด้วยผ้าแข็งเย็บเป็นสายยาวสำหรับคาดเอว นอกจากนี้ยังมีไหมพรมสีขาวถักเป็นลวดลายต่างๆ ผืนยาวมีชายครุยทำเป็นสไบพาดบนไหล่ซ้าย ปล่อยชายยาว ติดดอกไม้สีแดง 1 ดอกบนสไบที่อกด้านซ้าย สวมเครื่องประดับเงิน ทรงผมเกล้ามวยต่ำไว้ด้านหลัง ติดดอกไม้ไว้ที่มวยผมด้านซ้าย 1 ช่อปัจจุบันยังคงรักษาแบบเสื้อผ้าชุดประจำเผ่าและเครื่องประดับเงินแต่ใช้ผ้าที่ต่างไปจากเดิมแต่มีความสดใสมากขึ้น - การแต่งหน้าและการเกล้ามวยผมของผู้ฟ้อนหญิงไม่มีแบบเฉพาะแต่งให้สวยตามสมัยนิยม ส่วนผู้ฟ้อนชายการแต่งหน้าจะมีลักษณะธรรมเนียมคือ บริเวณหน้าผากกดปลายฟันหวีที่จุ่มแป้งแล้วเป็นรูปสี่เหลี่ยมตารางหมากรุก หมายถึงคันนา บริเวณแก้ม กดปลายฟันหวีที่จุ่มแป้งเป็นลายดอกจันทร์ หมายถึง ย้ำตีนกา บริเวณคอและแขนกดปลายฟันหวีที่จุ่มแป้งเป็นแนวของฟันหวียาวๆ หมายถึงวิถีชีวิตของผู้ไทยที่ผูกพันกับการทำนา คอ แขนและเนื้อตัวจะเปื้อนโคลนส่วนบริเวณหู ใช้นิ้วชี้แตะแป้งมาแต้มที่ติ่งหู หมายถึง เป็นสัญลักษณ์ของไก่ตัวผู้เปรียบเทียบกับพวกหนุ่มๆ ว่า "ผู้ไทยไก่สวน" แปลว่าชายผู้ไทยมีความขยันในการทำมาหากิน ตื่นแต่ดึกลุกแต่เช้าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนทรงผมจะไม่มีการตกแต่ง ใช้ทรงผมปกติในชีวิตประจำวัน การแต่งกายฟ้อนผู้ไทยหน้าพระที่นั่งเมื่อปี พ.ศ. 2498 ผู้ฟ้อนชายใส่เสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามออกสีน้ำเงินอมดำ แขนยาวคอตั้งผ่าหน้าใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนผู้ฟ้อนหญิง ใส่เสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามออกสีน้ำเงินอมดำคอตั้งแขนยาวผ่าหน้าติดกระดุมสีขาว นุ่งผ้าถุงยาวถึงข้อเท้า ใช้ผ้าแถบสีแดงคาดที่เอว มีผ้าสไบพาดที่บ่าซ้าย สวมเครื่องประดับเงินและใส่หมวกที่เรียกว่า "กุบ" ซึ่งเป็นหมวกที่ทำมาจากไม้ไผ่เหลาเป็นแผ่นเล็กๆ สานเป็นหมวกทรงกลม หัวแหลมคล้ายหมวกของญวน (หน้า 78-79) เวลาที่ใช้ในการแสดงฟ้อนผู้ไทยไม่มีกำหนดตายตัว ตามความเหมาะสมของงานใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 10 นาทีและสูงสุดประมาณ 30 นาที (หน้า 227- 236, 250) สถาปัตยกรรม - สถาปัตยกรรมศาลปู่ถลา เป็นห้องสี่เหลี่ยม มีประตูบานเปิด 2 บานผนังก่ออิฐฉาบปูน หลังคาทรงไทยตกแต่งด้วยลวดลายกนกหัวพญานาคสีขาว ตัวเรือนทาสีแดง (หน้า 23) - แผนผังบ้านภูไท ของนายชัยบดินทร์ สาลีพันธ์ พื้นที่บ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาคารจะอยู่โดยรอบของพื้นที่ เรือนแต่ละหลังสร้างด้วยไม้ไผ่ยกพื้นสูงมีใต้ถุนบ้าน(หน้า 260) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การฟ้อนผู้ไทยในปัจจุบันลดน้อยลง เป็นเพราะผู้ที่คิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนและผู้ที่ปรับปรุงท่าฟ้อนผู้ไทยให้เป็นระเบียบแบบแผนได้ถึงแก่กรรมหมดแล้ว ส่วนผู้ฟ้อนที่ยังมีชีวิตก็ชราภาพ ประกอบกับค่านิยมของลูกหลานผู้ไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมฝึกหัดการฟ้อนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมที่ให้ความสำคัญด้านการศึกษามากกว่า (หน้า 4) ปัจจุบันผู้ไทยเรณูนครไม่นิยมปฏิบัติพิธีเหยาเพราะเมื่อเจ็บป่วยจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ยังคงรักษาประเพณีเลี้ยงผีปู่ถลา (หน้า 22) ปัจจุบันการคัดเลือกผู้ฟ้อนผู้ไทยมักจะเป็นลูกหลานของเจ้าของคณะโดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการฟ้อนและในเรื่องของความสวยงานเท่าใดนัก(หน้า 213) |
|
Map/Illustration |
ตาราง - ท่าฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ขั้นตอนที่ 2 (73) - การแต่งกายฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ปี พ.ศ.2498 ผู้ฟ้อนชาย(80) ผู้ฟ้อนหญิง(82) - กระบวนการฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ขั้นตอนที่ 3 (92) - กระบวนการฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ขั้นตอนที่ 4 (119) - การพัฒนาท่าฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ขั้นตอนที่ 3 สู่ขั้นตอนที่ 4 (135) - กระบวนการฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ขั้นตอนที่ 5 (149) - การพัฒนาท่าฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร ขั้นตอนที่ 4 สู่ขั้นตอนที่ 5 (176) - สถิติการฟ้อนผู้ไทยเรณูนคร(241) ภาพ - แผนที่แสดงการตั้งถิ่นฐานเดิม(17) - ศาลปู่ถลา(23) - วัดธาตุเรณูในอดีต(27) - ฟ้อนผู้ไทยเลาะตูบบุญ(34) - ประเพณีการฟ้อนผู้ไทยเลาะตูบ(36) - ขบวนฟ้อนผู้ไทยเรณูนครแห่ต้นกัลปพฤกษ์(41) - ฟ้อนผู้ไทยหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท(55) - ฟ้อนผู้ไทยเรณูนครหน้าพระที่นั่ง ณ ลานคำหอม พ.ศ. 2535(57) - สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงกำกับการฝึกซ้อมผู้ไทย(59) - ฟ้อนผู้ไทยรับเสด็จสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2(62) - กลองตุ้ม(214) - พังฮาด(216) - กั๊บแก๊บ(218) - แคน(220) - การแต่งกายฟ้อนผู้ไทย(227) - การแต่งกายฟ้อนผู้ไทยใช้ผ้ามัดหมี่(230) - แผนผังบ้านภูไท(260) |
|
|