|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,หัตถกรรม,นครปฐม,ภาคกลาง |
Author |
ธิดา ชมภูนิช |
Title |
การศึกษาศิลปหัตถกรรมไทยโซ่ง จังหวัดนครปฐม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
181 |
Year |
2539 |
Source |
สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏนครปฐม |
Abstract |
เป็นการศึกษารูปแบบงานหัตถกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของไทยโซ่ง ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครปฐม โดยมีการวิเคราะห์อ้างอิงไปถึงลักษณะสภาพแวดล้อม และเหตุผลในการใช้งานในชีวิตประจำวันตลอดจนการใช้งานในพิธีกรรมของไทยโซ่ง โดยมีการแทรกความเชื่อและรูปแบบการดำเนินชีวิตของไทยโซ่งในจังหวัดนครปฐมในรูปแบบของลักษณะการใช้งานหัตถกรรม |
|
Focus |
งานศิลปหัตถกรรมของไทยโซ่งที่เป็นงานไม้ไผ่ งานผ้า และงานไม้ โดยศึกษาถึงลักษณะของงานหัตถกรรม ประโยชน์ใช้สอย วัสดุ เทคนิควิธีการ รวมไปถึงประวัติความเป็นมาของหัตถกรรมแต่ละชิ้น (หน้า 2-3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไทยโซ่งในจังหวัดนครปฐมมีถิ่นที่อยู่เดิมที่สิบสองจุไทย หรือเมืองแถง ซึ่งอยู่ตอนเหนือของประเทศเวียดนามติดกับชายแดนประเทศจีน ในสมัยรัชกาลที่ 3 ประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตยเหนือเมืองแถง แม่ทัพที่ดูแลเมืองแถงขณะนั้นได้กวาดต้อนคนไทยดำกลับมาพร้อมกับกองทัพเป็นจำนวนมาก โดยโปรดเกล้าฯ ให้ไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรี และมีไทยโซ่งบางส่วนที่ได้อพยพมาอยู่ในจังหวัดนครปฐม (หน้า 27) |
|
Settlement Pattern |
อำเภอเมืองนครปฐมพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นาและมีลำคลองหลายสาย และยังเป็นแหล่งรวมความเจริญในหลายๆ ด้าน มีถนนใหญ่ตัดผ่านมากมาย ทำให้การคมนาคมขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว อำเภอกำแพงแสน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่ ประชากรส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ตามเส้นทางถนน อำเภอดอนตูม มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ไม่หนาแน่นมากนัก ส่วนมากตั้งบ้านเรือนอยู่กระจัดกระจายไปตามอาชีพ มีหนองน้ำสำหรับใช้ได้ตลอดทั้งปี อำเภอสามพราน พื้นที่ที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น คือพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำนครชัยศรี อำเภอบางเลน พื้นที่เป็นที่ราบลุ่มดินเหนียวดำ เนื่องจากเมื่อถึงหน้าน้ำน้ำจะท่วมทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้มีดินตะกอนทับถมเหมาะแก่การทำนา และมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในเขตอำเภอ และอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายตามสองฝั่งแม่น้ำ อำเภอนครชัยศรี มีแม่น้ำนครชัยศรีไหลผ่าน พื้นที่ริมแม่น้ำลำคลองส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำนา ประกอบกับในช่วงหลังมานี้ มีการลงทุนภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ขยายอาณาเขตเข้ามาในพื้นที่ทำนามากขึ้น ทำให้มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นตามริมแม่น้ำลำคลองสายต่างๆ (หน้า 13-15) |
|
Economy |
อาชีพหลักของไทยโซ่งได้แก่ การทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ อาชีพรอง ได้แก่ การเลี้ยงไหม ทอผ้า จักสาน ตัดไม้ ล่าสัตว์ (หน้า 27) |
|
Social Organization |
หนุ่มสาวไทยโซ่งใช้การเล่นลูกช่วงในการสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างกัน (หน้า 106) |
|
Belief System |
ไทยโซ่งเดิมมีความเชื่อเรื่องผีและขวัญ ผีที่โซ่งนับถือมีทั้งผีบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว และผีฟ้าหรือเทวดา ซึ่งเรียกกันว่า "แถน" ผีเป็นผู้ให้ทั้งคุณและโทษ ดังนั้นจึงต้องมีการเซ่นไหว้ด้วยอาหารคาวหวาน การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน เรียกว่าการ "เสนเรือน" 1-2 ปีต่อครั้ง ญาติสนิทและลูกหลานจะต้องสวมเสื้อฮี ส่วนผู้ที่ทำพิธีจะต้องเป็นหมอพิธีโดยเฉพาะ นอกจากพิธีใหญ่ดังกล่าวแล้ว ยังมีการเซ่นในระยะ 3-4 วัน เรียกว่า "ปาดตง" คือการนำอาหารประจำวันมาตั้งไว้ที่มุมห้องผีเรือน และถ้ามีคนแปลกหน้ามาเยือนบ้าน เจ้าของบ้านจะต้องบอกผีเรือนเสียก่อน ถ้าไม่บอกกล่าวถือว่าเป็นการผิดผี อาจทำให้เจ้าของบ้านเจ็บป่วยได้ จะต้องนำไก่และเหล้าหรือผ้ามาขอขมาลาโทษ ส่วนความเชื่อเรื่องขวัญนั้น โซ่งถือว่าขวัญเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ดังนั้นจึงมีการรับขวัญสำหรับเด็กเกิดใหม่ โดยมีเครื่องจักสานขนาดเล็กเป็นสัญลักษณ์แทนขวัญ สำหรับเด็กชายมักสานเป็นรูป พัด-อยู่เย็นเป็นสุข กระพ้อ-ใส่หมากพลู ไว้เอาใจผู้ดูแลขวัญ ธนู-สู้กับผีที่จะมาทำอันตราย ถุง-ใส่เมล็ดข้าวเปลือกข้าวสาร ตามคำกล่าวที่ว่า "ข้าวเปลือกไว้เติมฉาง ข้าวสารไว้เลี้ยงไก่" ส่วนเด็กหญิงนอกจากใช้พัดเช่นเดียวกับเด็กชายแล้วยังมี กระเช้า-ใส่หมากพลู ข้าวของเงินทอง ไว้เอาใจผู้ดูแลขวัญ (หน้า 67-68) เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นอาจจะเนื่องมาจากขวัญหนีออกไปจากตัวจะต้องทำพิธีเรียกขวัญ โดยมีหมอขวัญเป็นผู้ทำพิธีติดต่อกับแถน โดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องประกอบในการเรียกขวัญและมีเครื่องบูชาขวัญโดยเฉพาะ การเรียกขวัญมักจะกระทำกับผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย คล้ายกับเป็นการต่ออายุนั่นเอง (หน้า 30) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บ้านของไทยโซ่งดั้งเดิมนั้นเป็นบ้านที่สร้างด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยแฝก พื้นบ้านเป็นฟากไม้ไผ่ ใต้ถุนสูง ยอดจั่วเป็นไม้ไขว้กันคล้ายเขากวาง เรียกว่า "ขอกุด" หลังคาลาดชันยาวคลุมตัวบ้านจนมองไม่เห็นข้างฝา ไม่มีหน้าต่าง (หน้า 30) ข้าวของเครื่องใช้ของไทยโซ่งส่วนมากทำจากไม้ไผ่จักสานเป็นรูปร่างต่างๆ ตามแต่ประโยชน์ใช้สอย กะเหล็บ-เป็นภาชนะปากกลมสูงคล้ายโอ่ง แต่ก้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้ใส่ของใช้ของผู้หญิงเมื่อเดินทางออกนอกบ้าน (หน้า 37) ปานเผือน-เป็นภาชนะทรงกระบอกเตี้ย ด้านบนของทรงกระบอกสานเป็นกระจาด มีลักษณะคล้ายโตกของชาวไทยภาคเหนือ ใช้สำหรับใส่เครื่องถวายในพิธีกรรมต่างๆ ถ้าใช้ในการเซ่นไหว้ผีเรือน เรียกว่า ปานเผือน สำหรับพิธีทำขวัญ เรียกว่า ปานขวัญ (หน้า 43-44) โฮ่-เป็นภาชนะทรงกระบอกเตี้ย ด้านบนเป็นกระจาดบรรจุอยู่ ใช้สำหรับใส่เศษเครื่องมือเย็บปักถักร้อยของหญิงโซ่ง (หน้า 46) สมุก-มีลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีฝาครอบ ใช้สำหรับเก็บเสื้อผ้า (หน้า 48)กระบุง-เป็นภาชนะทรงกระบอก ปากกลม สอบเล็กน้อย ก้นทรงสี่เหลี่ยม ใช้ใส่ผลไม้ ข้าวสาร ข้าวเปลือก ฯลฯ (หน้า 50) หาบเข่ง-เป็นภาชนะปากกลมทรงเตี้ย ก้นหกเหลี่ยม ปากกว้างกว่าก้น หาบเข่งมีสาแหรกหวาย 4 เส้น สำหรับใช้ไม้คานหาบ หาบเข่งนี้ใช้สำหรับใส่ของเพื่อขนส่งหรือเดินทางไปยังที่ต่างๆ หรือใส่ของไปทำบุญ ซึ่งส่วนมากจะมีฝาชีครอบและสานอย่างประณีต ลายสานของกระจาดหาบเป็นลายเฉลวเกล็ดเต่า หรือที่เรียกว่า "ตะแหลวฮ่อ หรือ ตะแหลวเกล็ดเต่า" ลักษณะของลายเป็นตอก 3 เส้นขัดกันเป็นมุมเฉียง 60 องศา ทำให้เกิดเป็นรูปดอกหกเหลี่ยม (หน้า 52-54) ซ้าหลอด-ตะกร้าปากวงรี ก้นสอบเป็นรูปหกเหลี่ยมรี มีหูหิ้ว 6 เส้นมัดรวมกันสำหรับจับถือหรือหิ้ว ลายสานเป็นลายตะแหลวฮั่วหรือลายเฉลวเกล็ดเต่า ใช้สำหรับใส่หลอดด้ายเพื่อนำไปใช้เวลาทอผ้า (หน้า 55) ก่องข้าว-เป็นภาชนะจักสานทรงกระบอก ก้นสี่เหลี่ยมมีไม้กากะบาท 4 แฉกรองรับ ปากสอบ มีฝาครอบ และมีไม้กากะบาทที่ฝาครอบด้านบนสำหรับตกแต่งให้สวยงามและสะดวกในการจับถือเวลาเปิด-ปิด นอกจากนี้ยังมีก่องข้าว ที่ทำจากไม้ทองหลาง โดยถากให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ แล้วเจาะหรือขุดให้ภายในโปร่งตลอดจากปากถึงก้น เสร็จแล้วจึงหาไม้ชนิดเดียวกันที่เป็นแผ่นแบนมากรุพื้นก้น โดยใช้เดือยไม้ไผ่เป็นตัวยึด (หน้า 110) ก่องข้าวทั้ง 2 แบบนี้ ใช้สำหรับใส่ข้าวเหนียวติดตัวเดินทางไปทานนอกบ้าน เนื่องจากรักษาความร้อนของข้าวไว้ได้นานทำให้ข้าวเหนียวนิ่มอยู่ตลอดเวลา และทำให้ข้าวเหนียวไม่เป็นเหงื่อ ป้องกันการบูดเสียได้นานข้ามวัน (หน้า 58) วี-พัดครึ่งซีก มีด้ามเป็นเส้นตรงติดกับตัวพัด ซึ่งสานเป็นแผ่นแบนรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ใช้สำหรับพัดให้ลมเย็น นอกจากนี้ยังใช้พัดที่ตกแต่งเป็นพิเศษในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และเป็นสัญลักษณ์แทนขวัญอีกด้วย (หน้า 61-62) ตะเขิง-ภาชนะทรงแบน ปากกลม ใช้สำหรับร่อนข้าวสาร เมล็ดพืช รำข้าว ตากปลาและผัก (หน้า 63) ไต๊-เครื่องจักสานขนาดเล็ก สานเป็นรูป พัด กระพ้อ ธนูหรือหน้าไม้ และถุงผ้า ผูกเชือกห้อยกับปลายไม้ไผ่ปักไว้ที่ข้างฝาหรือหัวขื่อบ้าน ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนขวัญของเด็กเกิดใหม่ เพื่อให้เด็กเลี้ยงง่าย (หน้า 67) หมอนรูปท่อนไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือที่เรียกว่า "หมอนหน้าอิฐ" ด้านหัวท้ายของหมอนประดับลวดลายด้วยผ้าสีเหลือง ส้ม เขียว ขาว พับแล้วเย็บให้เป็นลายดอกจันทน์ 8 แฉก เกสรตรงกลางบางลายฝังกระจกเงาไว้ด้วย ปลอกหมอนเป็นผ้าสีดำสวมไว้ เปิดหน้าหมอนให้เห็นลวดลายสวยงาม (หน้า 101) มุ้งทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัดเย็บด้วยผ้าสีดำ ขอบมุ้งด้านบนตกแต่งด้วผ้าสีพับเป็นลายดอกจันทน์เรียงกันไปรอบๆ ทั้ง 4 ด้าน หูมุ้งทั้ง 4 เป็นเชือกด้ายดิบสีขาวผูกเป็นห่วงคล้ายโบยื่นออกมาจากมุม ใช้สำหรับกางนอนเวลากลางคืนเพื่อกันยุงและความหนาวเย็น (หน้า 103) ลูกช่วง-เป็นห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมคล้ายหมอนมีสายหิ้ว ภายในบรรจุเมล็ดพืช ใช้สำหรับโยน-รับระหว่างหนุ่มสาวในการเล่นลูกช่วง (หน้า 105) ทาวข้าว-ภาชนะแบนทรงกลม ทำจากต้นไม้ขนาดใหญ่ มีขอบสูงเล็กน้อย มีลักษณะคล้ายถาด ใช้สำหรับผึ่งข้าวเหนียวให้มีเหงื่อน้อยลง (หน้า 112) ไหนึ่ง-เป็นท่อนไม้ทั้งต้น ขุดภายในให้กลวง มีลักษณะปากกว้าง ก้นสอบ ป่องตรงกลาง ที่ก้นมีตะแกรงไม้ไผ่รูโปร่งกรุไว้ ใช้สำหรับนึ่งข้าวเหนียว (หน้า 118) ขันหมาก-กล่องหรือกระกะสี่เหลี่ยมจัตุรัส มี 4 ขา ภายในใช้แผ่นไม้คั่นเป็นช่อง ประมาณ 3-4 ช่อง ใช้สำหรับใส่หมาก พลู บุหรี่ ไว้รับแขกที่บ้าน ช่องที่ใส่ยาเส้นและบุหรี่จะมีฝาปิดหรือลิ้นชักเปิด-ปิด เพื่อรักษากลิ่นของยาสูบและป้องกันความชื้น (หน้า 120) เรือนแก้ว-บ้านจำลองหลังเล็กๆ ทำด้วยกระดาษสี เศษไม้ เศษผ้าสี ติดตามหน้าจั่ว หลังคา ฝาบ้าน ให้ดูแปลกไปจากบ้านปกติ ตั้งอยู่บนพื้นที่สี่เหลี่ยมมีรั้วล้อมรอบ วางอยู่บนลำไม้ไผ่สองลำสำหรับหาม ทำขึ้นสำหรับอุทิศให้กับผู้ตายที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ใช้ตอนที่ฝังกระดูกลงในดิน ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของพิธีศพ (หน้า 127-128) เสาหลวง-เสาไม้ขนาดเท่าน่องคน ถากเปลือกไม้ออก ตกแต่งให้เรียบร้อย ปลายเสาทำเป็นตัวหงส์ติดไว้ เพื่ออุทิศให้คนตายที่เป็นเพศชาย ถ้าเป็นผู้หญิงจะทำเป็นรูปปลี ดอกไม้ หรือดอกบัวตูม รอบเสาหลวงทำเป็นบ่วงวงกลม สำหรับเป็นที่ผูกเสาธงผ้าและสิ่งของเสื้อผ้าที่จะอุทิศให้กับผู้ตาย บ้านใดนำผ้าทอมาอุทิศให้ผู้ตายมากก็แสดงถึงฐานะของบ้านนั้นๆ เสาหลวงนั้นจะตั้งอยู่หน้าบ้านจำลองซึ่งฝังกระดูกอยู่ด้านล่าง ในป่าช้าของหมู่บ้าน (หน้า 129-130) การแต่งกาย ผู้ชายสวมกางเกงขาแคบเสมอเข่าสีดำ เรียกว่า "ช่วงก้อม" สวมเสื้อสีดำแขนยาวเอวรัดรูปคอตั้ง ผ่าหน้า ติดกระดุม 12 เม็ด ใช้สำหรับสวมใส่ทั่วไป ชุดพิธีของชายไทยโซ่งจะต้องสวมกางเกงขายาวสีดำ เรียกว่า "ช่วงฮี" สวมเสื้อคลุมยาวถึงหัวเข่า แขนยาวคอตั้ง ผ่าหน้า ป้ายมาติดกระดุมด้านข้าง พื้นสีดำและตกแต่งลวดลายที่ใต้รักแร้และตะเข็บข้างลำตัวด้วยเศษผ้าไหม เรียกว่า "เสื้อฮีชาย" ใช้สวมใส่เข้าพิธี แต่งงาน ทำขวัญ เซ่นผีเรือน และงานศพ การแต่งกายของหญิงโซ่งเมื่อออกนอกบ้าน ไปทำงาน และเดินทาง จะนุ่งซิ่นสีดำ ลายเส้นตามยาวสีขาว เรียกว่า "ผ้าซิ่นลายแตงโม" สวมเสื้อแขนยาวเอวรัดรูป คอตั้ง ผ่าหน้า ติดกระดุม 12 เม็ด แต่ถ้าอยู่กับบ้านจะนุ่งผ้าซิ่น หาดผ้าฮ่วงนมรอบอก แต่ในระหว่างไว้ทุกข์ จะต้องเลาะชายซิ่นที่เป็นขอบเล็กๆ ออก งดสีฉูดฉาด สำหรับชุดพิธีจะนุ่งซิ่นเช่นเดิม สวมเสื้อคลุมสีดำยาวถึงเข่า แขนยาวคอแหลม มีการตกแต่งลวดลายที่ปลายแขนตะเข็บตรงหน้าอกด้วยผ้าสีแดง ส้ม เขียว ขาว เรียกว่า "เสื้อฮีหญิง" เสื้อฮีทั้งหญิงและชาย ด้านในจะตกแต่งที่ตะเข็บทุกตะเข็บและชายเสื้อด้วยผ้าสีต่างๆ มากกว่าด้านนอก และเมื่อเจ้าตัวหรือเจ้าของเสื้อตายลง ญาติจะนำเสื้อฮีนี้สวมให้ศพ โดยเอาด้านในของเสื้อออกมาเป็นด้านนอก ทรงผมของหญิงโซ่งนั้นมีความแตกต่างกันไปตามวัย คือ 1. อายุ 14 - 15 ปี รวบผมแล้วพับปลายม้วนเข้าแล้วสับหวีไว้ที่ท้ายทอย เรียกว่า "สับปิ่น" 2. ทรง "จุกผม" โดยทำผมเป็นกระบังไว้ข้างหน้า ด้านหลังไว้เปีย เป็นแบบผมของเด็กหญิงอายุ 14-15 เช่นเดียวกัน 3. อายุ 16-17 ปี รวบผมไว้ข้างหลังแล้วผูกเป็นปม ปล่อยชายผมลงมาข้างขวา เรียกว่า ทรง "ขอดกระตอก" 4. อายุ 17-18 ปี ผูกผมเป็นเงื่อนตายทำผมเป็นโบว์ทั้งสองข้าง เอาชายไว้ทางด้านซ้าย เรียกว่า ทรง "ขอดซอย" 5. อายุ 19-20 ปี ผูกผมเหมือนเนคไทและมีชายผมยาวออกมาทางด้านขวา เรียกว่า ทรง "ปั้นเกล้าซอย" 6. อายุ 20 ปีขึ้นไป ลักษณะการเกล้าเช่นเดียวกับทรงปั้นเกล้าซอย เพียงแต่ขั้นตอนสุดท้ายนั้น ไม่ต้องเอาชายผมออกมา เรียกว่า ทรง "ปั้นเกล้าหรือปั้นเกล้าถ้วน" หญิงที่สามารถแต่งงานได้คือผู้ที่โตพอที่จะทำผมทรงนี้ได้เท่านั้น 7. "ปั้นเกล้าตก" เป็นแบบผมสำหรับไว้ทุกข์ของหญิงม่ายที่ศพของสามียังอยู่บนบ้าน หญิงม่ายจะปล่อยผมลงหมด เอาเครื่องประดับออก เมื่อเผาศพ เชิญวิญญาณมาเป็นผีเรือนแล้วต้องไว้ทุกข์ 1 ปี โดยการปั้นเกล้าตก ซึ่งทำผมเหมือนปั้นเกล้าหรือปั้นเกล้าถ้วนแต่ให้กลุ่มผมอยู่ด้านหลัง เมื่ออกทุกข์ก็กลับไปทำผมปั้นเกล้าธรรมดา โดยให้หญิงที่มีสามีแล้วและมีความรุ่งเรืองมาทำผมให้ กำหนดเวลาตามชอบ ระหว่างทำผมจะมีคนมาอวยพรให้โชคดี ร่ำรวย ฯลฯ และสามารถมีสามีใหม่ได้ (หน้า 27-29) นอกจากนั้นแล้ว โซ่งยังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีก เช่น กระเป๋าคาดเอว พื้นสีดำ มีลายที่ขอบปากฝากระเป๋า ชายโซ่งใช้คาดเอวไว้นอกเสื้อก้อม สำหรับใส่เงิน บุหรี่ ไฟจุดบุหรี่ และของจำเป็นอื่นๆ (หน้า 96) |
|
Folklore |
ในฤดูแล้ง หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ชายหนุ่มโซ่งจะรวมตัวกันเดินทางไปเกี้ยวสาวโซ่งที่อยู่ต่างหมู่บ้าน โดยมีชายที่มีความสามารถในการร่ายกลอนสดไปด้วย เมื่อไปถึงหมู่บ้านใดก็เข้าไปติดต่อกับหัวหน้าหมู่บ้าน มีการทักทายด้วยคำกลอน เรียกว่า "การเล่นคอน" ในการโต้กลอนนั้น เมื่อจบแต่ละกลอนจะมีการเป่าแคนเพื่อให้เกิดการร่ายรำ รื่นเริง สนุกสนาน เรียกว่า "ฟ้อนแคน" สลับกันไปมาตลอดทั้งคืน ก่อนที่จะมีการเล่นคอนนั้น มีการเล่นลูกช่วง คือการโยนห่อผ้าให้อีกฝ่ายหนึ่งรับ ฝ่ายที่รับไม่ได้ก็ต้องถูกทำโทษตามคำสั่งของอีกฝ่ายหนึ่ง (หน้า 31) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|