สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject พวน ไทยพวน ไทพวน,ชาวนา,การปรับตัว,ความทันสมัย,ระบบตลาด,ภาคกลาง
Author Sanit Samakarn
Title Peasantry and Modernization : A Study of the Phuan in Central Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ไทยพวน ไทพวน คนพวน, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 286 Year 2515
Source Graduate Division of The University of Hawaii (Doctor of Philosophy in Anthropology )
Abstract

การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจจากระบบการผลิตเพื่อเลี้ยงชีพเป็นหลัก ไปสู่ระบบการผลิตเพื่อขาย ทำให้ชาวนาในสังคมที่ปราศจากระบบชนชั้นที่ตายตัว และไม่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข้งจำเป็นต้องปรับตัวไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป พวนหลายต่อหลายคนของชุมชนบ้านเซ่า หรือแม้กระทั่งในชุมชนบางกะพี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอาชีพจากการทำเกษตรกรรมมาเป็นการค้าขาย ข้าราชการ แรงงานที่มีฝีมือ รวมทั้งนักการเมือง โดยเหตุที่ต้องเปลี่ยนอาชีพเนื่องจากพวกเขาหันมาชื่นชอบวิถีชีวิตแนวใหม่ หรือไม่ก็ถูกแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจให้ต้องเปลี่ยน เพื่อยกตนเองไปสู่สถานะทางสังคมที่ดีกว่า และการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น (หน้า 237) อย่างไรก็ตาม กระบวนการคล้อยตามไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่มุ่งตรงไปสู่พฤติกรรมและค่านิยมแบบตะวันตกอย่างตรงไปตรงมาเสียทีเดียว เพราะอิทธิพลของกลุ่มสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน และดูดซับระบบคุณค่า รวมทั้งพฤติกรรมซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะเกิดการยอมรับระบบคุณค่าในเชิงตะวันตก หรือในแบบทันสมัย นอกจากนั้น พฤติกรรมแบบทันสมัยอาจมีอยู่แล้วในสังคมดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่เป็นการถูกต้องที่จะสรุปว่าระบบคุณค่าแบบทันสมัยหรือแบบตะวันตก แปลกแยกจากระบบคุณค่าดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้เอง ภาวะความทันสมัยของประเทศจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปในกระบวนการดูดซับของชนกลุ่มน้อยในลักษณะที่ละทิ้งระบบคุณค่าดั้งเดิมที่มีอยู่ แต่มันเป็นกระบวนการซึ่งสามารถหลอมรวมเข้ากันได้เป็นอย่างดี ที่จะทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น และอย่างเพียงพอต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายอันมากับความทันสมัย (หน้า 2 ของบทคัดย่อ)

Focus

ศึกษาการปรับตัว และการคล้อยตามของชาวนาพวนต่อภาวะความทันสมัยอันเป็นกระแสสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลของการขยายตัวของระบบตลาดที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจ และสังคมของชาวพวน เปรียบเทียบระหว่างชุมชนบางกะพี้ และชุมชนบ้านเซ่าในอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

Theoretical Issues

ผู้ศึกษามีสมมติฐานอยู่ 2 ประการ คือ 1. การขยายตัวทางตลาดเศรษฐกิจจะกระตุ้นให้ชาวนาปรับตัวและคล้อยตามการเปลี่ยน แปลงทางสังคมของรัฐชาติซึ่งเป็นสังคมที่ใหญ่กว่า และหากการขยายตัวของตลาดมีมากเท่าใด ระดับของการปรับตัว และการคล้อยตามก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น 2. อัตราการปรับตัวและการคล้อยตามจะแปรผันตามระดับของการขยายตัวของตลาดในทิศทางที่เป็นบวก โดยมีเงื่อนไขอยู่ 2 ประการ ก็คือ หนึ่ง ชนกลุ่มใหญ่มีรูปแบบการประพฤติปฏิบัติที่ไม่แบ่งแยกจนเกิดความแตกต่างจนเกินไปนัก สอง ความเข้มข้นเหนียวแน่นของวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยไม่มากพอที่จะต้านกระแสภาวะความทันสมัยได้ (หน้า 8-9) ทั้งนี้ ผู้ศึกษามีแนวคิดหลัก 2 ประการ คือ แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม กับแนวคิดเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม โดยผู้ศึกษาพบว่าแนวคิดของ Hammel (1969) ที่ว่าการขยายตัวของตลาดและภาวะทันสมัยจะทำให้สายสัมพันธ์แบบเครือญาติถูกทำลายไปนั้น ไม่สอดคล้องกับผลการศึกษาที่ชาวนาพวนในพื้นที่การศึกษายังคงรักษาความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติได้อยู่อย่างเหนียวแน่น ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมให้สูงขึ้น อีกทั้งชาวพวนวัยรุ่นที่ทำงานอยู่ในเขตเมืองก็ยังไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาค่อนข้างบ่อยครั้งทีเดียว (หน้า 283-284)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์พวน(Phuan) คนไทยส่วนใหญ่เรียกว่า "ลาวพวน" แต่พวนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีการศึกษาทันสมัยยินดีที่จะถูกเรียกว่า "ไทยพวน" มากกว่า จากผลงานของ Seidenfaden(1963) นั้นได้กล่าวว่า พวน คือ คนไทยที่อาศัยอยู่ในบริเวณเชียงของอันเป็นพื้นที่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหลวงพระบาง และทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเวียงจันทร์ หรือเมืองพวน ดังนั้น พวนจึงละม้ายคล้ายกับคนลาว (หน้า 34)

Language and Linguistic Affiliations

พวนมีภาษาพูดเป็นของตนเองซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะของภาษาไทย แต่ก็เป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพียงพอที่จะเห็นความแตกต่างจากภาษาไทยอื่นๆ (หน้า 19) สำหรับชุมชนบางกะพี้นั้น ชาวบ้านใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ โดยในโรงเรียนมีการเรียนการสอนเป็นภาษาไทย แต่อย่างไรก็ดี ชาวบ้านยังพูดภาษาพวนเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งการพูดคุยระหว่างครูกับนักเรียนนอกห้องเรียนก็ยังเป็นภาษาพวน (หน้า 81)

Study Period (Data Collection)

พฤษภาคม 1970 - เมษายน 1971

History of the Group and Community

จากข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ในอดีต พบว่าช่วงปี พ.ศ. 1933 ความสัมพันธ์ระหว่างพวนมีความแนบแน่น ผูกพันกันในลักษณะเครือญาติ ชาวบ้านแต่ละคนมีนิสัย หรือปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นกันเองประหนึ่งว่าเป็นญาติกัน ขณะที่การไปมาหาสู่กันระหว่างครอบครัวต่างๆ นั้นเป็นไปโดยง่ายดายและมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ไม่ต้องอาศัยสุนัขเอาไว้ดูแลบ้านเรือนเลย เนื่องจากปราศจากโจรผู้ร้ายใด ๆ (หน้า 39) มีความเข้าใจที่สืบต่อกันมาว่าพวนจำต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม คือ เมืองเชียงของ หรือเมืองพวน(ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศลาว) ซึ่งอยู่ในทางบริเวณตอนเหนือของประเทศลาว เนื่องจากผลของสงครามเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างกระจัดกระจายอยู่ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย แต่ส่วนมากจะมาอาศัยอยู่บริเวณจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง ไม่ว่าจะเป็น ลพบุรี นครนายก เพชรบุรี ปราจีนบุรี ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ (หน้า 19-20) ทั้งนี้ มีตำนาน และเรื่องเล่าขานมากมายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพวน และเมืองพวน(เชียงของ) แต่พอสรุปได้ว่าอาณาจักรเชียงของ หรือเมืองพวนนั้น ไม่สู้จะเข้มแข็งพอที่จะรุกรานอาณาจักรอื่น และหากมองในแง่ผู้นำแล้ว กษัตริย์ของพวนก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเมื่อเทียบกับเจ้าฟ้างุ้มของลาว และพระเจ้าตากสินของไทย ตรงกันข้ามกลับถูกรุกราน และครอบครองโดยอาณาจักรที่เข้มแข็งอย่างไทย ลาว เวียดนาม แม้กระทั่งจีนฮ่ออยู่เรื่อยมา ซึ่งในยามสงบเมืองพวนจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ภาษี และทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ให้แก่อาณาจักรที่ทรงอำนาจดังกล่าวข้างต้น ด้วยเหตุนี้เอง พวนจึงมักตกอยู่ในสถานการณ์ที่เดือดร้อนยากลำบาก หลายต่อหลายครั้งพวกเขาต้องถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลย และพลัดหลงจากครอบครัวไป (หน้า 35-36) อย่างไรก็ตาม ยุครุ่งเรืองของเมืองพวนก็คือ ยุคของพุทธศตวรรษที่เจ็ด หรือแปดที่มีขุนเชษฐ์ช่วงเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กของขุนเชษฐ์บรมกษัตริย์พระองค์แรกของเมืองพวน (หน้า 38) หนึ่งในการอพยพโดยสภาพบังคับยุคแรกๆ ของพวน ก็คือ ช่วงปี พ.ศ. 2322 หรือช่วงที่ไทยมีพระเจ้าตากสินเป็นกษัตริย์ ยุคนั้นไทยได้สั่งให้กองทัพของหลวงพระบางเข้าตีเมืองที่อยู่ใกล้เขตแดนของเวียดนาม ซึ่งก็คือ เมือง Lao Xong Dam และเมือง Lao Wieng ส่งผลให้บรรดาครอบครัวที่อาศัยในเมืองทั้งสองแห่งนี้ ถูกจับเป็นเชลยเอามาอยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อมาชาว Lao Xong Dam ถูกสั่งให้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ขณะที่ Lao Wieng ถูกสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดสระบุรี จันทบุรี ราชบุรี และหลายจังหวัดในภาคตะวันตกของไทย (หน้า 42-43) ในปีเดียวกันนี้เอง(พ.ศ. 2322) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(ซึ่งต่อมากลายเป็นรัชกาลที่ 1) ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าตากสินให้บุกโจมตีเมืองเวียงจันทน์ (Vientiane) ของประเทศลาว ซึ่งชัยชนะในครั้งนี้ทำให้ไทยครองทั้งเมืองเวียงจันทน์ และเมืองที่เป็นบริวารต่างๆ รวมทั้งยังได้อัญเชิญพระแก้วมรกตเข้ามาไว้ที่ประเทศไทย ส่วนครอบครัวต่างๆ ที่อาศัยอยู่เมืองดังกล่าวถูกจับมาอยู่ที่จังหวัดต่างๆ ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา (หน้า 43) ต่อมาในปี พ.ศ. 2335 เมืองเตียง(Taeng) และเมืองพวนขัดขืนไม่ยอมเป็นประเทศราชของเมืองเวียงจันทน์ ทำให้พระเจ้าเด่น(Then) ของเวียงจันทน์ส่งกองทัพไปปราบสองเมืองนี้ หลังจากปราบสำเร็จแล้วจึงส่งครอบครัวของลาวพวน และลาว Xong Dam (ผู้ไทดำ) ย้ายไปอยู่ในกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 1 ทรงรับสั่งให้ลาว Xong Dam ไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ส่วนพวกลาวพวนให้ยังอยู่ในกรุงเทพฯ ต่อไป (หน้า 43-44) อย่างไรก็ตาม การอพยพครั้งใหญ่ของพวนเข้าสู่ประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2372 หลังจากที่เจ้าอนุวงศ์ของเวียงจันทน์ถึงแก่อสัญกรรม ส่งผลให้ครอบครัวของลาวจำนวนมาก ซึ่งก็รวมทั้งลาวพวนถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ในประเทศไทย โดยเหตุผลที่ย้ายพวนเข้ามานั้นเกิดจาก 1) เมืองพวนอยู่ติดกับเขตแดนของเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศศัตรูของไทย ด้วยความไม่ไว้ใจเวียดนาม ฝ่ายไทยจึงป้องกันโดยย้ายพวนอพยพเข้ามาอยู่ในไทยเสีย (หน้า 44) 2) เมืองพวน หรือเชียงของเคยตกเป็นเมืองขึ้นของเวียดนามมาก่อน พวนจึงค่อนข้างมีความสัมพันธ์กับเวียดนามอยู่เดิม ซึ่งก็เป็นเหตุให้ไทยไม่ไว้ใจพวน จึงทำการสั่งอพยพพวนเพื่อให้พวกเขาเกิดความจงรักภักดีต่อประเทศไทย (หน้า 46) นอกจากจะมีการอพยพของพวนโดยถูกบังคับแล้วนั้น ยังมีกรณีที่พวนอพยพเข้ามาอยู่ในไทยโดยสมัครใจอีกด้วย อันมีสาเหตุจากการหนีโจรจีนฮ่อที่เข้ามาปล้นสะดม และจับพวนไปเป็นทาสในช่วงปี พ.ศ. 2418-2430 อีกทั้งผืนดินเดิมก็ไม่สู้อุดมสมบูรณ์เท่าใดนัก พวนจึงอพยพจากบ้านเกิดของพวกตนไปยังพื้นที่อื่นๆ (หน้า 48-49) ทั้งนี้ พวนที่อพยพเข้ามายังประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ตามเส้นทางการอพยพ อันได้แก่ กลุ่มที่ 1 ตั้งรกรากอยู่ในเมืองพรหม หรือชุมชนบางน้ำเชี่ยว(Bang Nam Chiew) ในปัจจุบัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี กลุ่มที่ 2 ตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย กลุ่มที่ 3 เข้ามาอยู่ที่บริเวณจังหวัดนครนายก และปราจีนบุรี (หน้า 50) อย่างไรก็ตาม สถานะของพวนที่ไทยจับมาเป็นเชลยหลังจากศึกสงครามนั้น ถูกบังคับให้ทำงานตามที่ทางการต้องการซึ่งต้องสักแขนแสดงความเป็นเชลยสงคราม(สำหรับชายอายุ 20 ปีขึ้นไป) โดยคนที่สักเหล่านี้จะต้องเสียค่าหัวเป็นจำนวนหกบาทต่อปีให้แก่ทางการไทย แต่หลังจากที่รัชกาลที่ 5 (ช่วงปี พ.ศ. 2448) ได้ยกเลิกระบบการเก็บค่าหัวไปแล้วนั้น ทำให้พวนในไทยกลายเป็นคนไทยเต็มตัวอย่างเป็นทางการซึ่งมีสิทธิ และหน้าที่เหมือนคนไทยผู้อื่นทุกประการ (หน้า 52-54)

Settlement Pattern

ลักษณะในการตั้งบ้านเรือนของพวนชุมชนบ้านเซ่านั้น นิยมปลูกบ้านเป็นบ้านไม้ และมุงหลังคาด้วยสังกะสี ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของชุมชนบางกะพี้ปลูกบ้านด้วยการใช้ไม้เนื้อแข็ง มุงหลังคาด้วยสังกะสี หรือทางมะพร้าว และกั้นรั้วด้วยไม้ไผ่

Demography

ชุมชนบ้านเซ่า หากนับจำนวนครัวเรือนของบ้านเซ่า ที่รวมกับจำนวนครัวเรือนของบ้านกลางนาซึ่งอาศัยวัดโบสถ์เป็นศูนย์กลางร่วมกันแล้ว จะมีชาวบ้านอยู่ทั้งหมดประมาณ 92 ครัวเรือน (หน้า 74) ในจำนวนนี้เป็นเพศชายร้อยละ 73 และเป็นเพศหญิงร้อยละ 27 โดยประชากรวัยกลางคนที่มีอายุตั้งแต่ 46- 60 ปี มีประมาณร้อยละ 53 ส่วนประชากรช่วงอายุ 26-45 ปี มีอยู่ร้อยละ 29 (หน้า 86) อันที่จริงแล้ว บ้านเซ่าถือเป็นชุมชนพวนที่ค่อนข้างเจริญ มีอัตราของการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงประชากรมาก โดยสาเหตุของการโยกย้ายที่อยู่มาจากทั้งการแต่งงาน การออกไปตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่ และการเดินทางไปศึกษาที่อำเภอเมืองลพบุรี และกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ประชากรของบ้านเซ่าที่อาศัยอยู่ในชุมชนส่วนใหญ่เป็นพวนที่สูงอายุ ส่วนคนในวัยหนุ่มสาวที่ยังอาศัยในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะมีการศึกษาน้อย หรือไม่ก็พอใจที่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม (หน้า 76) ชุมชนบางกะพี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณที่ตั้งของวัดใหญ่ ขณะที่อีกประมาณ 100 ครัวเรือนตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณวัดน้อย แต่การศึกษาชุมชนบางกะพี้ครั้งนี้ครอบคลุมเฉพาะครอบครัวที่อยู่บริเวณวัดใหญ่เท่านั้น ซึ่งมี 202 ครัวเรือน ทั้งนี้ เนื่องจากชาวบ้านบริเวณวัดใหญ่มีความเป็นมาที่ยาวนานกว่า (หน้า 80) ชุมชนบางกะพี้มีเพศชายร้อยละ 69 และเป็นเพศหญิงร้อยละ 31 โดยที่ประชากรวัยกลางคนที่มีอายุตั้งแต่ 46-60 ปี มีประมาณร้อยละ 21 ส่วนประชากรช่วงอายุ 26-45 ปี มีอยู่ร้อยละ 58 (หน้า 86) สำหรับการอพยพย้ายถิ่นนั้น ชาวบางกะพี้มีการอพยพน้อยกว่าชาวบ้านเซ่า (หน้า 84) โดยบางส่วนได้เปลี่ยนอาชีพจากการทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพค้าขาย จึงมีการย้ายถิ่นเข้าไปทำงานในตัวอำเภอบ้านหมี่ และอำเภออื่นๆ ขณะที่บางส่วนเป็นผู้มีการศึกษาจึงมีโอกาสสูงกว่าในการเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ (หน้า 84-85) อย่างไรก็ตาม แม้ชาวบ้านในชุมชนบ้านเซ่าจะมีอัตราการย้ายถิ่นมากกว่า แต่สำหรับอัตราการเกิดของประชากรของทั้งสองชุมชนนี้ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (หน้า 87)

Economy

โดยเปรียบเทียบแล้วนั้น ชุมชนบางกะพี้ทำมาหากินทางด้านการเกษตรมากกว่าชุมชนบ้านเซ่า แต่โดยภาพรวมรายได้โดยเฉลี่ยกลับน้อยกว่า ซึ่งในปี 1971 ชาวบางกะพี้มีรายได้เฉลี่ยเพียง 10,297 บาท ขณะที่ชาวบ้านเซ่ามีถึง 18,468 บาท แต่ถ้าเปรียบเทียบระหว่างชาวนาที่มีที่ดินเป็นของตัวเองแล้ว ชาวบ้านเซ่ากลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ย 23,561 บาท ขณะที่ชาวบางกะพี้กลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยเพียง 10,608 บาท ซึ่งยังน้อยกว่าชาวบ้านเซ่าที่เป็นแรงงานรับจ้างทำเกษตรที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 10,787 บาท สาเหตุที่ชาวบางกะพี้มีรายได้น้อยกว่าชาวบ้านเซ่านั้นส่วนหนึ่งอาจมาจากประสิทธิภาพของการทำเกษตรกรรมที่มีไม่เท่ากัน และการที่เกษตรกรในบ้านเซ่ามีอัตราการใช้ปุ๋ยเคมีที่มากกว่าชาวบางกะพี้ (หน้า 153-154) ชุมชนบ้านเซ่า บ้านเซ่าและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงถือว่ามีความเจริญอยู่พอสมควร เนื่องจากมีไฟฟ้าใช้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว วิทยุเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถเห็นได้ทั่วไปในชุมชน ขณะที่บางครอบครัว(ประมาณร้อยละ 12) เริ่มมีโทรทัศน์ใช้กันแล้ว (หน้า 76) ชาวบ้านส่วนใหญ่ (ร้อยละ 35) หาเลี้ยงชีพด้วยการทำนาเพียงอย่างเดียว ส่วนที่เหลือนั้น ร้อยละ 24 ประกอบอาชีพค้าขาย ร้อยละ 14 ทำเกษตรกรรมโดยทำนาควบคู่กับการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ขณะที่อีกร้อยละ 10 เป็นคนรับจ้างทั่วไป นอกเหนือจากนั้น ก็มีอาชีพรับราชการ แม่บ้าน และช่างไม้ ซึ่งถือเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนครัวเรือนทั้งหมด (หน้า 77) อย่างไรก็ตาม ในอดีตนั้นเรียกได้ว่าพวนของชุมชนแห่งนี้เกือบทุกคนประกอบอาชีพชาวนา แต่ช่วงเวลาที่ทำการศึกษากลับพบว่ามีจำนวนชาวบ้านไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ยังยึดอาชีพการทำเกษตร (หน้า 77) เนื่องจากเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้ตัวอำเภอบ้านหมี่ ชาวบ้านจึงสามารถเดินทางไปตลาด และสถานที่ราชการได้อย่างสะดวก โดยส่วนใหญ่คมนาคมด้วยการใช้รถจักรยานเป็นพาหนะ นอกจากนั้นก็ยังมีสามล้อถีบไว้คอยบริการอีกด้วย การที่อยู่ใกล้เขตเมืองจึงทำให้พวนของบ้านเซ่าเข้าถึงการบริโภคสินค้า และบริการอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อนหย่อนใจด้วยการไปโรงหนัง การนั่งดื่มชาและกาแฟตามร้านต่าง ๆ ในตลาด หรือแม้กระทั่งสุภาพสตรีที่สามารถหาซื้อสิ่งสวยๆ งามๆ ได้ในร้านค้า (หน้า 78) ชุมชนบางกะพี้ ชาวบ้านกว่าร้อยละ 80 เป็นเกษตรกร โดยส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 55) ปลูกทั้งข้าว และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และถั่วลิสง ร้อยละ 16 ปลูกข้าวอย่างเดียว ส่วนอีกประมาณร้อยละ 8 เท่านั้นที่ปลูกแต่พืชเศรษฐกิจ ขณะที่มีจำนวนชาวบ้านเพียงร้อยละ 10 ที่ประกอบอาชีพค้าขาย แต่เนื่องจากชุมชนบางกะพี้มิได้อยู่ในพื้นที่ที่การชลประทานเข้าถึง ชาวบ้านจึงต้องทำการเกษตรโดยพึ่งพาน้ำฝน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติเป็นหลัก (หน้า 82) ช่วงเวลาที่ทำการศึกษานั้น ชุมชนบางกะพี้ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง ทั้งนี้ เนื่องจากชาวบ้านยังไม่พร้อมที่จะแบกรับค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้านั่นเอง เพราะต้นทุนของการที่ชาวบ้านจะมีไฟฟ้าใช้ได้นั้นรวมแล้วกว่าหนึ่งแสนบาท(ค่าเสาไฟฟ้า สายไฟ และอื่นๆ ) ซึ่งถือเป็นภาระที่หนักเกินกว่าที่ชาวบ้านจะสามารถจ่ายได้ (หน้า 82-83) ชุมชนบางกะพี้อยู่ไกลจากตลาดในตัวอำเภอมากกว่าเมื่อเทียบกับชุมชนบ้านเซ่า แต่การเดินทางไปตลาดก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย เนื่องจากมีทั้งรถประจำทาง และรถรับจ้าง อย่างไรก็ดี ชาวบ้านบางกะพี้ก็ไม่ค่อยได้ไปตลาดบ่อยนัก เพราะส่วนใหญ่จะซื้อของจากตลาดนัดซึ่งอยู่หน้าวัดใหญ่ ซึ่งทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยมีนิสัยที่ชื่นชอบการไปดื่มกาแฟ หรือน้ำชาตามร้านในตัวอำเภอเหมือนคนที่อยู่ในชุมชนบ้านเซ่า ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านบางกะพี้จึงใช้จ่ายน้อย และเก็บออมเงินได้มาก โดยจะออมในรูปของทองคำ และเงินสดที่เก็บไว้เองที่บ้าน (หน้า 83-84)

Social Organization

โดยปกติแล้วลาวพวน หรือไทยพวนจะมีสมาชิกในแต่ละครอบครัวประมาณ 7-8 คน ซึ่งครอบครัวที่มีลูก 5-6 คน ถือว่าเป็นครอบครัวพวนขนาดกลาง (หน้า 91) ทั้งนี้ ครอบครัวพวนมีลักษณะแบบครอบครัวเดี่ยว ยกเว้นในช่วงพึ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง (เพื่อเป็นการทดสอบคุณสมบัติของอ้ายบ่าวว่าเป็นผู้ชายที่ดีจริงหรือไม่) โดยหลังจากนั้น 1 ปี คู่สมรสก็จะแยกย้ายไปตั้งครอบครัวใหม่ (หน้า 116-117) ทั้งนี้ ครอบครัวพวนจะมีลักษณะที่เป็นครอบครัวขยาย (Extended Family) ชั่วคราว เนื่องจากมีประเพณีที่เรียกว่า "เลี้ยงเฮือน" (Lieng Huen) กล่าวคือ ลูกชายหรือลูกสาวคนใดคนหนึ่งจะต้องดูแลอยู่กับพ่อแม่แม้ว่าตนจะแต่งงานแล้ว โดยผู้ที่เลี้ยงเฮือนจะได้ทรัพย์สมบัติจากพ่อแม่เป็นการตอบแทน หรือได้รับมรดกในสัดส่วนที่มากกว่าลูกคนอื่น(หน้า 117) ความเชื่อที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพี่น้องกันห้ามแต่งงานกัน เนื่องจากพี่น้องถือเป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน แต่พี่น้องจะต้องช่วยเหลือดูแลกัน ขณะที่ญาติในระดับอื่นจะช่วยเหลือกันโดยมีการตอบแทนกัน มากกว่าที่จะช่วยเหลือกันเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของชาวพวนนั้น ปู่ย่าตายายมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหลาน (หน้า 120) โดยส่วนใหญ่แล้ว ฝ่ายหญิง(ผู้สาว) จะแต่งงานในช่วงอายุ 17-20 ปี และฝ่ายชาย (อ้ายบ่าว) จะแต่งงานช่วง 21-25 ปี ในปัจจุบันสำหรับผู้ที่มีอาชีพเกษตรกรรมก็ยังยึดถือช่วงอายุของการแต่งงานดังกล่าวอยู่ ทั้งนี้ การเลือกคู่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอ้ายบ่าว ฝ่ายพ่อแม่จะไม่ค่อยบังคับลูกของตน ด้วยเหตุนี้เอง การหนีตามกันไปเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก โดยลักษณะของหญิงงามตามความคิดของไทยพวนนั้น จะต้องผิวสวย ตาสีดำ ผมดำ หน้าอกขนาดปานกลาง สะโพกกลม ขาเรียว หากมีรูปร่างอวบเล็กน้อยถือว่ามีสุขภาพดี และมีลักษณะเป็นแม่ที่ดี (หน้า 107) พิธีการสู่ขอเจ้าสาวขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม หากฝ่ายอ้ายบ่าว และผู้สาวมีฐานะใกล้เคียงกัน พ่อของอ้ายบ่าวจะเป็นฝ่ายที่ไปขอกับพ่อแม่ของผู้สาว และหากฝ่ายอ้ายบ่าวมีฐานะต่ำกว่า พ่อแม่ของอ้ายบ่าวจะเชิญให้ผู้เฒ่าผู้แก่ไปขอผู้สาวแทน อย่างไรก็ตาม หากหมอดูเห็นว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน การแต่งงานก็จะเป็นอันต้องยุติลง (หน้า 108) เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างชุมชนทั้งสองแล้ว ถือว่าชุมชนบ้านเซ่าอยู่ใกล้เขตเมืองมากกว่า จึงทำให้ชุมชนบ้านเซ่ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับความเป็นเมืองมากกว่าชุมชนบางกะพี้ โดยสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ชุมชนบ้านเซ่ามีเปอร์เซ็นต์ของการแต่งงานระหว่างพวนกับคนภายนอกชุมชนซึ่งมิใช่พวนที่สูงกว่า (หน้า 76) คือ มีพวนในชุมชนบ้านเซ่าที่มีสามี หรือภรรยาเป็นคนไทยถึงประมาณร้อยละ 26 (หน้า 81) การที่ชุมชนบางกะพี้อยู่ไกลจากเขตเมืองมากกว่าชุมชนบ้านเซ่า ทำให้ชุมชนบางกะพี้มีความเจริญทางเศรษฐกิจน้อยกว่า การอพยพย้ายถิ่นมีน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ไทยพวนในชุมชนบางกะพี้ก็มีเอกลักษณ์ของความเป็นพวน หรือระดับของการคงไว้ซึ่งความเป็นพวนมากกว่า (หน้า 85) สำหรับในเรื่องรูปแบบการแต่งงานของชุมชนบางกะพี้นั้น การแต่งงานระหว่างพวน กับคนไทยอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก คือมีเพียงประมาณร้อยละ 7 เท่านั้น (หน้า 81)

Political Organization

ไทยพวนทั้งสองชุมชนมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งด้วยสัดส่วนที่สูงมาก กล่าวคือ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ชุมชนบ้านเซ่าามีชาวบ้านไปเลือกตั้งถึงร้อยละ 100 ขณะที่ชุมชนบางกะพี้ก็มีถึงประมาณร้อยละ 99 ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เกิดจากการที่มีสมาชิกชุมชนทั้งสองเข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย (หน้า 229) โดยที่ไทยพวนในชุมชนบางกะพี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในด้านการเมืองระดับชาติ เพราะมีชาวบ้านบางคนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดลพบุรีถึงสองสมัย และเป็นมีโอกาสทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย หรือเลขาฯ ของรัฐมนตรีบางคนด้วย (หน้า 84)

Belief System

แม้ชุมชนทั้งสองจะเป็นชุมชนที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งชาวบ้านจะไปวัดทุกๆ วันพระ(4 ครั้งต่อเดือน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่คนเฒ่า ประเพณีที่ให้ลูกชายบวชก่อนการแต่งงานนั้นยังยึดถือปฏิบัติกันอยู่ แต่กระนั้นก็ตาม ไทยพวนในช่วงวัยรุ่นและผู้ที่มีการศึกษาสูง ค่อนข้างให้ความสนใจ/ความสำคัญกับวัดและพระไม่มากนัก (หน้า 77-78) นอกจากนั้นแล้วความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ หรือผีก็ยังมีให้เห็นกันอยู่เช่นกัน (หน้า 127) ชาวบ้านซึ่งนับถือพุทธศาสนายังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย หรือชาติภพต่อไปในโลกหน้า มากกว่าสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือการเกิดการตายในโลกนี้ (หน้า 128) สำหรับไทยพวนนั้น ศาสนาพุทธประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทำให้แต่ละบ้านของพวนจะจัดพื้นที่สำหรับตั้งพระพุทธรูปเอาไว้ โดยผู้มีฐานะที่ดีจะมีห้องพระโดยเฉพาะ และมีการประดับห้องอย่างสวยงาม โดยพวกเขาเชื่อว่าพลังอำนาจของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่กว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง แม้กระทั่งเทวดาบนสวรรค์ยังต้องกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า (หน้า 129) วัดและพระสงฆ์ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนพวนเป็นอย่างมาก ซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิต และเป็นผู้นำในกิจกรรมทางศาสนา (หน้า 130) โดยพ่อแม่แต่ละคนเชื่อว่าหากลูกชายบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว จะทำให้ตนได้ขึ้นสวรรค์ ตรงกันข้ามหากลูกชายไม่ยอมบวชนั้น พ่อแม่ที่เป็นพวนของชุมชนบ้านเซ่าและบางกะพี้จะมีความเชื่อ และความรู้สึกต่างๆ เช่น พ่อแม่จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ลูกชายไม่มีความกตัญญูรู้คุณ พ่อแม่เคยทำบาปในชาติก่อน ฯลฯ จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นมีไม่รู้สึกอะไรและตามใจลูกชายของตน (หน้า 133) ไทยพวนมีความเชื่อว่าความตายมีอยู่ 3 ประเภท คือ หนึ่ง ตายโหง คือ การตายอย่างรุนแรงน่ากลัว สอง ตายห่า คือ การตายด้วยสาเหตุจากโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค หรือไข้มาเลเรีย และ สาม การตายแบบปกติทั่วไป คือ การตายธรรมชาติด้วยความชรา ซึ่งการตายโหง และการตายห่า ผู้ตายจะกลายเป็นผี ญาติของผู้ตายจะต้องใช้วิธีการฝัง (ห้ามเผาศพ) ขณะที่การตายแบบปกติทั่วไปนั้นสามารถเผาศพได้ โดยระยะเวลาจัดพิธีศพจะอยู่ในช่วง 3-7 วัน หรือขึ้นอยู่กับสถานภาพของผู้ตาย นอกจากนี้ ไทยพวนเชื่อว่าลูกชาย หลานชาย หรือญาติที่เป็นเพศชายของผู้ตายจะต้องบวชในช่วงพิธีศพ มิฉะนั้น ผู้ตายจะไม่มีใครนำพาไปสู่สวรรค์ (หน้า 142) ดังนั้นลูกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะลูกชาย หากแต่งงานแล้วไม่มีลูกนั้น ถือว่าชาติก่อนคู่สมรสเคยทำบาปไว้มาก ทำให้ไม่มีลูกมาดูแลตนเมื่อยามแก่เฒ่า (หน้า 119)

Education and Socialization

หากเปรียบเทียบความสามารถของพ่อแม่ในการส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนแล้ว พบว่า ชุมชนบ้านเซ่าอยู่ในสถานะที่มีโอกาสที่ดีกว่าชุมชนบางกะพี้ โดยอัตราการส่งลูกทุกคนเข้าเรียนสำหรับชุมชนบ้านเซ่าอยู่ที่ประมาณร้อยละ 99 ขณะที่ชาวบ้านบางกะพี้สามารถส่งลูกทุกคนเข้าเรียนได้เพียงร้อยละ 47 เท่านั้น ส่วนครอบครัวที่ไม่สามารถส่งลูก(สักคน) เข้าเรียนได้เลยของชุมชนบ้านเซ่ามีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น แต่ชุมชนบางกะพี้มีอยู่ถึงประมาณร้อยละ 7 อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านอยากส่งลูกให้เรียนสูง ๆ เนื่องจากต้องการให้ลูกของตนเป็นเจ้าคนนายคน เพราะเห็นว่าอาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่มีอำนาจบารมี รวมทั้งมีสถานะทางสังคมที่ดีกว่าอาชีพที่เกี่ยวกับการค้าขาย และการทำเกษตรกรรมทั่วไป (หน้า 198-201) ชุมชนบ้านเซ่า เนื่องจากชุมชนบ้านเซ่าอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองและตลาด จึงทำให้คนที่นี่แข่งขันกันศึกษาให้สูงๆ เข้าไว้ โดยความต้องการในการศึกษานี้เองเป็นเหตุให้เด็กและวัยรุ่นพวนต้องอพยพไปศึกษาที่ตัวจังหวัดและในกรุงเทพฯ (หน้า 76) ซึ่งภายหลังจากที่จบการศึกษาแล้วมักจะไปหางานทำที่อื่น และไม่กลับมาอยู่อาศัยในบ้านเกิดของตน (หน้า 87) ชาวบ้านเซ่ามีสัดส่วนของผู้ที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ประมาณร้อยละ 10 ผู้ที่จบการศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีอยู่ประมาณร้อยละ 51 ขณะที่ผู้ซึ่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมีอยู่เพียงร้อยละ 1 เท่านั้น (หน้า 86) ชุมชนบางกะพี้ มีพวนในชุมชนถึง 8 คนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี และทั้งหมดในจำนวนนี้ต่างก็ย้ายออกไปทำงานที่อื่น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ (หน้า 84-85) นอกจากนั้น ชาวบ้านบางกะพี้มีสัดส่วนของผู้ที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ประมาณร้อยละ 10 ผู้ที่จบการศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีอยู่ประมาณร้อยละ 57 ขณะที่ไม่มีผู้ซึ่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่เลย (หน้า 86) ชุมชนมีโรงเรียนเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับประถมศึกษาปีที่ 1-4 โดยมีครูเพียง 4 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีครูเพียงคนเดียวที่จบการศึกษาขั้นปริญญาตรี ทั้งนี้บรรดานักเรียนประมาณ 200 คนนั้น ส่วนใหญ่เป็นพวนโดยโรงเรียนใช้ภาษาไทยในการเรียนการสอน (หน้า 81)

Health and Medicine

ชาวบ้านทั้งสองชุมชนยังมีความเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากภูตผีวิญญาณ และมีความเชื่อในการบำบัดรักษาโรคด้วยการบนบาน(อธิษฐาน) อยู่ โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ เช่น เจ้าที่ เจ้าทาง ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ภูเขา หรือบริเวณบ้านเรือน นอกจากนั้นยังมีเจ้าปู่ที่อยู่ตามศาลต่าง ๆ ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยหายจากโรคที่บนไว้แล้วนั้น จะตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยการถวายอาหาร หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ แม้กระทั่งหากมีการเดินทางออกจากชุมชนก็จะบนบานมิให้ประสบกับความเจ็บป่วย หรืออันตรายใด ๆ โดยชุมชนบ้านเซ่ามีชาวบ้านที่เชื่อเรื่องการบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ประมาณร้อยละ 76 ขณะที่ชาวบ้านของชุมชนบางกะพี้มีอยู่ถึงร้อยละ 100 ทีเดียว (หน้า 126-127) พวนมีความเชื่อว่าในยามที่มีใครเจ็บป่วยนั้น ผีอาจมาเข้าสิงอยู่ในร่างของผู้ที่ป่วย ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า "ผีเข้า" โดยผีที่เข้ามาสิงอยู่ในร่างของผู้ป่วยมีหลายประเภท หนึ่งในนั้นก็คือ "ผีปอป" อันเป็นผีที่ดุร้ายที่สุดประเภทหนึ่ง ซึ่งชอบกินตับไตไส้พุงของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กทารกแรกเกิด ขณะที่ "ผีป่า" คือผีที่เป็นสาเหตุของการเป็นไข้ อาการไข้จะเกิดภายหลังที่คน ๆ นั้นกลับมาจากการตัดไม้ หรือเก็บผลไม้ในป่า อย่างไรก็ดี เมื่อใครถูกผีเข้าแล้วนั้น หมอผีจะทำการไล่ผีออก ซึ่งหากสามารถไล่ผีออกได้ผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บป่วย แต่หากผู้ป่วยเสียชีวิตก็สันนิษฐานได้ว่าผีได้กินตับไตไส้พุงของคนๆ นั้นไปหมดเสียแล้ว (หน้า 125)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุข้อมูล

Folklore

พวนมีเพลงพื้นบ้านของตัวเองที่เรียกว่า "หมอลำพวน" ซึ่งเป็นเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบาก และทุกข์ทรมานในช่วงของการอพยพมายังประเทศไทย อันเป็นสิ่งเตือนใจพวนรุ่นหลังถึงการต่อสู้ชีวิตของบรรพบุรุษ ที่มีทั้งการล้มตายของคนแก่และคนหนุ่มระหว่างการเดินทางจากตอนเหนือของลาวสู่ไทย ความเจ็บปวดทุกข์ใจของสามีภรรยา และพ่อแม่ลูกซึ่งต้องพลัดพรากจากกัน (หน้า 50)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

พวนของชุมชนทั้ง 2 แห่ง มีความคิดเกี่ยวกับตัวตนของชาติพันธุ์พวนที่ค่อนข้างแตกต่างกัน พวนบางกะพี้เกือบร้อยละ 100 เห็นว่าตัวเขาเองก็คือคนไทย หรือไม่แตกต่างจากคนไทยทั่วๆ ไป ขณะที่พวนในชุมชนบ้านเซ่าเพียงประมาณร้อยละ 66 เท่านั้น ที่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนไทย เพราะมีบางส่วน (ร้อยละ 5) รู้สึกว่าเขาเป็นลาว และอีกร้อยละ 26 ในจำนวนทั้งหมดที่เห็นว่าพวนแตกต่างจากคนไทย และคนลาว กล่าวคือพวนไม่ใช่ทั้งไทย หรือลาว โดยผู้ศึกษาให้เหตุผลถึงการที่พวนบ้านเซ่าเข้าใจตัวตนที่แตกต่างจากพวนบางกะพี้ว่า เป็นเพราะชาวบ้านในชุมชนบ้านเซ่าได้รับอิทธิพลจากความทันสมัย และการศึกษาสมัยใหม่ค่อนข้างมาก จึงทำให้เกิดการตระหนักรู้ถึงชาติพันธุ์ของตน (Self Awareness) มากขึ้น (หน้า 258-259) อย่างไรก็ตาม ไทยพวนรุ่นหลังๆ ไม่ได้คิดว่าตนเป็นคนชนชาติอื่นเลย คิดแต่ว่าตนเป็นคนไทย และยังมีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยไม่น้อยไปกว่าชาวไทยคนอื่น นอกจากนั้น หลายต่อหลายคนรู้สึกว่าพวนนั้นโชคดีที่บรรพบุรุษถูกรุกรานจนต้องอพยพมายังเมืองไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ทำให้พวกตนมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสงบสุข (หน้า 277)

Social Cultural and Identity Change

ภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น ได้ส่งผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตของพวนไม่แตกต่างไปจากชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆ โดยพวนกลายเป็นชาติพันธุ์ที่คล้อยตามและถูกหลอมรวมเข้ากับชนส่วนใหญ่ของสังคมอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าที่แท้จริงแล้ว พวนก็มิได้แปลกแยกแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยมากนัก เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความเชื่อที่จะต้องแต่งงานภายในชาติพันธุ์เดียวกันเอง ทำให้มีการแต่งงานระหว่างพวนกับไทยส่วนใหญ่ อีกทั้งสังคมไทยก็ปราศจากสิ่งขวางกั้นใดๆ ที่จะส่งผลให้พวนไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมการงานทั่วไปของประเทศได้ (หน้า 20) การที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคของการค้า หรือเศรษฐกิจระบบตลาด ทำให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในชุมชนที่ศึกษา จะเห็นได้ชัดเจนจากสถิติในการเป็นเจ้าของที่ดิน โดยชาวบ้านเซ่ามีสัดส่วนในการเช่าที่ดินทำกินถึงร้อยละ 42 (ซึ่งมากกว่าชาวบ้านบางกะพี้ที่มีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น) สถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าชุมชนบ้านเซ่าได้มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นเศรษฐกิจระบบตลาดอย่างเต็มตัวนั่นเอง (หน้า 147-148) การขยายตัวของเศรษฐกิจแบบระบบตลาดทำให้เกิดผลลัพธ์ในทางลบต่อเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนา ส่งผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไปและยังเกิดปรากฎการณ์ ที่สถานภาพทางสังคม(Social Mobility) เปลี่ยนไปสู่อาชีพอื่น ๆ รวมทั้งชาวบ้านมีรูปแบบของชีวิตที่แตกต่างจากเดิม กล่าวได้ว่าชาวนาถูกชักนำให้เผชิญชะตากรรมร่วมไปกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศมากขึ้น (หน้า 176-178) จากผลกระทบ หรืออิทธิพลของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ทำให้ความต้องการที่จะเปลี่ยนอาชีพของชาวบ้านทั้งสองชุมชนอยู่ในสัดส่วนที่สูง และไม่แตกต่างกันมากนัก โดยที่ชาวนาบ้านเซ่าให้ความเห็นว่าการทำนาเป็นอาชีพที่มีรายได้น้อย เป็นเหตุให้พวกเขาไม่พอใจในอาชีพเดิม ทั้งนี้ กว่าร้อยละ 42 อยากมีอาชีพใหม่เป็นพ่อค้า หรือนักธุรกิจ ขณะที่ชาวนาชุมชนบางกะพี้ที่อยากเป็นพ่อค้า หรือนักธุรกิจมีเพียงร้อยละ 13 ตรงกันข้ามกับอาชีพครู(ซึ่งเป็นอาชีพที่มีหน้ามีตา และรายได้มั่นคง) ที่ชาวบางกะพี้กว่าร้อยละ 72 ยกให้เป็นอาชีพในความใฝ่ฝันของพวกเขา (หน้า 182-184) ชุมชนทั้งสองแห่งมีปฏิสัมพันธ์ หรือประสบการณ์กับโลกภายนอกชุมชนในหลาย ๆ ด้าน โดยมีเส้นทางการคมนาคมเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยทั้งทางรถไฟ และทางถนน ทั้งนี้ สิ่งซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดได้ชัดเจนก็คือ การเข้าถึงสื่อมวลชนอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ และการเข้าเป็นสมาชิกองค์กรที่เป็นทางการภายนอกชุมชน (หน้า 210-211) สำหรับในเรื่องการคมนาคมเดินทางออกนอกอำเภอนั้น ชาวบ้านเซ่าจะมีอัตราการเดินทางมากกว่าชาวบางกะพี้ (หน้า 212) แต่คนส่วนใหญ่ของทั้งสองชุมชนก็ล้วนเดินทางโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไปเยี่ยมญาติ หรือเพื่อน มากกว่าเพื่อการธุรกิจ อีกทั้งไม่มีใครที่เดินทางไปยังอำเภออื่นเพราะต้องการไปเที่ยว ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากคนไทยทั่วไปที่มีวัตถุประสงค์ในการเดินทางเพื่อการไปเที่ยวด้วย เนื่องจากชาวบ้านทั้งสองชุมชนนี้มองว่าการเดินทางไปมา(โดยเฉพาะการไปเที่ยว) เป็นสิ่งที่ทำให้เสียเวลา และเสียเงินโดยใช่เหตุ (หน้า 215) แม้พวนที่พยายามปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จะมีความรู้ที่มากขึ้นทั้งในรูปแบบซึ่งมาจากการศึกษาที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ แต่การศึกษาก็หาใช่เป็นปัจจัยหนึ่งเดียวที่ชี้วัดการเปลี่ยนอาชีพของพวนได้ เพราะยังมีปัจจัยอื่นอีกที่เข้ามามีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกอาชีพของพวนเช่นกัน อาทิเช่น อิทธิพลของเพศหญิงที่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงพวนซึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี (หน้า 256-257) จากประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมในชุมชนบ้านเซ่า ชาวนาเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายในเรื่องการตลาด โดยในอดีตอาชีพการทำนาถือเป็นอาชีพที่น่าสนใจ เพราะในแต่ละปีผลผลิตข้าวนั้นดีมาโดยตลอด แต่ชาวบ้านบางคนกลับต้องหยุดอาชีพชาวนา เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับราคาขายข้าวเปลือก(ซึ่งผู้ศึกษาให้ความเห็นว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำพอดี) และชาวนาตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบเพราะไม่สามารถเพิ่มราคาข้าวได้เอง ส่งผลให้ชาวนาบางส่วนต้องเปลี่ยนอาชีพของตัวเอง เช่น หันไปค้าขาย (หน้า 238-239) แม้ชาวบ้านชุมชนบางกะพี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ก็ตาม แต่สำหรับกำนันซึ่งเป็นผู้ที่มีฐานะดีกว่าคนอื่น ๆ นั้น สามารถปั่นไฟฟ้าใช้เองได้ ทำให้ชาวบ้านในชุมชนนี้มีโทรทัศน์ดูเช่นกัน โดยเฉพาะในทุกวันอาทิตย์นั้น บรรดาผู้ชายไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม หรือคนแก่คนเฒ่ามักจะจับกลุ่มดูการถ่ายทอดสดการแข่งขันมวยที่บ้านของกำนัน ทั้งนี้ ส่งผลให้ชาวบ้านมีการพนันมวยกันอย่างสนุกสนาน (หน้า 83)

Critic Issues

ไม่ระบุข้อมูล

Other Issues

คนเฒ่าคนแก่ของพวนมักพูดเสมอถึงการที่ชาติพันธุ์ของตนต้องคำสาปให้พบเจอหายนะในอนาคต โดยหนึ่งในผู้ที่สาปแช่งก็คือ เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ซึ่งได้เคยกล่าวไว้ว่า "จงอย่าให้ชาวพวนได้อยู่อาศัยอย่างสงบสุข" แต่ในทางตรงกันข้าม พวนบางคนก็สะท้อนภาพถึงชาติพันธุ์ของตนที่เป็นคนซื่อสัตย์ขยันหมั่นเพียร โดยพวกเขาจะรักษาสัจจะและรักเพื่อนพ้อง (หน้า 18-19) พวนเป็นชนชาติที่ดูถูกอาชีพซึ่งไร้ศักดิ์ศรี อย่างเช่น ขอทาน โสเภณี อาชญากร ฯลฯ น้อยนักที่เราจะเห็นพวนทำอาชีพแบบดังกล่าวข้างต้น ค่านิยมเช่นนี้เองที่ส่งเสริมให้พวกเขาทำทำความดี และมีการดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ (หน้า 19)

Map/Illustration

ผู้ศึกษาได้แสดงแผนที่สำคัญ 3 แผนที่ ได้แก่ แผนที่ถิ่นฐานเดิมของพวนและการรุกรานของอาณาจักรข้างเคียง (หน้า 37) แผนที่การอพยพของพวนเข้ามายังประเทศไทย (หน้า 51) และแผนที่การตั้งถิ่นฐานใหม่ของพวนในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย (หน้า 59)

Text Analyst เกรียงกมล ธีระศักดิ์โสภณ Date of Report 10 ต.ค. 2567
TAG พวน ไทยพวน ไทพวน, ชาวนา, การปรับตัว, ความทันสมัย, ระบบตลาด, ภาคกลาง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง