สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ระบบเศรษฐกิจ,โครงสร้างสังคม,เชียงใหม่
Author James W. Hamilton
Title Ban Hong Social Structure and Economy of a Pwo Karen Village in Northern Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, หอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Total Pages 280 Year 2508
Source A Dissertation submitted in partial fulfillment of the requirements for the degree of Doctor of Philosophy in the University of Michigan
Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีเนื้อหาครอบคลุมรายละเอียดทุกด้านที่เกี่ยวกับกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่ง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ทั้งประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ประเพณี เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม การแต่งกาย ภาษา และปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเอกลักษณ์ดังกล่าว

Focus

ภาพรวมของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ สังคมวัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากการปรับตัว ตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมของกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ที่บ้านโฮ่ง ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ (หน้า 14)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีถิ่นฐานอยู่แถบภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เช่นเดียวกับเผ่าอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อาข่า ม้ง เย้า เป็นต้น (หน้า 1,2)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในกลุ่ม ธิเบตโต - พม่า และถึงแม้ว่าจะเป็นกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในไทย แต่ก็มีการติดต่อกับทางพม่ามากกว่า ดังนั้น จึงได้รับอิทธิพลทางภาษามาจากพม่ามากกว่าจากทางไทย (หน้า 8)

Study Period (Data Collection)

ราว 2 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 (หน้า 221 -222)

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าทีพบในไทยและพม่า โดยตั้งถิ่นฐานในภูมิประเทศที่เป็นภูเขาระหว่างสองประเทศ แต่มีบางกลุ่มที่อพยพโยกย้ายไปตามที่ราบหุบเขา เลี้ยงชีพด้วยการทำนา กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนขนาดเล็กหลายกลุ่มที่มีความแตกต่างทั้งชื่อ เครื่องแต่งกาย ภาษาและการพัฒนา (หน้า 8)

Settlement Pattern

การปลูกบ้านมี 2 ประเภท คือ 1.นิยมปลูกเป็นแถวโดยหันหน้าสู่ถนนหรือแม่น้ำ และ 2.นิยมปลูกรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ โดยหันหลังให้ถนนหรือกลุ่มของบ้านหลังอื่น ๆ ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง คือ ทุ่งหญ้าสำหรับปศุสัตว์ ภูมิประเทศเชิงเขา และแหล่งน้ำ (หน้า 17)

Demography

สำหรับจำนวนประชากรของกะเหรี่ยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่สำหรับที่บ้านโฮ่งมีรายละเอียดดังนี้ ประชากรรวมทั้งหมด 198 คน ชาย 83 คน หญิง 115 คน ชาย 43 คน (ที่เสียชีวิตบ้าง) ใน 35 ครัวเรือน แต่งงาน 49 คน หย่าร้าง 2 คน เป็นหม้าย 8 คน คู่สมรสยังมีชีวิตอยู่ 39 คน หญิง 43 คน (ที่เสียชีวิตบ้าง) ใน 35 ครัวเรือน แต่งงาน 45 คน หย่าร้าง 4 คน เป็นหม้าย 7 คน คู่สมรสยังมีชีวิตอยู่ 34 คน ชายทีมีชีวิตอยู่เคยแต่งงานและอยู่ในหมู่บ้าน 35 คน หญิงทีมีชีวิตอยู่เคยแต่งงานและอยู่ในหมู่บ้าน 39 คน แต่งงานแล้วอยู่กับพ่อแม่ 31 คู่ ชายโสด 51 คน หญิงโสด 74 คน 35 ครัวเรือน 21 ครอบครัว (หน้า 5-6,26)

Economy

อาชีพและระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของกะเหรี่ยงคือการเกษตรกรรม ในปี ค.ศ. 1960 มีเพียง 18 จาก 35 ครัวเรือนในบ้านโฮ่งที่ทำไร่ยาสูบ และไม่ทุกคนที่ทำไร่บริเวณ Vwang Mo ในปี ค.ศ. 1961 มีสองกรณีที่ครอบครัวหนึ่งใช้พื้นที่อยู่ 4 ปี ผู้ชายคนหนึ่งเริ่มต้นการทำไร่ยาสูบครั้งแรกของเขาในปีนั้น ครอบครัวอื่นจึงได้ทำไร่บ้างในอีกหลายปีต่อมา แต่ละครอบครัวอาจจะไม่ทำไร่เป็นประจำทุก ๆ ปี ในอดีตหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้เลือกพื้นที่เพาะปลูก ชายเจ้าของที่ดินนั้นจะเป็นผู้เตรียมดินสำหรับการเพาะปลูก ในปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกเปลี่ยนจากการเลือกโดยหัวหน้าหมู่บ้านเป็นรัฐบาลไทย สมาชิกในครอบครัวจะเป็นผู้วางแผนการเพาะปลูกในพื้นที่นั้น กะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่งรับรู้วิธีการนี้แต่ไม่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นการปลูกยาสูบที่รัฐบาลจัดให้ค่อย ๆ ได้รับการยอมรับ จากนั้นมา ยาสูบจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของกะเหรี่ยง ข้าวจัดเป็นพืชสำคัญสำหรับกะเหรี่ยงอีกชนิด ที่ไม่เหมือนกับยาสูบอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ยาสูบเป็นการปลูกในพื้นที่ส่วนรวม เป็นรายได้ส่วนรวมของหมู่บ้าน แต่สำหรับข้าวเป็นพืชที่ปลูกในพื้นที่มรดก ผู้ที่ปลูกข้าวจะต้องรายงานจำนวนไร่ที่ที่ว่าการอำเภอ และเสียภาษี 2.50 บาทต่อไร่ สิ่งที่ตามมาคือการจัดระบบแรงงานในการทำนาที่ชัดเจนคือการจ่ายค่าตอบแทนแก่แรงงานมีอยู่ 3 แบบได้แก่ จ่ายเป็นเงิน จ่ายเป็นข้าว และจ่ายเป็นอาหารในวันทำงาน การประกอบอาชีพของกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยธรรมชาติทั้งสิ้น กะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่งมีอาชีพสองประเภทใหญ่ ๆ คือ เกษตรกรรม ซึ่งได้แก่ การทำนา ทำไร่ยาสูบ พริกไทย ผักและผลไม้ ไผ่ การปศุสัตว์ เช่น เลี้ยงวัว ควาย ไก่ หมู และทุกครัวเรือนพบว่ามีการเลี้ยงสุนัข สำหรับอาชีพอีกประเภทของกะเหรี่ยงคือ การหาของป่าล่าสัตว์ เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยของกะเหรี่ยงนั้นมีความใกล้ชิดกับป่าธรรมชาติ การหาของป่าล่าสัตว์จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่ง ผลิตภัณฑ์จากป่าที่ได้มีมากมาย อาทิ เช่น นก กระรอก กิ้งก่า และบางครั้งจะเป็นลิง ทั้งนี้ สัตว์ต่าง ๆ ที่กะเหรี่ยงล่าได้โดยมากเป็นสัตว์ขนาดเล็ก ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจากสัตว์ป่าขนาดเล็กมักเป็นพืชป่า เช่น เห็ด สมุนไพร น้ำผึ้ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมในครัวเรือน เช่น การทอผ้าซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง การทำเครื่องมือสำหรับทำกิน และการสร้างสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับการทำกิน เช่น กังหันน้ำ ซึ่งโดยมากมักเป็นการร่วมมือกันของคนในหมู่บ้าน โดยอาจจะมีการจ่ายค่าแรงเป็นบางครั้ง (บทที่ 4)

Social Organization

ครอบครัวเป็นส่วนที่เล็กที่สุดในสังคมบ้านโฮ่ง และส่วนนี้เองที่บ่งชี้ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง นอกจากนี้ยังแสดงถึงระเบียบ แบบแผนของทั้งหมู่บ้าน ครอบครัวเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการบ่มเพาะกะเหรี่ยงรุ่นต่อ ๆ มา เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง ความเชื่อและหน้าที่ทางสังคม โดยมีรายละเอียดดังนี้ เครือญาติและการแต่งงาน : การแต่งงานเป็นการเริ่มต้นในการสร้างเครือญาติ เอกลักษณ์ทางการแต่งงานของกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่งคือ ชายหนุ่มกะเหรี่ยงสามารถแต่งงานกับหญิงสาวที่เป็นโสดคนใดก็ได้ ยกเว้นพี่น้องแท้ ๆ หรือลูกพี่ลูกน้องของพี่สาวหรือน้องสาวแท้ ๆ ของแม่ หญิงสาวที่สามารถแต่งงานได้เรียกว่า Myng Nang หมายถึง หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน กล่าวคือสามารถแต่งงานกับญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องทางฝ่ายชายได้ เช่น หากคู่สมรสเป็นลูกหลานพี่ชายทั้งคู่ หรือพี่ชายกับน้องสาวสามารถแต่งงานกันได้ แต่หากเป็นลูกหลานจากพี่สาวน้องสาวไม่สามารถแต่งกันได้ เนื่องจากกะเหรี่ยงให้ความสำคัญกับญาติทางฝ่ายหญิงเป็นหลัก จัดเป็นครอบครัวเดียวกัน สืบเชื้อสายมาจากวิญญาณเดียวกัน ในบ้านโฮ่งมีคู่สมรสที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมสี่คู่ โดยสามในสี่เป็นคู่สมรสที่มาจากข้อห้ามดังกล่าว ระบบที่อยู่อาศัย : ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่ากะเหรี่ยงให้ความสำคัญกับการนับเครือญาติทางฝ่ายหญิง และการแต่งงานเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องที่ซับซ้อนทางสังคม หลังจากการแต่งงานภายในครอบครัวจะมีสมาชิกคือสามี ภรรยาและบุตรที่ยังไม่ได้แต่งงาน เมื่อบุตรแต่งงานครอบครัวจะขยายออกไป หากเป็นลูกชายจะแต่งออกไปอยู่กับญาติทางฝ่ายหญิง แต่หากเป็นลูกสาวจะสร้างครอบครัวอยู่ในบริเวณเดิมและมีฝ่ายชายเข้ามาอยู่ร่วมกัน จากหญิงกะเหรี่ยง 41 คนที่ผู้วิจัยทำการศึกษา 36 คนยังคงอยู่กับมารดาในหมู่บ้าน ส่วนที่เหลือเนื่องจากแม่ของพวกเธอไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน สำหรับฝ่ายชายคู่สมรสมี 22 คนที่แม่อยู่ในหมู่บ้าน อีก 19 คนแม่อยู่ที่อื่น มีชายจากบ้านโฮ่งเพียง 20 คนที่ย้ายไปยังหมู่บ้านอื่นเนื่องจากการแต่งงาน ดังนั้น สามารถสรุปสถานะภาพการแต่งงานได้ดังนี้ 1.) หลังการแต่งงานคู่สมรสจะอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง 2.) การสร้างบ้านเรือนจะไม่ไกลจากที่เดิม 3.) เกือบทุกคู่อาศัยอยู่กับฝ่ายภรรยาก่อน 4.) คู่สมรสอาจไปอยู่กับฝ่ายสามีในระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้น 5.) ฝ่ายหญิงส่วนมากมักจะอาศัยอยู่กับมารดาในหมู่บ้านเดียวกัน 6.) กว่าครึ่งชีวิตฝ่ายชายจะอาศัยอยู่กับแม่ 7.) คู่สมรสเกือบทั้งหมดสร้างบ้านถาวรอยู่กับฝ่ายภรรยา 8.) ครอบครัวที่มีพี่สาวน้องสาวอยู่ร่วมกันเมื่อแต่งงานแล้วทั้งลูกและสามีอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ 9.) เมื่อพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตพี่สาวน้องสาวจะกระจายครอบครัวออกไป 10.) บางครั้งเครือญาติอาจจะนับทางฝ่ายชายเป็นหลัก เช่น กรณีของหัวหน้า การสืบทอดมรดก : เริ่มขึ้นเมื่อลูกคนสุดท้ายแต่งงาน แน่นอนว่าในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ มรดกจะแบ่งออกเป็นสัดส่วนให้แก่ลูก ๆ เมื่อเกิดการหย่าร้างฝ่ายหญิงจะเป็นเจ้าของบ้าน และได้รับสิทธิ์ในการดูแลลูก การจัดสรรแรงงาน: โดยปกติทั่วไปฝ่ายชายจะเป็นผู้รับหน้าที่ทำงานหนักนอกบ้าน เช่นการทำไร่ ทำนา หาของป่าล่าสัตว์ ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ดูแลภายในบ้าน งานบ้านทุกชนิด นี่เป็นหน้าที่และแบบแผนดั้งเดิม ต่อมาเมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจึงสามารถใช้แรงงานเพื่อแลกกับค่าตอบแทนที่เป็นเงินได้ หน้าที่เพิ่มเติมของฝ่ายหญิงคือการค้าขายในตลาด สมาชิกอื่น ๆ นอกจากจะช่วยเหลืองานในบ้านแล้วอาจจะรับทำไร่ทำนาไปด้วย

Political Organization

หน้าที่ของหัวหน้าหมู่บ้านกะเหรี่ยงนอกเหนือจากทำหน้าที่ภายในหมู่บ้านแล้ว ยังมีหน้าที่ติดต่อกับทางการไทย โดยมีการเดินทางไปประชุมเป็นประจำทุกเดือนที่สถานที่ราชการของไทยในหมู่บ้านฮอด หน้าที่ของหัวหน้ากะเหรี่ยงที่มีต่อที่ประชุมคือ การรายงานการเกิด การตาย การแต่งงานและการโยกย้ายถิ่นฐานของสมาชิกภายในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังต้องมีการลงทะเบียนเกี่ยวกับการทำกิน เช่นการทำนา การเป็นเจ้าของที่ดินทำกิน เรียกได้ว่าหัวหน้าของกะเหรี่ยงต้องรายงานกิจกรรม และความเคลื่อนไหวของสมาชิกภายในหมู่บ้านให้แก่ทางการไทยเป็นประจำทุกเดือน (หน้า 145)

Belief System

ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่มีการกล่าวถึงงานประเพณีที่จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในเดือนธันวาคมและมิถุนายน เพื่อเป็นการบวงสรวงวิญญาณประจำหมู่บ้านเพื่อให้การปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน และสมาชิก เพื่อผลทางการเกษตรที่สมบูรณ์ ผู้นำหมู่บ้านจะเป็นผู้นำในการประกอบพิธี ของที่ใช้ในการประกอบพิธีคือเหล้าขาวและไก่จากแต่ละบ้าน งานพิธีจะสร้างความรื่นเริงให้แก่สมาชิก ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าระบบความเชื่อของกะเหรี่ยงยังคงเป็นเป็นการนับถือวิญญาณ หรือผี อยู่ในเวลานั้น (หน้า 133-134)

Education and Socialization

การศึกษาในหมู่กะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่งนั้น ผู้เขียนกล่าวถึงโรงเรียนในหมู่บ้านคนไทยที่มีอยู่สองแห่งซึ่งไม่มีกะเหรี่ยงคนใดเดินทางไปเรียนเลย อย่างไรก็ตาม มีเด็กกะเหรี่ยงที่ผู้ปกครองย้ายจากห้วยทราย (Hui Sai) ไปยังวังหลุง (Wang Lung) ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนไทย และมีเด็กกะเหรี่ยงที่มีแม่เป็นไทยเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดบ้าง (หน้า 37-38)

Health and Medicine

ในวังหลุง (Wang Lung) มีสถานพยาบาลที่กะเหรี่ยงสามารถเข้ารับบริการทางสุขภาพเช่นรับยาเพนิซิลิน การผดุงครรภ์ มีการบริการนมผงสำหรับเด็กอ่อน ซึ่งทางยูนิเซฟเป็นผู้บริจาด นอกจากนี้ สถานพยาบาลดังกล่าวยังให้บริการทางความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุขแก่กะเหรี่ยงอีกด้วย (หน้า 38-39)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

งานหัตถกรรมที่โดดเด่นของกะเหรี่ยงคือการทอผ้า เพราะผ้าทอเหล่านี้จะถูกนำไปตัดเย็บเป็นเครื่องแต่งกายของสมาชิกในหมู่บ้านประเภทต่าง ๆ ได้แก่เสื้อและกระโปรงสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว เสื้อสำหรับผู้ชายมีสองประเภท ชุดสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ผ้าคลุม และย่าม และเสื้อผ้าสำหรับชายหนุ่ม เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นสินค้าส่งออกไปขายยังตัวเมืองเชียงใหม่ สำหรับวัตถุดิบของการทอผ้านั้นมาจากการปลูกและปั่นฝ้ายภายในหมู่บ้าน โดยผู้หญิงของแต่ละบ้านจะเป็นผู้ทอและตัดเย็บเสื้อผ้าให้แก่สมาชิกในครอบครัว (หน้า 89-90)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ 1.ประวัติศาสตร์และความเป็นมา 2. ภาษาพูด 3. ระบบครอบครัวแบบขยายที่ยึดทางฝ่ายหญิงเป็นหลัก 4. การปกครองโดยหัวหน้าที่เป็นฝ่ายชาย 5. งานประเพณีประจำหมู่บ้าน 6. ข้อห้ามในการแต่งงานที่ญาติสนิทลำดับที่ 1 ไม่สามารถแต่งงานกันได้ (หน้า 97-99) ความสัมพันธ์กับชนชาติอื่นที่เห็นชัดเจนคือความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า และกะเหรี่ยงกับไทย ทั้งนี้ความสัมพันธ์ล้วนเกิดจากการตั้งถิ่นฐานและการอพยพ ตัวอย่างความสัมพันธ์กับพม่าคือ ภาษาที่ใช้เป็นตระกูล ธิเบตโต - พม่า และสำหรับความสัมพันธ์กับไทยนั้นเป็นไปในทางการเมืองการปกครอง และการค้าขาย

Social Cultural and Identity Change

ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นกับกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่งนั้นเกิดจากสภาพแวดล้อมและสภาพสังคม กล่าวคือ การประกอบอาชีพที่แต่เดิมเป็นการทำไร่เลื่อนลอยก็เป็นการทำนาที่มีทั้งนาปีและนาปรัง มีการทำไร่ยาสูบ การติดต่อค้าขายกับสังคมภายนอกโดยใช้เงินสกุลไทย ในอดีตการแลกเปลี่ยนสินค้าของกะเหรี่ยงเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช้ตัวเงิน มีระบบสาธารณสุขและการเรียนการศึกษา ความสัมพันธ์ทางการเมืองนอกจากมีการปกครองกันเองภายในหมู่บ้านแล้ว ยังต้องเชื่อมโยงการปกครองกับระบบการปกครองของไทย โดยหัวหน้าหมู่บ้านต้องเข้าประชุมรายงานเรื่องราวต่าง ๆ ต่อสถานที่ราชการของไทยเป็นประจำทุกเดือน

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

Table 1.Summary of Village Demography (หน้า 26) 2.Sumary of Climate During 1960 (หน้า 47) 3.Ownership of Buffalo, land (หน้า 77) 4. Pig Pollution (หน้า 80) 5. Socio-Economic Classes (หน้า 120) 6. Village Specialists in Ban Hong (หน้า 141) 7. Annual Expenditures of an Average Household for One Year (หน้า 177) 8. Estimate of Average Household Income and Assets for One Year (หน้า 188) 9. Household Composition (หน้า 242) 10. Marriage Pattern (หน้า 245) 11. Births and Deaths of Children for Women over 40 (หน้า 249) 12.Summery of Village Use and Ownership of Paddy Land (หน้า 258) 13. Tree and Garden Ownership (หน้า 260) 14. Weaving in Ban Hong (หน้า 262) 15.Relationship of Marriage Patterns (หน้า 266) 16. Marital Residence Pattern (หน้า 269) 17. Family Residence Patterns (หน้า 271) 18. Swidden Yield, 1960 (หน้า 274) 19. Paddy Yield, 1959 (หน้า 275) 20. Paddy Yield, 1960 (หน้า 276) Illustration 1. Location of Karen in Southeast Asia (หน้า 3) 2. Research Area and Village Locations (หน้า 16) 3. Ban Hong Village (หน้า 23) 4.Population Distribution in Ban Hong (หน้า 27) 5. Sketch Map of Central Research Area (หน้า 31) 6.Village Household and Linage Segment (หน้า 103) 7. Kinship Terminology (หน้า 124)

Text Analyst ศิริเพ็ญ วรปัสสุ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ระบบเศรษฐกิจ, โครงสร้างสังคม, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง