|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ศาสนาคริสต์,การแสดง,เพชรบุรี |
Author |
บุษบา รอดอ้น |
Title |
การแสดงของกะเหรี่ยงคริสต์บ้านป่าเด็ง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ.2545 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
365 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัญฑิต สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปมีผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยง โดยเฉพาะการติดต่อกับสังคมภายนอก ทำให้กะเหรี่ยงกำลังถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมและความเจริญดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อศิลปะการรำของกะเหรี่ยงที่กระทำสืบต่อกันมายาวนาน ดังนั้นผู้วิจัยจึงตระหนักในคุณค่า เห็นความสำคัญและสนใจที่จะศึกษาถึงการรำของกะเหรี่ยง โดยวิเคราะห์ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่ามีรูปแบบและท่าทางอย่างไร (หน้า 2-4) จากการศึกษาเรื่องการรำของกะเหรี่ยง ทำให้ผู้วิจัยทราบว่าท่ารำในแต่ละชุดสามารถจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะท่ารำที่เลียนแบบมาจากธรรมชาติ ได้แก่ 1) กิริยาของคน และลักษณะท่าทางที่เลียนแบบมาจากวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน การแต่งกาย ลักษณะนิสัย ตลอดจนความเชื่อต่างๆ ดังจะเห็นได้จาก การรำตงเป็นกิจกรรมการพบปะสังสรรค์ รำกระทบไม้ไผ่แสดงถึงการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว รำตำข้าวแสดงถึงวิถีชีวิตด้วยการเหยียบครกกระเดื่องและการใช้มือช้อนข้าวในครก ตลอดจนการแสดงเพลงกล่อมลูกแสดงถึงการครองชีวิตคู่ของกะเหรี่ยง 2) ลักษณะท่าพื้นฐานในการรำ ได้แก่ การแบมือ เท้าสะเอว การก้าวเท้า การแตะเท้า การยกเท้า (หน้า 315) อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไม่ปรากฏการแสดงเพลงกล่อมลูกแล้ว จึงขาดการถ่ายทอดลำดับขั้นตอนในการแสดง ผลการศึกษาเป็นเพียงการอนุมานข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ จึงไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าการแสดงเพลงกล่อมลูกนั้นใช้ท่าอะไรบ้าง ดังนั้นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาน่าจะเป็นประโยชน์หากจะมีผู้ทำการฟื้นฟูการแสดงเพลงกล่อมลูกขึ้น (หน้า 295) |
|
Focus |
ศึกษาความเป็นมา ลักษณะเฉพาะของท่ารำและองค์ประกอบในการรำทั้ง 4 ชุด ได้แก่ รำตง รำกระทบไม้ไผ่ รำตำข้าว และการแสดงเพลงกล่อมลูกของกลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ ในหมู่บ้านป่าเด็ง จังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ. 2544-2545 ว่ามีบทบาทและรูปแบบอย่างไร (หน้า 4-5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ในหมู่บ้านป่าเด็ง ตำบลป่าเด็ง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงในหมู่บ้านป่าเด็งใช้ภาษากะเหรี่ยงในชีวิตประจำวัน ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan Language Family) (ดังแผนภูมิแสดงตระกูลภาษาจีน-ธิเบตและกลุ่มภาษากะเหรี่ยง หน้า 36-37) ไม่มีพยัญชนะสะกด โดยมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากภาษาในสาขาธิเบต คือ จะมีการเรียงลำดับคำในประโยคเป็นประธาน-กริยา-กรรม แต่ภาษาในสาขาธิเบตจะมีการเรียงลำดับคำในประโยคเป็นประธาน-กรรม-กริยา ส่วนลักษณะเด่นของภาษากะเหรี่ยงที่แตกต่างจากภาษาไทย ได้แก่ โครงสร้างพยางค์ เสียงพยัญชนะ สระบางเสียง และเสียงวรรณยุกต์ เช่น คำในหมวดที่อยู่อาศัย (หน้า 37) นอกจากนี้ภาษากะเหรี่ยงบางคำยังนำมาจากภาษากะเหรี่ยงทางภาคเหนือ เช่น คำในหมวดการนับ หมวดคุณสมบัติ หมวดเครื่องใช้ หมวดสัตว์ หมวดพืช หมวดกริยา หมวดอวัยวะ และหมวดเครือญาติ (หน้า 37-39) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนธันวาคม 2544 ถึง เดือนธันวาคม 2545 รวมระยะเวลาประมาณ 1 ปี |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงในประเทศไทยอพยพมาจากประเทศพม่า เข้ามาอยู่ในจังหวัดเพชรบุรีบริเวณลุ่มน้ำภาชีประมาณ 200 ปีมาแล้ว โดยมีสาเหตุมาจากการหนีสงครามและปัญหาความยากลำบากในการประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม สันนิษฐานว่าเดิมทีกะเหรี่ยงเพชรบุรีอาศัยอยู่ในประเทศพม่าที่บ้านเมกะวะ เมืองม่อระแหม่ง และคงจะอพยพเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคราวสงครามระหว่างไทยกับพม่า โดยเข้ามาทางห้วยซองกะเลียหรือพุงท่อง เขตอำเภอวังกะ (อำเภอสังขละบุรีในปัจจุบัน) จังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังได้มีการอพยพตามกันเข้ามาอีก แล้วแยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตามหุบเขาและแม่น้ำลำธารในเขตหมู่บ้านป่าเด็ง ตำบลป่าเด็ง จังหวัดเพชรบุรี หลักฐานด้านประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงกะเหรี่ยงปรากฏเมื่อ พ.ศ.2430 หลังสงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าครั้งที่ 2 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกกะเหรี่ยงด้วย นอกจากนี้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้เสด็จประพาสป่ากะเหรี่ยงต้นแม่น้ำเพชรบุรีในปี พ.ศ.2476 (หน้า 9-13) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานกึ่งถาวร ส่วนมากมักอยู่อาศัยในป่าใกล้บริเวณเทือกเขาสูง ตามสันเขา ป่าเขา และที่ราบหุบเขา มีลำธารไหลผ่าน ลักษณะบ้านเรือนเป็นบ้านที่ปลูกสร้างกันอย่างง่ายๆ ใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นโครงบ้าน และใช้ไม้ไผ่ซึ่งสับและตีแผ่เป็นฟากมาทำเป็นพื้นบ้าน และฝาบ้าน หลังคามุงด้วยหญ้าคาแห้งเย็บเป็นตับ สร้างบ้านแบบยกพื้น มีเพียงห้องเดียวและเป็นห้องอเนกประสงค์ ได้แก่ ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องอาหาร เป็นต้น (หน้า 14, 306) |
|
Demography |
จากการสำรวจข้อมูลฝ่ายทะเบียนราษฎร์ของอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ.2544-2545 พบว่าจำนวนประชากรในหมู่บ้านป่าเด็งมีทั้งหมด 4,186 คน จำแนกออกเป็น 10 หมู่บ้าน ดังตารางแสดงจำนวนประชากรในตำบลป่าเด็ง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี (หน้า 24) ซึ่งสามารถจำแนกตามการตั้งถิ่นฐานและเชื้อชาติดังนี้ หมู่ที่ 4, 5, 6 และ 7 เป็นกะเหรี่ยง 2,010 คน หมู่ที่ 1, 2, 3, 8, 9 และ 10 เป็นคนไทยจำนวน 2,176 คน โดยในหมู่บ้านป่าเด็งมีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ทั้งหมด 214 ครัวเรือน เป็นชาย 1,012 คน หญิง 998 คน (หน้า 24-25) |
|
Economy |
อาชีพหลักของกะเหรี่ยงคือ การปลูกข้าวในนาดำแบบขั้นบันไดและในไร่ข้าวแบบไร่หมุนเวียน นอกจากนี้ยังมีการทำสวนผักและผลไม้ โดยจะเก็บไว้บริโภคส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะนำไปขาย อาชีพรองคือ การหาของป่า ล่าสัตว์ และรับจ้างทั่วไป แต่ปัจจุบันอาชีพหลักได้เปลี่ยนมาเป็นการทำเกษตรกรรมแบบยังชีพคือ ทำสวนผลไม้และเลี้ยงสัตว์ (หน้า 30, 32) อาหารหลักของกะเหรี่ยงคือข้าวจ้าว โดยฝ่ายชายจะมีหน้าที่ตำข้าว ส่วนฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ดูแลหุงหาอาหาร กับข้าวประจำวัน ได้แก่ น้ำพริกที่มีรสจัดและผักต้มต่างๆ กะเหรี่ยงไม่นิยมทานผักดิบ ในอดีตใช้หม้อดินและฟืนในการประกอบอาหาร ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหม้ออลูมิเนียม ใช้เตาอังโล่และถ่านแทน เมื่อสังคมมีการเปิดรับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ จากสังคมเมือง ประกอบกับได้รับความรู้ด้านสุขอนามัยมากขึ้น ทำให้มีรูปแบบในการทำอาหารที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ยำ ผัด ทอด โดยมีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบร่วมกับผัก นอกจากนี้ยังรู้จักวิธีการถนอมอาหาร (หน้า 28-29) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nucleus Family) แบบผัวเดียวเมียเดียว แต่ก็ยังปรากฏรูปแบบครอบครัวขยายอยู่ด้วย ฝ่ายภรรยาจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในบ้าน ทำหน้าที่ดูแลลูก รวมถึงมีอำนาจในการตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ผู้ชายจะเป็นฝ่ายออกไปทำมาหากินนอกบ้าน ส่วนลูกสาวคนสุดท้องมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ไปตลอดชีวิต และผู้อาวุโสในหมู่บ้านจะได้รับการเคารพยกย่องอย่างสูงในการตัดสินปัญหาต่างๆ ในครอบครัว (หน้า 14-15) |
|
Political Organization |
สังคมกะเหรี่ยงมีการรวมตัวกันเป็นหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านมีหัวหน้าที่เป็นผู้ชาย โดยมีการสืบทอดตำแหน่งจากบิดาไปสู่ลูกชายหรือน้องชาย เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และเป็นผู้สร้างทัศนคติของกะเหรี่ยงทุกคน นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสชายของหมู่บ้านทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ให้ความคิดเห็น รวมถึงข้อแนะนำต่างๆ กับชาวบ้านและหัวหน้าหมู่บ้าน อย่างไรก็ดีปัจจุบันสังคมกะเหรี่ยงยังมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในส่วนท้องถิ่น โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกจากคนในหมู่บ้านให้ทำหน้าที่ติดต่อกับทางราชการ (หน้า 16) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงในตำบลป่าเด็งมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ จึงมีประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งผู้วิจัยได้แบ่งประเภทของพิธีกรรมของกะเหรี่ยงออกเป็น 2 ประเภท (หน้า 308) คือ 1) พิธีกรรมที่ทำเป็นประเพณีในรอบ 1 ปี ได้แก่ ประเพณีของกะเหรี่ยงในการพบปะสังสรรค์หลังฤดู เก็บเกี่ยวระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน งานอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงในเดือนธันวาคม เช่น การรำตง รำกระทบไม้ไผ่ และรำตำข้าว เป็นต้น 2) พิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ได้แก่ ประเพณีการเกิด กะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าเมื่อแรกเกิดขวัญของเด็กยังไม่มาอยู่ในร่างกาย จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ เพราะฉะนั้นเมื่อมารดาคลอดบุตรและตัดสายสะดือแล้ว สามีจึงต้องห่อสายสะดือแล้วนำไปแขวนไว้ที่กิ่งไม้ในป่าใกล้หมู่บ้าน เมื่อใดที่สายสะดือแห้งนั่นหมายความว่าขวัญได้มาอยู่กับตัวเด็กแล้ว จึงจะมีพิธีผูกข้อมือและตั้งชื่อให้เด็ก (หน้า 44) ประเพณีการแต่งงาน เนื่องจากกะเหรี่ยงมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ จึงมีข้อห้ามมิให้มีการแต่งงานในผีสายมารดาเดียวกัน เพราะอาจส่งผลร้ายตามมา โดยในวันแต่งงานจะต้องมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เรียกว่า พิธีเตอะ มึง เซีย เพื่อให้ผีมารดาของภรรยาทราบถึงการแต่งงาน และจะต้องนำสินสอดไปตั้งไว้ที่หิ้งบรรพบุรุษ (หน้า 14, 45-46) ประเพณีการตาย กะเหรี่ยงจะฝังศพผู้ตายในป่าโดยหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าถ้ามีผู้เสียชีวิตในวันแรมจะต้องฝังศพเลยไม่เก็บศพไว้ ถ้าหากเสียชีวิตนอกหมู่บ้านและยังไม่ข้ามคืนก็จะนำศพเข้ามาทำพิธีในบ้าน แต่ถ้าเสียชีวิตข้ามคืนแล้วจะไม่นำเข้าบ้านเพราะถือว่าไม่ใช่ผีของบ้านแล้ว (หน้า 47) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการเกษตรกรรมว่า ที่รวงข้าวมีเทพเจ้า(หญิง)องค์หนึ่งสถิตอยู่ โดยในการหยอดข้าวไร่หนึ่งๆ กะเหรี่ยงมักจะหยอดเมล็ดพันธุ์ไม้ดอก และพันธุ์ข้าวลงไปในดินแปลงเดียวกัน เนื่องจากเมื่อเวลาข้าวออกรวงครั้งแรกถ้าได้เห็นดอกไม้ต่างๆ แล้วจะรู้สึกชื่นใจ (หน้า 30) รวมถึงความเชื่อและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหาร คือ ผู้หญิงจะไม่กินเนื้อวัว เนื้อควาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้เลือดลมไม่ดี และมีพยาธิมาก บางคนกินค่าง ลิง ชะนี เพราะเชื่อว่าเลือดค่างสดๆ จะทำให้มีกำลัง เด็กกะเหรี่ยงจะไม่กินแมลงทับ เพราะเชื่อว่าจะทำให้หนังตายื่นลงมาปิดตา และเชื่อว่าการกินของป่า และการล่าสัตว์มากๆ นั้นอาจทำให้เจ้าของสัตว์ในป่ามาทำร้ายได้ (หน้า 28) |
|
Education and Socialization |
ผู้วิจัยได้กล่าวถึงการสืบทอดการรำตง การรำกระทบไม้ไผ่ และการรำตำข้าว ของกะเหรี่ยงหมู่บ้านป่าเด็งไว้ 2 ประเด็น คือ 1) การสืบทอดจากบรรพบุรุษที่เคยเป็นผู้แสดงมาก่อน โดยยังคงสืบทอดท่ารำที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ เช่น การรำตง ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของท่าการเหวี่ยงมือ และการสะบัดมือ เป็นต้น 2) การสืบทอดจากกลุ่มนักแสดงด้วยกัน อันเนื่องมาจากชุมชนหรือกลุ่มองค์กรต่างๆ ต้องการให้มีการอนุรักษ์การรำตง การรำกระทบไม้ไผ่ และการรำตำข้าวไว้ โดยการถ่ายทอดสู่สาธารณชน (หน้า 89, 119, 147) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ประเด็นสำคัญ คือ ผู้วิจัยได้ศึกษาและวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบและลักษณะท่ารำของการแสดงรำตง รำกระทบไม้ไผ่ รำตำข้าว และการแสดงเพลงกล่อมลูก โดยพบว่ารำตงหรือรำจิ๊ดาวเป็นการรำอวยพรที่มีเนื้อร้องโต้ตอบกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในวัยหนุ่มสาว นิยมแสดงในงานสังสรรค์ งานรื่นเริง ใช้จำนวนผู้แสดงประมาณ 8-16 คนขึ้นไป ท่ารำมี 12 กระบวนท่า ประกอบด้วยท่าย่อย 38 ท่า มีทิศทางการเคลื่อนไหวไปข้างหน้าและด้านข้าง ลักษณะเด่นของการรำตงคือ การใช้มือในหลายลักษณะ เช่น แบมือ กำมือ สะบัดมือ และตบมือ อย่างรวดเร็วและพร้อมเพรียงกัน โดยพบว่าการก้าวเท้าไปด้านหน้า การตีไหล่ในกระบวนท่ารำ การตบมือเมื่อต้องการจะเปลี่ยนท่ารำนั้น ทำให้การรำดูว่องไวสัมพันธ์กลมกลืนกับดนตรี (หน้า 167-223, 308-311) รำกระทบไม้ไผ่หรือจิ๊วะ ใช้ผู้แสดงชาย หญิงจำนวน 8 คน ผู้กระทบไม้ไผ่ จำนวน 12 คน และไม้ไผ่จำนวน 14 ลำ นิยมรำในงานรื่นเริงต่างๆ และหลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ประกอบด้วยท่ารำที่มีการใช้ศีรษะ 3 ลักษณะ คือ ศีรษะตั้งตรง ศีรษะเอียงไปด้านข้าง ศีรษะก้มตามลำตัว มีการใช้ลำตัว 4 ลักษณะ คือ ลำตัวตั้งตรง ลำตัวเอนไปด้านข้าง ลำตัวโน้มไปด้านหน้า และการหมุนตัว มีการใช้มือและแขน 2 ลักษณะ คือ การใช้มือระดับศีรษะ การใช้มือระดับลำตัวด้านข้าง มีการใช้เท้า 7 ลักษณะ คือ ยืนตรง ยกเท้าแตะ การก้าวหน้า การย่ำเท้า การใช้เท้าก้าวหน้า การก้าวกระโดด และก้าวกระโดดยกเท้า มีทิศทางการเคลื่อนไหวไปด้านหน้า และสลับตำแหน่งกันระหว่างผู้แสดงแต่ละคนเป็นวงกลม ลักษณะเด่นของท่ารำกระทบไม้ไผ่คือ การใช้ลำตัวโน้มไปด้านหน้า เพื่อเป็นการถ่ายน้ำหนักตัวในการก้าวเท้ากระโดด เพื่อข้ามเท้าในไม้ไผ่ที่กระทบกันในจังหวะห่างและจังหวะชิด นอกจากนี้การกระโดดสปริงตัวขึ้น โดยที่ก้าวเท้าข้างหนึ่งออกไป เมื่อก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งต่อไป เป็นการแสดงถึงความว่องไวในการเคลื่อนไหวของผู้แสดง (หน้า 224-259, 311-313) รำตำข้าวหรือรำจิ๊กริ มีผู้แสดงชาย หญิงจำนวน 6 คน มีอุปกรณ์คือไม้ไผ่จำนวน 3 ลำ เพลงที่ใช้ขับร้องเป็นเพลงจังหวะเร็วที่เรียกว่า จิ๊กริ โดยคำร้องและเนื้อเพลงเป็นการเปรียบเทียบตำนานความรักระหว่างหนุ่มสาว นิยมแสดงในงานประเพณีของหมู่บ้าน งานขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ งานขอบคุณเจ้าป่า เจ้าเขา และงานรื่นเริงต่างๆ มีทิศทางการเคลื่อนไหวไปด้านหน้าเป็นวงกลมและเคลื่อนที่ถอยหลัง พบว่ามีการใช้ศีรษะ 3 ลักษณะ คือ การใช้ศีรษะตั้งตรง ศีรษะเอียงตามลำตัว และศีรษะไปตามลำตัว มีการใช้ลำตัว 2 ลักษณะ คือ ลำตัวตั้งตรงและโน้มตัวไปด้านหน้า มีการใช้มือ 4 ลักษณะ คือ การเท้าสะเอว การงอฝ่ามือ การตบมือ และการจับมือ มีลักษณะเด่นคือ การใช้เท้าก้าวแตะซึ่งมีลักษณะการเลียนแบบการเหยียบครกตำข้าว และการก้มตัวโดยใช้มือช้อนข้าวในครกอย่างรวดเร็ว สื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง (หน้า 136, 260-285, 283-284, 313-314) การแสดงเพลงกล่อมลูกหรือทั่วมิโพล จะใช้ผู้แสดงชายและหญิงอย่างละ 1 คน กับตุ๊กตาผ้า ซึ่งจากการอนุมานลักษณะท่าทางต่างๆ ของผู้วิจัย ได้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นท่าทางการแสดงความรักของพ่อแม่ต่อลูก ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ชมเกิดจินตนาการและให้มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ดังนั้นลักษณะท่าทางที่แสดงออกมาจึงไม่มีแบบแผนตายตัว (หน้า 285-395, 314)กรรมวิธีในการทำเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการแสดง เช่น กลองหรือเคอะ ซึ่งเป็นกลอง 2 ด้าน ทำจากไม้เนื้อแข็งหุ้มด้วยหนัง ใช้เชือกไนล่อนรัดรอบกลองทั้งด้านบนและด้านล่าง การขึงหนังนิยมขึงตึงด้วยหนังวัวที่ผ่านการแช่น้ำเกลือ และการตำเพื่อให้หนังบางจนได้ที่ (หน้า 76-77, 99, 131) นอกจากนี้ยังกล่าวถึงเอกลักษณ์ด้านการแต่งกายของกะเหรี่ยงที่จะทอและตัดเย็บเสื้อผ้าใส่กันเอง โดยนำผ้าแต่ละชิ้นที่ทอได้มาเย็บประกอบกันเป็นตัว จะไม่มีการตัดโค้งเว้ารอบคอหรือแขนแต่อย่างใด ผู้ชายจะสวมเสื้อทรงกระสอบสีแดง ยาวคลุมสะโพก นุ่งโสร่งซึ่งทอด้วยฝ้ายพื้นสีขาวหรือสีแดง มีผ้าโพกศีรษะประดับลวดลายปักสีแดง และสะพายถุงย่ามสีแดง เนื่องจากกะเหรี่ยงถือว่าสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายที่แสดงถึงความอดทนแข็งแรง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงจะมีความแตกต่างกันระหว่างผู้หญิงที่แต่งงานแล้วกับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน โดยผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดทอมือทรงกระสอบสีขาว ยาวกรอมเท้า คาดผ้าที่ศีรษะทิ้งชายลงมาด้านหน้า เรียกว่า เช้ว้า ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อยาวระดับสะโพก คอเป็นรูปตัววี แขนในตัว เรียกว่า เช้ชู ที่หน้าอกปักลวดลายด้วยด้ายสีแดง และมีพู่สีแดงห้อยยาวลงมา นุ่งผ้าซิ่นปล้องสีดำ ปักลวดลายด้วยด้ายสีสด (หน้า 18-23, 58-75, 91-98, 120-130, 149-154) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ถึงแม้จะมีการนำกีตาร์เข้ามาบรรเลงในเพลงรำตำข้าว แต่ผู้แสดงก็มิได้ให้ความสำคัญกับเพลงที่ใช้บรรเลงเท่าใดนัก เนื่องจากผู้แสดงจะจดจำเนื้อร้องของเพลง และจังหวะกระทบไม้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นดนตรีที่นำมาประกอบจึงเป็นเพียงสีสันที่เข้ามาปรุงแต่งการแสดงให้น่าดูและเร้าใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น (หน้า 138) รวมถึงการประยุกต์การแต่งกายของผู้แสดงรำตำข้าวก็ไม่ได้ทำให้วัฒนธรรมการแต่งกายที่สืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษบิดเบือนไป เพราะเมื่อมีงานในวันสำคัญต่างๆ ภายในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงก็ยังคงอนุรักษ์ประเพณีการแต่งกายของตนไว้ (หน้า 127) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันการแต่งกายของกะเหรี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากมีการติดต่อสัมพันธ์กับคนไทยในพื้นราบมากขึ้น กะเหรี่ยงจึงหันมานิยมซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปสวมใส่แทนการทอ เช่น เสื้อยืดหลากสี เสื้อเชิ้ตแขนยาว เป็นต้น เนื่องจากขั้นตอนในการทอค่อนข้างจะซับซ้อนและต้องใช้เวลา รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ในการทอผ้ายังมีราคาแพง (หน้า 94) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกประการหนึ่งอันเนื่องมาจากในปี พ.ศ.2539 ได้มีผู้เสนอความคิดที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง โดยการนำรำตง และรำตำข้าวออกเผยแพร่ในงานประเพณีต่างๆ ของจังหวัด และในช่วงเวลานั้นกะเหรี่ยงก็ไม่นิยมทอผ้าไว้ใช้เองแล้ว โดยหันมารับจ้างแทน จึงทำให้การแต่งกายในการแสดงของกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงเป็นแบบชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในภาคเหนือ (หน้า 70, 123) ผลกระทบจากปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้โอกาสในการแสดงรำตำข้าวเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเป็นการนำมาแสดงในงานต่าง ๆ ของหมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัดใกล้เคียง เช่น งานอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง งานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานประเพณีสงกรานต์ รวมถึงงานต้อนรับแขกที่เข้ามาศึกษาศิลปวัฒนธรรมกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน (หน้า 138) นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำเครื่องดนตรีสากล(กีตาร์) เข้ามาประกอบในการแสดง โดยนำมาเล่นผสมผสานกับเครื่องดนตรีพื้นบ้าน(กลอง) ทั้งนี้เนื่องจากในปีเดียวกันนี้เองได้มีผู้สนใจไปเรียนดนตรีสากลนอกหมู่บ้านแล้วนำกีตาร์เข้ามาในหมู่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการนำกีตาร์เข้ามาประกอบในการรำ (หน้า 132) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ ตาราง แผนผัง และภาพประกอบในงานวิจัย เช่น แผนผังแสดงตำแหน่งของผู้แสดงรำตง รำกระทบไม้ไผ่ รำตำข้าว และการแสดงเพลงกล่อมลูก (หน้า 87, 103, 141, 157) ภาพแสดงการแต่งกายของกะเหรี่ยง (หน้า 19-22) ภาพแสดงท่ารำตง (หน้า 170-218) ภาพแสดงท่ารำกระทบไม้ไผ่ (หน้า 226-253) ภาพแสดงท่ารำตำข้าว (หน้า 263-280) ภาพแสดงท่าทางประกอบเพลงกล่อมลูก (หน้า 286-294) |
|
|