สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ข้าวห่อ,ผูกขวัญ,ภาคเหนือ
Author กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
Title ประเพณีอั้งมีถ่อง
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 54 Year 2545
Source ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
Abstract

เนื้อหาส่วนใหญ่เน้นประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง ทั้งยังสะท้อนให้เห็นความเชื่อในการนับถือผี ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญและโชคลาง

Focus

เน้นศึกษาประเพณี พิธีกรรมของกะเหรี่ยง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เน้นศึกษากลุ่มชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

ใช้ภาษากะเหรี่ยง ซึ่งยืมคำมาจากไทย มอญ พม่า เนื่องจากไม่มีภาษาดั้งเดิมของตน

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

สันนิษฐานว่าชนชาติกะเหรี่ยงหรือ ยาง เคยอยู่ทางตะวันออกของทิเบต แล้วเข้าไปตั้งรกรากทางตอนใต้ของจีน ประมาณ 3,200 ปีก่อน หลังจากถูกจีนรุกราน ก็พากันอพยพลงมาทางตอนใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซี ถูกรุกรานจากคนไทยในจีน จนต้องถอยร่นลงมาอยู่ตามลำน้ำโขงและสาละวินในเขตพม่า จึงอพยพเข้าสู่ไทย การอพยพของกะเหรี่ยงสู่ประเทศไทยครั้งสำคัญที่สุด ก็คือ ช่วงที่พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าทำสงครามกับมอญ พวกมอญแพ้ กะเหรี่ยงให้ที่พักพิงพวกมอญ เมื่อพม่ายกทัพมา กะเหรี่ยงจึงอพยพหนีสงครามเข้าสู่ไทย (หน้า 29-30) อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งของผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์วิทยาในอินโดจีน กล่าวไว้ว่า กะเหรี่ยงหรือยาง อาจเคยอยู่ในแคว้นสิบสองปันนา (เชียงรุ้ง) และแคว้นเชียงตุง บริเวณพรมแดนตอนเหนือของไทย ตลอดถึงหลวงพระบางและที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงของลาว ซึ่งพบว่ามีชนชาติข่ากลุ่มหนึ่งที่ชื่อ "เรียง" หรือ "ข่าเรียง" (หน้า 29) ในประเทศไทย กะเหรี่ยงส่วนใหญ่อพยพมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในสวนผึ้งได้แยกย้ายไปอยู่กาญจนบุรี เพชรบุรี และอำเภอกำแพงแสน นครปฐม ต่อมากะเหรี่ยงกำแพงแสนได้อพยพมาอยู่ที่หนองกะเหรี่ยง จากหนองกะเหรี่ยงก็อพยพหนีไปอยู่ที่ห้วยกะพลง หมู่บ้านทุ่มแหลม จากห้วยกะพลงจึงอพยพมาอยู่สวนผึ้ง บางครอบครัวอพยพมาจากหมู่บ้านโป่งกระทิงบน บางส่วนอพยพมาจากหมู่บ้านบึงในบ้านคา บางส่วนมาจากพม่า สำหรับกะเหรี่ยงในสวนผึ้งมีที่หมู่บ้านบ่อ หมู่บ้านทุ่งแฝก หมู่บ้านสวนผึ้ง หมู่บ้านท่ามะขาม หมู่บ้านห้วยคลุม และหมู่บ้านห้วยผาก นอกจากนี้ยังมีที่ตำบลบ้านคา และบ้านบึง (หน้า 5, 6)

Settlement Pattern

ในบรรดาชาวเขาทั้งหมด กะเหรี่ยงจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ระดับต่ำที่สุด มักปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ตามไหล่เขา ใกล้ลำธาร (หน้า 36)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

อาชีพหลักของกะเหรี่ยงคือ เกษตรกรรม ทำไร่ข้าว ข้าวโพด เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ อาทิ ไก่ หมู ช้าง วัว ควาย นอกจากนี้ยังทำงานหัตถกรรม เช่น การทอผ้า จักสานภาชนะ และทำเครื่องปั้นดินเผา เป็นอาชีพเสริม (หน้า 37)

Social Organization

กะเหรี่ยงโปว์นิยมชีวิตคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่นิยมแต่งงานคนต่างชาติต่างภาษา ไม่นิยมการหย่าร้างหรือแต่งงานใหม่ และต้องไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกันก่อนแต่งงาน ห้ามการคบชู้ การแต่งงาน มีทั้งกรณีที่ชายหนุ่มขอแต่งงานกับหญิงสาว หรือหญิงสาวเป็นฝ่ายขอแต่งงาน หรือผู้เฒ่าเป็นเถ้าแก่มาสู่ขอ ปกติมักนิยมพูดคุยกันเองมากกว่า หญิงที่มีลูกนอกสมรสโดยมาก มักจะอยู่โดยไม่มีคู่ไปตลอดชีวิต หากครอบครัวมีลูกสาวหลายคนมักให้พี่สาวคนโตแต่งงานไปก่อน ฝ่ายเจ้าบ่าวต้องทำงานรับใช้บ้านฝ่ายหญิง 1 ปี จึงแยกไปสร้างบ้านต่างหากได้ หากครอบครัวมีลูกสาวคนเดียว ฝ่ายชายห้ามแยกบ้านต้องอยู่กับพ่อตาแม่ยายตลอดชีวิต (หน้า 42-44)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ในปัจจุบันกะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา แต่ก็ยังคงนับถือผีสางเทวดาอยู่ เพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพชน เชื่อว่ามีอำนาจบันดาลให้ดีให้ร้ายได้จึงต้องบนบานเซ่นไหว้เพื่อให้คุ้มครองป้องกัน หากใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดินทางไกลก็จะทำพิธีกินผี โดยขุดหาตัวอ้นหรือตัวตุ่นมาทำอาหาร บางกลุ่มจะใช้ไก่เป็นเครื่องเซ่นไหว้บนบานตามบริเวณโคนไม้ใหญ่ซึ่งเชื่อกันว่ามีผีสางเทวดาสิงสถิตอยู่ เมื่อเซ่นไหว้แล้วนำมารับประทาน (หน้า 35) กะเหรี่ยงโปว์ จะมีความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับผีเช่นเดียวกับเผ่าอื่น พวกเขาเชื่อว่า หินสีดำเป็นก้อนหินศักดิ์สิทธิ์คู่เผ่า เมื่อจะอพยพไปอยู่แหล่งใด ก็จะนำก้อนหินสีดำไปด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ผู้ที่ตายไปแล้วนั้น ดวงวิญญาณจะยังไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนไปมาอยู่ภายในหมู่บ้านกับป่าช้า เมื่อถึงกำหนดก็จะกลับมาเกิดใหม่ กะเหรี่ยงโปว์จะสักรูปสวัสดิกะที่ข้อมือ และสักรูปกระดูกงูที่น่อง เชื่อว่าเป็นการป้องกันเวทมนตร์คาถา และภูตผีปีศาจได้ พิธีกรรมเกี่ยวกับผีในทางเกษตรกรรมของกะเหรี่ยงโปว์ เริ่มตั้งแต่ พิธีบอกกล่าวผีก่อนลงมือถางไร่ ทุกครัวเรือนจะจัดพิธีหลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านทำพิธีในไร่ของตนแล้ว ก่อนลงมือเพาะปลูกจะมีการทำพิธีขอฝน (หน้า 39-40) พิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดคือ พิธีเลี้ยงผีประจำไร่ จะใช้ไก่ 6 ตัว หมู 1 ตัว เซ่นบวงสรวงเพื่อคุ้มครองต้นข้าวอ่อนในไร่นา มีการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยกำจัดแมลงอย่างมด ปลวก และมีพิธีเซ่นไหว้ไฟเพื่อไม่ให้ต้นข้าวเหลืองตาย ในแต่ละปีจะมีการเลี้ยงผีประจำไร่ 2 ครั้ง ครั้งที่สองจะจัดขึ้นตอนที่ต้นข้าวเริ่มตกรวง ในเวลาไล่เลี่ยกันจะมีพิธีเลี้ยงขวัญข้าว กะเหรี่ยงโปว์เชื่อกันว่า ข้าวก็เหมือนมนุษย์อาจพบความลำบาก หากวิญญาณถูกผีร้ายตามคุกคาม พิธีเกี่ยวกับผีในการเกษตรจะจัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย หลังการเก็บเกี่ยวผลิตผลนำเข้ายุ้งฉางแล้ว ป้องกันการผี คนและหนูมาขโมยข้าว หมอผีผู้ทำพิธีเป็นหญิงอาวุโสสืบตระกูลต่อ ๆ กันมา หากขาดผู้สืบทอดจะเลือกกันขึ้นมาใหม่ หากหมอผีตาย ชาวกะเหรี่ยงโปว์จะฆ่าไก่และหมูทิ้งทุกตัวเพื่อนำมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ แล้วจึงเริ่มเลี้ยงใหม่ (หน้า 40-41) พิธีเรียกขวัญและผูกขวัญ กะเหรี่ยงจะทำพิธีเรียกขวัญและผูกขวัญ 2 ครั้ง คือ เรียกขวัญในตอนเย็นก่อนกินข้าวห่อ 1 ครั้ง และตอนเช้าก่อนทำพิธีกินข้าวห่อ 1 ครั้ง จะจัดเตรียมข้าวห่อต้มสุกพร้อมน้ำจิ้มและอุปกรณ์ประกอบพิธีต่างๆ บรรจุใส่กระบุง เจ้าของบ้านจะประกอบพิธีเรียกขวัญตอนเย็น ผู้เรียกขวัญจะใช้ภาษากะเหรี่ยง ระหว่างทำพิธีเรียกขวัญต้องจุดเทียนไว้ จากนั้นจะทำการผูกขวัญให้ลูกหลานและคนในบ้าน โดยนำด้ายแดงจุ่มน้ำในขัน รูดข้อแขนเพื่อเรียกขวัญ คนที่เกิดเดือน 9 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเดือนไม่ดี ต้องผูกด้ายแดงทั้งขาและแขน 2 ข้าง แล้วรับข้าวห่อที่ใช้ทำพิธีเรียกขวัญไว้ ด้ายแดงต้องปล่อยให้หลุดหรือขาดไปเอง เมื่อเสร็จพิธีเรียกขวัญแล้วต้องอยู่ที่บ้าน ไม่ออกไปไหน เพื่อรอรับขวัญที่จะกลับคืนมา พอเช้าวันใหม่ก็ทำพิธีเรียกขวัญที่ยังตกค้างอีกครั้งหนึ่ง แต่ละบ้านจะจัดสำรับข้าวห่อไปเซ่นไหว้วิญญาณผีบรรพบุรุษ พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว การเซ่นไหว้ผีต้องเรียกผีให้มากินข้าวห่อด้วย เสร็จพิธีเรียกขวัญชาวบ้านก็มาร่วมกินข้าวห่อ (หน้า 17,19,20-23) ประเพณีอั้งมีถ่อง หรือ ประเพณีกินข้าวห่อ จัดขึ้นต่อจากพิธีเรียกขวัญผูกขวัญในเดือน 9 ของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะกำหนดกันเองแล้วแต่สะดวก ใช้เวลาประกอบพิธี 2 วัน ถือ เป็นวันรวมญาติ ผู้วิจัยสันนิษฐานว่ามีจุดประสงค์เพื่อเรียกขวัญ และยังเป็นการเลี้ยงผีปู่ย่าตายายอีกด้วย กำหนดวันห่อข้าวมีก่อนวันกินข้าวห่อ 1 วัน ชาวบ้านจะเตรียมทำข้าวห่อและน้ำจิ้มไว้ พอรุ่งเช้าจะนำข้าวห่อไปถวายพระที่วัด เริ่มกินข้าวห่อหลังเสร็จการเรียกขวัญ แขกที่มาร่วมงาน จะผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละบ้าน บางบ้านเลี้ยงสุรา เจ้าของบ้านที่เป็นผู้อาวุโสจะทำพิธีผูกแขนผู้มาเยือน พร้อมให้ศีลให้พร แต่เดิม หนุ่มสาวจะผลัดกันป้อนข้าวห่อและมีการร้องเพลงเกี้ยวกัน โดยแต่งชุดประจำเผ่า ประเพณีกินข้าวห่อสะท้อนให้เห็นสถานภาพชีวิตความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยง ในเรื่องความเชื่อเรื่องขวัญ เรื่องผี-ผีบรรพบุรุษ เรื่องโชคลาง และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (หน้า 7-15) ประเพณีเกี้ยวสาว จะเกิดขึ้นเป็นทางการในงานศพ ฤดูที่ว่างเว้นจากการทำนา โดยมีชายหญิงหลายหมู่บ้านมาร้องเพลงรอบศพ ฝ่ายชายอาจไปเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงที่ตนคุ้นเคยในตอนเย็น เพื่อเสาะแสวงหาหญิงสาวมาเป็นคู่ครอง หญิงชายที่แต่งงานกันมักมีอายุไล่เลี่ยกันหรือห่างกันไม่กี่ปี โดยบิดามารดาจะเปิดทางให้หนุ่มสาวพูดจาเกี้ยวพาราสี หรือร้องเพลงโต้ตอบกันในช่วงเวลาหลังอาหารค่ำ (หน้า 41-42) ประเพณีแต่งงาน ฝ่ายชายจะมอบกล้องยาเส้นให้หญิงสาวแล้วจัดผู้ใหญ่ไปหมั้น พิธีจะจัดขึ้น 2 วัน โดยเชิญคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมงาน ผู้เฒ่าฝ่ายชายและหญิงฝ่ายละคนจะร้องเพลงอวยพรบ่าวสาวแล้วผูกข้อมือเรียกขวัญ เย็นวันแรกของพิธีแต่งงาน เจ้าสาวจะเปลี่ยนจากเครื่องแต่งกายหญิงโสดเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว สินสอดที่ขาดไม่ได้คือ เงินพดด้วง ทั้งสองฝ่ายจะฆ่าหมูตัวใหญ่ที่สุดที่เลี้ยงไว้ แล้วตัดท่อนหน้าท่อนหลังมาแลกกัน หากน้องสาวออกเรือนก่อนพี่สาว ต้องฆ่าหมูเลี้ยงพี่สาวเป็นค่าทำขวัญ เชื่อกันว่า หากมีลูกนอกสมรสเกิดขึ้น ผีเจ้าที่เจ้าทางจะขุ่นเคือง (หน้า 42-44) ประเพณีงานศพ มักห่อศพผู้ตายด้วยเสื่อลำแพน แล้วนำไปวางไว้บนร้านกลางลานบ้าน มีผู้เฒ่ามาร้องเพลงแนะคนตายให้เดินทางไปสู่สวรรค์ มีการเขียนรูปภาพลงบนแผ่นไม้กระดานใช้ถ่านหุงต้ม รูปที่เขียนเป็นรูปต้นไม้ 5 กิ่ง มีผลไม้เต็มต้น เปรียบได้กับชีวิตมนุษย์ วัยเด็กปีนเล่นอยู่โคนต้น พอใกล้ฝั่งก็ขึ้นไปอยู่บนยอดไม้เก็บผลไม้ทาน หากไม่ลงมาอาจตกลงมาเอง เหมือนความตายที่มาเยือนได้โดยไม่อาจล่วงรู้ พิธีศพกลางคืน คนวัยหนุ่มสาวจะจับมือกันร้องเพลง "ม่าทา" ไปรอบ ๆ ศพรำพันถึงผู้ตาย แล้วโปรยเมล็ดพันธุ์พืชลงไปเพื่อให้ผู้ตายนำไปปลูก กะเหรี่ยงโปว์จะไม่เผาศพ จ ะใช้พิธีฝังแล้วฆ่าไก่ของผู้ตายตัวหนึ่งเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่หลุมศพ (หน้า 44-45)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยง แตกต่างกันไปตามเผ่า หากเป็นกะเหรี่ยงสะกอ ชายนิยมใส่เสื้อแขนสั้นสีแดง รัดเอวด้วยเชือกพู่ ใช้ผ้าสีต่าง ๆ โพกศีรษะหญิงโสดนิยม ใช้ชุดกระโปรงขาว หญิงที่แต่งงานแล้วใส่เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินเข้ม กระโปรงสีแดงประดับลูกปัดแดง-ขาว โพกศีรษะด้วยผ้าแดง กะเหรี่ยงโปว์ ชายแต่งตัวคล้ายชาวนาไทย หญิงที่แต่งงานแล้วสวมเสื้อคลุมแดงตัวยาว ท่อนบนปักลวดลาย สวมกระโปรงดำหรือน้ำเงินเข้ม หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะแต่งแบบแฟนซี เย็บปักประดับลวดลาย กระโปรงยาวคลุมข้อเท้า นิยมเกล้าผมประดับปิ่นเงิน ใส่กำไลมือ-แขน กะเหรี่ยงโปว์จะแต่งตัวครบชุดเมื่อมีงานสำคัญในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงบเว ชายจะนุ่งกางเกงแดง โพกศีรษะ นิยมสักรูปต่าง ๆ ไว้ข้างหลัง หญิงนิยมกระโปรงสั้น สวมกำไลไม้ไผ่ตรงข้อเท้า ปัจจุบันกะเหรี่ยงหันมาแต่งกายแบบตะวันตกเหมือนไทย แต่กลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยังคงยึดมั่นวัฒนธรรมการแต่งกายแบบเดิมอยู่ (หน้า 32-33) สถาปัตยกรรม บ้านเรือนของกะเหรี่ยงแบบเดิมเป็นเรือนเครื่องผูก ใช้ไม้ไผ่และใบไม้ ยกสูงจากพื้นดิน 2 เมตร ในบ้านเป็นห้องโถง มีเตาไฟอยู่ตรงกลาง ชายคาด้านหนึ่งเป็นห้องนอน อีกด้านเป็นห้องครัว หากมีแขกมาพัก เจ้าบ้านจะให้นอนในห้องโถง บ้านเรือนลักษณะนี้หาได้ยากในปัจจุบัน กะเหรี่ยงมักดูแลบ้านสะอาดกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ (หน้า 36)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีเชื้อสายทิเบต-พม่า แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กะเหรี่ยงสะกอ (S' kaw Karen) คนไทยเรียกว่า "ยางขาว" พวกเขาจะเรียกตนเองว่า "คานยอ" (Kanya) 2. กะเหรี่ยงโปว์หรือปโว (P'wo) คนไทยเรียก "ยางโปร์" 3. กะเหรี่ยงบเว (B'ghwe Karen) เรียกตนเองว่า "กะยา" (Ka-ya) คนไทยเรียก "ยางแดง" 4. กะเหรี่ยงตองอูหรือปะโอ (Pa-o) คนไทยและพม่าเรียก "ตองดู" (Taungthu) (หน้า 1-2) กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ถูกหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 11 กรป.กลาง เรียกว่า "ไทยตะนาวศรี" (หน้า 6)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ - เขตที่อยู่อาศัยของชาวเขาในราชบุรี (หน้า 4) รูปภาพ ผู้หญิงกะเหรี่ยง (หน้า 1) กระเหรี่ยงชาวสวนผึ้ง ราชบุรี (หน้า 3) ลักษณะบ้านกะเหรี่ยง (หน้า 6) วงศาคณาญาติชาวกะเหรี่ยงร่วมกินข้าวห่อในงานประเพณีอั้งมีถ่องที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายในบ้าน(หน้า 8) ข้าวห่อที่ต้มสุกแล้ว(หน้า 9) อุปกรณ์ในการทำข้าวห่อ, พวงข้าวห่อต้มสุก (หน้า10) ข้าวสารบรรจุในกระบุง(หน้า 11) ข้าวห่อและน้ำจิ้ม (หน้า 12) ร่วมกินข้าวห่อและร้องเพลง / อุปกรณ์เรียกขวัญ (หน้า14) สัญญาณพลุเริ่มพิธี (หน้า16) พิธีเรียกขวัญ-ผูกขวัญ (หน้า 19, 20, 21, 22)

Text Analyst เสาวนีย์ ศรีทับทิม Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ข้าวห่อ, ผูกขวัญ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง