|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ข้าวห่อ,ผูกขวัญ,ภาคเหนือ |
Author |
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ |
Title |
ประเพณีอั้งมีถ่อง |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
54 |
Year |
2545 |
Source |
ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ |
Abstract |
เนื้อหาส่วนใหญ่เน้นประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง ทั้งยังสะท้อนให้เห็นความเชื่อในการนับถือผี ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญและโชคลาง |
|
Focus |
เน้นศึกษาประเพณี พิธีกรรมของกะเหรี่ยง |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษากลุ่มชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษากะเหรี่ยง ซึ่งยืมคำมาจากไทย มอญ พม่า เนื่องจากไม่มีภาษาดั้งเดิมของตน |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
สันนิษฐานว่าชนชาติกะเหรี่ยงหรือ ยาง เคยอยู่ทางตะวันออกของทิเบต แล้วเข้าไปตั้งรกรากทางตอนใต้ของจีน ประมาณ 3,200 ปีก่อน หลังจากถูกจีนรุกราน ก็พากันอพยพลงมาทางตอนใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซี ถูกรุกรานจากคนไทยในจีน จนต้องถอยร่นลงมาอยู่ตามลำน้ำโขงและสาละวินในเขตพม่า จึงอพยพเข้าสู่ไทย การอพยพของกะเหรี่ยงสู่ประเทศไทยครั้งสำคัญที่สุด ก็คือ ช่วงที่พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าทำสงครามกับมอญ พวกมอญแพ้ กะเหรี่ยงให้ที่พักพิงพวกมอญ เมื่อพม่ายกทัพมา กะเหรี่ยงจึงอพยพหนีสงครามเข้าสู่ไทย (หน้า 29-30) อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งของผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์วิทยาในอินโดจีน กล่าวไว้ว่า กะเหรี่ยงหรือยาง อาจเคยอยู่ในแคว้นสิบสองปันนา (เชียงรุ้ง) และแคว้นเชียงตุง บริเวณพรมแดนตอนเหนือของไทย ตลอดถึงหลวงพระบางและที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงของลาว ซึ่งพบว่ามีชนชาติข่ากลุ่มหนึ่งที่ชื่อ "เรียง" หรือ "ข่าเรียง" (หน้า 29) ในประเทศไทย กะเหรี่ยงส่วนใหญ่อพยพมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในสวนผึ้งได้แยกย้ายไปอยู่กาญจนบุรี เพชรบุรี และอำเภอกำแพงแสน นครปฐม ต่อมากะเหรี่ยงกำแพงแสนได้อพยพมาอยู่ที่หนองกะเหรี่ยง จากหนองกะเหรี่ยงก็อพยพหนีไปอยู่ที่ห้วยกะพลง หมู่บ้านทุ่มแหลม จากห้วยกะพลงจึงอพยพมาอยู่สวนผึ้ง บางครอบครัวอพยพมาจากหมู่บ้านโป่งกระทิงบน บางส่วนอพยพมาจากหมู่บ้านบึงในบ้านคา บางส่วนมาจากพม่า สำหรับกะเหรี่ยงในสวนผึ้งมีที่หมู่บ้านบ่อ หมู่บ้านทุ่งแฝก หมู่บ้านสวนผึ้ง หมู่บ้านท่ามะขาม หมู่บ้านห้วยคลุม และหมู่บ้านห้วยผาก นอกจากนี้ยังมีที่ตำบลบ้านคา และบ้านบึง (หน้า 5, 6) |
|
Settlement Pattern |
ในบรรดาชาวเขาทั้งหมด กะเหรี่ยงจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ระดับต่ำที่สุด มักปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ตามไหล่เขา ใกล้ลำธาร (หน้า 36) |
|
Economy |
อาชีพหลักของกะเหรี่ยงคือ เกษตรกรรม ทำไร่ข้าว ข้าวโพด เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ อาทิ ไก่ หมู ช้าง วัว ควาย นอกจากนี้ยังทำงานหัตถกรรม เช่น การทอผ้า จักสานภาชนะ และทำเครื่องปั้นดินเผา เป็นอาชีพเสริม (หน้า 37) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงโปว์นิยมชีวิตคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่นิยมแต่งงานคนต่างชาติต่างภาษา ไม่นิยมการหย่าร้างหรือแต่งงานใหม่ และต้องไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกันก่อนแต่งงาน ห้ามการคบชู้ การแต่งงาน มีทั้งกรณีที่ชายหนุ่มขอแต่งงานกับหญิงสาว หรือหญิงสาวเป็นฝ่ายขอแต่งงาน หรือผู้เฒ่าเป็นเถ้าแก่มาสู่ขอ ปกติมักนิยมพูดคุยกันเองมากกว่า หญิงที่มีลูกนอกสมรสโดยมาก มักจะอยู่โดยไม่มีคู่ไปตลอดชีวิต หากครอบครัวมีลูกสาวหลายคนมักให้พี่สาวคนโตแต่งงานไปก่อน ฝ่ายเจ้าบ่าวต้องทำงานรับใช้บ้านฝ่ายหญิง 1 ปี จึงแยกไปสร้างบ้านต่างหากได้ หากครอบครัวมีลูกสาวคนเดียว ฝ่ายชายห้ามแยกบ้านต้องอยู่กับพ่อตาแม่ยายตลอดชีวิต (หน้า 42-44) |
|
Belief System |
ในปัจจุบันกะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา แต่ก็ยังคงนับถือผีสางเทวดาอยู่ เพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพชน เชื่อว่ามีอำนาจบันดาลให้ดีให้ร้ายได้จึงต้องบนบานเซ่นไหว้เพื่อให้คุ้มครองป้องกัน หากใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดินทางไกลก็จะทำพิธีกินผี โดยขุดหาตัวอ้นหรือตัวตุ่นมาทำอาหาร บางกลุ่มจะใช้ไก่เป็นเครื่องเซ่นไหว้บนบานตามบริเวณโคนไม้ใหญ่ซึ่งเชื่อกันว่ามีผีสางเทวดาสิงสถิตอยู่ เมื่อเซ่นไหว้แล้วนำมารับประทาน (หน้า 35) กะเหรี่ยงโปว์ จะมีความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับผีเช่นเดียวกับเผ่าอื่น พวกเขาเชื่อว่า หินสีดำเป็นก้อนหินศักดิ์สิทธิ์คู่เผ่า เมื่อจะอพยพไปอยู่แหล่งใด ก็จะนำก้อนหินสีดำไปด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ผู้ที่ตายไปแล้วนั้น ดวงวิญญาณจะยังไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนไปมาอยู่ภายในหมู่บ้านกับป่าช้า เมื่อถึงกำหนดก็จะกลับมาเกิดใหม่ กะเหรี่ยงโปว์จะสักรูปสวัสดิกะที่ข้อมือ และสักรูปกระดูกงูที่น่อง เชื่อว่าเป็นการป้องกันเวทมนตร์คาถา และภูตผีปีศาจได้ พิธีกรรมเกี่ยวกับผีในทางเกษตรกรรมของกะเหรี่ยงโปว์ เริ่มตั้งแต่ พิธีบอกกล่าวผีก่อนลงมือถางไร่ ทุกครัวเรือนจะจัดพิธีหลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านทำพิธีในไร่ของตนแล้ว ก่อนลงมือเพาะปลูกจะมีการทำพิธีขอฝน (หน้า 39-40) พิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดคือ พิธีเลี้ยงผีประจำไร่ จะใช้ไก่ 6 ตัว หมู 1 ตัว เซ่นบวงสรวงเพื่อคุ้มครองต้นข้าวอ่อนในไร่นา มีการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยกำจัดแมลงอย่างมด ปลวก และมีพิธีเซ่นไหว้ไฟเพื่อไม่ให้ต้นข้าวเหลืองตาย ในแต่ละปีจะมีการเลี้ยงผีประจำไร่ 2 ครั้ง ครั้งที่สองจะจัดขึ้นตอนที่ต้นข้าวเริ่มตกรวง ในเวลาไล่เลี่ยกันจะมีพิธีเลี้ยงขวัญข้าว กะเหรี่ยงโปว์เชื่อกันว่า ข้าวก็เหมือนมนุษย์อาจพบความลำบาก หากวิญญาณถูกผีร้ายตามคุกคาม พิธีเกี่ยวกับผีในการเกษตรจะจัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย หลังการเก็บเกี่ยวผลิตผลนำเข้ายุ้งฉางแล้ว ป้องกันการผี คนและหนูมาขโมยข้าว หมอผีผู้ทำพิธีเป็นหญิงอาวุโสสืบตระกูลต่อ ๆ กันมา หากขาดผู้สืบทอดจะเลือกกันขึ้นมาใหม่ หากหมอผีตาย ชาวกะเหรี่ยงโปว์จะฆ่าไก่และหมูทิ้งทุกตัวเพื่อนำมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ แล้วจึงเริ่มเลี้ยงใหม่ (หน้า 40-41) พิธีเรียกขวัญและผูกขวัญ กะเหรี่ยงจะทำพิธีเรียกขวัญและผูกขวัญ 2 ครั้ง คือ เรียกขวัญในตอนเย็นก่อนกินข้าวห่อ 1 ครั้ง และตอนเช้าก่อนทำพิธีกินข้าวห่อ 1 ครั้ง จะจัดเตรียมข้าวห่อต้มสุกพร้อมน้ำจิ้มและอุปกรณ์ประกอบพิธีต่างๆ บรรจุใส่กระบุง เจ้าของบ้านจะประกอบพิธีเรียกขวัญตอนเย็น ผู้เรียกขวัญจะใช้ภาษากะเหรี่ยง ระหว่างทำพิธีเรียกขวัญต้องจุดเทียนไว้ จากนั้นจะทำการผูกขวัญให้ลูกหลานและคนในบ้าน โดยนำด้ายแดงจุ่มน้ำในขัน รูดข้อแขนเพื่อเรียกขวัญ คนที่เกิดเดือน 9 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเดือนไม่ดี ต้องผูกด้ายแดงทั้งขาและแขน 2 ข้าง แล้วรับข้าวห่อที่ใช้ทำพิธีเรียกขวัญไว้ ด้ายแดงต้องปล่อยให้หลุดหรือขาดไปเอง เมื่อเสร็จพิธีเรียกขวัญแล้วต้องอยู่ที่บ้าน ไม่ออกไปไหน เพื่อรอรับขวัญที่จะกลับคืนมา พอเช้าวันใหม่ก็ทำพิธีเรียกขวัญที่ยังตกค้างอีกครั้งหนึ่ง แต่ละบ้านจะจัดสำรับข้าวห่อไปเซ่นไหว้วิญญาณผีบรรพบุรุษ พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว การเซ่นไหว้ผีต้องเรียกผีให้มากินข้าวห่อด้วย เสร็จพิธีเรียกขวัญชาวบ้านก็มาร่วมกินข้าวห่อ (หน้า 17,19,20-23) ประเพณีอั้งมีถ่อง หรือ ประเพณีกินข้าวห่อ จัดขึ้นต่อจากพิธีเรียกขวัญผูกขวัญในเดือน 9 ของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะกำหนดกันเองแล้วแต่สะดวก ใช้เวลาประกอบพิธี 2 วัน ถือ เป็นวันรวมญาติ ผู้วิจัยสันนิษฐานว่ามีจุดประสงค์เพื่อเรียกขวัญ และยังเป็นการเลี้ยงผีปู่ย่าตายายอีกด้วย กำหนดวันห่อข้าวมีก่อนวันกินข้าวห่อ 1 วัน ชาวบ้านจะเตรียมทำข้าวห่อและน้ำจิ้มไว้ พอรุ่งเช้าจะนำข้าวห่อไปถวายพระที่วัด เริ่มกินข้าวห่อหลังเสร็จการเรียกขวัญ แขกที่มาร่วมงาน จะผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละบ้าน บางบ้านเลี้ยงสุรา เจ้าของบ้านที่เป็นผู้อาวุโสจะทำพิธีผูกแขนผู้มาเยือน พร้อมให้ศีลให้พร แต่เดิม หนุ่มสาวจะผลัดกันป้อนข้าวห่อและมีการร้องเพลงเกี้ยวกัน โดยแต่งชุดประจำเผ่า ประเพณีกินข้าวห่อสะท้อนให้เห็นสถานภาพชีวิตความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยง ในเรื่องความเชื่อเรื่องขวัญ เรื่องผี-ผีบรรพบุรุษ เรื่องโชคลาง และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (หน้า 7-15) ประเพณีเกี้ยวสาว จะเกิดขึ้นเป็นทางการในงานศพ ฤดูที่ว่างเว้นจากการทำนา โดยมีชายหญิงหลายหมู่บ้านมาร้องเพลงรอบศพ ฝ่ายชายอาจไปเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงที่ตนคุ้นเคยในตอนเย็น เพื่อเสาะแสวงหาหญิงสาวมาเป็นคู่ครอง หญิงชายที่แต่งงานกันมักมีอายุไล่เลี่ยกันหรือห่างกันไม่กี่ปี โดยบิดามารดาจะเปิดทางให้หนุ่มสาวพูดจาเกี้ยวพาราสี หรือร้องเพลงโต้ตอบกันในช่วงเวลาหลังอาหารค่ำ (หน้า 41-42) ประเพณีแต่งงาน ฝ่ายชายจะมอบกล้องยาเส้นให้หญิงสาวแล้วจัดผู้ใหญ่ไปหมั้น พิธีจะจัดขึ้น 2 วัน โดยเชิญคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมงาน ผู้เฒ่าฝ่ายชายและหญิงฝ่ายละคนจะร้องเพลงอวยพรบ่าวสาวแล้วผูกข้อมือเรียกขวัญ เย็นวันแรกของพิธีแต่งงาน เจ้าสาวจะเปลี่ยนจากเครื่องแต่งกายหญิงโสดเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว สินสอดที่ขาดไม่ได้คือ เงินพดด้วง ทั้งสองฝ่ายจะฆ่าหมูตัวใหญ่ที่สุดที่เลี้ยงไว้ แล้วตัดท่อนหน้าท่อนหลังมาแลกกัน หากน้องสาวออกเรือนก่อนพี่สาว ต้องฆ่าหมูเลี้ยงพี่สาวเป็นค่าทำขวัญ เชื่อกันว่า หากมีลูกนอกสมรสเกิดขึ้น ผีเจ้าที่เจ้าทางจะขุ่นเคือง (หน้า 42-44) ประเพณีงานศพ มักห่อศพผู้ตายด้วยเสื่อลำแพน แล้วนำไปวางไว้บนร้านกลางลานบ้าน มีผู้เฒ่ามาร้องเพลงแนะคนตายให้เดินทางไปสู่สวรรค์ มีการเขียนรูปภาพลงบนแผ่นไม้กระดานใช้ถ่านหุงต้ม รูปที่เขียนเป็นรูปต้นไม้ 5 กิ่ง มีผลไม้เต็มต้น เปรียบได้กับชีวิตมนุษย์ วัยเด็กปีนเล่นอยู่โคนต้น พอใกล้ฝั่งก็ขึ้นไปอยู่บนยอดไม้เก็บผลไม้ทาน หากไม่ลงมาอาจตกลงมาเอง เหมือนความตายที่มาเยือนได้โดยไม่อาจล่วงรู้ พิธีศพกลางคืน คนวัยหนุ่มสาวจะจับมือกันร้องเพลง "ม่าทา" ไปรอบ ๆ ศพรำพันถึงผู้ตาย แล้วโปรยเมล็ดพันธุ์พืชลงไปเพื่อให้ผู้ตายนำไปปลูก กะเหรี่ยงโปว์จะไม่เผาศพ จ ะใช้พิธีฝังแล้วฆ่าไก่ของผู้ตายตัวหนึ่งเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่หลุมศพ (หน้า 44-45) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยง แตกต่างกันไปตามเผ่า หากเป็นกะเหรี่ยงสะกอ ชายนิยมใส่เสื้อแขนสั้นสีแดง รัดเอวด้วยเชือกพู่ ใช้ผ้าสีต่าง ๆ โพกศีรษะหญิงโสดนิยม ใช้ชุดกระโปรงขาว หญิงที่แต่งงานแล้วใส่เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินเข้ม กระโปรงสีแดงประดับลูกปัดแดง-ขาว โพกศีรษะด้วยผ้าแดง กะเหรี่ยงโปว์ ชายแต่งตัวคล้ายชาวนาไทย หญิงที่แต่งงานแล้วสวมเสื้อคลุมแดงตัวยาว ท่อนบนปักลวดลาย สวมกระโปรงดำหรือน้ำเงินเข้ม หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะแต่งแบบแฟนซี เย็บปักประดับลวดลาย กระโปรงยาวคลุมข้อเท้า นิยมเกล้าผมประดับปิ่นเงิน ใส่กำไลมือ-แขน กะเหรี่ยงโปว์จะแต่งตัวครบชุดเมื่อมีงานสำคัญในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงบเว ชายจะนุ่งกางเกงแดง โพกศีรษะ นิยมสักรูปต่าง ๆ ไว้ข้างหลัง หญิงนิยมกระโปรงสั้น สวมกำไลไม้ไผ่ตรงข้อเท้า ปัจจุบันกะเหรี่ยงหันมาแต่งกายแบบตะวันตกเหมือนไทย แต่กลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยังคงยึดมั่นวัฒนธรรมการแต่งกายแบบเดิมอยู่ (หน้า 32-33) สถาปัตยกรรม บ้านเรือนของกะเหรี่ยงแบบเดิมเป็นเรือนเครื่องผูก ใช้ไม้ไผ่และใบไม้ ยกสูงจากพื้นดิน 2 เมตร ในบ้านเป็นห้องโถง มีเตาไฟอยู่ตรงกลาง ชายคาด้านหนึ่งเป็นห้องนอน อีกด้านเป็นห้องครัว หากมีแขกมาพัก เจ้าบ้านจะให้นอนในห้องโถง บ้านเรือนลักษณะนี้หาได้ยากในปัจจุบัน กะเหรี่ยงมักดูแลบ้านสะอาดกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ (หน้า 36) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีเชื้อสายทิเบต-พม่า แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กะเหรี่ยงสะกอ (S' kaw Karen) คนไทยเรียกว่า "ยางขาว" พวกเขาจะเรียกตนเองว่า "คานยอ" (Kanya) 2. กะเหรี่ยงโปว์หรือปโว (P'wo) คนไทยเรียก "ยางโปร์" 3. กะเหรี่ยงบเว (B'ghwe Karen) เรียกตนเองว่า "กะยา" (Ka-ya) คนไทยเรียก "ยางแดง" 4. กะเหรี่ยงตองอูหรือปะโอ (Pa-o) คนไทยและพม่าเรียก "ตองดู" (Taungthu) (หน้า 1-2) กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ถูกหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 11 กรป.กลาง เรียกว่า "ไทยตะนาวศรี" (หน้า 6) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่ - เขตที่อยู่อาศัยของชาวเขาในราชบุรี (หน้า 4) รูปภาพ ผู้หญิงกะเหรี่ยง (หน้า 1) กระเหรี่ยงชาวสวนผึ้ง ราชบุรี (หน้า 3) ลักษณะบ้านกะเหรี่ยง (หน้า 6) วงศาคณาญาติชาวกะเหรี่ยงร่วมกินข้าวห่อในงานประเพณีอั้งมีถ่องที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายในบ้าน(หน้า 8) ข้าวห่อที่ต้มสุกแล้ว(หน้า 9) อุปกรณ์ในการทำข้าวห่อ, พวงข้าวห่อต้มสุก (หน้า10) ข้าวสารบรรจุในกระบุง(หน้า 11) ข้าวห่อและน้ำจิ้ม (หน้า 12) ร่วมกินข้าวห่อและร้องเพลง / อุปกรณ์เรียกขวัญ (หน้า14) สัญญาณพลุเริ่มพิธี (หน้า16) พิธีเรียกขวัญ-ผูกขวัญ (หน้า 19, 20, 21, 22) |
|
|