|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การแพทย์พื้นบ้าน,สุขอนามัย,ตาก |
Author |
ทัศนีย์ ฉิมสุด |
Title |
แบบแผนการดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์พื้นบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง อำเภอพบพระ จังหวัดตาก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
91 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เนื้อหาโดยรวมกล่าวถึงวิธีการรักษาตนเองและคนในครอบครัวของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านมอเกอร์ยาง อ.พบพระ จ.ตาก โดยใช้วิธีการรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้าน เช่น การใช้สมุนไพร เวทย์มนต์คาถา การทำคลอดด้วยหมอตำแย ซึ่งการรักษานั้นได้สะท้อนให้เห็นความเชื่อและวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน |
|
Focus |
ศึกษาแบบแผนการดูแลสุขภาพ และปัจจัยที่มีผลต้อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์พื้นบ้านของกะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง หมู่ 6 ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ทำการวิจัย ตั้งแต่ เดือน กันยายน 2541 - สิงหาคม 2542 โดยเก็บข้อมูลภาคสนาม 3 ช่วง คือ ครั้งแรก วันที่ 8 -10 ธันวาคม 2541 ครั้งที่สอง 8 -17 มีนาคม 2542 และครั้งที่สาม 10 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2542 (หน้า 22,23) |
|
History of the Group and Community |
แรกเริ่มตั้งหมู่บ้าน มี 6 หลังคาเรือน เป็นชาวบ้านที่ย้ายมาจากบ้านผากะเจ้อ ต.พบพระ ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (หน้า 31,70) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเรือนสร้างเป็นใต้ถุนสูง ราว 1-1.5 เมตร วัสดุก่อสร้างเป็นไม้เนื้อแข็ง หรือไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยใบตอง สังกะสี หรือกระเบื้อง การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในบ้าน ห้องนอน มี 1 ห้อง พ่อแม่และลูกนอนในห้องเดียวกัน หิ้งพระจะติดที่ข้างฝาบ้าน ส่วนห้องครัวอยู่ทางด้านหน้าของตัวบ้าน การสร้างบ้านรูปแบบเหมือนกับคนไทยพื้นราบ วัสดุก่อสร้างที่ใช้จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับฐานะเศรษฐกิจของเจ้าของบ้าน (หน้า 30,31) |
|
Demography |
มีบ้านเรือน 59 หลังคาเรือน จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีประชากรทั้งหมด 255 คน เป็นชาย 119 คน และหญิง 136 คน ครอบครัวหนึ่งจะมีลูกประมาณ 3-4 คน หมู่บ้านมีศูนย์ผู้อพยพกะเหรี่ยงที่หนีการสู้รบจากประเทศพม่า ในศูนย์มีผู้อพยพ จำนวน 8,538 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีบัตรประจำตัวประชาชนและมีชื่อในทะเบียนบ้าน สำหรับคนที่ใช้บัตรกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า มีเพียงส่วนน้อยของประชากรหมู่บ้าน (หน้า 30, 32, 33, 40, 70) |
|
Economy |
อาชีพหลักคือ เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนจะค้าขายเปิดร้านขายของชำคนส่วนมากจะทำงานในหมู่บ้าน เช่นทำไร่ทำนา ไม่ค่อยนิยมไปทำงานนอกหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านมีรายได้เฉลี่ยคนละ 2 หมื่นบาทต่อปี สำหรับฐานะเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น คนที่ร่ำรวยที่บ้านจะมีโทรทัศน์ บ้านที่ไม่มีก็จะมาขอดูด้วย การปลูกข้าว จะปลูกเอาไว้กินในครอบครัวเท่านั้นไม่ขาย จะมีรายได้จากการขายพืชไร่ขายข้าวโพดกับถั่วเหลือง การเลี้ยงสัตว์เช่นเลี้ยงไก่ หมู จะเลี้ยงกันอยู่ทั่วไป ส่วนวัวควายสัตว์เลี้ยงทำงานในนาก็เลี้ยงไว้พอใช้แรงงานเท่านั้น ไม่ได้เลี้ยงเป็นจำนวนมาก เวลาว่างผู้หญิงจะทอผ้าเอาไว้ใช้ในครัวเรือน มีร้านขายของชำในหมู่บ้านทั้งหมด 7 ร้าน ของที่ขายจะเป็นของกินของใช้และยารักษาโรค ลูกค้าสำคัญส่วนหนึ่ง คือกะเหรี่ยงในศูนย์ผู้อพยพบ้านมอเกอร์ยาง (หน้า 31-33, 41, 61, 62, 74) |
|
Social Organization |
คนในชุมชนโดยมากจะเป็นญาติพี่น้องกัน มีความใกล้ชิดสนิทสนม และช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อกัน ลักษณะครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อแต่งงานแล้ว จะแยกไปอยู่ต่างหาก ส่วนครอบครัวขยายหลังแต่งงานแล้วอยู่กับพ่อ-แม่ จะมีน้อย ในหมู่บ้านมีครอบครัวขยาย เพียง 9 ครอบครัว จากทั้งหมด 59 ครอบครัว ครอบครัวกะเหรี่ยง เป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิต ยกเว้นในกรณีที่คู่ชีวิตเสียชีวิต หรือหย่าร้างกันจึงจะแต่งงานใหม่ (หน้า 32-33, 61, 71) |
|
Political Organization |
การปกครอง มีสภาตำบลทำหน้าที่บริหารงาน ในหมู่บ้านมีผู้นำอย่างเป็นทางการ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน กรรมการสภาตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุข หมู่บ้านมอเกอร์ยาง ยังไม่ได้รับการยกฐานะเป็นองค์การบริหารงานส่วนตำบล หรือเทศบาล ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ไปประชุมประจำเดือน และนำข่าวสารจากทางการ นำมาถ่ายทอดแก่ชาวบ้าน และดูแลความเป็นอยู่ของลูกบ้านทุกคนในหมู่บ้าน (หน้า 33-35) |
|
Belief System |
ชาวบ้านนับถือศาสนาพุทธ ในหมู่บ้าน มีวัด 2 แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นวัดที่ฉันอาหารมังสวิรัติ และมีความเชื่อเรื่องผี โดยจะประกอบพิธีเพื่อขอบคุณผีต่างๆ ที่ช่วยคุ้มครองให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข เช่น ผีบ้าน ผีเรือน ผีฝาย ผีข้าวเขียว ผีข้าวแดง ผีป่า และผีน้ำดิบ วิถีชีวิตและประเพณีในรอบ 1 ปี มกราคม ไม่มีงานเป็นกิจลักษณะส่วนใหญ่จะว่าง ผู้หญิงจะทอผ้าที่บ้าน กุมภาพันธ์ ไปเก็บใบตองมุงหลังคาบ้าน สำหรับบ้านที่ไม่ได้มุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง มีนาคม ถางไร่เตรียมที่เพาะปลูกข้าวโพด เมษายน เล่นสงกรานต์ ช่วงปลายเดือนให้คนอาวุโสทำพิธีเรียกขวัญ ให้คนในบ้านมีชีวิตเจริญรุ่งเรือง อาหารในพิธีจะทำข้าวต้มมัดทรงสามเหลี่ยม ข้าวปุกงา ทำด้วยข้าวเหนียวตำคลุกงาแล้วนำเสื้อของคนในบ้าน คนละ 1 ตัวมาวาง ที่หัวบันได เพื่อประกอบพิธี พฤษภาคม ปลูกข้าวโพด จัดพิธีเลี้ยงผีฝายพะกอลา คนที่ใช้น้ำเพาะปลูกจากฝายแห่งนี้จะลงขันกันซื้อหมู 1 ตัว แต่ละบ้านจะนำไก่ต้ม 2 ตัว เหล้า 2 ขวดมาเลี้ยงผีฝายที่ช่วยให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์และให้ได้ข้าวเยอะๆ มิถุนายน ไถนา หว่านกล้า กรกฎคม เพาะปลูกข้าว สิงหาคม จัดพิธีเลี้ยงผีต้นข้าวเขียวหรือมัดมือต้นข้าว โดยจะนำด้ายมัดต้นข้าว 3 ต้น นำเครื่องเซ่นประกอบด้วยเหล้า 2 ขวด และไก่ต้ม 2 ตัวเพื่อขอให้ข้าวเจริญงอกงาม กันยายน เฝ้าดูแลข้าวในนา และข้าวโพดในไร่ ตุลาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพด พฤศจิกายน เกี่ยวข้าว ธันวาคม พักผ่อนตามอัธยาศัย ผู้หญิงจะทำงานทอผ้าที่บ้าน (หน้า 31, 37-39, 43, 46, 56, 71) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนบ้านมอเกอร์ยาง สังกัดกองบังคับการตำรวจ ภาค 3 กองบัญชาการตำรวจ ตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2501 และเปิดสอนในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2501 มีนักเรียนทั้งหมด 243 คน รวมทั้งนักเรียนในหมู่บ้านและจากศูนย์อพยพบ้านมอเกอร์ยาง มีครู 10 คน เป็นข้าราชการครูพลเรือน 2 คน ครูตำรวจ 2 คน และผู้ดูแลเด็ก 2 คน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้น ป.6 นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานต่างๆ ที่มาให้ความรู้แก่ชาวบ้าน อาทิเช่น โรงพยาบาลพบพระ มาอบรมความรู้ด้านสุขภาพ สำนักงานเกษตรอำเภอ มาให้ความรู้ด้านการเกษตรและการใช้ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ สำนักงานปศุสัตว์ มาให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ (หน้า 35-37) |
|
Health and Medicine |
สาเหตุการเจ็บป่วย เชื่อว่ามี 3 สาเหตุคือ 1) เกิดจากธรรมชาติ เช่นเกิดจากพยาธิ อุบัติเหตุ และกินอาหารผิดสำแดง 2) สิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น การกระทำของผี ไม่ว่าจะเป็นผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีเรือน ผีฝาย ผีต้นข้าวเขียว ผีต้นข้าวแดง เป็นต้น ผีเหล่านี้จะทำหน้าที่คุ้มครองชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข และทำให้ผลผลิตทางการเกษตร เจริญงอกงาม แต่ถ้าหากถึงเวลาต้องทำพิธีเลี้ยงผี แล้วไม่จัดพิธีตามประเพณีผีก็จะโกรธ จึงทำให้ไม่สบาย นอกจากนี้ความเจ็บป่วยยังเกิดจาก การตกใจจนเสียขวัญ 3) เคราะห์กรรม ได้แก่ การเจ็บป่วยที่เกิดจากกรรมในชาติก่อน เช่น ตาบอด ขาด้วน เกิดเพราะชาติก่อนทำกรรมเอาไว้ พอเกิดมาชาตินี้จึงทำให้พิการ การรักษา มี 2 วิธี คือ การรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่ จะไปรักษาที่โรงพยาบาลพบพระที่ตั้งห่างจากหมู่บ้าน 7 กิโลเมตร เพราะในหมู่บ้านไม่มีสถานีอนามัยหรือสถานบริการสาธารณสุขชุมชน การจะรักษาส่วนมากจะเป็นการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ หรืองูกัด ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้องอาศัยความเร่งด่วน การรักษาแบบแพทย์แผนโบราณ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1 ) การดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง และการดูแลสุขภาพคนในครอบครัว โดยจะเป็นวิธีที่รักษาง่ายๆ เช่น เป็นคางทูม จะรักษาโดยใช้ครามย้อมผ้าทาที่คาง, ถ้าเป็นแผลจะตำว่านโพบ้ากุ ตำใส่แผล, ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก จะทาด้วยกะทิสดและว่านหางจระเข้ , ผึ้งและแมงป่องต่อย จะตำใบแมงลักแล้วนำมาพอก, หมากัด จะรักษาโดยนำเงินหรือช้อนมาฝนกับหิน แล้วนำมาทาที่แผล, เป็นตุ่มคันตามตัว จะรักษาโดยใช้เหล้าขาวทาบริเวณที่คัน 2) การดูแลสุขภาพตอนตั้งครรภ์และหลังคลอด ส่วนมากจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เช่น ห้ามกินของแสลง ได้แก่ ยอดฟัก ชะโอม ชะพลู ไข่มดแดง และไม่ให้กิน ปลาไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาสวาย ปลาหลด เพราะจะทำให้ผิดเดือน (เรียกภาษากะเหรี่ยงว่า ซุ่ยกะหม่า) และห้ามอาบน้ำฝน นำมากินหรือต้มอาบก็ไม่ได้เช่นกันเพราะจะทำให้ผิดเดือน 3) รักษากับหมอพื้นบ้าน แบ่งออกเป็นการรักษาประเภทต่างๆ เช่น - การดูเมื่อ (ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า กะล่าก่าต่ะ ) เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรค มีหลายวิธีเช่น ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนหุ้มเชือก ให้ก้อนข้าวห้อยลงมา และวิธีใช้กระดูกไก่ 1 คู่ เป่าคาถาแล้วขูดจนเป็นรูและนำไม้เล็กๆ เสียบเข้าไปในกระดูกไก่ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันว่าแตกต่างกันอย่างไร จากนั้นก็พยากรณ์อาการป่วย และวิธีหักตอก (กะเหรี่ยงเรียกว่า ก่าเซเด) คือการเสี่ยงทายจำนวนตอกว่าเป็นเลขคู่ หรือเลขคี่ เพื่อหาอาการป่วยว่าผีชนิดไหนทำ และผีต้องการกินอะไรเป็นเครื่องเซ่น - ผูกข้อมือเรียกขวัญ (ญ่อกะล่า/ทีโพ๊ะจือ) จะทำเพื่อให้กำลังใจคนป่วย และจะทำพิธีให้ทุกคนในวันสงกรานต์ และทำพิธีเรียกขวัญให้เด็กที่เกิดใหม่ เพราะเชื่อว่าทุกคนเกิดมาต้องมีขวัญประจำตัวทุกคน - เป่าคาถา (ต้าอู) ได้แก่การท่องคาถาแล้วเป่าใส่คนป่วย บางครั้งก็จะใช้การเป่าคาถากับสมุนไพร เช่นถ้าผู้ป่วยเหยียบไฟเป็นแผลไหม้ ก็จะเป่าคาถาพร้อมกับทาว่านหางจระเข้ หรือการเป่ากระหม่อมให้เด็กถ้าร้องไห้กระจองอแง นอนไม่หลับ ก็จะทำพิธีเป่าเรียกขวัญให้เด็ก เมื่อเป่าแล้วคนป่วยจะรู้สึกอาการป่วยทุเลาหรือดีขึ้น - ให้หมอตำแยทำคลอด หมอตำแยจะมีความสำคัญในการทำคลอดในหมู่บ้าน และตอนคลอดถ้าคลอดยากจะให้ดื่มน้ำมนต์ด้วยซึ่งน้ำมนต์นี้จะไปขอกับหมอพื้นบ้าน ส่วนการรักษากับหมอพื้นบ้าน มี 2 ขั้นตอนคือ 1) การตั้งขัน นำดอกไม้และเทียนใส่กรวยจำนวน 2 กรวย ปูน หมาก ยาสูบ จำนวนหนึ่งและเงินค่าทำขวัญ ซึ่งคิดอัตราแตกต่างกันไปแล้วแต่หมอพื้นบ้านจะเรียก โดยคิดราคาตั้งแต่ 1 บาท ถึง 170 บาท แล้วนำกรวยนั้นไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำของเพศชายที่อยู่บนดิน และเพศหญิงที่อยู่ในน้ำ 2) การรับขันตั้งจะเป็นขั้นตอนการรักษาคนป่วยแล้วแต่ว่าผู้ป่วยหรือญาติต้องการจะให้ใช้วิธีใดรักษา เช่น การผูกข้อมือเรียกขวัญ จุดเทียนสะเดาะเคราะห์ เป่าคาถา เป็นต้น (หน้า ง, จ, 3, 33, 39-69, 71-74) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กล่าวถึงการทอผ้าในช่วงว่างงาน ของผู้หญิง แต่ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดว่า เป็นแบบใด หรือมีลวดลายอย่างไร สำหรับการใช้เสื้อผ้า จะนำเสื้อมาใช้ในพิธีเรียกขวัญ ในช่วงปลายเดือนเมษายน โดยจะใช้เสื้อของคนในครอบครัว คนละตัว มาให้คนอาวุโสในหมู่บ้าน ทำพิธีเรียกขวัญ เพื่อให้มีชีวิต เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน สุขภาพแข็งแรง (หน้า 31,32) |
|
Folklore |
ตำนานชื่อหมู่บ้านมาจากที่ชาวบ้านช่วยกันออกแรงช่วยชีวิต ดึงวัวตัวหนึ่ง ที่ไปกินหญ้าแล้วพลัดตกติดอยู่ในบึงไปไหนไม่ได้ ชื่อบ้านมอร์เกอร์ยาง มาจากคำ 3 คำ รวมกันได้แก่คำว่า "มอ" หมายถึง หนอง บึง "เกอร์" หมายถึง ดึง หรือ ดัน และคำว่า "ยาง" หมายถึง กะเหรี่ยง (หน้า 31) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน จะอยู่ร่วมกับกะเหรี่ยงในศูนย์ผู้อพยพบ้านมอเกอร์ยาง ซึ่งเป็นผู้อพยพการสู้รบจากประเทศพม่าโดยสงบ แต่ก็ไม่ประมาทในเรื่องความปลอดภัย การอยู่ด้วยกันจะเป็นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยคือ ลูกหลานของผู้อพยพ จะมาเรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนบ้าน มอเกอร์ยาง และกะเหรี่ยงในศูนย์อพยพ ก็จะมาซื้อของใช้ ที่ร้านค้าของชาวบ้าน ในหมู่บ้านจะมีความเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยอยู่โดยไม่ประมาท ตรวจบัตรคนที่เดินทางเข้าออกในหมู่บ้าน และห้ามการเข้าออกหมู่บ้านเมื่อถึงเวลา 18.00 น. ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนไทย ไม่ใช่กะเหรี่ยงที่อยู่ในศูนย์ผู้อพยพก็ตาม (หน้า 33, 36, 40) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่ อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 27) บ้านมอเกอร์ยาง (หน้า 28) แผนภูมิ การดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์กะเหรี่ยง (หน้า 75) |
|
|