สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การแพทย์พื้นบ้าน,สุขอนามัย,ตาก
Author ทัศนีย์ ฉิมสุด
Title แบบแผนการดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์พื้นบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 91 Year 2542
Source หลักสูตรปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

เนื้อหาโดยรวมกล่าวถึงวิธีการรักษาตนเองและคนในครอบครัวของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านมอเกอร์ยาง อ.พบพระ จ.ตาก โดยใช้วิธีการรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้าน เช่น การใช้สมุนไพร เวทย์มนต์คาถา การทำคลอดด้วยหมอตำแย ซึ่งการรักษานั้นได้สะท้อนให้เห็นความเชื่อและวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน

Focus

ศึกษาแบบแผนการดูแลสุขภาพ และปัจจัยที่มีผลต้อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์พื้นบ้านของกะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง บ้านมอเกอร์ยาง หมู่ 6 ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 5)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ทำการวิจัย ตั้งแต่ เดือน กันยายน 2541 - สิงหาคม 2542 โดยเก็บข้อมูลภาคสนาม 3 ช่วง คือ ครั้งแรก วันที่ 8 -10 ธันวาคม 2541 ครั้งที่สอง 8 -17 มีนาคม 2542 และครั้งที่สาม 10 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2542 (หน้า 22,23)

History of the Group and Community

แรกเริ่มตั้งหมู่บ้าน มี 6 หลังคาเรือน เป็นชาวบ้านที่ย้ายมาจากบ้านผากะเจ้อ ต.พบพระ ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (หน้า 31,70)

Settlement Pattern

บ้านเรือนสร้างเป็นใต้ถุนสูง ราว 1-1.5 เมตร วัสดุก่อสร้างเป็นไม้เนื้อแข็ง หรือไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยใบตอง สังกะสี หรือกระเบื้อง การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในบ้าน ห้องนอน มี 1 ห้อง พ่อแม่และลูกนอนในห้องเดียวกัน หิ้งพระจะติดที่ข้างฝาบ้าน ส่วนห้องครัวอยู่ทางด้านหน้าของตัวบ้าน การสร้างบ้านรูปแบบเหมือนกับคนไทยพื้นราบ วัสดุก่อสร้างที่ใช้จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับฐานะเศรษฐกิจของเจ้าของบ้าน (หน้า 30,31)

Demography

มีบ้านเรือน 59 หลังคาเรือน จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีประชากรทั้งหมด 255 คน เป็นชาย 119 คน และหญิง 136 คน ครอบครัวหนึ่งจะมีลูกประมาณ 3-4 คน หมู่บ้านมีศูนย์ผู้อพยพกะเหรี่ยงที่หนีการสู้รบจากประเทศพม่า ในศูนย์มีผู้อพยพ จำนวน 8,538 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีบัตรประจำตัวประชาชนและมีชื่อในทะเบียนบ้าน สำหรับคนที่ใช้บัตรกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า มีเพียงส่วนน้อยของประชากรหมู่บ้าน (หน้า 30, 32, 33, 40, 70)

Economy

อาชีพหลักคือ เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนจะค้าขายเปิดร้านขายของชำคนส่วนมากจะทำงานในหมู่บ้าน เช่นทำไร่ทำนา ไม่ค่อยนิยมไปทำงานนอกหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านมีรายได้เฉลี่ยคนละ 2 หมื่นบาทต่อปี สำหรับฐานะเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น คนที่ร่ำรวยที่บ้านจะมีโทรทัศน์ บ้านที่ไม่มีก็จะมาขอดูด้วย การปลูกข้าว จะปลูกเอาไว้กินในครอบครัวเท่านั้นไม่ขาย จะมีรายได้จากการขายพืชไร่ขายข้าวโพดกับถั่วเหลือง การเลี้ยงสัตว์เช่นเลี้ยงไก่ หมู จะเลี้ยงกันอยู่ทั่วไป ส่วนวัวควายสัตว์เลี้ยงทำงานในนาก็เลี้ยงไว้พอใช้แรงงานเท่านั้น ไม่ได้เลี้ยงเป็นจำนวนมาก เวลาว่างผู้หญิงจะทอผ้าเอาไว้ใช้ในครัวเรือน มีร้านขายของชำในหมู่บ้านทั้งหมด 7 ร้าน ของที่ขายจะเป็นของกินของใช้และยารักษาโรค ลูกค้าสำคัญส่วนหนึ่ง คือกะเหรี่ยงในศูนย์ผู้อพยพบ้านมอเกอร์ยาง (หน้า 31-33, 41, 61, 62, 74)

Social Organization

คนในชุมชนโดยมากจะเป็นญาติพี่น้องกัน มีความใกล้ชิดสนิทสนม และช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อกัน ลักษณะครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อแต่งงานแล้ว จะแยกไปอยู่ต่างหาก ส่วนครอบครัวขยายหลังแต่งงานแล้วอยู่กับพ่อ-แม่ จะมีน้อย ในหมู่บ้านมีครอบครัวขยาย เพียง 9 ครอบครัว จากทั้งหมด 59 ครอบครัว ครอบครัวกะเหรี่ยง เป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิต ยกเว้นในกรณีที่คู่ชีวิตเสียชีวิต หรือหย่าร้างกันจึงจะแต่งงานใหม่ (หน้า 32-33, 61, 71)

Political Organization

การปกครอง มีสภาตำบลทำหน้าที่บริหารงาน ในหมู่บ้านมีผู้นำอย่างเป็นทางการ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน กรรมการสภาตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุข หมู่บ้านมอเกอร์ยาง ยังไม่ได้รับการยกฐานะเป็นองค์การบริหารงานส่วนตำบล หรือเทศบาล ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ไปประชุมประจำเดือน และนำข่าวสารจากทางการ นำมาถ่ายทอดแก่ชาวบ้าน และดูแลความเป็นอยู่ของลูกบ้านทุกคนในหมู่บ้าน (หน้า 33-35)

Belief System

ชาวบ้านนับถือศาสนาพุทธ ในหมู่บ้าน มีวัด 2 แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นวัดที่ฉันอาหารมังสวิรัติ และมีความเชื่อเรื่องผี โดยจะประกอบพิธีเพื่อขอบคุณผีต่างๆ ที่ช่วยคุ้มครองให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข เช่น ผีบ้าน ผีเรือน ผีฝาย ผีข้าวเขียว ผีข้าวแดง ผีป่า และผีน้ำดิบ วิถีชีวิตและประเพณีในรอบ 1 ปี มกราคม ไม่มีงานเป็นกิจลักษณะส่วนใหญ่จะว่าง ผู้หญิงจะทอผ้าที่บ้าน กุมภาพันธ์ ไปเก็บใบตองมุงหลังคาบ้าน สำหรับบ้านที่ไม่ได้มุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง มีนาคม ถางไร่เตรียมที่เพาะปลูกข้าวโพด เมษายน เล่นสงกรานต์ ช่วงปลายเดือนให้คนอาวุโสทำพิธีเรียกขวัญ ให้คนในบ้านมีชีวิตเจริญรุ่งเรือง อาหารในพิธีจะทำข้าวต้มมัดทรงสามเหลี่ยม ข้าวปุกงา ทำด้วยข้าวเหนียวตำคลุกงาแล้วนำเสื้อของคนในบ้าน คนละ 1 ตัวมาวาง ที่หัวบันได เพื่อประกอบพิธี พฤษภาคม ปลูกข้าวโพด จัดพิธีเลี้ยงผีฝายพะกอลา คนที่ใช้น้ำเพาะปลูกจากฝายแห่งนี้จะลงขันกันซื้อหมู 1 ตัว แต่ละบ้านจะนำไก่ต้ม 2 ตัว เหล้า 2 ขวดมาเลี้ยงผีฝายที่ช่วยให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์และให้ได้ข้าวเยอะๆ มิถุนายน ไถนา หว่านกล้า กรกฎคม เพาะปลูกข้าว สิงหาคม จัดพิธีเลี้ยงผีต้นข้าวเขียวหรือมัดมือต้นข้าว โดยจะนำด้ายมัดต้นข้าว 3 ต้น นำเครื่องเซ่นประกอบด้วยเหล้า 2 ขวด และไก่ต้ม 2 ตัวเพื่อขอให้ข้าวเจริญงอกงาม กันยายน เฝ้าดูแลข้าวในนา และข้าวโพดในไร่ ตุลาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพด พฤศจิกายน เกี่ยวข้าว ธันวาคม พักผ่อนตามอัธยาศัย ผู้หญิงจะทำงานทอผ้าที่บ้าน (หน้า 31, 37-39, 43, 46, 56, 71)

Education and Socialization

โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนบ้านมอเกอร์ยาง สังกัดกองบังคับการตำรวจ ภาค 3 กองบัญชาการตำรวจ ตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2501 และเปิดสอนในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2501 มีนักเรียนทั้งหมด 243 คน รวมทั้งนักเรียนในหมู่บ้านและจากศูนย์อพยพบ้านมอเกอร์ยาง มีครู 10 คน เป็นข้าราชการครูพลเรือน 2 คน ครูตำรวจ 2 คน และผู้ดูแลเด็ก 2 คน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้น ป.6 นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานต่างๆ ที่มาให้ความรู้แก่ชาวบ้าน อาทิเช่น โรงพยาบาลพบพระ มาอบรมความรู้ด้านสุขภาพ สำนักงานเกษตรอำเภอ มาให้ความรู้ด้านการเกษตรและการใช้ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ สำนักงานปศุสัตว์ มาให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ (หน้า 35-37)

Health and Medicine

สาเหตุการเจ็บป่วย เชื่อว่ามี 3 สาเหตุคือ 1) เกิดจากธรรมชาติ เช่นเกิดจากพยาธิ อุบัติเหตุ และกินอาหารผิดสำแดง 2) สิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น การกระทำของผี ไม่ว่าจะเป็นผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีเรือน ผีฝาย ผีต้นข้าวเขียว ผีต้นข้าวแดง เป็นต้น ผีเหล่านี้จะทำหน้าที่คุ้มครองชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข และทำให้ผลผลิตทางการเกษตร เจริญงอกงาม แต่ถ้าหากถึงเวลาต้องทำพิธีเลี้ยงผี แล้วไม่จัดพิธีตามประเพณีผีก็จะโกรธ จึงทำให้ไม่สบาย นอกจากนี้ความเจ็บป่วยยังเกิดจาก การตกใจจนเสียขวัญ 3) เคราะห์กรรม ได้แก่ การเจ็บป่วยที่เกิดจากกรรมในชาติก่อน เช่น ตาบอด ขาด้วน เกิดเพราะชาติก่อนทำกรรมเอาไว้ พอเกิดมาชาตินี้จึงทำให้พิการ การรักษา มี 2 วิธี คือ การรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่ จะไปรักษาที่โรงพยาบาลพบพระที่ตั้งห่างจากหมู่บ้าน 7 กิโลเมตร เพราะในหมู่บ้านไม่มีสถานีอนามัยหรือสถานบริการสาธารณสุขชุมชน การจะรักษาส่วนมากจะเป็นการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ หรืองูกัด ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้องอาศัยความเร่งด่วน การรักษาแบบแพทย์แผนโบราณ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1 ) การดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง และการดูแลสุขภาพคนในครอบครัว โดยจะเป็นวิธีที่รักษาง่ายๆ เช่น เป็นคางทูม จะรักษาโดยใช้ครามย้อมผ้าทาที่คาง, ถ้าเป็นแผลจะตำว่านโพบ้ากุ ตำใส่แผล, ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก จะทาด้วยกะทิสดและว่านหางจระเข้ , ผึ้งและแมงป่องต่อย จะตำใบแมงลักแล้วนำมาพอก, หมากัด จะรักษาโดยนำเงินหรือช้อนมาฝนกับหิน แล้วนำมาทาที่แผล, เป็นตุ่มคันตามตัว จะรักษาโดยใช้เหล้าขาวทาบริเวณที่คัน 2) การดูแลสุขภาพตอนตั้งครรภ์และหลังคลอด ส่วนมากจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เช่น ห้ามกินของแสลง ได้แก่ ยอดฟัก ชะโอม ชะพลู ไข่มดแดง และไม่ให้กิน ปลาไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาสวาย ปลาหลด เพราะจะทำให้ผิดเดือน (เรียกภาษากะเหรี่ยงว่า ซุ่ยกะหม่า) และห้ามอาบน้ำฝน นำมากินหรือต้มอาบก็ไม่ได้เช่นกันเพราะจะทำให้ผิดเดือน 3) รักษากับหมอพื้นบ้าน แบ่งออกเป็นการรักษาประเภทต่างๆ เช่น - การดูเมื่อ (ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า กะล่าก่าต่ะ ) เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรค มีหลายวิธีเช่น ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนหุ้มเชือก ให้ก้อนข้าวห้อยลงมา และวิธีใช้กระดูกไก่ 1 คู่ เป่าคาถาแล้วขูดจนเป็นรูและนำไม้เล็กๆ เสียบเข้าไปในกระดูกไก่ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันว่าแตกต่างกันอย่างไร จากนั้นก็พยากรณ์อาการป่วย และวิธีหักตอก (กะเหรี่ยงเรียกว่า ก่าเซเด) คือการเสี่ยงทายจำนวนตอกว่าเป็นเลขคู่ หรือเลขคี่ เพื่อหาอาการป่วยว่าผีชนิดไหนทำ และผีต้องการกินอะไรเป็นเครื่องเซ่น - ผูกข้อมือเรียกขวัญ (ญ่อกะล่า/ทีโพ๊ะจือ) จะทำเพื่อให้กำลังใจคนป่วย และจะทำพิธีให้ทุกคนในวันสงกรานต์ และทำพิธีเรียกขวัญให้เด็กที่เกิดใหม่ เพราะเชื่อว่าทุกคนเกิดมาต้องมีขวัญประจำตัวทุกคน - เป่าคาถา (ต้าอู) ได้แก่การท่องคาถาแล้วเป่าใส่คนป่วย บางครั้งก็จะใช้การเป่าคาถากับสมุนไพร เช่นถ้าผู้ป่วยเหยียบไฟเป็นแผลไหม้ ก็จะเป่าคาถาพร้อมกับทาว่านหางจระเข้ หรือการเป่ากระหม่อมให้เด็กถ้าร้องไห้กระจองอแง นอนไม่หลับ ก็จะทำพิธีเป่าเรียกขวัญให้เด็ก เมื่อเป่าแล้วคนป่วยจะรู้สึกอาการป่วยทุเลาหรือดีขึ้น - ให้หมอตำแยทำคลอด หมอตำแยจะมีความสำคัญในการทำคลอดในหมู่บ้าน และตอนคลอดถ้าคลอดยากจะให้ดื่มน้ำมนต์ด้วยซึ่งน้ำมนต์นี้จะไปขอกับหมอพื้นบ้าน ส่วนการรักษากับหมอพื้นบ้าน มี 2 ขั้นตอนคือ 1) การตั้งขัน นำดอกไม้และเทียนใส่กรวยจำนวน 2 กรวย ปูน หมาก ยาสูบ จำนวนหนึ่งและเงินค่าทำขวัญ ซึ่งคิดอัตราแตกต่างกันไปแล้วแต่หมอพื้นบ้านจะเรียก โดยคิดราคาตั้งแต่ 1 บาท ถึง 170 บาท แล้วนำกรวยนั้นไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำของเพศชายที่อยู่บนดิน และเพศหญิงที่อยู่ในน้ำ 2) การรับขันตั้งจะเป็นขั้นตอนการรักษาคนป่วยแล้วแต่ว่าผู้ป่วยหรือญาติต้องการจะให้ใช้วิธีใดรักษา เช่น การผูกข้อมือเรียกขวัญ จุดเทียนสะเดาะเคราะห์ เป่าคาถา เป็นต้น (หน้า ง, จ, 3, 33, 39-69, 71-74)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

กล่าวถึงการทอผ้าในช่วงว่างงาน ของผู้หญิง แต่ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดว่า เป็นแบบใด หรือมีลวดลายอย่างไร สำหรับการใช้เสื้อผ้า จะนำเสื้อมาใช้ในพิธีเรียกขวัญ ในช่วงปลายเดือนเมษายน โดยจะใช้เสื้อของคนในครอบครัว คนละตัว มาให้คนอาวุโสในหมู่บ้าน ทำพิธีเรียกขวัญ เพื่อให้มีชีวิต เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน สุขภาพแข็งแรง (หน้า 31,32)

Folklore

ตำนานชื่อหมู่บ้านมาจากที่ชาวบ้านช่วยกันออกแรงช่วยชีวิต ดึงวัวตัวหนึ่ง ที่ไปกินหญ้าแล้วพลัดตกติดอยู่ในบึงไปไหนไม่ได้ ชื่อบ้านมอร์เกอร์ยาง มาจากคำ 3 คำ รวมกันได้แก่คำว่า "มอ" หมายถึง หนอง บึง "เกอร์" หมายถึง ดึง หรือ ดัน และคำว่า "ยาง" หมายถึง กะเหรี่ยง (หน้า 31)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน จะอยู่ร่วมกับกะเหรี่ยงในศูนย์ผู้อพยพบ้านมอเกอร์ยาง ซึ่งเป็นผู้อพยพการสู้รบจากประเทศพม่าโดยสงบ แต่ก็ไม่ประมาทในเรื่องความปลอดภัย การอยู่ด้วยกันจะเป็นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยคือ ลูกหลานของผู้อพยพ จะมาเรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนบ้าน มอเกอร์ยาง และกะเหรี่ยงในศูนย์อพยพ ก็จะมาซื้อของใช้ ที่ร้านค้าของชาวบ้าน ในหมู่บ้านจะมีความเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยอยู่โดยไม่ประมาท ตรวจบัตรคนที่เดินทางเข้าออกในหมู่บ้าน และห้ามการเข้าออกหมู่บ้านเมื่อถึงเวลา 18.00 น. ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนไทย ไม่ใช่กะเหรี่ยงที่อยู่ในศูนย์ผู้อพยพก็ตาม (หน้า 33, 36, 40)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 27) บ้านมอเกอร์ยาง (หน้า 28) แผนภูมิ การดูแลสุขภาพตนเองด้วยวิธีการแพทย์กะเหรี่ยง (หน้า 75)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การแพทย์พื้นบ้าน, สุขอนามัย, ตาก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง