|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ภาวะเจริญพันธุ์,ภาคเหนือ |
Author |
Rossarin Gray, Chai Podhisita, Patama Vapattanawong, Anchalee Varangrat |
Title |
Fertility Decline among the Karen and the Hmong, Hill Tribe Minorities in Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
htpp://issup2005.princeton.edu/download.aspx?submissionId=S1166 |
Total Pages |
28 |
Year |
2548 |
Source |
htpp://issup2005.princeton.edu/download.aspx?submissionId=S1166 |
Abstract |
อัตราเจริญเติบโตของประชากรในประเทศไทยในปัจจุบันอัตราการเกิดลดลงน้อยกว่าอัตราการตายในปี ค.ศ. 2000 (National Statistical Office (NSO) 2003) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตลดลงคือการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและสังคมและการยอมรับใช้การวางแผนครอบครัวเพิ่มมากขึ้น การมีอำนาจสูงสุดของวัฒนธรรมเดียวในประเทศไทยเป็นทิศทางสำคัญในการจัดการสร้างแนวคิดใหม่ได้ง่ายขึ้น (Knodel, Chamratrithrirong และ Debavalaya 1987) (หน้า 1) สำหรับอัตราการเจริญเติบโตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์ม้งซึ่งอาศัยบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทย จากข้อมูลประชากรในปี ค.ศ.1990 และ ค.ศ. 2000 ในช่วงระยะเวลา 10 ปีมี อัตราการเจริญเติบโตประชากรทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์ลดลง อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจแสะสังคมของทั้งสองกลุ่มไม่สอดคล้องกับการลดลงของอัตรา การเจริญเติบโต กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมช้ากว่ากลุ่มชาติพันธุ์ม้งแต่ อัตราการเจริญเติบโตลดลงมากกว่า ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับสังคมไทยมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับแนวคิดและนโยบายของไทยในเรื่องของการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด จากข้อมูลพบว่าการเปลี่ยนแปลงการศึกษา งานที่ทำ และระดับฐานะที่ดีขึ้นมีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการเจริญเติบโต ม้งที่อาศัยในเมืองมีลูกมากกว่าม้งที่อาศัยในชนบท ข้อมูลนี้ไม่น่าประหลาดใจเนื่องจากพบว่าม้งนิยมมีลูกมากถ้าพวกเขาสามารถเลี้ยงดูได้และรวมถึงม้งมีแนวคิดเกี่ยวกับความต้องการมีลูกชายค่อนข้างมากซึ่งมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของประชากรในกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (หน้า 24) |
|
Focus |
ศึกษาอัตราลดของภาวะเจริญพันธุ์ในกลุ่มชาติพันธุ์ม้งและกะเหรี่ยงทางภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 1) |
|
Theoretical Issues |
ชาวเขาในประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นผลมาจากการติดต่อกับโลกภายนอก โดยเฉพาะจากกิจกรรมที่รัฐส่งเสริม เนื่องจากรัฐบาลไทยใช้นโยบายที่มุ่งให้ชาวเขาผสมกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทย จากการนับถือศาสนาพุทธและระบบการศึกษาที่ใช้ภาษาไทยสำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียน พฤติกรรมการให้กำเนิดบุตรของกะเหรี่ยงและม้ง ได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้นทุกขณะ แนวทางโครงการทั้งของรัฐและเอกชนที่นำไปส่งเสริมในหมู่ชาวเขา โดยเฉพาะนโยบายด้านการศึกษาและศาสนาพุทธ นอกจากนี้อิทธิพลของโลกภายนอกที่มาจากระบบการคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้น การส่งเสริมทางด้านการท่องเที่ยว ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด และการจำกัดด้านการใช้ที่ดิน ทำให้ชาวเขาบางส่วนต้องเปลี่ยนอาชีพ จากการทำเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม มาเป็นการทำงานที่ได้รับค่าจ้างตอบแทน ข้อค้นพบจากการวิจัยเชิงประจักษ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการลดลงของภาวะการเจริญพันธุ์ก็คือการเพิ่มขึ้นของระดับการศึกษาในประชากรหญิงวัยผู้ใหญ่ มีเหตุผลอยู่สองประการที่มักถูกนำมาใช้ในการอธิบายเรื่องนี้ ประการแรก การที่ผู้หญิงมีการศึกษาระดับสูงขึ้นส่งผลให้ผู้หญิงแต่งงานช้าลงและมีลูกคนแรกช้าลง ประการที่สอง การศึกษาทำให้สถานภาพของผู้หญิงสูงขึ้น แต่บทบาทของการศึกษาต่อการลดลงของภาวะการเจริญพันธุ์ อาจจะแตกต่างออกไปในสังคมที่มีความหลากหลาย ระบบโรงเรียนเป็นเครื่องมือของรัฐในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติ ด้วยการเสริมสร้างภาษาของชาติ ดังนั้นภาษาจึงมิใช่เพียงสื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนเท่านั้น ส่วนคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางภาวะเจริญพันธุ์ก็คือการแพร่กระจายแนวคิดใหม่ๆ ด้านบรรทัดฐานครอบครัว หรือเทคนิคการคุมกำเนิดระบบใหม่ให้เข้าสู่กลุ่มผู้คนที่พูดภาษาเดียวกัน สิ่งที่พบดูเหมือนว่ากลุ่มที่ผสมผสานกลมกลืนเข้ากับเครือข่ายสังคมเหล่านี้ได้มากกว่า ก็โน้มเอียงที่จะควบคุมภาวะการเจริญพันธุ์ในทางที่นำไปสู่การลดลงของระดับการเจริญพันธุ์ สมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพของชนกลุ่มน้อยคือ ชนกลุ่มน้อยที่ขาดความมั่นคงในชีวิต โน้มเอียงที่จะจำกัดขนาดครอบครัว (จำนวนบุตร) เพื่อให้สามารถเลื่อนฐานะทางสังคมได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็พยายามผสมกลมกลืนเข้ากับคนส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นต้องไม่ได้มีอุดมการณ์นิยมการมีบุตรมากหรือไม่มีทัศนคติที่เป็นอุปสรรคต่อการควบคุมการเกิด ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับคนส่วนใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการอีกแล้วชนกลุ่มน้อยยังรู้สึกเสียเปรียบในทางเศรษฐกิจและการเมือง กลุ่มเหล่านี้ก็จะส่งเสริมภาวะการเจริญพันธุ์สูง เพื่อเป็นหลักประกันการคงอยู่และความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านจำนวนของพวกเขา ดังนั้น บทบาทของรัฐจึงมิใช่เพียงการส่งเสริมการติดต่อสัมพันธ์ทางสังคมหรือการแพร่กระจายทางสังคมผ่านทางการใช้ภาษาเดียวกันเท่านั้น หากแต่สามารถผ่านทางการรวมตัวเข้าสู่ระบบตลาดเดียวกันด้วยทั้งนี้เพื่อเป็นตัวกำหนดหลักที่นำไปสู่การลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ การรวมตัวสู่ระบบตลาดเดียวกันได้มากขึ้น สามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ในแนวทางเศรษฐกิจของชุมชน ปกติแล้วคือเปลี่ยนจากพื้นฐานทางภาคเกษตรกรรมไปสู่พื้นฐานทางเศรษฐกิจนอกภาคเกษตรกรรม ภาวะเจริญพันธุ์มีแนวโน้มลดลงเมื่ออาชีพนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้อธิบายได้ด้วยเหตุผลสองประการคือ ประการแรก บุตรมีส่วนช่วยเป็นแรงงานนอกภาคเกษตรกรรมน้อยกว่าในภาคเกษตรกรรม พ่อแม่จึงมีแรงจูงใจที่จะมีบุตรมากลดน้อยลง ประการที่สองงานนอกภาคเกษตรกรรมได้เคลื่อนย้ายผู้คนออกจากครอบครัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับรู้แนวคิดและคุณค่าใหม่ๆ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความชอบธรรมในการจำกัดขนาดครอบครัวหรือสร้างจุดมุ่งหมายในลักษณะใหม่ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับการมีครอบครัวใหญ่ (หน้า 2-6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งและกะเหรี่ยง ในภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
การศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลสถิติประชากรประเทศไทยในปี ค.ศ. 1990 และ ค.ศ.2000 |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในเชียงใหม่มาแล้วตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 18 เป็นอย่างน้อย ส่วนม้งย้ายเข้ามาในประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ. 1980-1990 แต่ม้งในจังหวัดตากพบอยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 ส่วนการกระจายตัวของกะเหรี่ยงและม้งในประเทศไทย จากข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 2000 แสดงในแผนที่ 1 หน้า 5 |
|
Demography |
ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรของการศึกษาครั้งนี้อาศัยข้อมูลตัวอย่างระดับจุลภาคของสำมะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 1990 และ 2000 จำนวนประชากรตัวอย่างที่เป็นชนกลุ่มน้อยใช้ขนาดตัวอย่างร้อยละ 20 ส่วนคนไทยทั้งประเทศและคนไทยภาคเหนือใช้ขนาดตัวอย่างร้อยละ 1 และ 1.2 จากสำมะโนประชากรของทั้งสองครั้งดังกล่าว ผลการศึกษา พบว่าม้งมีการเจริญพันธุ์สูงที่สุดในภาพรวมภาวะเจริญพันธุ์ลดลงในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ม้งลดลงช้าที่สุด ในต้นทศวรรษที่ 1990 ผู้หญิงม้งมีจำนวนบุตรเฉลี่ยมากกว่ากะเหรี่ยงเกือบ 3 คน และมากกว่าคนไทยประมาณ 4 คน ปัจจุบันหลักที่อธิบายระดับการเจริญพันธุ์สูงในกลุ่มม้งและกะเหรี่ยงเมื่อเปรียบเทียบกับคนไทย ได้แก่ การแต่งงานแล้ว การใช้ วิธีการคุมกำเนิดน้อย สถานภาพทางเศรษฐกิจต่ำและลักษณะโครงสร้างครัวเรือน แม้ว่าทั้งกะเหรี่ยงและม้งมีมาตรฐานการครองชีพต่ำกว่าคนไทยมากแต่สถานการณ์ของทั้งสองกลุ่มดีขึ้นมากในช่วงกว่า 10 ปีทีผ่านมา การปรับปรุงด้านสุขอนามัย โดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับการลดลงของภาวะการตาย ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ ดังที่ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงด้านภาวะเจริญพันธุ์ได้อธิบายไว้แต่ผลการศึกษาที่ผ่านมา คำอธิบายนี้เป็นความจริงสำหรับกะเหรี่ยง แต่ไม่จริงสำหรับม้ง เมื่อเปรียบเทียบกับระดับม้งกับกะเหรี่ยงพบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพในกลุ่มม้งเป็นไประดับที่สูงกว่ากะเหรี่ยงแต่ระดับภาวะเจริญพันธุ์ของม้งลดลงช้ากว่ากะเหรี่ยง คุณลักษณะของม้งที่ทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์สูงที่สุดอาจจะเกี่ยวข้องกับการเป็นสังคมที่สืบทอดเชื้อสายทางและความพึงพอใจสูงต่อการมีบุตรชายและการเป็นสังคมครอบครัวขยาย ในระว่างปี 1990 และ 2000 ม้งผสมกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทยมากกว่ากะเหรี่ยงเมื่อคิดเกณฑ์การศึกษา การพูดภาษาไทยและการนับถือศาสนาพุทธ อย่างไรก็ตาม ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์ไม่สอดคล้องกับระดับการลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ ผลการศึกษาครั้งนี้ให้ข้อเสนอแนะว่า การลดลงของภาวะการเจริญพันธุ์ในกลุ่มกะเหรี่ยง ในที่สุดจะบรรลุสู่การมีครอบครัวขนาดเล็กและการคุมกำเนิดได้ สำหรับม้งเกือบเข้าสู่จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางการเจริญพันธุ์แล้ว อัตราการลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ในกลุ่มม้งอยู่ในระดับที่ช้ามาก แม้ว่าระบบการศึกษาในโรงเรียนบรรรลุเป้าหมายในหมู่ม้งและการติดต่อสัมพันธ์กับคนไทยก็เป็นไปได้สะดวก ข้อค้นพบของการศึกษาครั้งนี้เสนอแนะว่า นโยบายระดับชาติของไทย ไม่ประสบความสำเร็จในระดับจุลภาค บทบาทของระบบโรงเรียนที่ยืนยันการใช้ภาษาไทยและการเรียนการสอนเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของชนกลุ่มน้อยไม่ปรากฏชัดเจน ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับการลดลงของภาวะเจริญพันธุ์เกี่ยวข้องกับสถานะภาพที่สูงขึ้นของผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงม้ง มากกว่าที่จะเกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารกับสังคมไทยโดยรวมผ่านการใช้ภาษาไทยร่วมกัน ภาวะการเจริญพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงช้ามากในกลุ่มม้งดูเหมือนสอดคล้องกับสมมติฐานสถานภาพของชนกลุ่มน้อยที่ว่าปัจจัยด้านอุดมการนิยมบุตรมาก ไม่ปรารถนาที่จะผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมและความรู้สึกเสียเปรียบทางการเมือง ส่งอิทธิพลให้ภาวะการเจริญพันธุ์ของม้งอยู่ในระดับสูง (หน้า 11-19) |
|
Economy |
จากการติดต่อกับกลุ่มภายนอกเพิ่มมากขึ้นและการได้รับการศึกษาที่ดีขึ้นของกลุ่มผู้หญิงกะเหรี่ยงและม้งทำให้เกิดการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจของพวกเขาออกไปนอกบ้าน กราฟที่ 4 และ 5 แสดงให้เห็นว่ากะเหรี่ยงและม้งออกไปไกลจากบ้านมากขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1990-2000 และปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มช่วงอายุในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ผู้หญิงม้งที่ไม่ทำงานเกี่ยวกับการเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นเร็วและมากกว่าผู้หญิงกะเหรี่ยง ส่วนใหญ่งานที่ผู้หญิงทั้งสองกลุ่มทำคือ เป็นลูกจ้าง ทอผ้า งานโรงงาน งานบริการส่วนตัวและการขายสินค้าหัตถกรรมของกลุ่มของตนเอง (หน้า 21) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ ครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นครอบครัวเดี่ยว ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นครอบครัวขยาย สืบสายตระกูลทางบิดา และมีความต้องการลูกชายสูง (หน้า 3) |
|
Political Organization |
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 รัฐไทยเข้ามาในพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศและมีนโยบายในการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงกลายเป็นไทยและเข้ารวมในสังคมไทยผ่านนโยบายการให้การศึกษาแบบใหม่โดยการสร้างโรงเรียนในพื้นที่สูง การสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาพุทธ รวมถึงรัฐได้ออกกฎหมายห้ามการทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่ป่าไม้ และส่งเสริมการให้บริการการวางแผนครอบครัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา (หน้า 6) |
|
Belief System |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งและกะเหรี่ยงนับถือผี อำนาจเหนือธรรมชาติ และมีบางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ การเผยแพร่ศาสนาพุทธในพื้นที่สูงเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1955 เป็นต้นมา สำหรับศาสนาคริสต์กลุ่มมิชชันนารีได้เข้ามาในพื้นที่สูงก่อนองค์กรอื่นๆ กลุ่มมิชชันนารี นิกายโปแตสแตนท์ กลุ่มแรกเข้ามาในปี ค.ศ. 1867 (หน้า 6) |
|
Education and Socialization |
รัฐบาลไทยได้สร้างโรงเรียนในพื้นที่สูงในช่วงปี ค.ศ. 1950 มีเพียงหนึ่งในห้าของหญิงที่แต่งงานในกลุ่มกะเหรี่ยงและม้งมีการศึกษาเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2000 ส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาขั้นประถมศึกษา อย่างไรก็ตาม จากกราฟที่ 2 แสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นของการศึกษาในทุกกลุ่มอายุของผู้หญิงกะเหรี่ยงและม้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มที่ได้รับการศึกษามากขึ้นยังอยู่ในกลุ่มผู้หญิงที่อายุน้อย (หน้า 19) |
|
Health and Medicine |
รัฐบาลไทยเข้ามาส่งเสริมและให้บริการการวางแผนครอบครัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1990 และ ค.ศ. 2000 ม้งเข้ามามีปฎิสัมพันธ์ในสังคมไทยมากกว่ากะเหรี่ยง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเข้ารับการศึกษา ความสามารถในการพูดภาษาไทย และการเปลี่ยนเป็นพุทธศาสนิกชนซึ่งมีนัยยะของการเป็นไทยมากขึ้น (หน้า 6, 14 ) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 รัฐไทยเข้ามาในพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศและมีนโยบายในการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงกลายเป็นไทยและเข้ารวมในสังคมไทยผ่านนโยบายการให้การศึกษาแบบใหม่โดยการสร้างโรงเรียนในพื้นที่สูง การสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาพุทธ รวมถึงรัฐได้ออกกฎหมายห้ามการทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่ป่าไม้ และส่งเสริมการให้บริการการวางแผนครอบครัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา การติดต่อปฏิสังคมกับกลุ่มคนภายนอกส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบใหม่เพิ่มขึ้น(หน้า 6) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ 1 แสดงการอยู่อาศัยและจำนวนประชากรของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและม้ง บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย (จากข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 2000 หน้า 5) |
|
|