|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ความเชื่อ,ศาสนา,อิสลาม,พุทธ,กรุงเทพ |
Author |
รักใจ สุพรรณโกมุท |
Title |
การศึกษาเปรียบเทียบคำสอนและทรรศนะเรื่องการสิ้นสุดของโลกในพระพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม: ศึกษากรณีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพมหานคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
200 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
การศึกษาเปรียบเทียบเรื่องการสิ้นสุดของโลกในประพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม โดยศึกษาประเด็นดังกล่าวจากกลุ่มนักวิชาการศาสนาและนักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐในชมรมชาวพุทธและอิสลาม ในเขตกรุงเทพฯ พบว่าแนวคิดเรื่องดังกล่าวแตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น เรื่องการกำเนิดโลกและสิ้นสุดของโลก โดยในทางพุทธศาสนาไม่เชื่อในเรื่องการสร้างและการกำหนดความเป็นไปของพระเจ้า แต่ในทางกลับกันศาสนาอิสลามมีความเชื่อเช่นนั้น นอกจากนี้ ความเชื่อเรื่องการสิ้นโลกยังเป็นหลักศรัทธาข้อหนึ่งในอัลกุรอาน ดังนั้น มุสลิมทุกคนจึงเชื่อในหลักคำสอนดังกล่าว หรือเรื่องของจุดมุ่งหมาย โดยในทางพุทธมุ่งให้พิจารณาเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา เพื่อเป็นการพัฒนาจิตให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง สำหรับทางอิสลามแล้วจุดมุ่งหมายอยู่ที่การยอมรับในเอกภาพของพระเจ้าทำให้เกิดศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และยึดมั่นปฏิบัติตามแนวทางคำสอนเป็นการกระตุ้นให้ทำความดีเพื่อผลแห่งความสุขในสวรรค์ แต่ทั้งนี้ 2 ศาสนาต่างก็มีทรรศนะเรื่องการสิ้นโลกคล้ายกัน คือ การมองโลกนี้สำคัญในฐานะที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และสามารถพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมทั้งในระดับที่เกื้อกูลชีวิตให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข และสามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่เป็นความสุขนิรันดร์ ส่วนผลการศึกษาในทรรศนะของศาสนิกชน พบว่า ทรรศนะของนักวิชาการพุทธจะมีความสอดคล้องกับหลักคำสอนในศาสนาของตนมากกว่านักศึกษาชมรมชาวพุทธ ส่วนนักวิชาการอิสลามและนักศึกษาชมรมมุสลิมมีทรรศนะ ที่สอดคล้องกับหลักคำสอนในศาสนาของตนมากกว่านักวิชาการและนักศึกษาชาวพุทธ |
|
Focus |
ผู้วิจัยมุ่งศึกษาแนวคิดและหลักคำสอนเรื่องการสิ้นสุดของโลกที่ปรากฏอยู่ใน ศาสนาพุทธและอิสลาม เพราะเป็นศาสนาที่มีแนวคิดแตกต่างกัน กล่าวคือ ศาสนาพุทธเป็นประเภทอเทวนิยม ส่วนศาสนาอิสลามเป็นศาสนาเทวนิยม จึงมีความแตกต่างกันในหลักการและจุดมุ่งหมายของคำสอนในประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งศึกษาเปรียบเทียบทรรศนะของศาสนิกชนของทั้ง 2 ศาสนาในเรื่องนี้ โดยการสัมภาษณ์ทรรศนะของนักวิชาการศาสนา และการใช้แบบสอบถามสำรวจทรรศนะของนักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐในกลุ่มชมรมชาวพุทธและมุสลิม เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักคำสอนทางศาสนา นำไปสู่การปฏิบัติตนในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมในสังคม (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิม ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักวิชาการศาสนาและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐที่อยู่ในชมรมมุสลิม |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ทราบแต่เพียงว่ามีการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักวิชาการศาสนาทั้งพุทธและอิสลาม ในช่วงพฤษภาคม - มิถุนายน พ.ศ. 2543 (หน้าภาคผนวก 186 -187) |
|
History of the Group and Community |
|
Belief System |
ทรรศนะเรื่องการสิ้นโลก -- กลุ่มนักวิชาการศาสนา นักวิชาการอิสลามยอมรับในอานุภาพของพระเจ้าว่าเป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล เป็นผู้กำหนดความเป็นไปของโลกและรวมไปถึงกำหนดว่าโลกจะต้องถึงการสิ้นสุดตามประกาศิตของพระองค์ ในขณะที่นักวิชาการพุทธปฏิเสธความเห็นดังกล่าว แต่เห็นว่าการสิ้นสุดของโลกเป็นไปตามเหตุปัจจัย และเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งจะถูกทำลายด้วยปัจจัยจากน้ำ ลม และไฟ โดยทางพุทธศาสนาเองก็ไม่มีคำสอนใดในเรื่องสัญญาณใกล้วันสิ้นโลก เพราะมิได้มีจุดมุ่งหมายสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งทางศาสนาอิสลามวันสิ้นสุดของโลกก็ไม่อาจรู้ แต่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนตามหลักฐานในอัลกุรอาน โดยมีสัญญาณบ่งบอกว่า วันนั้นใกล้มาถึง คือ ท่านนบีมุฮัมมัดจะปรากฏขึ้น และมีสัญญาณมากมาย เช่น สภาพสังคมเลวร้ายศีลธรรมเสื่อมลง เกิดภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรง ฯลฯ ทั้งนี้ นักวิชาการทั้ง 2 ฝ่าย เห็นสอดคล้องกันว่า ความเชื่อเรื่องนี้ต่างก็มีประโยชน์ในการดำรงชีวิต ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท กระตุ้นเตือนให้มนุษย์ทำความดี เป็นผลดีต่อการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมตามจุดมุ่งหมายของศาสนา (หน้า 114-119) -- กลุ่มนักศึกษาในชมรมศาสนา ชมรมชาวพุทธมองว่าโลกนี้สำคัญในฐานะที่เป็นที่อยู่อาศัยและประกอบกรรม ความเชื่อเรื่องการสิ้นโลกนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นไปตามวัฎจักร และเรื่องการสิ้นสุดของโลกถือเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเห็นถึงสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา ส่งผลต่อการมีทรรศนะในการสร้างกุศลด้วยการทำบุญ ทำความดี และเจริญสมาธิวิปัสสนาจะเป็นวิธีปฏิบัติที่ดีเพื่อเตรียมตัวก่อนถึงวันสิ้นโลก ในขณะที่ชมรมมุสลิมมีความเชื่อเรื่องดังกล่าวไปตามหลักศรัทธาของศาสนา คือ มีพระเจ้าเป็นผู้สร้างและกำหนดความเป็นไปของโลก โดยโลกนี้เป็นเพียงโลกแห่งการทดสอบและทดลองของมนุษย์ และเห็นว่าศาสนาของตนได้เสนอวิถีทางในการปฏิบัติตนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าและดำเนินชีวิตไปตามปกติ โดยมีแรงผลักดันจากความเชื่อเรื่องการสิ้นสุดของโลกเพื่อความสุขในโลกหน้า นอกจากนี้ นักศึกษาทั้ง 2 ศาสนาเห็นตรงกันว่า โลกนี้ต้องถึงการสิ้นสุดแต่เป็นเวลาอีกยาวนานมาก และความเชื่อเรื่องนี้ที่มาจากคำทำนายของนักโหราศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ และสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่อ่อนแอ (หน้า125-158) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|