|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรม,กาฬสินธุ์ |
Author |
สุภิตา ไชยสวาสดิ์ |
Title |
การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวผู้ไทกับชาวไทยลาว ศึกษากรณีบ้านคำกั้ง ตำบลเหล่าใหญ่ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
162 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
จากการศึกษาเรื่องการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของผู้ไทกับไทยลาว พบว่า มีการผสมกลมกลืนทางด้านภาษา ปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ศาสนา ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ โดยในกระบวนการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของผู้ไทที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งการรับวัฒนธรรมจากไทยลาวและไทยภาคกลาง อันเป็นผลมาจากการติดต่อแลกเปลี่ยนเพื่อการยังชีพของผู้ไทกับไทยลาว ที่ทำให้วัฒนธรรมของไทยลาวที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ในภาคอีสานแพร่เข้ามา ทำให้ผู้ไทรับมาปรับใช้ในสังคมของตน เช่น เรื่องภาษาที่มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องการนับจำนวนข้าว ประเพณีพิธีกรรมที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น การเกิด การแต่งงาน ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมจากส่วนกลางก็เข้ามามีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของทั้งสองกลุ่ม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การแต่งกายที่เปลี่ยนจากสวมใส่ผ้าฝ้าย ผ้าไหม เป็นเสื้อผ้าจากตลาด การตั้งถิ่นฐานที่เปลี่ยนมาปลูกสร้างบ้านทันสมัยแยกบ้านไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ การรักษาโรคที่มีอนามัย โรงพยาบาล หรือพิธีกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงเช่น งานแต่งงานที่มีการรดน้ำและเลี้ยงโต๊ะจีนตามวัฒนธรรมไทยภาคกลาง อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทั้งในระดับท้องถิ่นระหว่างผู้ไทกับไทยลาว และระดับประเทศระหว่างวัฒนธรรมผู้ไท วัฒนธรรมไทยลาวกับวัฒนธรรมไทยภาคกลาง แต่ผู้ไทก็ยังคงสามารถดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้ เช่น การแต่งงานแม้จะมีการปรับเปลี่ยนตามสมัยนิยมเลี้ยงโต๊ะจีน รดน้ำสังข์แต่สำหรับผู้ไทก็ยังคงมีพ่อล่าม แม่ล่ามในพิธีแต่งงานเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ผู้ไทจึงยังคงดำรงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สามารถอยู่ร่วมกับไทยลาวที่เป็นกลุ่มชนจำนวนมากในภาคอีสานได้จนปัจจุบัน (หน้า 157-162) |
|
Focus |
เน้นศึกษาการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของผู้ไทกับไทยลาวทางด้านภาษา ปัจจัยในการดำรงชีวิต ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค และเพื่อศึกษาการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมด้านศาสนา ประเพณี พิธีกรรม (หน้า 4, 157) |
|
Theoretical Issues |
ในการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม กลุ่มชนซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเช่นผู้ไท ย่อมมีการรับนำวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่มีมากกว่าอย่างเช่น ไทยลาวและไทยภาคกลางเข้ามาปรับใช้ในสังคมวัฒนธรรมของตน โดยการผสมกลนกลืนทางวัฒนธรรมนั้นเป็นกระบวนการที่มีทั้งการรับ การให้ เพื่อการดำรงอยู่ของกลุ่มชนที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน (หน้า 17-21, 161) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาคือ "ชาวผู้ไท" ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีภาษาพูดเป็นของตนเอง และมีวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อของตน โดยผู้ไทนั้นเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากเมืองแถง เมืองไล ที่อยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย (หน้า 1, 36) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในงานระบุเพียงว่าผู้ไทมีภาษาพูดเป็นของตนเองมาช้านาน และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนภาษาเขียนแต่ก่อนผู้ไทมีตัวหนังสือเป็นของตนเอง ดังที่ปรากฎในสมัยดึกดำบรรพ์พระยาแถงได้ประกาศให้ชนชาติต่างๆ ได้รับเอาหนังสือไปใช้ เจ้าเมืองผู้ไทได้จารึกตัวอักษรลงบนหนังวัวตากแห้ง ครั้นฝนตกตัวหนังสือเปียกเจ้าเมืองจึงนำหนังวัวไปผึ่งแดดและถูกสุนัขคาบไป ผู้ไทจึงไม่มีตัวหนังสือใช้ โดยภาษาผู้ไทนั้นมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยลาว ไทยภาคกลาง แต่ในความคล้ายคลึงก็จะมีความแตกต่างที่เสียงพูดแปร่งไปเท่านั้น โดยความคล้ายคลึงทางภาษาจะพิจารณาได้จากลักษณะร่วมทางภาษาของผู้ไทกับชาวไทยลาว เช่นการเรียงตัวในประโยคมีประธาน กริยา กรรม หรือการนับจำนวนผลผลิตเช่นข้าว ในขณะเดียวกันความแตกต่างที่ปรากฎคือการเรียกเครือญาติ ที่จะมีความแตกต่างกันไปตามสำเนียงที่พูด (หน้า 48-52) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุว่าได้ทำการศึกษาช่วงปีใด แต่จากรายนามผู้ให้สัมภาษณ์พบว่าเก็บข้อมูลในช่วง พ.ศ.2541 ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่ทำการศึกษาคือ พ.ศ.2541 (หน้า 172) |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษของผู้ไทที่บ้านคำกั้ง ส่วนใหญ่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้วนอพยพมาจาก เมืองวัง แขวงเวียงจันทน์ เมื่อผู้ไทถูกกวาดต้อนมาจากประเทศลาวในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นมาเป็นเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร เป็นกรรมการเมืองปกครองขึ้นอยู่กับเมืองใหญ่ในเขตเมืองนั้น ๆ รวมทั้งเมืองกุดสิมนารายณ์ซึ่งตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2387 เมื่อตั้งถิ่นฐานที่เมืองกุดสิมนารายณ์แล้ว ผู้ไทนำโดยการนำของคุณตาราณ ได้แยกกลุ่มเดินทางข้ามภูโหล่ยเพื่อหาที่ชัยภูมิในการตั้งหมู่บ้าน คุณตาราณได้เลือกเอาบริเวณที่มีน้ำซึมจากพื้นดินที่เรียกว่าคำ ประกอบกับบริเวณนี้มีปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งคล้ายปลาช่อนแต่ตัวเล็กกว่า และมีหางสีแดงอาศัยอยู่มากซึ่งชาวบ้านเรียกว่าปลากั้ง ต่อมาจึงเรียกหมู่บ้านว่า บ้านคำกั้ง (หน้า 22) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของผู้ไทรูปแบบการตั้งที่อยู่อาศัยจะตั้งรวมกันในที่ดอนเป็นกลุ่ม ๆ การตั้งถิ่นฐานจะตั้งตามที่ดินของพ่อแม่ญาติพี่น้อง เมื่อแต่งงานลูกสาวจะสร้างสร้างที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้พ่อแม่เป็นเวลา 6 ปี ดังนั้นรูปแบบการตั้งถิ่นฐานจึงเป็นรูปแบบมาตาลัย (Matrilocal) ทั้งนี้อาจเพื่อประโยชน์ในการทำการเกษตรกรรม นอกจากนี้ในการตั้งถิ่นฐานยังเกี่ยวพันกับความเชื่อตามประเพณีโบราณ การปลูกเรือนตามวัน เดือนที่เป็นสิริมงคล การเสี่ยงทาย ความเป็นสิริมงคลของพื้นที่ การชิมรสของดิน และเชื่อว่าใต้พื้นดินมีพระยานาคปกปักรักษาอันรวมถึงการส้รางบ้านเรือนที่ต้องมีห้องพระ ห้องบูชาบรรพบุรุษ โดยในการตั้งถิ่นฐานของผู้ไทในบ้านคำกั้งตอนแรกจะตั้งเรียงรายอยู่ทางทิศเหนือใกล้หนองน้ำคำ หมู่ที่ 4 ซึ่งเป็นที่ดอน สร้างบ้านเรือนตามกลุ่มเครือญาติมีการพึ่งพากัน ต่อมาเมื่อประชากรหนาแน่นขึ้นจึงมีการขยายบริเวณออกไปทางทิศใต้และแบ่งการปกครองเป็น 2 หมู่ คือ หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 10 ลักษณะหมู่บ้าน ศาลเจ้าปู่จะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ป่าช้าจะอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนทางทิศตะวันออกและตะวันตกจะเป็นที่ลุ่มทำกิน (หน้า 23, 40-41, 74-75) |
|
Demography |
ประชากรผู้ไทบ้านคำกั้ง แยกออกเป็น 2 หมู่ คือ หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 10 โดยมีจำนวนประชากรทั้งหมด 826 คน ชาย 367 คน หญิง 459 คน จำนวนครัวเรือนทั้งหมด 410 ครัว (หน้า 25) |
|
Economy |
ระบบการผลิตของผู้ไทเป็นระบบการผลิตเพื่อยังชีพ ทำการเกษตรกรรมปลูกข้าวเหนียวเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากผู้ไทนิยมรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก นอกจากการเกษตรกรรมปลูกข้าว ในระบบการผลิตยังมีการปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม เพื่อใช้ในการผลิตเครื่องนุ่งห่ม มีการเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ และหาอาหารจากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ เช่นแหล่งน้ำ ป่าไม้ โดยอาหารที่ได้จากแหล่งน้ำนั้นส่วนมากจะเป็นพวกปลา ได้แก่ ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลากระดี่ ปลาไหล นอกจากนี้ยังมีกุ้ง หอย ปู ที่จะหาในช่วงหน้าฝนจากแหล่งน้ำที่สำคัญคือ หนองน้ำคำ ในการบริโภคอาหารบางอย่างของผู้ไทก็ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ไทกับไทยลาว เช่น การแลกเปลี่ยนปลาร้าจากไทยลาวของผู้ไทที่ไม่ค่อยมีปลาร้ารับประทาน (หน้า 41, 63, 72) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของผู้ไท จะมีลักษณะการดำรงชีวิตเป็นแบบกึ่งสังคมเมืองกึ่งสังคมชนบท เป็นสังคมแบบญาติพี่น้องพึ่งพาอาศัยกัน เคารพเชื่อฟังผู้อาวุโสประจำหมู่บ้าน ผู้อาวุโสประจำตระกูล ผีปู่ย่าตายาย ที่จะมีบทบาทในการควบคุมความประพฤติของคนในครอบครัว ลักษณะครอบครัวนั้นจะเป็นครอบครัวขนาดเล็ก มีสมาชิกเฉลี่ย 5 คน ปลูกบ้านอยู่ใกล้กับญาติพี่น้องและช่วยเหลือกันและกัน นอกจากนี้จากลักษณะการตั้งถิ่นฐานซึ่งลูกสาวจะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้พ่อแม่นั้นแสดงให้เห็นว่าการดูแลจัดการทางสังคมนั้นฝ่ายหญิงจะมีบทบาทในทางสังคม รวมทั้งการที่ฝ่ายชายต้องอยู่กินที่บ้านฝ่ายหญิงถึง 6 ปี ถึงจะออกมาตั้งบ้านเรือนเอง (หน้า 26, 41, 117) |
|
Political Organization |
มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่ คือ หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 10 โดยแต่ละหมู่แบ่งแยกย่อยออกเป็นคุ้ม หมู่ที่ 4 มีนายสมใจ วุฒิสาร เป็นผู้ใหญ่บ้าน ประกอบด้วย 9 คุ้ม ดังนี้ 1.คุ้มศิริวัฒน์ 2. คุ้มโนนสะอาด 3. คุ้มสามเหลี่ยม 4. คุ้มใหญ่พัฒนา 5. คุ้มไหสวรรค์ 6. คุ้มแก้วมณี 7. คุ้มขุนพันธ์ดิษฐ์ 8. คุ้มวรหงษ์ 9. คุ้มบูรพาพัฒนา หมู่ที่ 10 มีนายธานี ยอดยศ เป็นผู้ใหญ่บ้าน ประกอบด้วย 8 คุ้ม ดังนี้ 1. คุ้มสาวัตถี 2. คุ้มโพธิ์ศรี 3. คุ้มโนนสว่าง 4. คุ้มแหลมทอง 5. คุ้มมาตย์สุริวงษ์ 6. คุ้มดอนไกรลาศ 7. คุ้มบูรพาสัมพันธ์ 8. คุ้มดอนสวรรค์ ในการปกครองนั้นจะใช้ระบบการเคารพผู้อาวุโสประจำหมู่บ้าน ประจำตระกูล โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านหากมีเรื่องราวที่ไม่เข้าใจกัน ผู้ใหญ่บ้านจะมีบทบาทในการไกล่เกลี่ย ชาวบ้านจะเชื่อฟัง (หน้า 25-26) |
|
Belief System |
ระบบความเชื่อของผู้ไทนั้น ผู้ไทมีความเชื่อในเรื่องผี ขวัญ สิ่งเหนือธรรมชาติต่าง ๆ ในคติความเชื่อเรื่องผีนั้น กล่าวว่าเมื่อพระยาก่าได้นางลาวมีบุตรชายด้วยกัน 3 คน คนที่ 1 ชื่อท้าวคำ คนที่ 2 ชื่อท้าวดำ คนที่ 3 ชื่อท้าวแก้ว ในครั้งนั้นมีผีอยู่ที่เขาถ้ำ โดยจะแสดงให้เห็นว่าเป็นคนธรรมดาแต่อาหารที่จะเลี้ยงพวกผีนั้นจะเลี้ยงได้แต่เครื่องของหวาน โดยการถือผีนั้นเข้าใจว่ามาจากความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายที่เชื่อว่าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายที่ตายจากไปจะยังคงวนเวียนปกปักรักษาดูแลลูกหลานไม่ให้กระทำผิด หากมีการทำผิดผีเช่นมีชายไปจับแขนหรือกอดจูบลูกสาวบนเรือน ผีปู่ย่าตายายจะทำให้เกิดเรื่องร้าย เจ็บไข้ได้ป่วยได้ จึงต้องมีพิธีเซ่นผี ขอขมาเสี่ยงทาย นอกจากผีบรรพบุรุษแล้ว ผู้ไทเชื่อว่ามีผีที่มีอำนาจที่จะบันดาลให้คุณให้โทษได้ เช่น ผีแถนหรือผีฟ้า เป็นเทวดาที่อยู่บนฟ้าที่จะบันดาลให้เกิดคุณเกิดโทษแก่มนุษย์ได้ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องกระทำตัวตามความประสงค์ของผีแถน, ผีบ้านผีเมือง ซึ่งเป็นผีเจ้าที่คุ้มครองรักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ อาจสถิตย์ตามป่าเขา ต้นไม้ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงมีการสร้างศาลให้บริเวณหลักเมืองโดยถือว่าเป็นเขตหวงห้าม ต้องมีพิธีกรรมในการเซ่นไหว้บูชา ในขณะที่ผู้ไทมีความเชื่อเรื่องผีนั้น ผู้ไทก็มีความเชื่อตามศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาด้วย กล่าวคือ จากการศึกษาเกี่ยวกับคติความเชื่อพบว่าพุทธศาสนาเข้ามาสู่อีสานทางอาณาจักรศรีเทพ จากนั้นมีการแพร่กระจายสู่บริเวณอื่นๆ โดยแพร่กระจายในช่วงระหว่าง พ.ศ.1300-1400 แต่ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ก็มีการนับถือศาสนาพราหมณ์ ในการนับถือศาสนาพุทธนั้น ชาวบ้านจะเชื่อพุทธศาสนาในระดับโลกียะซึ่งเป็นระดับการปฏิบัติตนเพื่อความสุขในโลกนี้และหวังผลในโลกหน้า ดังนั้น จึงมีการทำบุญทำทานและยึดคำสอนศีลธรรมในการปฏิบัติตนและควบคุมสังคมให้สงบสุข และยังนำเอาความเชื่อในพุทธศาสนาระดับโลกียะไปผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องผี สิ่งเหนือธรรมชาติ (หน้า 110-113, 121, 123) |
|
Education and Socialization |
ด้านการศึกษา ผู้ไทต้องยังชีพด้วยการเกษตรกรรมปลูกข้าวเป็นหลัก ดังนั้น การยังชีพจึงเป็นสิ่งจำเป็น แรงงานของลูกหลานครัวเรือนจึงสำคัญอย่างมาก การอบรมสั่งสอนจึงมีกระบวนขัดเกลาทางสังคมผ่านครอบครัว โดยอาจอาศัยความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษที่คอยดูแลลูกหลาน หรือความเคารพในผู้อาวุโส แต่ต่อมาก็เกิดมีการจัดการศึกษาขึ้นที่วัด โดยพระเป็นผู้สอน จนกระทั่งหน่วยงานจากส่วนกลางเข้ามาพัฒนาจึงมีการจัดสร้างโรงเรียนประถมศึกษา ขยายโอกาสเปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชื่อว่าโรงเรียนไทยรัฐวิทยาที่ 35 (บ้านคำกั้ง) มีนายสวัสดิ์ กุลกั้ง เป็นอาจารย์ใหญ่ และมีศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนของกรมศาสนาที่เปิดรับเด็กก่อนวัยเรียนอายุตั้งแต่ 2 ปี (หน้า 25-26) |
|
Health and Medicine |
การรักษาโรคสามารถแบ่งเป็นการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรที่ได้จากสัตว์และพืช โดยใช้ขน หนัง กระดูก เล็บ เลือด จากสัตว์ ใช้ราก เหง้า ดอก ผล จากพืช เป็นต้น เช่น มะสีดา (ฝรั่ง) ทำส่วนยอดอ่อน ๆ มารับประทานแก้ท้องเสีย เอื้อง ใช้เหง้ามาต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ เป็นต้น การรักษาโรคตามความเชื่อ ถ้าเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ จะเชื่อกันว่า "ผี" เป็นผู้ทำให้เจ็บป่วย เช่น อาจมีการทำผิดผี บรรพบุรุษ ชาวบ้านจะต้องไปหาหมอลำส่องมาเสี่ยงทายและทำพิธีเซ่นผีเพื่อรักษา นอกจากหมอส่องแล้วยังมีหมอเป่าที่รักษาโรคด้วยการเป่าคาถาใส่สมุนไพร น้ำมัน เป่าใส่ด้ายผูกข้อมือ แขวนคอเพื่อรักษา, หมอน้ำมัน ที่จะรักษาเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ทาน้ำมันหรือดื่มน้ำมัน, หมอเหยา ที่จะทำพิธีสู่ขวัญเพื่อให้ผีที่สิงร่างผู้ป่วยออกไปจากร่าง จากการรักษาโรคด้วยสมุนไพร รักษาตามความเชื่อแล้วในปัจจุบันการรักษาโรคตามวิธีแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มีทั้งการรักษาด้วยการซื้อยาจากร้านขายยา ไปรักษาที่อนามัย โรงพยาบาล (หน้า 99-102) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของผู้ไทนั้น จะเป็นเครื่องแต่งกายที่ผลิตขึ้นเองทั้งจากผ้าฝ้ายและ ผ้าไหม โดยจะแต่งเมื่อมีกิจกรรมงานบุญต่าง ๆ ในการผลิตนั้นผู้ไทจะผลิตผ้าไหมเองโดยในสมัยก่อนจะมีการปลูกฝ้ายในสวนเก็บดอกฝ้ายนำมาอิ้ว ดีด แล้วล่อให้เป็นหลอดนำไปเข็นและปั่นจนเป็นเส้นด้าย จึงนำมาทอเป็นผืนผ้า ซึ่งแต่ก่อนจะมีการลงข่วงโดยหนุ่มสาวจะนัดกันมาเข็นฝ้ายในสวน สำหรับผ้าไหมนั้นชาวบ้านจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผู้ไทจะนิยมทำเส้นไหมเป็นเส้นเล็ก ๆ เพื่อนำเส้นไหมมาทอเป็นผ้าซิ่นไหมเรียกว่า "ซิ่นหมี่ไหม" ใช้ในงานบุญต่าง ๆ เครื่องแต่งกายตามปกติในสมัยก่อนชายผู้ไทจะนิยมนุ่งกางเกงขาสั้น ผ้าฝ้ายย้อมครามทำสายรูด เรียกว่า "ซ่งหัวฮูด" ไม่ค่อยสวมเสื้อ ส่วนผู้หญิงจะนุ่งซิ่นหมี่ฝ้ายหรือหมี่ไหม สวมเสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามแขนยาวทรงกระบอก ถ้ามีอายุเข้าวัยชราจะนุ่งซิ่นซึ่งชายซิ่นจะต่อผ้าอีกชิ้นหนึ่งเรียกว่า "ตีนซิ่น" ไม่ใส่เสื้อ แต่ใช้ผ้าขาวม้าคาดอกแทน การแต่งกายในงานประเพณีต่าง ๆ ผู้ชายจะโพกผ้า ใส่โสร่งผ้าไหมสวมเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายสีครามหรือผ้าไหม ผู้หญิงนุ่งซิ่นไหมสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีครามแขนกระบอก ติดกระดุมทำจากเงินหรือสตางค์แดง มีผ้าพาดไหล่ หรือผ้าสไบไหม สวมใส่เครื่องประดับเงิน เช่น สร้อยคอ ตุ้มหู เข็มขัด เกล้าผมมวย ด้านสถาปัตยกรรม ผู้ไทจะสร้างบ้านเรือนเพื่อประโยชน์ใช้สอย มีชาน ระเบียง เพื่อทำประโยชน์ในการพักผ่อน ตากผ้า เก็บน้ำดื่ม บันไดที่จะใช้มักเป็นจำนวนคี่ เช่น 5 หรือ 7 ขั้น ตัวบ้านจะมีห้องพระ "ฮอง" ทางทิศตะวันออกเพื่อบูชาพระ เป็นต้น งานหัตถกรรมจะเกี่ยวพันกับการยังชีพ เช่น หวด ไว้นึ่งข้าวเหนียว กระติบข้าว ด้งฝัด ด้งเขิงใช้สำหรับร่อนรำหรือปลายข้าว กระหยังที่จักสานจากไม้ไผ่ใช้ใส่สิ่งของไปไร่นา ไนหรือหลาใช้ในการเข็นฝ้ายให้เป็นเส้นด้าย เป็นต้น (หน้า 76-80ล 92-93) |
|
Folklore |
นิทาน ตำนาน ผญา ของผู้ไทนั้นมีความเกี่ยวพันกับคติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีและระบบสังคมของผู้ไท เช่น ผญาของผู้ไท อันเกิดจากศาสนาพุทธ มีบทบาทในสังคมชาวอีสาน ผญาเป็นคำสั่งสอนให้คนประพฤติดี นอกจากนี้ยังมีมุขปาฐะที่ผู้ไทอ่านจากวรรณกรรมพื้นบ้านและผู้เฒ่าผู้แก่จดจำถ้อยคำมาเล่าสู่ลูกหลานเพื่อเป็นคำสั่งสอนในการกระทำตัว ในส่วนนิทาน ตำนาน จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา ผู้ไทเชื่อว่าแต่ก่อนผู้ไทจะนับถือผีด้ามหรือผีบรรพบุรุษ ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเวลานั้นพระยาก่ายังไม่มีภรรยา เจ้าอนุรุชกุมารเจ้าเมืองเวียงจันทน์ จึงประทานนางสนมมาให้เป็นภรรยาชื่อนางลาวและได้ส่งพระครูรูปหนึ่งเป็นหัวหน้าสงฆ์ไปจัดการศานาตั้งวัดอยู่ที่เมืองวัง นางลาวเป็นหัวหน้าช่วยแนะนำในการทำบุญทำทาน จนทำให้พวกผู้ไทมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาตั้งแต่นั้นสืบมา จะเห็นได้ว่ามุขปาฐะ นิทาน ตำนานต่าง ๆ มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเรื่องราวต่างๆ นั้นล้วนแล้วแต่สั่งสอนผู้คนในสังคมให้ประพฤติดี รวมทั้งใช้เรื่องราวเหล่านั้นในชีวิตประจำวัน เช่น คำสูตรขวัญสำหรับสู่ขวัญหญิงที่มีครรภ์แก่เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย และบำรุงขวัญมารดาและเด็กในครรภ์ หรือการเฆี่ยนเขย ซึ่งเป็นการอบรมสั่งสอนลูกเขยใหม่ให้ทำตัวดีโดยผ่านมุขปาฐะ เป็นต้น (หน้า 48, 109, 125, 136) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากหนังสือจดหมายเหตุโบราณของผู้ไทกล่าวว่า เดิมแผ่นดินเมืองแถงเป็นพื้นที่ที่ว่างเปล่า มีภูเขาและต้นไม้ตามชายทุ่ง ในครั้งนั้นมีเทพยดา 5 องค์ อยู่ในดาวดึงส์เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันมาก เสวยทิพยสมบัติมานาน จึงพากันคิดว่าจะจุติในเมืองมนุษย์ เทพยดาทั้ง 5 องค์และนางเทพธิดาทั้ง 5 นาง ต่างอธิษฐานร่วมจิตรนฤมิตรเป็นรูปเต้าปุง (น้ำเต้า) เทพยดาและนางเทพธิดาเข้าไปนั่งอยู่ภายในเต้าปุง และลอยไปอยู่ทิศตะวันออกของเมืองแถง น้ำเต้าแตกออกเป็นมนุษย์รูปกายแปลกๆ กันคือ ข่าแจะ ออกมาก่อนเป็นที่ 1 ผู้ไทดำเป็นที่ 2 ลาวพุงขาวเป็นที่ 3 ฮ่อเป็นที่ 4 และแกวหรือญวนเป็นที่ 5 แล้วผู้หญิงทั้ง 5 ก็ออกมารวมเป็น 10 คนพวกผู้ไท ลาว ฮ่อ แกว พากันเล่นน้ำบริสุทธิ์จึงผิวพรรณใสกว่าข่าแจะ โดยในพี่น้อง 5 ชาตินั้นจะนับถือข่าแจะเป็นพี่ใหญ่เพราะออกมาก่อน จากหนังสือจดหมายเหตุโบราณแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางกลุ่มชาติพันธุ์ของผู้ไทกับชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น ไทยลาว ซึ่งมีตำนานร่วมกัน นอกจากจะมีตำนานร่วมกันแล้ว ผู้ไทกับไทยลาวยังมีความสัมพันธ์ต่อกันในด้านการแลกเปลี่ยนเพื่อการยังชีพ รวมทั้งการแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์ ดังนั้นทั้งสองกลุ่มจึงมีความสัมพันธ์ในระดับเท่าเทียมมีความสนิทรู้จักมักจี่ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดการรับ การให้ทางวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองกลุ่ม (หน้า 36, 140) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของผู้ไทนั้น จะพิจารณาได้จากการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของผู้ไทกับไทยลาว ทั้งนี้เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานของทั้งสองกลุ่มอยู่ใกล้ชิดกัน มีการติดต่อกันทั้งทางด้านการแลกเปลี่ยนอาหาร เช่น ปลาร้า ที่ผู้ไทต้องแลกจากไทยลาว การแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์ทั้งสอง ชายหนุ่มไทยลาวสามารถติดต่อหญิงสาวผู้ไทได้สะดวกเพราะถนนหนทางที่เข้าถึง ดังนั้น การพบปะกันของทั้งสองกลุ่มจึงทำให้เกิดการรับ การส่งของวัฒนธรรมระหว่างกัน โดยเฉพาะผู้ไทที่ถูกล้อมรอบด้วยไทยลาวที่มีจำนวนมาก จึงรับเอาวัฒนธรรมไทยลาวเข้ามาทำให้เกิดลักษณะที่ผสมกลมกลืน ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้ เช่น ในพิธีแต่งงานของผู้ไทที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผสมกลมกลืนกับไทยลาวและไทยภาคกลาง แต่ในงานพิธีแต่งงานของผู้ไทก็ยังคงต้องมีพ่อล่าม แม่ล่าม เช่นเดิม นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมที่เกิดจากการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับไทยลาวแล้ว วัฒนธรรมไทยภาคกลางก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของผู้ไทและไทยลาวด้วยเช่นกัน เช่น การเริ่มรับประทานข้าวเจ้าบ้างในบางครั้ง หรือซื้ออาหารจากตลาด การจัดงานแต่งงานที่มีการรดน้ำสังข์ เลี้ยงโต๊ะจีน การแต่งกายที่สวมใส่เสื้อผ้าจากตลาด การรักษาโรคที่มีสถานพยาบาล ร้านขายยา การสร้างบ้านเรือนที่เน้นความสะดวกสบายใช้อิฐใช้ปูนสร้างตามแบบเมืองมากขึ้น (หน้า 157-159) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านผู้ไท ไทยลาว ของตำบลเหล่าใหญ่ และตำบลแจนแลน (หน้า 24) คำเรียกชื่อเครือญาติของผู้ไท (สำเนียงตามภาษาผู้ไทบ้านคำกั้ง) (หน้า 54) คำเรียกชื่อเครือญาติของไทยลาว (หน้า 55) |
|
|