สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,สังคม,เศรษฐกิจ,ประเพณี,ความเป็นอยู่,เชียงราย
Author สุชาติ พูลทวี
Title สภาพทั่วไปด้านเศรษฐกิจและสังคมของชาวไทยภูเขาบ้านดอนเย้า ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย
Document Type ปริญญานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 66 Year 2528
Source สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ครอบคลุมเนื้อหา สภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จารีตประเพณี สุขภาพอนามัยและการศึกษา ตลอดจนปัญหาต่างๆ ของ ชาวบ้านดอนเย้า ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นม้ง ที่ต้องปรับตัวในด้านต่างๆ ทั้งสภาพความเป็น อยู่เนื่องจากต้องทำการเกษตรในพื้นที่ ที่มีความทุรกันดาร การขาดการศึกษา ปัญหาสุขภาพอนามัยและความยากจน

Focus

ศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม การปกครอง และปัญหาของชาวเขาบ้านดอนเย้า ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย (หน้า1, 2)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้งในหมู่บ้านดอนเย้า ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย (หน้า 3, 4)

Language and Linguistic Affiliations

ในหมู่บ้านจะพูดภาษาชาวเขา แต่ไม่ได้ระบุว่าใช้ภาษาใด อย่างไรก็ตามถ้าคุยกับคนต่างหมู่บ้าน จะพูดภาษาเหนือ ไทยภาคกลาง และลื้อ ภาษาเขียนจะเขียนด้วยภาษาม้ง คนที่เขียนได้มีน้อย ส่วนมากจะเป็นวัยผู้ใหญ่ ที่เขียนภาษาม้งได้ และจะเป็น คนสอนภาษาให้คนอื่น (หน้า 4)

Study Period (Data Collection)

เดือนกันยายน 2528 ถึง เดือน มีนาคม 2529 (หน้า ข, 56,61)

History of the Group and Community

เดิมทีชาวบ้านเผ่าเย้า อยู่ที่หมู่บ้านหนองเตา ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย บริเวณสันเขาดอยผาหม่น เขตแดนไทยกับประเทศลาว ต่อมา พ.ศ. 2512 ทางการได้ย้ายชาวบ้าน จำนวน 24 ครัวเรือน ประชากรจำนวน 100 คน มาอยู่ที่บ้านดอนเย้า ที่ตั้งในปัจจุบัน เพื่อหนีภัยการต่อสู้กับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ ปี พ.ศ.2516-2517 ทางการได้ย้ายชาวเขาเผ่าม้ง ที่อยู่ พื้นที่สันเขาดอยผาหม่น บ้านสิพี บ้านห้วยกุก ต.ม่วงยาย และ ต.ปอ อ.เชียงของ จ.เชียงราย มาอยู่เพิ่มเติมที่บ้านดอนเย้า เมื่อเหตุการณ์สงบ ผู้นำเย้าได้พาชาวบ้านโยกย้ายกลับหมู่บ้านเดิม ดังนั้น ประชากรในหมู่บ้านที่เหลือส่วนใหญ่จึงเป็นม้ง (หน้า 3, 4, 21)

Settlement Pattern

ตัวบ้านสร้างครอบกับพื้นดิน ส่วนที่เป็นที่นอนจะสร้างสูงกว่าพื้นดิน วัสดุที่สร้างบ้าน จะใช้วัสดุในท้องถิ่น ฝาบ้านกั้นด้วยไม้ฟาก สำหรับบ้านที่ร่ำรวยจะกั้นด้วยไม้กระดาน หลังคาบ้านมุงด้วยหญ้าคา การใช้สอยภายในบ้าน จะทำเตาไว้กลางบ้าน เหนือเตาจะทำเป็นชั้นเก็บเมล็ดพันธุ์พืช เช่น ข้าวโพด ที่จะนำไปเพาะปลูก ข้างฝาตรงกลาง จะทำเป็นที่บูชาผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน เมื่อมีคนมาพักที่บ้าน จะปูเสื่อให้นอนหน้าแท่นบูชาผีเรือน ห้องนอนจะอยู่ระหว่างประตูด้านหน้า และประตูหลังบ้าน การทำห้องนอนจะขึ้นกับขนาดของครอบครัว เช่น ครอบครัวเล็กๆ ห้องนอนจะแยกต่างหาก เช่น ห้องพ่อแม่ ห้องของลูกชาย ห้องของลูกสาว ส่วนครอบครัวใหญ่ ลูกที่แต่งงานแล้วจะกั้นห้องของตนเองเอาไว้อยู่กับครอบครัวต่างหาก นอกบ้านจะทำเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ และตั้งยุ้งเก็บข้าวโพด (หน้า 7, รูปหน้า 8,44)

Demography

ประชากรในหมู่บ้านมีทั้งหมด 235 คน เป็นม้ง 37 ครัวเรือน จำนวน 223 คน และมีครอบครัวเย้า 1 ครอบครัว จำนวน 12 คน ประชากรในหมู่บ้านเป็นผู้ชาย 116 คน เป็นผู้หญิง 119 คน อยู่ในวัยเด็ก 90 คน วัยทำงาน 134 คน และผู้สูงอายุ 11 คน (หน้า ก, 4,10,12)

Economy

การผลิต มีรายได้หลักจากการปลูกข้าวโพด และถั่วเหลือง การปลูกพืชอื่นจะเก็บไว้กินในครอบครัว ไม่ขาย เช่น ปลูกข้าวไร่ ผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยง ไก่ เป็ด นกพิราบ เป็นต้น การถือครองที่ดินของชาวบ้าน มีไม่ค่อยมาก ที่ดินทำกินของ 38 ครัวเรือน มี 585 ไร่ เฉลี่ยครัวเรือนละ 15.4 ไร่ เนื่องจากว่าย้ายมาอยู่บริเวณนี้ในภายหลัง ที่ดินส่วนใหญ่จึงเป็นของหมู่บ้านใกล้เคียง พื้นที่เพาะปลูก ปลูกข้าวโพดมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 73.3 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด หรือ 429 ไร่ ได้ผลผลิตจำนวน 143,365 กิโลกรัม เฉลี่ยปลูกได้ครอบครัวละ 3,772 กิโลกรัม จากครอบครัวที่ปลูก 37 ครอบครัว สำรองไว้เพาะพันธุ์ 1,295 กิโลกรัม เก็บไว้กินในครอบครัว 200 กิโลกรัม นำไปขาย 141,870 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 1.50-2 บาท ตอนขายจะขายในหมู่บ้านมีพ่อค้ามารับซื้อ และไม่นิยมส่งไปขายที่ตัวอำเภอเชียงของ เพราะต้องเสียค่าขนส่งสินค้า ส่วนถั่วเหลืองปลูก 1 ครอบครัว จำนวน 2 ไร่ ผลผลิตที่ได้ จำนวน 200 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 6.50 บาท สำหรับพื้นที่ปลูกข้าวไร่ มี 156 ไร่ หรือร้อยละ 26.7 ของพื้นที่ เก็บไว้กินไม่ขาย ผลผลิตข้าวทั้งหมดมีจำนวน 33,845 กิโลกรัม สำรองไว้เพาะพันธุ์ 1,360 กิโลกรัม (หน้า ก, 28-34) รายรับรายจ่าย รายได้เฉลี่ยของชาวบ้านทั้งหมด เฉลี่ยมีรายได้ครัวเรือนละ 9,961 บาทต่อปี นอกจากขายข้าวโพด และถั่วเหลือง ราย ได้ส่วนอื่นจะได้มาจากไปช่วยแรงงานญาติและเพื่อนบ้าน ก็จะได้เงิน หรือข้าวเป็นค่าเหนื่อย สำหรับรายจ่ายประจำปี เฉลี่ย 7,200 บาท ต่อครอบครัว และการลงทุนในการผลิตต้องใช้เงินประมาณ 8,055 บาท ชาวบ้านจึงมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ (หน้า 35-36) หนี้ ในหมู่บ้านมีคนเป็นหนี้ จำนวน 14 ครอบครัว หรือร้อยละ 36.8 และครอบครัวที่ไม่มีหนี้จำนวน 24 ครอบครัว หรือร้อยละ 63.2 สำหรับครอบครัวที่เป็นหนี้สูงสุด เป็นหนี้จำนวน 6,000 บาท มี 1 ครอบครัว และเป็นหนี้ต่ำสุด 360 บาท รวมหนี้ทั้งหมดเป็นเงิน 18,440 บาท เฉลี่ยหนี้เป็นเงิน ครอบครัวละ 485 บาท โดยแยกเป็นคนที่เป็นหนี้ 500-1,000 บาท มี 7 ครอบครัว เป็นหนี้น้อยกว่า 500 บาท 3 ครอบครัว เป็นหนี้ 1,001-2,000 บาท 2 ครอบครัว เป็นหนี้ 2,001-3,000 บาท 1 ครอบครัว และเป็นหนี้มากกว่า 5,001 บาท อีก 1 ครอบครัว สำหรับการกู้ยืมเงินของชาวบ้านเป็นการกู้เงินนอกระบบ มีทั้งเสียดอกเบี้ย และไม่เสียดอกเบี้ย หากยืมกับญาติพี่น้อง จะไม่เสียดอกเบี้ย หรือไม่ต้องมีประกัน แต่ถ้ายืมกับพ่อค้า หรือพ่อบ้านจะต้องเสียดอกเบี้ยที่แตกต่างกันไปและต้องมีคนค้ำประกัน สำหรับการเป็นหนี้กับธนาคารข้าวที่ตั้งอยู่บ้านห้วยแล้ง หมู่บ้านใกล้เคียงนั้น เป็นเพราะข้าวในครอบครัวไม่พอกิน ชาวบ้านจึงไปกู้ข้าวจากธนาคารมากินก่อน สำหรับคนเป็นหนี้สามารถแยกได้ดังนี้ คนที่เป็นหนี้พ่อค้า มี 1 ครอบครัว เป็นหนี้เพื่อนบ้าน 6 ครอบครัว หนี้ธนาคารข้าว 3 ครอบครัว และเป็นหนี้ญาติพี่น้อง อีก 4 ครอบครัว (หน้า 37-43)

Social Organization

ในหมู่บ้านจะให้ความสำคัญกับคนสูงอายุ หัวหน้าครอบครัวใดที่มีสมาชิกในบ้านมากจะได้รับความเกรงใจจากเพื่อนบ้าน หากมีการเลือกผู้นำมักจะได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำหมู่บ้าน การสืบทอดอำนาจมักจะสืบทอดอำนาจจากพ่อสู่ลูก ในหมู่บ้านผู้ชายจะมีอำนาจมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจะไม่มีสิทธิในการออกเสียงหรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม เวลาไปฟังหากคนในบ้านไม่ว่างก็เข้าไปฟังการประชุมแทนได้แต่จะไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็น (หน้า 22-24) การแต่งงาน คนที่มีนามสกุลเหมือนกัน จะแต่งงานกันไม่ได้ แต่คนที่เป็นญาติกัน ถ้านามสกุลต่างกัน หากชอบพอกันก็แต่งงานกันได้ ในสังคมม้ง ผู้ชายมีเมียหลายคนได้ เพราะถือว่าเมียทุกคนมีความเสมอภาคกัน แต่ในทางกลับกันผู้หญิงต้องมีสามีเพียงคนเดียว เพราะสังคมไม่ยอมรับ ผู้หญิงเมื่อยังโสดสามารถมีเพศสัมพันธ์กับหนุ่มคนไหนก็ได้ ถ้าตั้งครรภ์ หากผู้หญิงบอกกับพ่อ แม่ ว่าท้องกับใครคนนั้นต้องยอมรับแต่งด้วย การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานสังคมม้งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะฝ่ายชายจะได้คนมาช่วยงานในครอบครัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้หญิงที่ท้องจึงได้รับค่าสินสอดที่แพงกว่าหญิงสาวทั่วไป กรณีผู้ชายรักผู้หญิงเพียงข้างเดียว จะให้พ่อแม่ไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง หากพ่อแม่ฝ่ายหญิงตอบตกลงลูกสาวต้องยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นแม้ว่าไม่รัก ก็ต้องยอมทำตามคำสั่งของพ่อ แม่ สำหรับการหย่า หากแต่งงานกันแล้วภรรยาเกิดนอกใจไปรักชายอื่นหรือไม่ขยันทำงานสามีก็มีสิทธิขอหย่าและเรียกค่าสินสอดคืน แต่ถ้าหย่ากันแล้วผู้หญิงจะไม่มีสิทธิกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่เหมือนก่อนแต่งงาน (หน้า 47,48)

Political Organization

การปกครองยึดระบบอาวุโส หมู่บ้านจะมีผู้ใหญ่บ้านปกครอง คนที่จะมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ส่วนมากจะมาจากหัวหน้าครอบครัวที่มีสมาชิกมากๆ และเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้าน การสืบต่อตำแหน่ง จะสืบต่อจากพ่อ สู่ลูกขึ้นมารับตำแหน่งแทน ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของลูกบ้าน และพิจารณาคดีความหากมีการกระทำผิดในหมู่บ้าน หรือปรับไหมผู้ที่กระทำผิดผีฟ้า เพราะประเพณีต่างๆ ของม้งผีฟ้าเป็นผู้กำหนด คนที่ทำผิดประเพณีต้องเลี้ยงผี หากไม่เลี้ยงผี ผีฟ้าก็จะลงโทษทำให้ชุมชนอยู่อย่างไม่มีความสุข กรณีเกิดความขัดแย้งในครอบครัว ผู้อาวุโสในครอบครัวจะเป็นผู้ตัดสินความขัดแย้งนั้น แต่ถ้าเป็นความขัดแย้งระหว่างครอบครัว ก็จะตั้งคณะกรรมการมาตัดสินข้อพิพาท ฝ่ายละ 3-5 คน คนแพ้จะถูกปรับไหม เงินส่วนนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่ากัน แบ่งให้คนที่ชนะคดีและหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 22-25)

Belief System

ตามความเชื่อของม้ง ผีฟ้าเป็นผู้กำหนดจารีตประเพณีของม้ง ดังนั้น หากใครกระทำผิดต่อจารีตประเพณีจะถูกปรับไหม คนที่ทำหน้าที่ดูแลการปรับไหม คือผู้ใหญ่บ้าน คนที่ทำผิดจะต้องเลี้ยงผีฟ้าเพื่อไม่ให้ผีฟ้าโกรธ ผีฟ้าจึงจะไม่ลงโทษ และจะทำให้ชุมชนมีความสงบ แต่ละตระกูลจะมีพิธีกรรมความเชื่อของตนเอง เมื่อคนในตระกูลมาจากที่อื่นก็จะถามว่า บูชาบรรพบุรุษคนใด เพื่อจะได้กำหนดได้ว่าอยู่ตระกูลเดียวกันหรือไม่ ชาวเขามีความเชื่อเรื่องผี ผีจะอยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น ตามต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น การนับถือผี เช่น ผีเรือน เชื่อว่าจะช่วยคุ้มครองคนในครอบครัวให้พ้นจากการถูกผีร้ายมารบกวน (หน้า 53) ความเชื่อเรื่องขวัญ แต่ละคนจะมีขวัญ 3 ขวัญ เมื่อเด็กเกิดมาหมอผีจะทำพิธีเรียกขวัญทั้ง 3 ให้เข้าร่างของเด็ก เมื่อเด็กมีขวัญแล้ว จึงจะได้รับการตั้งชื่อ คนจะมีขวัญในร่างอย่างน้อย 1 ขวัญ เวลาหลับขวัญจะออกจากร่าง 2 ขวัญ แต่ถ้าขวัญออกจากร่างทั้ง 3 ขวัญ คนก็จะตาย (หน้า 54) งานศพ หากมีคนตายญาติจะจัดงานศพให้ จะแต่งกายให้ผู้ตายอย่างสวยงาม เพื่อให้ได้รับการต้อนรับจากโลกใหม่ที่จะไป การจัดงานจะจัดหลายวันเพื่อรอญาติที่อยู่ไกลบ้านให้มาร่วมงานศพให้ทัน คนที่มาช่วยงานจะช่วยทำกับข้าว ต่อโลง เป่าแคน และตีกลอง สำหรับแคนและกลองตีในงานศพ จะนำไปตีงานอื่นไม่ได้ เพราะถือว่าไม่เป็นมงคล ในงานศพของผู้สูงอายุที่มีลูกมาก ลูกจะล้มวัวเพื่อทำอาหารในงาน เนื่องจากต้องการให้เป็นเกียรติแก่ผู้ตาย ถ้าฆ่าวัวก่อนนำศพไปฝังจะเคลื่อนศพไปยังบริเวณไม้ที่ทำเป็นรูปไม้กางเขน 2 เสา เพื่อทำพิธีให้ผู้ตายมารับวัว จากนั้นก็จะฆ่าวัวแบ่งเนื้อไปทำอาหาร แล้วก็จะนำศพผู้ตายไปฝังตามประเพณี การฝังมักจะฝังในตอนเย็นเพราะเชื่อว่าผู้ตายจะได้ไม่มารังควาญ แต่ถ้าฝังตอนเช้าผู้ตายจะเดินทางมาหา ในวันฝังจะไม่ให้ฝังศพตรงกับวันที่ฝังพ่อกับแม่ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ไม่เป็นศิริมงคล ชีวิตจะไม่รุ่งเรือง หลังจากฝังศพจะไว้ทุกข์ 13 วัน ในระหว่างนี้จะไม่ให้เย็บผ้า เพราะเชื่อว่า เข็มจะทิ่มผู้ตาย ไม่ให้พันด้าย เพราะด้ายจะพันขาผู้ตาย และไม่ให้ซักผ้ากับหวีผม เพราะคราบสกปรกจะเข้าไปในอาหารของผู้ตาย ในช่วงไว้ทุกข์ไม่ให้คู่ครองของผู้ตายแต่งงานใหม่ เพราะจะทำให้ผู้ตายเป็นห่วง ต้องเลยช่วงไว้ทุกข์ 13 วันไปแล้ว จึงจะแต่งงานใหม่ได้ (หน้า 49-50)

Education and Socialization

ส่วนมากอ่านและเขียนหนังสือไม่ออก สำหรับคนไม่รู้หนังสือมี 134 คน หรือร้อยละ 57.02 ของประชากรของหมู่บ้าน และคนที่อยู่ในวัยเรียน และยังไม่เข้าโรงเรียน 84 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 35.75 คนที่อ่านเขียนได้ มี 9 คน หรือร้อยละ 3.83 คนที่อ่านได้อย่างเดียวแต่เขียนหนังสือไม่เป็น มี 8 คน คิดเป็นร้อยละ 3.40 ในหมู่บ้านมีโรงเรียนของตำรวจตระเวณชายแดน 1 แห่ง ชื่อโรงเรียนชนัตต์ปิยะอุย ตำรวจตระเวณชายแดนที่ 99 สอน ป.1 ถึง ป.4 นักเรียนแต่ละชั้นมีจำนวนดังนี้ ป.1 มี 21 คน ชาย 10 คน หญิง 11 คน, ป.2 มีนักเรียน 10 คน ชาย 8 คน หญิง 2 คน , ป.3 มี 12 คน ชาย 7 คน หญิง 5 คน ป.4 มีนักเรียน 6 คน ชาย 5 คน หญิง 1 คน เด็กส่วนมากไม่มีโอกาสเรียนต่อ เพราะต้องออกมาช่วยงานบ้านก่อนจะเรียนจบ สำหรับการศึกษาผู้ใหญ่ ยังขาดครูมาสอนในหมู่บ้าน (หน้า 18-21,56,59,63)

Health and Medicine

ในหมู่บ้านไม่มีสถานีอนามัยถ้าจะรักษาจะไปที่บ้านปอกลาง ที่ไกลจากบ้านดอนเย้า 3 กิโลเมตร สำหรับการรักษาเวลาเจ็บป่วยเวลาส่วนใหญ่จะให้หมอผีรักษา และซื้อยามากินเอง การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันจะมาขอยาที่โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนในหมู่บ้าน และเจ้าหน้าที่ ตชด.ก็ช่วยเหลือชาวบ้านด้านการดูแลสุขภาพ เช่น แนะนำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แนะนำให้ใช้ส้วม ชาวบ้านเจ็บป่วยบ่อย ความเป็นอยู่ไม่ถูกสุขลักษณะ ในหมู่บ้านมีส้วมเพียงหลังเดียว ส่วนมากถ้าจะถ่ายจะไปถ่ายตามป่า และชาวบ้านมักจะดื่มน้ำที่ตักมาจากห้วย โรคที่พบในหมู่บ้าน ได้แก่ การปวดเมื่อย ไข้หวัด ปวดหัว ท้องร่วง และติดฝิ่น สำหรับคนติดฝิ่นมี 13 คน โดยมากจะเป็นคนวัยกลางคน และคนชรา เป็นชาย 10 คน หญิง 3 คน ส่วนการทำคลอดจะคลอดเองที่บ้าน โดยสามีจะคอยดูแลการทำคลอด (หน้า 25-27,37,48,55,57,59) การป้องกันโรคระบาด ถ้าตรงกับช่วงที่ในหมู่บ้านไก่เคยเป็นโรคระบาด ชาวบ้านจะนำไก่ไปขังกรงไม้ไผ่ที่ผูกไว้บนยอดไม้ ที่สูงจากดินราว 5-6 เมตร กรงๆ หนึ่งจะขัง 10-20 ตัว ชาวบ้านจะนำอาหาร กับน้ำ มาให้ไก่กิน การดูแลไก่จะเลี้ยงในกรงไปเรื่อยๆ กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีโรคระบาดแล้วก็จะนำไก่กลับไปเลี้ยงที่บ้านเหมือนเดิม (รูปหน้า 52-53)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ปริมาณน้ำฝน และอุณหภูมิ อ.เชียงของ จ.เชียงราย (หน้า 6) จำนวนประชากรบ้านดอนเย้า,แบ่งตามเพศและอายุ (หน้า 10,11) ลักษณะครัวเรือน ,ขนาดครัวเรือน (หน้า 12,13) ระดับอายุแยกตามเพศของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 14) การสมรสของหัวหน้าครัวเรือน,ประชากรในหมู่บ้านแยกตามเพศ (หน้า 15,16) จำแนกตระกูลและเพศ (หน้า 17) การอ่านเขียนภาษาไทย (หน้า 18) ประชากรที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แยกตามอายุ (หน้า 19) จำนวนเด็กนักเรียนและเด็กนักเรียนที่เป็นเด็กในหมู่บ้าน โรงเรียนชนัตต์ปิยะอุย (หน้า 20 ,21) ความคิดเห็นของหัวหน้าครัวเรือนเรื่องการย้ายถิ่น (หน้า22) จำนวนคนติดฝิ่น (หน้า 26) การรักษาเมื่อเจ็บป่วย (หน้า 27) พื้นที่เพาะปลูก (หน้า 29) การถือครองที่ดิน (หน้า 30) จำนวนผลผลิตการเกษตร,ข้าวโพด,ข้าวไร่ (หน้า 31,32,33) รายได้รวมกลุ่มครัวเรือน (หน้า 35) ลักษณะภาวะ,จำนวนหนี้สินของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 37,38) แหล่งเงินกู้,การเสียดอกเบี้ย ลักษณะการกู้ยืม ของชาวบ้าน,หัวหน้าครัวเรือน (หน้า 39,40,41) หลักประกันการกู้ยืมของหัวหน้าครัวเรือน,ระยะเวลาการกู้ยืม (หน้า 42) แผนที่ บ้านดอนเย้า (หน้า ง) ถนนที่ติดต่อกับบ้านดอนเย้า (หน้า จ) ตำบลปอ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย (หน้า ฉ) อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย (หน้า ช ) ภาพ ชาวเขาบ้านดอนเย้า,ลักษณะบ้าน (หน้า 8) สาวชาวบ้าน(หน้า 9) รำวงและการรับรองแขกในวันปีใหม่ (หน้า 45) เล้าไก่ (หน้า 52) ธนาคารข้าว (หน้า 64) นักเรียนกินข้าวกลางวัน (หน้า 64)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, สังคม, เศรษฐกิจ, ประเพณี, ความเป็นอยู่, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง