|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เมี่ยน,การอพยพ,การปรับตัว,เชียงใหม่ |
Author |
ประสิทธิ์ ลีปรีชา, ยรรยง ตระการธำรง, วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ |
Title |
เมี่ยน หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมือง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
177 |
Year |
2547 |
Source |
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
คณะผู้วิจัยได้สรุปว่า จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นทางประชากรเท่าที่สามารถตามสัมภาษณ์คนเมี่ยนที่มาทำงานอยู่ในเชียงใหม่ได้จำนวนทั้งหมด 306 คน คาดว่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเมี่ยนทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นโสด อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงาน นับถือความเชื่อดั้งเดิมมากกว่าศาสนาคริสต์ กว่าครึ่งหนึ่งของประประชากรประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายน้ำเต้าหู้ ไก่ทอด ไอศกรีม ฯลฯ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับครอบครัวและยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมาชิกในครัวเรือนและชุมชนต้นทางโดยมีการกลับไปเยี่ยมโดยเฉพาะในเทศกาลและพิธีกรรมสำคัญๆ รวมทั้งส่งเงินกลับไปช่วยเหลือพ่อแม่และญาติพี่น้องในหมู่บ้านนอกจากกลุ่มเครือญาติแล้วคนเมี่ยนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองยังมีการรวมกลุ่มกันตามลักษณะอาชีพแห่งที่พักอาศัยเพื่อพบปะสังสรรค์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันและออกบำเพ็ญประโยชน์แก่คนในชุมชนต้นทางเป็นครั้งคราว (หน้าจ) การอพยพเข้ามาสู่เมืองอย่างมากมายในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเป็นผลจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ที่มุ่งผลิตคนเข้าสู่ภาคบริการและอุตสาหกรรม นโยบายของรัฐที่บีบบังคับให้คนออกจากป่าภายหลังที่จบสิ้นการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ และความตกต่ำของราคาพืชผลทางการเกษตรหลังวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ทุนทางสังคมหลายอย่างของคนเมี่ยนเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเอื้อให้คนเมี่ยนสามารถปรับตัวเข้ากับอาชีพและวิถีชีวิตในเมืองได้เป็นอย่างดี (หน้า ฉ) |
|
Focus |
หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานทางประชากร วิถีชีวิตการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยน (เย้า) ที่เข้ามาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่อำเภอใกล้เคียง นอกจากจะสำรวจและทำความเข้าใจลักษณะทั่วไปของคนเมี่ยนในเมืองเชียงใหม่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว ทางคณะผู้วิจัยยังได้พยายามโยงให้เห็นถึงบริบททางประวัติศาสตร์ระบบความเชื่อ วิถีชีวิตและอิทธิพลของรัฐชาติและกระแสโลกาภิวัฒน์ที่มีผลต่อการอพยพเข้าสู่เมืองและความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วของคนเมี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดและความพยายามของคนเมี่ยนในการรวมกลุ่มและดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์(หน้า จ) |
|
Theoretical Issues |
คณะผู้วิจัยได้ใช้การศึกษาวิจัยแนวชาติพันธุ์วรรณา (ethnography) 8 กรณีศึกษา (case studies) โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริบททางสังคมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงทางวิถีการผลิตภายใต้ผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐอีกทั้งยังวิเคราะห์อำนาจต่อรองของคนเมี่ยนในการนำเอาทุนทางสังคมวัฒนธรรมต่างๆ มาปรับใช้ในการเผชิญหน้ากับอาชีพและวิถีชีวิตในสังคมเมืองนอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้ให้ความสำคัญกับมุมมองของคนเมี่ยนในเมืองที่มีต่ออัตลักษณ์ ทางชาติพันธุ์ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว(หน้า 173) "เมี่ยน" หรือ "เย้า" ที่อพยพเข้ามาในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามาประกอบอาชีพต่างๆ อย่างหลากหลาย และบางอาชีพแทบไม่สัมพันธ์กับอาชีพเดิม ไม่มีลวดลายของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวันชิ้นใดเลยที่บ่งบอกถึงความเป็นคนเมี่ยน แม้แต่ภาษาก็เริ่มสูญหาย โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนและเด็กรุ่นใหม่ (หน้า 172) ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นผลมาจากบริบททางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ทั้งในและนอกกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยน โดยเฉพาะผลซึ่งมาจากการพัฒนาของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายสนับสนุนการปลูกฝิ่นในระยะแรกแล้วปรับเปลี่ยนมาตัดทำลายในระยะหลัง การปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ การประกาศขยายเขตพื้นที่อนุรักษ์โดยกรมป่าไม้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเมี่ยนและคนบนดอยทั้งหลายในการทำการเกษตรบนพื้นที่สูง(หน้า 172) อย่างไรก็ตาม คนเมี่ยนก็มีทุนทางสังคมและวัฒนธรรมทางความคิดหลายอย่าง เช่น ทักษะในการใช้ตัวหนังสือในการจดบันทึกเรื่องราวพิธีกรรมและประวัติศาสตร์ของตนเองในอดีต ได้ปรับนำมาใช้กลายเป็นทุนทางสังคมในการจดบันทึกรายละเอียดลูกค้าและการคิดคำนวณในระบบบัญชี ที่มากไปกว่านั้นคือ วัฒนธรรมความเชื่อที่ได้รับจากชาวจีนกวางตุ้งและระบบจักรวาลวิทยาของเมี่ยน ทำให้ต้องขยันขันแข็งทำมาหากินเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ แสวงหาความร่ำรวยเพื่อความสุขและชื่อเสียงบารมีสำหรับตนเองในโลกนี้ นอกจากนั้น ยังเป็นการสะสมผลบุญสำหรับชีวิตภายหลังความตายด้วย โดยมีเงินเป็นปัจจัยหลักในการบรรลุถึงสิ่งเหล่านี้ (หน้า 174-175) ระบบเครือญาติเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญของเมี่ยนที่อพยพลงมาในระยะเริ่มต้น และขยายความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนรัฐชาติไปยังกลุ่มเมี่ยนอพยพในประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส และการแต่งงานกับชาวต่างชาติ ทั้งนี้ ความสัมพันธ์กับหมู่บ้านต้นทางบนดอยก็ยังดำรงอยู่ สังเกตได้จาก จะมีการส่งเงินและสิ่งของเครื่องใช้กลับไปช่วยพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในหมู่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และกลับไปร่วมพิธีสำคัญๆ เช่น เทศกาลปีใหม่ (หน้า 175-176) ปรากฏการณ์การอพยพเข้าสู่เมืองของกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยนและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบในเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการทำการค้า ทำให้มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี บางส่วนที่เข้ามานานแล้วจึงสามารถเช่าหรือซื้อบ้านในเมืองได้ จึงหายากมากที่จะพบครอบครัวเมี่ยนอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด(หน้า 176) อย่างไรก็ตาม เมี่ยนก็ต้องยอมสูญเสีย/เก็บกดอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์บางอย่าง เช่น ภาษา ความรู้เรื่องพิธีกรรม การแต่งกายและทักษะการปักลวดลายตามจารีตประเพณีของพวกตน(หน้า 172) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์อิวเมี่ยน หรือภาษาราชการเรียกว่า "เย้า" ที่อพยพเข้ามาในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พูดภาษาในตระกูลแม้ว-เย้า เป็นกลุ่มภาษาย่อยในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (หน้า 2) |
|
Study Period (Data Collection) |
มกราคม - พฤษภาคม 2546 (หน้า 70) |
|
History of the Group and Community |
เมี่ยนเป็นชนกลุ่มน้อยโบราณที่อาจมีอายุเก่าแก่เท่ากับกลุ่มชาวฮั่นหรือชาวจีนมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) ทางตอนเหนือของประเทศจีนเมื่อหลายพันปีมาแล้วต่อมาได้ถูกรุกรานจากภัยทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง โดยส่วนหนึ่งได้อพยพเข้ามาในประเทศ ลาว เวียดนาม และไทย (หน้า 4-5) |
|
Settlement Pattern |
อิวเมี่ยนที่อพยพเข้ามาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากการประกาศเขตอนุรักษ์ป่าของรัฐทับที่ทำกินของชาวบ้าน นับตั้งแต่กลางทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา (หน้า 174) ที่พักอาศัย - จากจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองที่ทราบแน่นอนเกี่ยวกับที่พักอาศัย พบว่าส่วนใหญ่เข้ามาเช่าบ้านหรือหอพักเพื่ออยู่อาศัย รองลงมาเป็นกลุ่มที่พักอยู่ในบ้านพักหรือหอพักที่ไม่ต้องเสียค่าเช่า ซึ่งเป็นโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ วัด และหอพักที่ให้บริการโดยองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรศาสนา ส่วนกลุ่มที่อยู่ในบ้านที่มีโฉนด (อาจซื้อแล้วเช่าอยู่) นั้นมีเพียง 19 คน จะเป็นที่น่าสังเกตว่าข้อมูลจากการสำรวจครั้งนี้ไม่พบคนเมี่ยนอาศัยอยู่ในบ้านที่ไม่มีโฉนดหรือแหล่งชุมชนแออัดแต่อย่างใด (หน้า 77) - เมื่อพิจารณาตามลักษณะของการอยู่อาศัยของแต่ละบุคคล พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมือง รองลงมาคือกลุ่มที่อยู่หอพักหรือบ้านเช่าที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันอยู่ด้วย (แต่ไม่มีสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วย) ส่วนกลุ่มที่มาอาศัยอยู่กับญาตินั้นมีเพียงสองคน(หน้า 77) - ครึ่งหนึ่งของประชากรเมี่ยนในเมืองนั้น พักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ รองลงมาคืออำเภอแม่ริม เนื่องจากมีกลุ่มที่เข้ามาเป็นช่างทองและกลุ่มนักเรียนอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนั้น กระจายกันไปตามพื้นที่อำเภอสันทราย สารภี หางดง สันกำแพง และดอยสะเก็ด ตามลำดับ(หน้า 78) - เมื่อจำแนกลงไปในรายละเอียดของแต่ละกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มอายุระหว่าง 11-20 ปีนั้น เป็นหญิงมากกว่าชายถึง 20 คน นอกจากนั้น กลุ่มอายุอื่นๆมีสัดส่วนของหญิงและชายใกล้เคียงกัน (หน้า 79) - ในกลุ่มที่เป็นนักเรียนนักศึกษา พบว่ากลุ่มที่เรียนระดับอนุบาล ประถม และอาชีวศึกษานั้น อาศัยอยู่กับครอบครัว มากกว่าอยู่หอพัก ส่วนกลุ่มที่เรียนระดับมัธยมนั้น อยู่หอพักมากกว่าอยู่กับครอบครัว ที่น่าสนใจคือกลุ่มที่เรียนระดับอุดมศึกษานั้น ไม่มีใครที่พักอาศัยอยู่กับครอบครัวของตัวเองเลย (หน้า 85) |
|
Demography |
จำนวนประชากรตัวอย่างที่สามารถเก็บรวบรวมมาได้ในครั้งนี้มีทั้งหมด 306 คน แต่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มที่คณะผู้วิจัยสามารถเข้าถึงได้โดยคาดว่าอาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเมี่ยนทั้งหมดในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่และอำเภอใกล้เคียง (หน้า 70) จากข้อมูลประชากรตัวอย่างดังกล่าว สามารถแจกแจงได้ดังนี้ โครงสร้างประชากร - มีประชากรหญิงมากกว่าประชากรชาย คือ ร้อยละ 52.6 ต่อ 47.4 (หน้า 71) - มีประชากรกลุ่มอายุ 11-20 ปีมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มอายุ 21-30 ปี โดยสองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงานเป็นหลัก ส่วนกลุ่มที่มีน้อยที่สุด คือกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป (หน้า 71-72) สถานภาพการสมรส - ประชากรส่วนใหญ่ยังโสด โดยมีสัดส่วนของกลุ่มที่ยังโสด ต่อกลุ่มที่แต่งงานอยู่ที่ร้อยละ 57.2 ต่อ 42.8 (หน้า 72) - ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ยังเป็นโสดหรือแต่งงานแล้ว ล้วนเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (หน้า 79) รูปแบบการอพยพ - เฉพาะในส่วนของคนที่รู้แน่ว่าเข้ามาปี พ.ศ. ไหนนั้น จากการสำรวจพบว่า กลุ่มประชากรเมี่ยนมีการอพยพเข้ามาในเมืองเพิ่มมากขึ้นในระยะหลังมานี้ และมีแนวโน้มว่านับวัน มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และมีการอพยพเข้ามาเป็นครอบครัวมากขึ้นด้วย (หน้า 75) - เมื่อพิจารณาตามจังหวัดต้นทางที่อพยพมา พบว่าเป็นกลุ่มที่มาจากจังหวัดเชียงรายมากที่สุด รองลงมาคือน่านและพะเยา กำแพงเพชร ลำปาง เชียงใหม่และตาก ตามลำดับ(หน้า 76) - ไม่ว่าจะเป็นการอพยพช่วงระยะเวลา พ.ศ. ใดก็ตาม ล้วนเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย(หน้า 81) - เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มที่อพยพเข้ามาระหว่างปี พ.ศ. 2521 ถึงปัจจุบันนั้นเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 11-20 ปีมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี ส่วนกลุ่มที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปนั้น มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาในเมืองลดน้อยลงไป โดยยังไม่มีแม้แต่คนเดียวที่อพยพเข้ามาระหว่างปี พ.ศ. 2541-2546 (หน้า 83) -ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่นับถือความเชื่อดั้งเดิมกับพุทธ หรือกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ตามประชากรเมี่ยนที่อพยพเข้ามาในเมือง ล้วนเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย(หน้า 79) |
|
Economy |
ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2502 รัฐบาลไทยยังมีนโยบายให้เมี่ยนและคนดอยกลุ่มอื่นๆ ปลูกฝิ่นเพื่อนำฝิ่นดิบป้อนโรงฝิ่นในประเทศ จากการที่เศรษฐกิจของเมี่ยนมีรายได้หลักมาจากการปลูกฝิ่นเช่นนี้ การตั้งถิ่นฐานของคนเมี่ยนในระยะนั้นจึงเลือกเอาพื้นที่บนภูเขาที่มีภูมิอากาศเหมาะสมแก่การปลูกฝิ่นเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม พื้นที่สูงดังกล่าวก็เป็นที่ห่างไกลจากรัฐฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็อาศัยพื้นที่เหล่านี้หลบซ่อนและปฏิบัติงานเช่นกัน ดังนั้น ในช่วงทศวรรษ 2510 เมื่อรัฐบาลทำการกวาดล้างคอมมิวนิสต์อย่างหนักเมี่ยนหลายหมู่บ้านจึงต้องหนีภัยลงมาอยู่ในพื้นราบมากขึ้น และหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ในขณะที่บางคนกลายเป็นพ่อค้าคนกลางระหว่างชุมชนเมี่ยนกับตลาดในเมืองและบางคนก็หันไปทำเครื่องประดับเงินเพื่อขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่คนเมี่ยน จนภายหลังได้ยกระดับขึ้นมาทำเครื่องประดับทอง ในส่วนของคนเมี่ยนที่ยังยึดถืออาชีพเกษตรกรเป็นหลักนั้นเมื่อภัยคอมมิวนิสต์สงบลงรัฐบาลก็ได้ประกาศเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของพวกเขา ส่งผลต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของเมี่ยนอย่างมาก หลายครอบครัวถูกบังคับให้อพยพออกจากพื้นที่เดิมไปยังที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่า คนเมี่ยนเหล่านี้ จำนวนมากต้องอพยพเข้าสู่เมืองเพื่อประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ขายน้ำเต้าหู้ ก๋วยเตี๋ยว และอื่นๆ ที่เป็นเจ้าของกิจการเองเป็นหลัก (หน้า 173-174) การประกอบอาชีพ - ในส่วนของคนที่กำลังประกอบอาชีพอยู่ขณะที่ทำการสำรวจนั้น จากจำนวนทั้งหมด 149 คน พบว่าร้อยละ 61.7 เป็นกลุ่มที่ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายน้ำเต้าหู้ ก๋วยเตี๋ยว ไก่ทอด ฯลฯ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด รองลงมา เป็นกลุ่มพนักงานบริษัทและองค์กรพัฒนาเอกชน ส่วนกลุ่มที่รับราชการนั้น มีเพียง 2 คน (หน้า 74) - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในกลุ่มประชากรเมี่ยนที่สำรวจได้มานั้น มีเพียงสองคนที่รับราชการ และทั้งสองคนนั้นเป็นหญิง เช่นเดียวกับกลุ่มที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวนั้น เป็นหญิงมากกว่าชาย ส่วนกลุ่มที่เป็นพนักงานบริษัทและองค์กรพัฒนาเอกชนนั้นมีสัดส่วนระหว่างชายกับหญิงที่ใกล้เคียงกัน (หน้า 81) - ใน 2 คนที่รับราชการนั้น มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ส่วนกลุ่มที่เป็นพนักงานบริษัทกับองค์กรพัฒนาอกชนและกลุ่มที่ประกอบอาชีพส่วนตัวนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี รองลงมาเป็นกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 31-40 ปี (หน้า 82) - ทั้งสองคนที่รับราชการนั้น เรียนจบระดับอาชีวศึกษาและปริญญาตรี ส่วนกลุ่มที่เป็นพนักงานบริษัทกับองค์กรพัฒนาอกชนและกลุ่มที่ประกอบอาชีพส่วนตัวนั้น มีคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลยมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มที่เรียนจบระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา(หน้า 86) |
|
Social Organization |
ในสังคมหรือชุมชนเมี่ยนที่ยังทำการเกษตรเป็นหลักนั้นครอบครัวเมี่ยนโดยทั่วไปเป็นครอบครัวขยายมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 4 รุ่น ครัวเรือนเมี่ยนเป็นครอบครัวขยายเพราะถือว่าคนคือแรงงาน บางครัวเรือนที่สามีภรรยาไม่สามารถมีลูกได้ก็มักจะซื้อเด็กกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ มาเลี้ยงดูตั้งแต่เป็นทารก นิยมซื้อเด็กชายเพราะสืบสกุลได้ และเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นภายใต้วัฒนธรรมเมี่ยนก็ได้รับการยอมรับจากสังคมเมี่ยนอย่างสมบูรณ์ (หน้า15) ในสังคมเมี่ยน มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างหญิงและชายอย่างชัดเจน โดยชายเป็นผู้นำทางสังคม ประเพณี และพิธีกรรม และชี้ขาดปัญหาสำคัญทุกอย่างในบ้าน ส่วนหญิงมีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าชาย มีหน้าที่เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ปรนนิบัติผู้สูงอายุ รวมถึงทำงานในไร่นาอีกด้วย (หน้า15) แต่ปัจจุบัน โครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและสภาพแวดล้อมของแต่ละชุมชน โดยชุมชนที่เข้าสู่ระบบตลาดและอาชีพนอกภาคเกษตร โครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมเหล่านี้ จะปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก (หน้า15) เมี่ยนให้ความนับถือและสืบเชื้อสายทางฝ่ายชายโดยลูกถือแซ่สกุลตามพ่อ นับถือวิญญาณบรรพบุรุษของพ่อเว้นแต่ในกรณีที่คู่สามีภรรยาไม่มีลูกชายลูกเขยจะแต่งงานเข้ามาอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิง แล้วสืบเชื้อสายทางพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่มีข้อห้ามสำหรับการแต่งงานภายในแซ่เดียวกันขอเพียงแต่ให้อยู่คนละกลุ่มเครือญาติย่อย ก็สามารถแต่งงานกันได้ (หน้า 15-17) กลุ่มเครือญาติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของทุกคนในชุมชน โดยเมี่ยนจะให้ความสำคัญกับญาติลำดับต่างๆ ดังนี้ 1.ญาติใกล้ (เชี่ยนฟัด) 2. ญาติห่างๆ (เชี่ยนไง) 3. ญาติทางการแต่งงาน (จ่าฟินเจี้ยว) 4. ญาติร่วมหมู่บ้าน(โต้งอั๋งจ่วงล่างเมี่ยนหมั่วต่อย) 5. ญาติร่วมเผ่า (เมี่ยมั่วต่อย) ถือเป็นที่พึ่งสุดท้าย และสำหรับแซ่ตระกูลของเมี่ยนในประเทศไทย เท่าที่พบมีทั้งหมด 12 แซ่ ซึ่งในแต่ละแซ่ตระกูลก็จะมีรุ่นของตระกูล (หน้า 17) ปัจจุบัน คนเมี่ยนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่เข้ามาอยู่ในเมือง ลักษณะเฉพาะของครอบครัวระบบแซ่ตระกูลและการนับเครือญาติดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การย้ายถิ่นและการเปลี่ยนไปใช้นามสกุลไทย เป็นตัวแปรสำคัญ (หน้า16-18) นอกจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วในบรรดาประชากรเมี่ยนในเมืองที่คณะผู้วิจัยสำรวจมาทั้งสิ้น 306 คน พบว่า - มีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (หญิง 161 ชาย 145 คน)(หน้า 71) - ส่วนใหญ่เป็นโสด (โสด175 แต่งงาน131 คน) (หน้า 72) - ร้อยละ33.3 อยู่ในกลุ่มอายุ 11-20 ปี รองลงไป ร้อยละ28.4 อยู่ในกลุ่มอายุ 21-30 ปี(หน้า 71) - ประกอบธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 61.7รองลงไปเป็นพนักงานบริษัทและองค์กรพัฒนาเอกชน ร้อยละ36.9 (หน้า 74) - นับถือผีบรรพบุรุษและพุทธศาสนาเป็นหลัก (265 คน) (หน้า76) - ร้อยละ 57.8 พักอาศัยอยู่กับครอบครัว(หน้า 77) - ร้อยละ 45.4 อาศัยในบ้านเช่าหรือหอพัก (หน้า 76) |
|
Political Organization |
ระบบโครงสร้างสังคมตามจารีตประเพณีของชุมชนเมี่ยนมีตำแหน่งหรือฝ่ายต่างๆ ได้แก่ 1. ผู้ปกครองหรือหัวหน้าหมู่บ้าน (ต้าวเมี่ยน, ล่างโก๋ หรือ ล่างเจี้ยว) โดยทั่วไปจะมาจากกลุ่มแซ่สกุลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านหรือ เป็นผู้นำในการอพยพมาตั้งหมู่บ้าน 2. กลุ่มผู้อาวุโส 3. ผู้ประกอบพิธีกรรม (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) 4. ช่างตีเหล็ก 5. ช่างเงิน 6. หมอยาสมุนไพร (เดียไซ) 7. หมอตำแย (หน้า 13-15) |
|
Belief System |
ความเชื่อของเมี่ยนเป็นการผสมผสานกันระหว่างความเชื่อเรื่องเทพสิ่งศักดิ์ในธรรมชาติกับบรรพบุรุษ และความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋าเมื่อครั้งอพยพทางเรือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้ลดน้อยลงไปมากเนื่องจากการย้ายถิ่นเข้ามาในเมือง และการรับศาสนาคริสต์และการผสมผสานกับพุทธศาสนา (หน้า 10) ความเชื่อทางศาสนา - ประชากรส่วนใหญ่ ร้อยละ 86.6 ยังคงนับถือความเชื่อดั้งเดิมกับศาสนาพุทธ รองลงมา ร้อยละ 13.1 นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 72) -ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่นับถือความเชื่อดั้งเดิมกับพุทธ หรือกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม ล้วนเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย(หน้า 79) - ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ยังเป็นโสด หรือกลุ่มที่แต่งงานแล้วก็ตาม ล้วนนับถือความเชื่อแบบบรรพบุรุษและศาสนาพุทธ มากกว่ากลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์(หน้า 84) - ในทุกระดับการศึกษาของประชากรเมี่ยนที่ให้สัมภาษณ์นั้น ล้วนนับถือความเชื่อแบบบรรพบุรุษและศาสนาพุทธ มากกว่ากลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์(หน้า 84) เมี่ยนมีประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่า พิธีคุ้มครองลูกและแม่ขณะตั้งครรภ์ พิธีเกี่ยวกับการเกิดพิธีสู่ขวัญ พิธีบวช พิธีเกี่ยวกับการแต่งงาน พิธีศพพิธีฉลองปีใหม่ พิธีวันสารทจีนพิธีเซ่นไหว้ผีบ้านผีเมือง นอกจากนี้ เมี่ยนจะถือวันกรรม คือ วันที่ถูกกำหนดขึ้นมาตามความเชื่อของบรรพบุรุษโดยในวันกรรมนี้เมี่ยนจะหยุดงานหรือไมทำกิจกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชื่อวันกรรมนั้นๆ นอกจากนี้ เมี่ยนยังมีพิธีทำขวัญข้าวพิธีที่ใช้ในการรักษาพยาบาล เช่น พิธีเรียกขวัญพิธีบนบาน อีกด้วย (หน้า 10-11) |
|
Education and Socialization |
การศึกษา - จากจำนวนประชากรทั้งหมด 306 คน พบว่าเป็นกลุ่มที่กำลังเรียนหนังสือ ทั้งหมด 133 คน โดยมีจำนวนมากที่สุด คือ กลุ่มที่เรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษา (48 คน) รองลงมาเป็นกลุ่มที่เรียนระดับประถมศึกษา อุดมศึกษา อนุบาล และเด็กเล็ก และกลุ่มที่เรียนอาชีวะศึกษา ตามลำดับ (หน้า 73) - จบการศึกษาแล้ว 109 คนในจำนวนนี้ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (35 คน) (หน้า 73) - ในกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างเรียนหนังสือ พบว่ากลุ่มที่เรียนจบระดับประถมศึกษา กลุ่มที่ไม่เคยเรียนเลยกับกลุ่มที่เรียนจบระดับมัธยมศึกษานั้น มีอัตราส่วนใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นเป็นกลุ่มที่เรียนจบระดับอุดมศึกษา (หน้า 74) - เฉพาะในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา พบว่า ทุกระดับการศึกษา มีสัดส่วนของจำนวนผ้ชายกับผู้หญิงที่ใกล้เคียงกัน (หน้า 80) - สำหรับกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ระหว่างที่ทำการสำรวจข้อมูลนั้น พบว่า ในกลุ่มที่ไม่เคยเรียนหนังสือ กลุ่มที่เรียนจบระดับปริญญาตรีขึ้นไป กับกลุ่มที่เรียนจบระดับมัธยมศึกษานั้น เป็นหญิงมากกว่าชาย ส่วนกลุ่มที่เรียนจบระดับประถมศึกากับอาชีวศึกษานั้น เป็นชายมากกว่าหญิง (หน้า 80) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เมี่ยนในประทศไทยมีเครื่องแต่งกายตามประเพณี โดยผู้หญิงจะมีผ้าโพกศรีษะผ้าคาดเอวซึ่งมีลายปักที่ชายแต่ละข้าง เสื้อคลุมยาว สาบเสื้อด้านในรอบคอลงมาถึงเอวจะติดไหมพรมสีแดง และกางเกงขาก๊วยซึ่งเป็นผ้าสีดำและปักลวดลายด้านหน้า ส่วนผู้ชายมีเสื้อตัวสั้นหลวมคอกลมชิ้นหน้าห่ออกอ้อมไปติดกระดุมลูกตุ้มเงินแปดถึงสิบเม็ดเป็นแถวทางด้านขวา กางเกงเป็นกางเกงขาก๊วยไม่มีปักลาย ทั้งเสื้อและกางเกงจะตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายทอมือย้อมครามสีน้ำเงินหรือดำส่วนเด็กมีเพียงหมวกประดับปุยไหมพรมสีแดง ปัจจุบันคนเมี่ยนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนแปลงมาแต่งกายตามแบบคนพื้นราบหมดแล้วจะแต่งชุดตามประเพณีก็ต่อเมื่อมีเทศกาลหรือพิธีสำคัญๆ ในหมู่บ้านเท่านั้น(หน้า 3-4) |
|
Folklore |
เมี่ยนมีนิทานปรัมปราเกี่ยวกับกำเนิดชาติพันธุ์ตัวเองว่าสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าที่มาเกิดเป็นสุนัขมังกรและเจ้าหญิงในประเทศจีน แต่งงานกันโดยจักรพรรดิจีนได้พระราชทานหนังสือเดินทางให้เป็นใบเบิกทางแก่พวกเขาในการบุกเบิกพื้นที่ทำกินและอาศัยอยู่บนภูเขาอย่างถูกต้อง และได้สืบเชื้อสายขยายเผ่าพันธุ์กันมาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 8-9) นอกจากนี้ในนิทาน(เกิ้ว) ของเมี่ยนได้สอดแทรกแบบแผนในการดำเนินชีวิตในเรื่องต่างๆ ได้แก่ 1. แบบแผนด้านวัตถุเงินทอง ว่าเงินทองความร่ำรวยถือเป็นความมีหน้าตาและเป็นสื่อสำคัญในการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณบรรพบุรุษ 2. แบบแผนด้านข้อบังคับหรือเนติธรรมโดยผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแบบแผนนี้คือผู้ประกอบพิธีกรรม (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) 3. แบบแผนด้านอำนาจหน้าที่ในครอบครัว และชุมชนผู้ชายหรือหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในครอบครัวและรับผิดชอบโดยตรงต่อการหาเลี้ยงครอบครัวผู้หญิงมีหน้าที่ต้องทำงานหนักทั้งในไร่และงานบ้านและต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและคุ้มครองของผู้ชาย นอกจากนี้ หญิงชายยังมีหน้าที่เกื้อกูลกันระหว่างแซ่สกุลและในระดับชุมชนโดยให้ถือว่าทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกันอีกด้วย 4. แบบแผนด้านการดำเนินชีวิตหรือคติธรรมเมี่ยนถือว่าความขยันเป็นสิ่งสำคัญมาก การเลือกคู่ครองจะพิจารณาจากความขยันขันแข็งเป็นคุณสมบัติสำคัญ จริยธรรมสำคัญในสังคมเมี่ยน ได้แก่ ความกตัญญูกตเวทีความซื่อสัตย์ ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีความสามัคคีโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เมี่ยนยังมีสุภาษิต คำสอน คำพังเพยคำปริศนาที่เป็นกลอนหรือเพลง (จชูงอ้อม) รวมทั้งมีเครื่องดนตรีตามประเพณี เช่น ปี่ กลอง ฆ้อง ฉาบไว้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้อีกด้วย (หน้า 13) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เมี่ยนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมเครื่องแต่งกายและภาษาที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองมีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ภาษาเขียนได้คิดสร้างตัวหนังสือขึ้นไว้ใช้เองโดยดัดแปลงจากตัวอักษรจีนในภาษาฮั่น (หน้า 3) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปรากฏการณ์ในการอพยพเข้าสู่เมืองของกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยนและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบเมืองได้เป็นอย่างดี เป็นผลพวงที่เกิดจากการสั่งสมทางวัฒนธรรมวิธีคิดอันยาวนานของคนเมี่ยนกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วบนชุมชนบนพื้นที่สูงในระยะสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการเข้ามาของรัฐไทยและกระแสโลกาภิวัตน์ที่กลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยนไม่สามารถควบคุมได้ ในทางตรงข้ามกลับต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวโดยต้องยอมสูญเสียอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์บางอย่างไป (หน้า 176-177) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางและภาพต่าง ๆ ดังนี้ ตาราง - ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมือง จำแนกตามเพศ (หน้า 71) - ตารางที่ 2 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามกลุ่มอายุ (หน้า 71) - ตารางที่ 3 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามสถานภาพสมรส (หน้า 72) - ตารางที่ 4 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามศาสนาที่นับถือ (หน้า 72) - ตารางที่ 5 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามระดับการศึกษาที่กำลังเรียน (หน้า 73) - ตารางที่ 6 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามระดับการศึกษาที่จบ (หน้า 73) - ตารางที่ 7 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามกลุ่มอาชีพหลัก (หน้า 74) - ตารางที่ 8 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมือง จำแนกตามปี พ.ศ. ที่เข้ามา (หน้า 75) - ตารางที่ 9 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามจังหวัดต้นทาง (หน้า 76) - ตารางที่ 10 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามแหล่งที่พักอาศัย (หน้า 76) - ตารางที่ 11 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามลักษณะการอยู่อาศัย (หน้า 77) - ตารางที่ 12 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามอำเภอที่พักอาศัย (หน้า 78) - ตารางที่ 13 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนในเมืองจำแนกตามเพศและอายุ (หน้า 78) - ตารางที่ 14 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามเพศและสถานภาพสมรส (หน้า 79) - ตารางที่ 15 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามเพศและศาสนา (หน้า 79) - ตารางที่16แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามกลุ่มเพศและระดับการศึกษาที่กำลังเรียน (หน้า 80) - ตารางที่ 17 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามเพศและระดับการศึกษาที่จบ (หน้า 80) - ตารางที่ 18 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามเพศและกลุ่มอาชีพหลัก (หน้า 81) - ตารางที่ 19 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามเพศและช่วงปี พ.ศ. ที่เข้ามา (หน้า 81) - ตารางที่ 20 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามกลุ่มอายุและอาชีพหลัก (หน้า 82) - ตารางที่ 21 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามกลุ่มอายุและช่วงปี พ.ศ. ที่เข้ามา (หน้า 83) - ตารางที่ 22 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามสถานภาพสมรสกับศาสนาที่นับถือ (หน้า 83) - ตารางที่ 23 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามศาสนากับระดับการศึกษาที่กำลังเรียน (หน้า 84) - ตารางที่ 24 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยน จำแนกตามระดับการศึกษาที่กำลังเรียนและลักษณะการอยู่อาศัย (หน้า 85) - ตารางที่ 25 แสดงจำนวนประชากรเมี่ยนจำแนกตามระดับการศึกษาที่จบกับกลุ่มอาชีพ (หน้า 84) กลุ่มอาชีพหลัก (หน้า 86) ภาพ ภาพที่ 1 ดอยผาวัวผาช้าง อำเภอปง จังหวัดพะเยาที่ตั้งเดิมของเมี่ยนบ้านละเบ้ายา (หน้า 64) ภาพที่ 2 นักเรียนเมี่ยนบ้านละเบ้ายาเดินรณรงค์ป้องกันโรคไข้เลือดออก (หน้า 64) ภาพที่ 3 พิธีแต่งงานใหญ่ ญาติฝ่ายเจ้าสาวจากต่างหมู่บ้านเดินทางมาส่งตัวเจ้าสาวที่บ้านละเบ้ายา (หน้า 65) ภาพที่ 4 เยาวชนเมี่ยนพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 65) ภาพที่ 5 สภาพบ้านเรือนที่เปลี่ยนมาสร้างด้วยไม้และมุงหลังคาสังกะสีกับสมาชิกในครัวเรือน (หน้า 66) ภาพที่ 6 สวนส้มของเมี่ยนบ้านละเบ้ายาเลียบสองฝั่งลำน้ำสมุนในดูน้ำหลาก (หน้า 66) ภาพที่ 7 การแสดงของเมี่ยนที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ (หน้า 67) ภาพที่ 8 ร้านขายน้ำเต้าหู้และก๋วยเตี๋ยวของคนเมี่ยนในเมืองเชียงใหม่ (หน้า 67) ภาพที่ 9 ภาพเทพเจ้าใหญ่ นำมาแขวนบริเวณหิ้งบูชาแล้วอัญเชิญเทพเจ้ามาสิงสถิตเพื่อรับการไหว้ใน พิธีบวช (หน้า 68) ภาพที่ 10 พิธีบวชเยาวชนชายอิวเมี่ยน (หน้า 68) ภาพที่ 11 การเผากระดาษเงินกระดาษทองแก่วิญญาณบรรพบุรุษในพิธีบวช (หน้า 69) |
|
|