|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,ตำนาน,เรื่องเล่า,จีนตอนใต้,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
Anthony R. Walker (ed.) |
Title |
Mvuh Hpa Mi Hpa: Creating Heaven, Creating Earth |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
105 |
Year |
2538 |
Source |
Silkworm Books, Chiang Mai |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหา 2 ภาค ภาคแรกเป็นการอธิบายประวัติความเป็นมา สังคม วัฒนธรรมของล่าหู่ ภาคที่สองเป็นเรื่องเล่าตำนานการสร้างสวรรค์และการสร้างโลกของกื่อชาซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดตามความเชื่อของล่าหู่ |
|
Focus |
ตำนานเรื่องเล่าการสร้างสวรรค์และโลกของล่าหู่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ล่าหู่ที่อาศัยอยู่ในจีนตอนใต้ ในภาคเหนือของพม่า ลาวไทยและเวียดนาม |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาล่าหู่จัดอยู่ในสาขา Yi ตระกูล Tibeto-Burman ภาษาล่าหู่มีหลายถิ่น (dialect) แต่แบ่งเป็นถิ่นใหญ่ ได้ 2 ถิ่น คือ Lahu Na (Black Lahu) และ Lahu Shi (Lahu Yellow) (น.15) ภาษาล่าหู่ไม่มีระบบตัวอักษร แต่ปัจจุบันนักภาษาศาสตร์ชาวจีน มิชชันนารีโรมันคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ได้นำอักษรโรมันมาใช้เขียนภาษาล่าหู่(น.16) ล่าหู่มีชื่อเรียกหลายชื่อ คำ "Luohei" เป็นคำที่จีนฮั่น (Han Chinese) ใช้เรียก ขณะที่คนไต (Tai) บางกลุ่มโดยเฉพาะในพม่าและไทยเรียกพวกเขาว่า "Mussur" คำนี้ดูเหมือนจะมาจากคำว่า "moksa" ในภาษาพม่า หมายถึง นายพราน หากก็มีล่าหู่จำนวนหนึ่งไม่ชอบชื่อนี้ ส่วนชื่อ "Luohei" และ "Mian" ก็ดูเหมือนจะได้รับการยอมรับน้อยกว่า ขณะที่ในประเทศจีน หลัง ค.ศ. 1949 ผู้นำล่าหู่ยืนยันให้เรียกพวกเขาว่า "Lahu" คำนี้มีความหมายไม่แน่นอนเช่นกัน พยางค์แรกของคำ คือ la หมายถึง เสือ และในประเทศจีนมีเรื่องเล่าแพร่หลายว่า Lahu นี้หมายถึง คนล่าเสือ (น.7) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
นักวิชาการชาวจีนเชื่อว่า บรรพบุรุษของล่าหู่ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ในดินแดนที่ราบชิงไห่-ทิเบต (the Qinghai-Tibetan plateau) แล้วอพยพช้าๆ ลงมาทางใต้ ตั้งบ้านเรือนในบริเวณต้าลี่(Dali) ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 5 ในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 5 นี้ ล่าหู่ถูกราชวงศ์ต่างๆ ในยูนนานกลางปกครอง บรรพบุรุษของล่าหู่ได้รวมกันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาร่วมถิ่นเฉพาะ และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พวกเขาก็เริ่มอพยพลงมาทางใต้อีก การอพยพครั้งนี้แบ่งเป็น 2 สายคือ กลุ่มที่เป็นบรรพบุรุษของ Lahu Na หรือล่าหู่ดำพากันอพยพลงมาตามเส้นทางตะวันตก กลุ่มที่เป็นบรรพบุรุษ Lahu Shi หรือล่าหู่เหลือง และ Lahu Hpu (White Lahu) อพยพลงมาตามเส้นทางตะวันออก ล่าหู่ส่วนใหญ่เข้ามาอยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมืองไต (Tai feudal overlords) ที่จีนให้การรับรองในฐานะผู้ปกครองท้องถิ่น (tusi หรือ native chiefs) ครั้นในสมัยราชวงศ์หมิง (Ming dynasty) เจ้าหน้าที่จากส่วนกลางก็เริ่มเข้ามามีอำนาจแทนผู้นำท้องถิ่น และนโยบายนี้ดำเนินเรื่อยมาจนถึงสมัยราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ล่าหู่บางแห่งจึงเข้าไปอยู่ใต้การควบคุมของจีนโดยตรง ขณะที่บางแห่งถูกเจ้าหน้าที่จีนและผู้นำท้องถิ่นปกครองร่วมกัน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ล่าหู่ได้รวมกันเป็นกองกำลังสู้รบกับผู้ปกครองจีน แต่ก็พ่ายแพ้ ล่าหู่ส่วนมากยอมอยู่ใต้การปกครองของจีน แต่ก็มีล่าหู่จำนวนหนึ่งอพยพหนีลงมาทางใต้เข้าไปในเขตประเทศพม่าและลาว ปรากฏว่าในทศวรรษที่ 1830 มีล่าหู่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐฉานของพม่า (the Burmese Shan states) ต่อมาราวๆ กลางคริสต์ศตวรรษ ล่าหู่ก็เข้าไปอยู่ในประเทศลาว หลังจากนั้นล่าหู่จึงเริ่มเข้าไปยังภาคเหนือของไทยประมาณปลายทศวรรษที่ 1870 หรือ 1880 (น.11-12) |
|
Settlement Pattern |
ล่าหู่ที่อาศัยอยู่ในเมืองมีจำนวนน้อย ปกติคนที่อยู่ในเมืองเป็นพวกที่มีการศึกษาและใกล้ชิดรัฐบาลหรือองค์กรคริสเตียน หมู่บ้านล่าหู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของยูนนานจะดูคล้ายเพื่อนบ้านชาว Han และชาว Yi การปลูกข้าวแบบทดน้ำทำให้หมู่บ้านเหล่านี้ตั้งบ้านเรือนแบบถาวร มีจำนวนครัวเรือนสูงกว่า 200 ครัวเรือน และมีจำนวนประชากรมากกว่า 1,000 คน บ้านเรือนมีลักษณะโครงสร้างแบบจีน ขณะที่ในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนานลงมาจนถึงรัฐฉานของพม่า ภาคเหนือของไทยและตะวันตกเฉียงเหนือของลาว หมู่บ้านล่าหู่จะมีขนาดเล็ก มีบ้านประมาณ 30 หลัง จำนวนประชากรประมาณ 120 คน ซึ่งเหมาะกับการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา บ้านเป็นไม้ไผ่ หลังคาใบไม้หรือใบหญ้า ขนาดบ้านกว้าง-ยาวประมาณ 3 x 3.5 เมตร ขนาดของบ้านขึ้นอยู่กับจำนวนคนในบ้านมากกว่าฐานะร่ำรวย (น.6) ในหมู่บ้านล่าหู่บางกลุ่มมีวัดของหมู่บ้าน เรียกว่า "bon-yeh" หรือ "haw-yeh" ซึ่งพัฒนามาจาก fo-fang หรือ fo-tang (Buddha houses หรือ Buddha halls) ของพุทธนิกายมหายานในคริสตศตวรรษที่ 17 นอกจากนั้นยังมีศูนย์กลางทางพิธีกรรมอื่นๆ อีก ได้แก่ โบสถ์ในหมู่บ้านที่นับถือคริสตศาสนา ศาลและเสาไม้ไผ่ที่มีธงปลายไม้เป็นสัญลักษณ์ผีประจำหมู่บ้าน และลานพิธีเต้นรำ(ritual dancing circles) (น.15) |
|
Demography |
ปัจจุบันประชากรล่าหู่มีประมาณ 615,000 คน ในจำนวนนี้ 67% เป็นพลเมืองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน (จำนวน 411,000 คน ตามสถิติของจีนในปี ค.ศ. 1990) ที่เหลืออีก 33% อยู่ในประเทศพม่าประมาณ 150,000 คน ในประเทศไทย 40,000 คน ในลาวประมาณ 10,000 คน ส่วนในเวียดนามมีประชากรล่าหู่น้อยกว่าครึ่งของประชากรล่าหู่ในลาว ปัจจุบันประชากรล่าหู่จำนวนหนึ่งในลาวได้อพยพไปอยู่ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ (น.7) |
|
Economy |
การเพาะปลูก ล่าหู่ที่อยู่บนภูเขาจะเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา (swidden agricultur) จะปลูกข้าวไร่ ข้าวที่ใช้เลี้ยงสัตว์ (buckwheat) ข้าวฟ่าง ข้าวโพด พริก และปลูกพืชกินใบ พืชหัว สมุนไพร แตงโม ฟักทอง พืชจำพวกน้ำเต้าผสมกับธัญพืชหลัก และปลูกพริก อ้อย ชาและฝิ่นเป็นพืชเงินสด (น.4-5) ล่าหู่ที่อยู่ในยูนนานจะปลูกข้าวแบบทดน้ำ (irrigated-rice farming technology) มากกว่าล่าหู่ที่อยู่บนภูเขาในลาวและไทย ลักษณะการปลูกข้าวแบบทดน้ำนี้ ล่าหู่จะเปิดหน้าดินบริเวณพื้นที่ราบบนภูเขา หรือทำขั้นบันไดบนไหล่เขา (terracing mountain slopes) ย้ายลงมายังเชิงเขาและหุบเขาที่สามารถปลูกข้าวแบบทดน้ำได้ ส่วนล่าหู่ที่อยู่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนที่ตั้งถิ่นฐานล่าหู่ นอกจากปลูกข้าวแบบทดน้ำเป็นหลักแล้ว ยังทำสวนผลไม้ สวนผักและไร่ชาด้วย (น.5) |
|
Social Organization |
ครอบครัว ครัวเรือน - ครัวเรือนล่าหู่ส่วนมากประกอบด้วยสามี ภรรยา และลูกๆ ที่ยังไม่แต่งงานซึ่งใช้เตาทำอาหารร่วมกัน เป็นแกนหลัก ครัวเรือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อลูกที่แต่งงานนำคู่สมรสทั้งเขยและสะใภ้เข้ามาอยู่ด้วย 1-2 ปี ลูกที่แต่งงานแล้วเหล่านี้จะมีส่วนที่เป็นที่นอนของตนเองและมีเตาทำอาหารของตนเองแยกจากพ่อแม่ (น.9) - ผู้หญิงและผู้ชายล่าหู่มีความเท่าเทียมกัน หัวหน้าครัวเรือนและภรรยาจะรับผิดชอบครัวเรือนร่วมกัน ผู้หญิงมีส่วนร่วมเต็มที่ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ พี่สาวน้องสาวมีสิทธิในมรดกของครอบครัวเท่ากับพี่น้องที่เป็นชาย (น.9) การแต่งงาน - ผู้ชายล่าหู่แต่งงานมีภรรยาคนเดียว (monogamous) หลังแต่งงานผู้ชายจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเพื่อประกันความปลอดภัยและอำนาจของผู้หญิง แต่ในยูนนานบางแห่ง ล่าหู่ก็ได้รับอิทธิพลความคิดเรื่องเครือญาติและชีวิตแต่งงานจากจีน ใช้แซ่แบบจีนและนับสายตระกูลทางฝ่ายผู้ชาย ล่าหู่ห้ามหญิงชายที่เป็นญาติกันภายใน 3 รุ่นอายุแต่งงานกัน อายุในการแต่งงานครั้งแรกผู้ชายประมาณ 16-17 ปี ผู้หญิงประมาณ 13-14 ปี - พิธีแต่งงานของล่าหู่กลุ่มต่างๆ จะแตกต่างกัน แต่ปกติจะมีงานเลี้ยงฉลองในชุมชน มีหัวหน้าหมู่บ้าน พระ และผู้อาวุโสเข้าร่วมพิธี หลังการแต่งงาน เจ้าบ่าวจะทำงานในครัวเรือนให้พ่อตาระยะหนึ่ง แล้วคู่แต่งงานก็จะกลับไปทำงานให้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวระยะสั้นๆ ระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การตั้งบ้านเรือนหลังแต่งงานก็ยังมีการยืดหยุ่น อาจจะมีการจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแทนการทำงานให้พ่อแม่ก็ได้ ส่วนมากคู่แต่งงานจะตั้งครัวเรือนเป็นอิสระ และมักจะอยู่ในหมู่บ้านของพ่อแม่ภรรยามากกว่า - ล่าหู่มีการหย่าร้างบ่อยและทำได้ง่าย โดยเฉพาะคู่แต่งงานที่ยังไม่มีบุตร หัวหน้าหมู่บ้านจะเรียกค่าปรับจากทั้งสองฝ่าย แต่จะเรียกค่าปรับจากฝ่ายที่เริ่มกระบวนการหย่าเป็นสองเท่า พิธีหย่าทำง่ายๆ โดยหญิงชายจับปลายเส้นด้าย 2 เส้น แล้วเผาเส้นด้ายนั้นแสดงการสิ้นสุดพันธะการแต่งงาน (น.10-11) |
|
Political Organization |
สังคมล่าหู่เป็นสังคมที่คนมีสิทธิเท่าเทียมกัน มีการแบ่งลำดับชั้นน้อย ยกเว้นเรื่องอายุเท่านั้นที่เป็นหลักการในการแบ่งลำดับอาวุโส ครัวเรือนเป็นหน่วยหลักของการจัดระเบียบทางสังคมในหมู่บ้าน และหัวหน้าครัวเรือนคนใดคนหนึ่งในหมู่บ้านจะได้รับเลือกจากหัวหน้าครัวเรือนคนอื่นๆ ขึ้นเป็นผู้นำหมู่บ้าน ซึ่งเรียกว่า "hk'a sheh-hpa (master of the village) ในหมู่บ้านยังมีผู้นำทางศาสนาอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญในชุมชน ชุมชนล่าหู่ไม่มีเสถียรภาพมากนัก ครัวเรือนต่างๆ จะย้ายออกจากชุมชนเมื่อใดก็ได้ และอาจจะมีความผูกพันกับหมู่บ้านอื่นมาก (น.8-9) นอกจากระดับหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านต่างๆ ยังมีการรวมกลุ่มกันด้วย บางครั้งกลุ่มหมู่บ้านก็มีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ (multi-ethnic) ผู้นำกลุ่มอาจจะเป็นล่าหู่หรือไม่เป็นล่าหู่ก็ได้ นอกจากนั้นหมู่บ้านบางแห่งก็เข้าไปมีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับคนพื้นราบที่มีอำนาจ เช่น ในอดีตผู้นำล่าหู่หลายคนได้รับการรับรองเป็นทางการจากเจ้าฟ้าไต (local Tai prince) และในปัจจุบัน ล่าหู่ก็มีความสัมพันธ์ทางการเมืองหลากหลายกับผู้บริหารประเทศต่างๆ ที่พวกเขาอยู่อาศัย (น.9) |
|
Belief System |
ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ล่าหู่เชื่อว่า กื่อชาหรือ G'ui-sha เป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้างโลก และเห็นว่า ผีหรือ ne นั้นคาดเดาไม่ได้ เอาแต่ใจ ไม่แน่ไม่นอน แม้แต่ผีที่คอยดูแลมนุษย์ พืชผลและสัตว์เลี้ยง เช่น ผีบรรพบุรุษและผีเจ้าที่ก็ยังโมโหง่ายและลงโทษรวดเร็ว ส่วนผีร้ายบางประเภทก็นำความเจ็บป่วยมาให้ (น.14) ผู้ประกอบพิธีทางศาสนา maw-pa เป็นผู้ประกอบพิธีที่เกี่ยวกับผี (spirit specialist) ล่าหู่บางแห่งแยกระหว่าง maw-pa กับ cao-bu หรือ ca-bu ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนษย์กับกื่อชา ในชุมชนล่าหู่คริสเตียนโปรแตสแตนท์มีบาทหลวง (the pastor) เรียกว่า sa-la-pa หรือ bon-ma-pa เป็นผู้นำทางพิธีกรรม ส่วนชุมชนโรมันคาทอลิกมีพระ (priest) หรือ cao-bu หรือ ca-bu เป็นผู้นำทางพิธีกรรม (น.14) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานการสร้างโลกและท้องฟ้า สมัยที่ยังไม่มีแผ่นดิน ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีลม มีฝน ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาว ทุกหนทุกแห่งมีหมอกหนาทึบ จักรวาลมีลักษณะเหมือนใยแมลงมุม กื่อชา (G'ui-sha) นั่งอยู่ตรงกลาง กื่อชาเอาฝุ่นที่มือและเท้า และกระดูกจากมือและเท้ามาสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้า แล้วก็เอาฝุ่นจากมือและเท้ามาสร้างตัวกินมด 2 ตัวเพื่อให้สำรวจความหนาของแผ่นดินแผ่นฟ้า ตัวกินมดรายงานว่าแผ่นดินแผ่นฟ้าหนาเท่ากัน แต่กว้างไม่เท่ากัน กื่อชาจึงสร้างผู้ช่วยขึ้นมา 2 คน เป็นผู้ชายคนหนึ่งชื่อ Ca Law ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Na Law กื่อชาให้ Ca Law ไปสร้างแผ่นฟ้า Na Law สร้างแผ่นดิน เมื่อเสร็จแล้วปรากฏว่าแผ่นฟ้าเล็กไปเล็กน้อย แผ่นดินก็ใหญ่ไปเล็กน้อย จึงต้องขยายแผ่นฟ้าและย่อแผ่นดิน แผ่นฟ้าเมื่อขยายแล้วก็รูปร่างโค้งเหมือนกระทะ ส่วนแผ่นดินเมื่อย่อแล้วก็มีรอยยับย่น พื้นผิวที่ยื่นขึ้นกลายเป็นเทือกเขา ส่วนที่บุ๋มลงกลายเป็นร่องแม่น้ำ แล้วกื่อชาก็เอาก้อนหินมาวางบนพื้นดินให้แผ่นดินคงรูปร่างเดิมไม่ขยายอีก หลังจากนั้นกื่อชาก็ไปอยู่ที่ Baidi ตรงใจกลางแผ่นดิน มีภูเขาและแม่น้ำล้อมรอบ แล้วกื่อชาก็สร้างดวงอาทิตย์จากตาข้างซ้ายและดวงจันทร์จากตาข้างขวา และใส่ไฟในดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ แต่ทั้งสองก็ไม่ส่องแสง เพราะเกรงว่าถ้าส่องแสงแล้ว จะถูกคนทำร้าย เพราะความร้อนของตน กื่อชาจีงวางเข็มทองบนศีรษะดวงอาทิตย์และเข็มเงินบนศีรษะดวงจันทร์ เพื่อปกป้องดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์จึงแสงทอง ดวงจันทร์ก็มีแสงเงิน ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์เล่นสนุกสนานด้วยกันทุกวัน ไม่เคยแยกจากกัน กื่อชาจึงส่งเสือและกบขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อไล่ขับดวงอาทิตย์ให้แยกจากกัน ดวงอาทิตย์หนีเสือไปทางทิศตะวันออก ส่วนดวงจันทร์ก็หนีกบไปทางทิศตะวันตก ต่อมากื่อชาก็เอาฝุ่นจากมือและเท้าปั้นเป็นดาวส่องแสงบนท้องฟ้า เอาฝุ่นจากมือและเท้าสร้างพ่อไก่และแม่ไก่ เมื่อพ่อไก่ขัน 3 ครั้ง ทางทิศตะวันออกก็ปรากฏแสงเงินแสงทอง (21-32) ตำนานการสร้างสิ่งต่างๆ เมื่อสร้างแผ่นดินและท้องฟ้าแล้ว กื่อชาก็เอาน้ำหวานจากเท้าและมือมาสร้างเป็ด 2 ตัว ตัวผู้และตัวเมีย บินไปรอบแผ่นดินและท้องฟ้า 3 รอบ ก็ไม่พบสิ่งบ่งบอกว่ามีน้ำ จึงกลับมาและบอกกื่อชาว่า ถ้าขุดบ่อน้ำหลังบ้านของกื่อชา ก็จะมีน้ำ กื่อชาจึงให้ขุดบ่อ แต่ก็ยังไม่มีน้ำออกมา นกยูงจึงแนะให้ปลูกกล้วย กื่อชาก็เอาเมล็ดกล้วยจากนกยูงไปปลูก แต่หน่อกล้วยก็ไม่งอก กื่อชาจึงเอาน้ำหวานจากมือและเท้าใส่ลงไปที่รากกล้วย และสร้างปูขึ้นมา 2 ตัววางไว้ที่รากกล้วย เมื่อปูขึ้นมาตอนเช้าก็เอาก้ามบีบรากกล้วย 3 ครั้ง ก็มีน้ำไหลออกมาจากรากกล้วย แล้วกื่อชาก็สร้างกบขึ้นมา 2 ตัวให้เฝ้าบ่อน้ำ กบเฝ้าอยู่ 7 วัน 7 คืนน้ำจากรากกล้วยก็เต็มบ่อ กื่อชากลัวน้ำจะไหลออกข้างๆ บ่อ จึงสร้างนก (water-touching birds) 2 ตัวให้เฝ้าบ่อน้ำ แล้วก็สร้างพืชน้ำขึ้นมาสำหรับปลูกในบ่อ จากนั้นมาบ่อน้ำก็ไม่แห้ง (น.33-35) ตำนานการสร้างต้นไม้และสัตว์ ต่อมากื่อชาก็ปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งจากน้ำหวานที่มือและเท้า มี Na Law และ Ca Law ช่วยดูแลต้นไม้นี้ เมื่อต้นไม้ออกลูก และผลไม้สุก กื่อชาก็หั่นผลไม้ออกเป็นชิ้นๆ แล้วเป่าลมให้พาชิ้นผลไม้เหล่านั้นไปตกในที่ต่างๆ ผลไม้แต่ละชิ้นที่ไปตกตามที่ต่างๆ ได้กลายเป็นป่าสน ป่า dongua ป่าเกาลัด ป่า yaw ป่าไผ่เหลือง ป่าไผ่แดง ป่า wopu ส่วนไม้ของต้นไม้นั้นเมื่อหล่นลงดินก็กลายเป็นต้นหญ้าและนกชนิดต่างๆ กิ่งไม้ที่หล่นลงดินก็กลายเป็นหนูชนิดต่างๆ เศษไม้กลายเป็นหมี กวาง วัว ช้าง เสือ กระต่าย หมูป่า แมวป่า สิงโตและม้า ดอกไม้กลายเป็นตัวต่อ ผึ้งชนิดต่างๆ ส่วนที่เป็นข้อต่อของต้นไม้กลายเป็นนกกระจอก ขี้เลื่อยกลายเป็นมด รากใหญ่ๆ กลายเป็นงู รากเล็กๆ กลายเป็นปลา (น.35-42) ตำนานการสร้างมนุษย์ กื่อชาเอาเมล็ดน้ำเต้ามาปลูกบนกองขี้เถ้าในบริเวณบ้านอของกื่อชา เวลาผ่านไปนานหลายวัน น้ำเต้าก็ยังไม่ขึ้น กื่อชาจึงเอาน้ำหวานจากใบหน้าหยดบนขี้เถ้า 3 หยด น้ำเต้าก็แทงยอดขึ้นมา แต่ว่าไม่มีราก กื่อชาจึงใช้ทองคำทำราก ต้นน้ำเต้าก็เริ่มแตกใบ เถาน้ำเต้าเติบโตมีขนาดหนามากเท่ามือและเท้า เลื้อยคลุมภูเขาและหุบเขา เวลาผ่านไปหลายเดือน น้ำเต้าก็ออกดอกและมีผล ต่อมาเมื่อผลน้ำเต้าแก่จัดก็หล่นลงพื้นดินขณะที่สัตว์ต่างๆ พากันมาหาอาหารที่หลังบ้านกื่อชา ซึ่งมีต้นไม้มาก เมื่อกื่อชามาตรวจดูแล้วไม่พบผลน้ำเต้า พบแต่เถาน้ำเต้าที่หักและรอยเท้าวัวป่า จึงสอบถามกวางและวัวป่าก็ได้ความว่านกฮูกเป็นต้นเหตุ กื่อชาจึงต่อยนกฮูกไป 3 ที แล้วก็ออกตามหาผลน้ำเต้า ซึ่งกลิ้งผ่านดงไม้ ป่าไม้ต่างๆ กื่อชาถามสัตว์และต้นไม้ต่างๆ ตลอดทางว่าเห็นผลน้ำเต้าหรือไม่ จนกระทั่งในที่สุดก็ไปถึงชายฝั่ง พบน้ำเต้าลอยอยู่ในน้ำ กื่อชาจึงสร้างปูขึ้นมาคู่หนึ่งให้ไปนำผลน้ำเต้าขึ้นมาจากน้ำ แล้วกื่อชาก็นำน้ำเต้ากลับบ้าน และผึ่งแดด 2 เดือนจนผลน้ำเต้าแห้ง ในผลน้ำเต้ามีเสียงมนุษย์ดังออกมาว่า "เราอยู่ในผลน้ำเต้านี้ ไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์เลย ถ้าพี่ชายใจดี ก็ให้เราออกไปข้างนอกเถิด เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เราจะให้ท่านลิ้มรสข้าว" กื่อชาจึงสร้างนกกระจอก (a millet sparrow) ให้เจาะน้ำเต้า แต่ไม่สำเร็จ จึงสร้างหนูขึ้นมาหนึ่งคู่ หนูมีฟันแข็งแรงมาก จึงเจาะผลน้ำเต้าได้สำเร็จ มีเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย 2 คนปีนออกมาจากน้ำเต้า เด็กผู้หญิงชื่อ Na Ti เด็กผู้ชายชื่อ Ca Ti ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน กื่อชาเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนจนกระทั่งโต กื่อชาจึงบอกให้ทั้งสองแต่งงานกัน แต่ทั้งสองบอกว่าตนเป็นพี่น้องกัน แต่งงานกันไม่ได้ แต่แล้วทั้งสองก็แอบแต่งงานกัน Na Ti ตั้งท้องและแอบไปคลอดลูกที่ป่าไผ่ไม่ให้กื่อชารู้ แต่เนื่องจากมีเด็กหลายคน Na Ti พาเด็กๆ กลับมาไม่ได้จึงทิ้งเด็กๆ ไว้แล้วมาบอกกื่อชา กื่อชาจึงสั่งให้ตัวต่อไปค้นหาเด็กๆ ตัวต่อไปพบเด็กๆ ตรงจุดที่แม่น้ำ 9 สายมาสบกัน แต่ไม่บอกกื่อชา กื่อชาจึงให้นก magpie ออกไปค้นหา แต่นก magpie ก็ไม่บอกความจริงอีกเช่นกัน กื่อชาจึงให้ผึ้งออกไปค้นหา ผึ้งพบเด็กๆ นอนหลับอยู่ในแม่น้ำ จึงกลับมารายงานกื่อชา กื่อชาจึงสั่งปูให้ไปพาเด็กๆ ขึ้นมาจากน้ำ แล้วกื่อชาก็ให้สัตว์ต่างๆ ไปพาเด็กๆ กลับมา กื่อชาดูแลเด็กๆ และสั่งให้สัตว์ต่างๆ เลี้ยงดูเด็ก และกื่อชาก็ตั้งชื่อเด็กๆชายหญิงตามสัตว์ที่พาพวกเขากลับมาบ้านกื่อชา ดังนี้ Ca Va กับ Na Va เพราะหมูพาพวกเขากลับมา Ca Hpui กับ Na Hpui เพราะสุนัขพากลับมา Ca Nu และ Na Nu เพราะวัวพากลับมา Ca Yaw และ Na Yaw เพราะแกะพามา Ca G'a และ Na G'a เพราะไก่พากลับ Ca Mvuh และ Na Mvuh เพราะม้าพากลับ Ca La และ Na La เพราะเสือพากลับ Ca Maw และ Na Maw เพราะลิงพากลับ Ca Suh กับ Na Suh เพราะงูพากลับ ส่วนเด็กคู่สุดท้ายไม่มีใครจำได้ว่าใครพากลับจึงตั้งชื่อว่า Ca Leh และ Na Leh (น.44-72) เรื่องเล่าเกี่ยวกับการหาของป่าและล่าสัตว์ เมื่อเด็กทั้ง 9 คู่เติบโต แต่ละคู่ก็ให้กำเนิดเด็กคู่ละ 100 คน เด็กๆ เหล่านั้นอาศัยอยู่บนภูเขาเทือกเดียวกัน พวกเขาไม่มีอะไรกิน จึงพากันไปกินดิน แล้วพวกเขาก็เข้าไปในป่า ตัดไม้ไผ่มาทำธนู และล่าเสือได้หนึ่งตัว พวกเขานำเสือไปวางที่ลานบ้านของกื่อชา แล้วก็แล่หนังเสือออก กื่อชาแบ่งเนื้อเสือออกเป็น 9 ส่วน ให้กับพวกเขาซึ่งแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มที่นำเนื้อไปย่างมีลูกหลานเป็นล่าหู่ กลุ่มที่นำเนื้อไปต้มเป็นว้า (Wa) กลุ่มที่นำเนื้อไปทำให้สุกมาก (over-cooked) เป็น Aini (Akha) กลุ่มที่นำเนื้อไปล้างก่อนทอดเป็นฮั่น (Han) กลุ่มที่นำเนื้อไปต้มกินโดยไม่พูดอะไรเป็น Laomian กลุ่มที่นำเนื้อไปทำให้สุกเล็กน้อย (under-cooked) เป็นพวกไต (Tai) กื่อชาจัดให้แต่ละกลุ่มอยู่ในที่ต่างๆ กันโดยมีสัตว์นำทาง พวกไตตามเป็ดไปอยู่ใกล้น้ำ พวกฮั่นตามนก magpie ไปอยู่กลางเทือกเขา พวกว้าตามนกไก่ฟ้า (white pheasant) ไปอยู่บนยอดเขา ล่าหู่ตามนก (camel birds) ไปอยู่บนภูเขา (น.77-81) เรื่องการค้นพบเหล็ก มีเกาลัดใหญ่ต้นหนึ่ง มีน้ำหวานไหลออกมาจากลำต้น น้ำหวานนี้ดึงดูดตัวต่อให้มาที่ต้นเกาลัด กื่อชาบอกให้คนเอาตั๊กแตนมาเสียบไม้แล้วแขวนไว้ที่ต้นไม้ ตัวต่อไม่ชอบเสียงร้องของตั๊กแตน และก็อยากกินเนื้อที่มือของกื่อชา กื่อชาจึงฝานเนื้อที่มือให้ตัวต่อกิน แล้วกื่อชาก็ผูกดอกไม้เงินดอกไม้ทองที่เอวตัวต่อ ตัวต่อบินข้ามต้นเกาลัด ข้ามป่า ข้ามภูเขาดำ (the Black Mountain) และป่าอื่นๆ จนถึงที่ราบ Meng Gu ก็หยุดอยู่ที่ริมขอบที่ราบ คนที่ตามตัวต่อมาถึงที่ราบนี้มองไปที่สันเขาก็เห็นสีแดงเต็มไปหมด พวกเขาคิดว่าแผ่นดินถล่ม แต่ไม่ใช่ มันเป็นรังต่อ พวกเขาจึงปีนขึ้นไปเผารังต่อ ไฟไหม้นานมาก แต่ต่อก็ยังไม่ตาย พวกเขาจึงตัดรังต่อแล้วเผา ตัวต่อจึงตาย ไม่มีตัวต่ออยู่ในโพรง แล้วพวกเขาพบแร่เหล็ก และหาวิธีขุดแร่ขึ้นมา แล้วก็หาวิธีหลอมแร่เหล็กทำเป็นเหล็กกล้า (น.84-88) เรื่องการปลูกข้าวและต้งบ้านเรือนถาวร เมื่อมีผู้คนเพิ่มขึ้น สิ่งที่กินได้ก็ถูกกินจนหมด กื่อชาจึงให้คนเหล่านั้นหาวิธีมีชีวิตใหม่ ช่างตีเหล็กได้ทำมีดและไถ (a ploughshare) ขึ้นมา จึงทำให้เพาะปลูกได้ Ca Leh และ Na Leh เข้าป่านำไม้มาสร้างบ้าน และก็พบหินเหล็กไฟ (flint stone) จึงใช้หินเหล็กไฟจุดไฟ ใช้ไม้สนก่อไฟ เสียงไม้ปะทุดังเหมือนภูเขาถล่ม และกองไฟก็ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ไหม้ที่ราบไปจนถึงยอดเขา ไฟก็ยังไม่ดับ Ca Leh กับ Na Leh จึงไปขอให้กื่อชาช่วยดับไฟ จากนั้น ทั้งสองคนก็เลือกภูเขากันคนละลูก ปรับพื้นดินเป็นขั้นบันได (terraced fields) แต่ไม่มีน้ำไหลเข้ามาในที่ดิน ทั้งสองจึงขุดคูขนาดใหญ่ผ่านภูเขา คดเคี้ยวข้ามหุบเขา นำน้ำเข้ามายังที่ดิน แล้วพวกเขาก็ไปขอเมล็ดพันธุ์ข้าวจากกื่อชา กื่อชาบอกพวกเขาให้ไปจับนกพิราบมาเพราะนกพิราบกินเมล็ดข้าวเข้าไป เมื่อจับนกพิราบได้แล้ว กื่อชาก็เอาเมล็ดข้าวออกมาจากคอนกพิราบ ให้ Ca Leh กับ Na Leh เอาไปปลูก โดยข้าวหนึ่งเมล็ดจะให้ผลถึง 10,000 เมล็ด หลังจากปลูกข้าวและถึงเวลาเก็บเกี่ยว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ช่วยกันทำงาน เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วพวกเขาก็มากินข้าวใหม่ร่วมกัน (น.88-97) เรื่องกำเนิดสมุนไพร แรกเริ่มต่อดำ งู และเสือไม่มีพิษ แต่กื่อชาได้ให้พิษแก่พวกมันทั้งสาม วันหนึ่งงูกัดเสือตาย กื่อชาจึงให้ยาแก่งูนำไปทาเสือ เสือก็ฟื้นคืนชีวิต ต่อมาวันหนึ่งงูถูกเด็กกำพร้าคนหนึ่งซึ่งเป็นโรคเรื้อนฆ่าตายและนำไปทำอาหารในหม้อดิน แต่เด็กคนนั้นทำหม้อดินหล่น งูก็หล่นออกมาจากหม้อและได้ยาของกื่อชา จึเคลื่อนไหวได้อีก เด็กกำพร้าจึงนำยานั้นกลับบ้าน แล้วเอายาทาตามร่างกาย อาการของโรคก็หายไป เขาเอายาไปทานกกาที่ตาย กาก็ฟื้น เอายาไปทาสุนัขตาย สุนัขก็กลับมามีชีวิตอีก เขาเอายาไปตากที่หน้าประตู แต่มีลมพัดยาขึ้นไปบนท้องฟ้า กระจายไปทั่วพื้นดิน เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังพื้นดิน ต้นไม้สมุนไพรก็เจริญเติบโตไปทั่ว (น.99-100) เรื่องกำเนิดตัวอักษร กื่อชาแจกตัวหนังสือแก่คนกลุ่มต่างๆ โดยเขียนตัวหนังสือไว้บนวัสดุต่างกัน พวกว้าได้ตัวหนังสือที่เขียนบนหนังวัว แต่พวกเขาฆ่าวัวและกินหนังวัวในงานฉลองปีใหม่ พวกว้าจึงมีตัวหนังสือเพียงครึ่งหนึ่ง ล่าหู่ได้ตัวหนังสือที่เขียนไว้บนขนม (cake) พวกเขากินขนมนี้ในงานฉลองปีใหม่ จึงไม่มีตัวหนังสือเหลือ คนฮั่นได้ตัวหนังสือที่เขียนบนกระดาษ คนไตได้ตัวหนังสือที่เขียนบนเปลือกไม้ ทั้งกระดาษและเปลือกไม้กินไม่ได้ พวกเขาจึงยังมีตัวหนังสือจนถึงทุกวันนี้ (น.101-102) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ล่าหู่มี 2 กลุ่มใหญ่ตามลักษณะกลุ่มภาษา (important linguistic subgrous) คือ Lahu Na หรือล่าหู่ดำ (Black Lahu) และ Lahu Shi หรือ ล่าหู่เหลือง (Yellow Lahu) แต่ละกลุ่มมีภาษาถิ่นของตนเอง (น.8) และแม้ว่าล่าหู่ดำและล่าหู่เหลืองจะมีภาษาถิ่นต่างกัน แต่ทั้งสองกลุ่มก็ยังสามารถสื่อสารกันเข้าใจ ล่าหู่ใช้ภาษาบ่งบอกการเป็น "ล่าหู่" ไม่ใช่เครื่องแต่งกาย สถาปัตยกรรม การจัดระเบียบทางสังคม ศาสนาความเชื่อหรือ หรือวิถีการผลิต คนล่าหู่จะรับรู้ว่าคนอื่นเป็น "Lahu-ya หรือ คนล่าหู่"จากภาษาที่คนนั้นพูด (น.15-16) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อคนล่าหู่อพยพมาตั้งบ้านเรือนในที่ตั้งปัจจุบัน คนล่าหู่ได้รับอิทธิพลจากผู้คนที่อยู่ในดินแดนแถบนี้ การติดต่อกับคนต่างกลุ่มชาติพันธุ์และการเข้าไปรวมกับระบบการเมืองของชาวฮั่นและไทใหญ่ (Han and Shan) อังกฤษกับพม่า ฝรั่งเศสกับลาว และคนไทยภาคเหนือกับสยาม ทำให้ล่าหู่ในปัจจุบันมีความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม ชุมชนล่าหู่บางแห่งในจีนได้กลายเป็นคนจีน (sinicized) มีล่าหู่จำนวนน้อยที่ยังพูดภาษาล่าหู่อยู่ ซึ่งกระบวนการกลายเป็นคนจีนนี้ดำเนินมานานหลายศตวรรษแล้ว ขณะที่บางกลุ่มยืมวัฒนธรรมจากกลุ่มคนที่พูดภาษาไต (น.12-13) |
|
|