|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชุมชน,ชาวไร่,ชาวนา,การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ,ปัตตานี |
Author |
ศรีพงศ์ อุดมครบ |
Title |
การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชาวไร่นามุสลิม : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนปัตตานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
185 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ผู้วิจัยเน้นการวิเคราะห์การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชาวไร่นามุสลิมในชุมชนปัตตานีโดยศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งศึกษาการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวไร่นามุสลิม |
|
Focus |
ศึกษาวิถีชีวิตของชาวไร่นามุสลิมทางภาคใต้ตอนล่างของไทย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามและมีแบบแผนทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากชาวไร่นาในส่วนอื่นๆ ของประเทศ โดยเน้นหนักเรื่องการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ (economic organization) ของชุมชนเป็นสำคัญ เพื่อโยงไปสู่วิถีชีวิตในแง่มุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเข้าใจวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวไร่นาในบริบทรวมทั้งประเทศ (หน้า 2) |
|
Theoretical Issues |
การจัดระเบียบเศรษฐกิจของชุมชนชาวไร่ชาวนา "ปัตตานี" เป็นแบบทวิลักษณ์ คือ มีการจัดระเบียบแบบเศรษฐกิจดั้งเดิม ซึ่งเป็นการบริโภคและความร่วมมือในการผลิตระหว่างเครือญาติกับการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่คือ การปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยางพารา ซึ่งอาศัยเงินตราเป็นทุนในการผลิตและถูกดึงเข้าสู่ตลาด และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ระบบกรรมสิทธิ์มีความเข้มข้นขึ้น ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในระบบการจ้างงานมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างช้าๆ ด้วยอิทธิพลของศาสนาอิสลาม ซึ่งส่งเสริมให้คนในชุมชนช่วยเหลือกัน และไม่ให้นิยมสะสมทรัพย์สินเฉพาะตัว ทำให้ชุมชนยังรักษาระบบจริยธรรมไว้ได้ โดยผ่านกลไกที่เป็นรูปธรรมอย่างเช่น "ระบบวะห์" ซึ่งคิดค่าเช่าที่นาโดยการแบ่งผลผลิต และ "ระบบซอล์" ซึ่งเป็นระบบการแลกเปลี่ยนแรงงาน (หน้า 169-175) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมเชื้อสายมาเลย์ (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่จากบทที่ 4 พัฒนาการทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของอำนาจรัฐ มีตอนหนึ่งระบุว่า "จากลักษณะทางชาติพันธุ์และภาษาแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้เป็นกลุ่มคนที่มีเชื้อสายมลายู" ดังนั้น ภาษาที่ใช้ในชุมชนน่าจะเป็นภาษามลายู และภาษาไทย (หน้า 80) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนปัตตานีเป็นชุมชนเก่าแก่ก่อตั้งมาประมาณ 100 ปี ด้วยลักษณะทางชาติพันธุ์และภาษาแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านในชุมชนมีเชื้อสายมลายู แต่เดิมบรรพบุรุษของชาวบ้านเหล่านี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ลำห้วยสายใหญ่ บริเวณช่องเขาบ้าน "กำปงนาคอ" ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าระหว่างเมืองปัตตานีและไทรบุรีในอดีต (อนันต์ วัฒนานิกร, 2531,108) ซึ่งเป็นพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นเกินขีดความสามารถของระบบนิเวศน์จะรองรับได้ จึงเกิดการอพยพของกลุ่มคนต่าง ๆ ไปสู่พื้นที่อื่น ๆ โดยรอบ และหนึ่งในกลุ่มนั้นได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน ณ ชุมชนปัตตานีปัจจุบัน (หน้า 80) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนของชาวชุมชนปัตตานีกระจัดกระจายตามถนนในชุมชน มัสยิดจะตั้งอยู่ในศูนย์กลางของชุมชน บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงเช่นเดียวกับเรือนไทยภาคกลางทั่วไป แต่จะมีบันไดขึ้น 2 ทาง คือ ด้านหน้าและหลังบ้าน ใต้ถุนเป็นพื้นที่ว่างใช้ประโยชน์สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ลักษณะเด่นซึ่งเป็นลักษณะบ้านของมุสลิมคือมีหน้าต่างมาก มีช่องลมเหนือหน้าต่างซึ่งเป็นไม้ฉลุลายสวยงามหรือประดับกระจกสี หลังคาเป็นจั่วสูงช่วยระบายความร้อน บ้านที่ยากจนสร้างด้วยฟากไม้ไผ่ มุงหลังคาจาก บ้านที่มีฐานะดีใช้สังกะสี หรือก่ออิฐและปูน บ้านเกือบทั้งหมดไม่มีรั้ว (หน้า 42-47) |
|
Demography |
ชุมชนปัตตานีมีจำนวนประชากรประมาณ 608 คน คิดเป็นจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 113 ครัวเรือน แยกออกเป็นชาย 296 คน และเป็นหญิง 312 คน (หน้า 420) จากการศึกษาประวัติการตั้งถิ่นฐาน พบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรมีมาก สาเหตุคือ ค่านิยมการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยประมาณ 13-18 ปี ทำให้มีโอกาสมีบุตรมาก และค่านิยมที่ผู้ชายมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ถึง 4 คน ทำให้โอกาสการมีบุตรเพิ่มมากขึ้น (หน้า 99) |
|
Economy |
ชาวบ้านในชุมชนปัตตานีประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก เช่น ทำนา (33.4%) ทำสวนยางพารา (30.2%) ปลูกพืชไร่ ผักและผลไม้ รับจ้างในภาคเกษตร (20.3%) นอกจากนั้น ทำสวนและลี้ยงสัตว์สำหรับบริโภคในครัวเรือนและขายเป็นรายได้เสริม เช่น แพะ แกะ เป็ด ไก่ วัว รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนประมาณ 16,000 บาท/ปี/ครัวเรือน ลักษณะการประกอบอาชีพในครัวเรือนมีมากกว่า 1 อย่าง เช่น ทำนาและเป็นแรงงานรับจ้างกรีดยาง (หน้า 47-48) ปัจจัยสำคัญคือจำนวนพื้นที่ที่ใช้ในการผลิต ภายในชุมชนมีปริมาณค่อนข้างน้อยเพราะการเพิ่มขึ้นของประชากร ทางรอดของผู้ไม่มีที่ดินหรือมีจำนวนน้อย คือ การใช้ระบบวะห์ หรือ ระบบการแบ่งที่นาโดยคิดค่าเช่าจากการแบ่งผลผลิต และระบบซอล์ หรือ ระบบการแลกเปลี่ยนแรงงานซึ่งกันและกัน (หน้า 166 และ 174) การจัดระเบียบเศรษฐกิจของชุมชน "ปัตตานี" ในปัจจุบัน สืบเนื่องมาจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจในอดีตซึ่งจัดแบ่งได้เป็น 4 ยุค คือ "ยุคชุมชนบ้านป่า" ซึ่งเป็นช่วงแรกตั้งชุมชน มีระบบผลิตแบบยังชีพที่ใช้แรงงานคนในครัวเรือน ถางป่าทำไร่ เลี้ยงสัตว์พันธุ์พื้นเมือง หาอาหารจากป่าและทำเครื่องมือใช้เอง ยุคต่อมาเรียกว่า "ยุคขยายตัวของอำนาจและกลไกรัฐ" ซึ่งอาจจะเริ่มในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 อำนาจรัฐไทยขยายเข้าไปผ่านการสร้างทางรถไฟ การตั้งโรงเรียน การเข้ามาของยาพารา การออกกฏหมายบังคับต่าง ๆ การเข้ามาของโครงการพัฒนาต่าง ๆ เรื่อยมาจนประมาณ พ.ศ.2532 ที่มีผลกระทบต่อชุมชน และการจัดระเบียบเศรษฐกิจมากบ้างน้อยบ้าง (หน้า 79-93) "ยุคขยายตัวของพืชพาณิชย์" และยุค "ขีดจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ" (หน้า 93-103) ซึ่งช่วงเวลากั้นแบ่งไม่ชัดเจนแน่นอน |
|
Social Organization |
ครอบครัวชาวไร่นาปัตตานีส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว (98 ครัวเรือนจาก 113 ครัวเรือน) และมีครอบครัวร่วมซึ่งเกิดจากฝ่ายชายมีภรรยาหลายคนแล้วนำภรรยามาอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน (9 ครัวเรือน) และครอบครัวขยาย (6 ครัวเรือน) ตามลำดับ การตั้งครัวเรือนภายหลังการแต่งงานส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะไปอาศัยอยู่กับครัวเรือนฝ่ายหญิง ประมาณ 2-3 ปี แล้วจึงแยกย้ายไปตั้งครัวเรือนของตนภายหลัง การแต่งงานเริ่มจากการคบหาดูใจของบ่าวสาว จากนั้นทั้งคู่จะปรึกษาญาติผู้ใหญ่ ถ้าเห็นชอบฝ่ายชายจะส่งญาติผู้ใหญ่มาติดต่อญาติฝ่ายหญิง จะมีการนับญาติแบบสองสาย คือทั้งฝ่ายพ่อและแม่เหมือนระบบการนับญาติของคนไทยทั่วไป (หน้า 57-59) นอกจากนั้นในชุมชนยังมีระบบเครือญาติ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิกจากครัวเรือนต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากระบบการนับญาติทั้งสายพ่อและสายแม่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าฝ่ายแม่จะเหนียวแน่นมากกว่า (หน้า 59,64) และเป็นพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนแรงงาน (ระบบวะห์) และการแบ่งที่นาให้เช่า (ระบบซอล์) ส่วนกลุ่มที่เป็นทางการที่ราชการเข้ามาช่วยจัดตั้งมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน แต่กลุ่มจัดตั้งจะไม่มีความเหนียวแน่น ขึ้นกับการทำงานของเจ้าหน้าที่มากกว่า (หน้า 65-67) |
|
Belief System |
ศาสนาอิสลามได้วางแนวทางปฏิบัติของชีวิตไว้อย่างครอบคลุมทุกด้านตั้งแต่เกิดจนตาย รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตส่วนตัวของปัจเจกชนจนถึงสังคมส่วนรวม (หน้า 68) หลักการสำคัญที่เกี่ยวกับคำสอน คือ หลักแห่งความศรัทธา (รุก่นอีหม่าน) 6 ประการ คือ ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮ), ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ, ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์, ศรัทธาในบรรดาศาสนฑูต, ศรัทธาในวันพิพากษาและศรัทธาในกฎเกณฑ์สภาวการณ์ (เสาวนีย์ จิตต์หมวด, 2524-33-93) หลักการปฏิบัติตน (รก่นอิสลาม) มี 5 ประการ คือ การปฏิญาณตน, การทำละหมาดวันละ 5 เวลา, การถือศีลอด, การบริจาคซะกาตและการประกอบพิธีฮัจญ์ (เสาวนีย์ จิตต์หมวด, 2524-98-170) ศูนย์รวมทางศาสนาของชุมชน คือ มัสยิด ผู้นำทางศาสนาคือโต๊ะอิหม่าม โดยมีโต๊ะคอเต็บและโต๊ะบิหรั่นและคณะสัปบุรุษอีกประมาณ 10 คน คอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือในกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวกับกิจการทางศาสนาของชุมชน (หน้า 68 -74) ศาสนาอิสลามมีหลักการบางประการที่มีอิทธิพลต่อการจัดระเบียบเศรษฐกิจของชุมชน คือ หลักการที่ยอมรับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล การส่งเสริมให้ทำงานอย่างซื่อตรงเพื่อทรัพย์สิน และหลักการไม่ให้สะสมทรัพย์ (หน้า 77-78) แต่ความคิดความเชื่อทางศาสนาของชุมชนได้เปลี่ยนแปลงไป โดยมีผู้นำทางศาสนาและปัญญาชนที่สำเร็จการศึกษาจากซาอุดิอาระเบียที่รับเอาแนวการตีความศาสนาอิสลามตามแบบอย่างของนิกายศาสนาประเทศซาอุดิอาระเบียและเรียกกลุ่มตนเองว่า "วาหะบี" ซึ่งกลุ่มศาสนาใหม่ได้ตีความศาสนาแตกต่างออกไปจากนิกายสุนีห์ที่มุสลิมภาคใต้นับถือหลายอย่าง ซึ่งชาวบ้านจะมีการจัดกิจกรรมตามประเพณีแบบพราหมณ์ที่ยังคงฝังรากอยู่ ปัจจุบันในชุมชนปัตตานีมีสมาชิกกลุ่มวาหะบี 8 คน โดยคนเหล่านี้จะรวมตัวกันจัดสร้างสถานที่ละหมาดของกลุ่มตนเองโดยแยกตัวออกมาจากมัสยิด และมีการวิพากษ์วิจารณ์กิจกรรมทางศาสนาของชาวบ้านว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งส่งผลสู่ความขัดแย้งทางความคิดความเชื่อทางศาสนาขึ้นในชุมชน (หน้า 76-77) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ชาวบ้านส่วนใหญ่มีปัญหาด้านสุขภาพอนามัยหลายอย่าง ตั้งแต่โรคพยาธิ, เด็กขาดสารอาหาร, โรคท้องร่วงและโรคผิวหนัง ส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรงโดยมีสาเหตุมาจากขาดการดูแลรักษาสุขภาพเท่าที่ควร รวมถึงพฤติกรรม, ความเชื่อและค่านิยมดั้งเดิม, ค่านิยมของชาวบ้านที่ไม่นิยมไปหาหมอ แต่ชอบซื้อยากินเองหรือวินิจฉัยอาการต่างๆ ด้วยประสบการณ์ตนเอง และมีชาวบ้านจำนวนมากยังนิยมรักษาตัวด้วยวิธีแบบพื้นบ้าน เช่น หาหมอน้ำมนต์ หรือใช้ยาสมุนไพร นอกจากนั้นยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น การมีบุตรมากทำให้สุขภาพอนามัยเสื่อมโทรมและความยากจน ซึ่งเป็นผลมาจากผู้หญิงมุสลิมมักจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งบทบัญญัติของศาสนาห้ามไม่ให้มีการคุมกำเนิดทารกโดยเด็ดขาด ทางราชการได้เข้ามาดำเนินการหลายอย่าง เช่น ฝึกอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข (อมส.) หรือผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) (หน้า 54-55) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในชุมชนชาวไร่นาปัตตานีมีเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์เป็นของตนเอง เรียกตนเองว่า "ออแรนายู" ซึ่งหมายถึง "คนมลายู" และเรียกคนไทยทั่วไปว่า "ออแรซีแย" หรือคนไทยสยาม ซึ่งการเป็น ออแรนายู มีความหมายในทางที่ก่อให้เกิดความแตกต่างชาติพันธ์เฉพาะต่างจากคนไทยอื่นๆ เช่น การมีเชื้อชาติและวัฒนธรรมมลายูและนับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 57) นอกจากนี้ชาวบ้านที่ทำสวนยางยังมีความสัมพันธ์เชิงช่วยเหลือซึ่งกันและกันกับเถ้าแก่รับซื้อยางซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน โดยผู้รับซื้อยางได้อาศัยความซื่อสัตย์และการช่วยเหลือสาระทุกข์สุขดิบต่างๆ ในการทำธุรกิจ ส่วนเจ้าหน้าที่ข้าราชการ ผู้วิจัยได้มองว่า ยังมีช่องว่างระหว่างข้าราชการกับชาวบ้านอยู่มาก (หน้า 159) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปลูกพืชเศรษฐกิจคือยางพาราเพื่อการค้า ทำให้ชาวบ้านต้องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ต้องใช้เงินตราในทุกขั้นตอนการผลิต ทำให้ชีวิตต้องผูกพันกับกลไกการตลาดมากขึ้น ส่งผลสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมหลายประการภายใน ชุมชนชาวไร่นาปัตตานี เช่น ระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความเข้มข้นมากขึ้น, ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น, เกิดระบบการจ้างงาน ชาวบ้านต้องติดต่อกับบุคคลภายนอกมากขึ้น รวมถึงการติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาแนะนำเทคนิคการผลิตทางการเกษตรแบบใหม่ ๆ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอย่างอื่นซึ่งเป็นผลมาจากระบบทุนนิยมโลกที่ได้แพร่ขยายภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ปัจจัยด้านอำนาจและกลไกของรัฐ และปัจจัยภายใน ได้แก่ ข้อจำกัดทางนิเวศวิทยาและประชากร ปัจจัยด้านระบบค่านิยมของชุมชน เป็นต้น (หน้า 169-175) |
|
|