|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย,ศิลปะ,การฟ้อน,ศรีสะเกษ,ภาคอีสาน |
Author |
กนกวรรณ ระลึก |
Title |
การฟ้อนสะเอิงของชาวไทยกูย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
13 |
Year |
2545 |
Source |
The 8th International Conference on Thai Studies |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาพิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงของไทยกูย บ้านกระแซงใหญ่ ตำบลกระแซง อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อศึกษารูปแบบ สัญลักษณ์ความเชื่อ และบทบาทของพิธีกรรม โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลในพื้นที่ชุมชน และสังเกตอย่างมีส่วนร่วมในพิธีกรรม ตลอดจนการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า ไทยกูยบ้านกระแซงใหญ่มีจักรวาลความเชื่อแบบพราหมณ์ - พุทธ - ผี ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษเป็นรากฐานความเชื่อที่นำไปสู่กระบวนการประกอบพิธีกรรม ความหมายทางวัฒนธรรมของพิธีกรรมฟ้อนสะเอิงจึงเป็นกระบวนการที่สืบเนื่องสัมพันธ์กันในบริบทของไทยกูย พิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงเป็นพิธีกรรมที่ไทยกูยเข้าทรงผีฟ้าหรือผีสะเอิงเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน และเมื่อหายจากอาการเจ็บป่วยต้องทำการเข้าทรงเพื่อสักการะขอบคุณผีสะเอิง บทบาทของพิธีกรรมนั้น ผู้วิจัยพบว่ามีบทบาทที่สำคัญ 3 ประการต่อสังคมชาวไทยกูยคือ บทบาทในการควบคุมทางสังคม บทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในสังคม และสร้างกำลังใจในการดำรงชีวิต (หน้า 1) |
|
Focus |
ศึกษาพิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงของไทยกูย บ้านกระแซงใหญ่ ตำบลกระแซง อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ในประเด็นเกี่ยวกับรูปแบบ สัญลักษณ์ความเชื่อ และบทบาทของพิธีกรรม (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กูย หรือ โกย กวย หรือ ส่วยบ้านกระแซงใหญ่ ตำบลกระแซง อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พูดภาษาส่วย (หน้า 3) แต่ในพิธีกรรมมีการใช้ภาษาอีสานในบางตอน |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์กูย โกย กวยหรือส่วย เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากแขวงอัตตะปือแสนปาง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 - 2231) จนปลายของสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงธนบุรี (หน้า 3) |
|
Economy |
ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม (หน้า 3) |
|
Belief System |
จากงานวิจัยรูปแบบการฟ้อนสะเอิงมี 2 รูปแบบคือ การฟ้อนเพื่อรักษาโรคและการฟ้อนเพื่อสักการะผีสะเอิงหรือการลงข่วง การฟ้อนเพื่อรักษาโรคเป็นการฟ้อนของแม่สะเอิงใหม่ หมายถึง การประกอบพิธีกรรมเข้าทรงผีสะเอิงเป็นครั้งแรกเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การฟ้อนเพื่อสักการะผีสะเอิงหรือการลงข่วงหมายถึง การฟ้อนเพื่อไหว้ผีสะเอิงประจำปีของแม่สะเอิงเก่า ผู้เป็นแม่สะเอิงแต่ละคนมาร่วมฟ้อนร่วมกัน จุดประสงค์เพื่อแสดงความกตัญญูต่อผีสะเอิงที่เคยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ และเป็นโอกาสที่จะได้พบปะสังสรรค์ ผ่อนคลายความตึงเครียดในหมู่แม่สะเอิง เป็นการชุมนุมลูกศิษย์ของแม่หมอผู้ทำพิธีให้ ผู้ที่เป็นแม่สะเอิงอาจจะลงข่วงทุกปีหรือตามโอกาสที่ตนเองสะดวก แต่ละคนจะนัดหมายวัน เวลา สถานที่กันเองว่าจะประกอบพิธีบ้านใคร โดยจะจัดงานหมุนเวียนกันแต่ละปีในหมู่เพื่อนบ้านที่เคารพนับถือและถือผีสะเอิงเช่นเดียวกัน (หน้า 4) ความเชื่อของไทยกูยเป็นการผสมผสานความเชื่อระหว่างพราหมณ์ - พุทธ - ผี กูยเรียกความเชื่อในสิ่งที่ตนเองนับถือว่า "ถือ" มีอยู่ 2 อย่างคือ ถือธรรมและถือแถนหรือผี ถือธรรมคือความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษทางพุทธศาสนา ถือแถนคือการนับถือผี อมนุษย์กึ่งเทพกึ่งมนุษย์และเทวดา ผีสะเอิงก็คือผีแถนประเภทหนึ่ง ความเชื่อของแต่ละคนได้รับการถ่ายทอดกันมาตามบรรพบุรุษ ทุก 3 เดือนของแต่ละปีไทยกูยต้องเซ่นผีปู่ตา ไทยกูยจะมีศาลผีปู่ตาประจำหมู่บ้าน โดยมีความเชื่อว่าผีปู่ตาเป็นเสาหลักคู่บ้านคู่เมือง สถานที่ตั้งศาลปู่ตาเรียกว่าดุงจั๊ว (ดอนปู่ตา) ไทยกูยจะประกอบพิธีฟ้อนสะเอิงในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ไปจนถึงแรม 15 ค่ำเดือน 5 ผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมคือแม่หมอ แม่หมอมีไม้ตะพดเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีอำนาจเป็นที่ยำเกรงของผีร้าย ผู้ที่ต้องการเข้าทรงผีสะเอิงต้องเชิญแม่สะเอิงที่มีฐานะเป็นอาจารย์หรือแม่หมอมาเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม การเป็นแม่หมอแม่สะเอิงต้องก้าวทีละขั้น ขั้นละ 3 ปี แม่หมอมีท้ายโฮงเป็นที่ปรึกษา ท้ายโฮงหมายถึงผู้อาวุโสที่รอบรู้ในระเบียบพิธี ในการลงข่วงแม่สะเอิงต้องขออนุญาตจากท้ายโฮงที่เจ้าภาพเชิญมาโดยการไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลและให้การดำเนินพิธีกรรมเป็นไปด้วยความราบรื่น แม่สะเอิงแต่ละคนต้องเคารพตัวเองและเคารพในความอาวุโสของแต่ละลำดับขั้น ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะถือว่า "ผิดผี" พิธีกรรมจะเริ่มตั้งแต่พลบค่ำ โดยจะเริ่มตั้งแต่ไหว้ครู บอกกล่าวต่อแม่ธรณี บอกผีบ้านผีเรือน เชิญผีสะเอิงประจำตัวมาเข้าร่าง จากนั้นจะเล่นละครในฉากต่างๆ จนครบรูปแบบพิธีกรรมในช่วง 6 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ (หน้า 4 - 6 และดูเนื้อเรื่องและตัวละครในพิธีกรรมได้ในหน้า 7 - 8) จากงานวิจัยพบว่าพิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงมีบทบาทต่อสังคมไทยกูยดังนี้ 1. รูปแบบพิธีกรรมเป็นวัฒนธรรมที่กำหนดโดยบริบทสังคม เนื่องจากสังคมไทยกูยเป็นสังคมเกษตรกรรม มีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ ทำให้ไทยกูยมีโลกทัศน์และชีวทัศน์แบบพราหมณ์ - พุทธ - ผี การประกอบพิธีกรรมฟ้อนสะเอิงจึงเกิดขึ้นเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยและสร้างความมั่นใจในการดำรงชีวิต 2. สัญลักษณ์ในพิธีกรรมเป็นความเชื่อแบบพราหมณ์ - พุทธ - ผี เป็นผลมาจากกระบวนการสร้างวัฒนธรรม ในพิธีกรรมมีความเชื่อทั้ง 3 สื่อออกมาเป็นสัญลักษณ์ 3. พิธีกรรมการฟ้อนสะเอิงมีบทบาทต่อสังคมไทยกูย ทั้งในระดับปัจเจกชนเชื่อมโยงไปสู่ระดับชุมชน มีประเด็นดังนี้คือ 3.1 บทบาทการควบคุมทางสังคม ทำให้เกิดบรรทัดฐานของสังคม พร้อมทั้งมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมต่อลูกหลานผ่านพิธีกรรมนี้ 3.2 บทบาทการสร้างพลังใจในการดำเนินชีวิต คนที่เข้าสู่พิธีกรรมฟ้อนสะเอิงหลายคนเจ็บป่วยไปรักษาตามโรงพยาบาลแล้วรักษาไม่หายจึงตัดสินใจประกอบพิธีกรรมฟ้อนสะเอิงเพื่อให้ผีสะเอิงมาช่วยรักษา เมื่อผ่านพิธีกรรมนี้แล้วหลายคนหายจากอาการเจ็บป่วย ปรากฎการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของพิธีกรรมที่สร้างกำลังใจให้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข (หน้า 8 - 12) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
งานวิจัยระบุว่าพิธีกรรมฟ้อนสะเอิงเป็นพิธีกรรมการเข้าทรงผีแม่มดเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บอันเนื่องมาจากผิดครู ผิดผี ผิดของรักษา เหตุที่ผีกระทำให้เจ็บป่วยเนื่องจากทำผิดต่อผีบรรพบุรุษหรือทำผิดข้อห้าม (Taboo) และของรักษาต่างๆ ที่เป็นจารีตของสังคม เรียกการกระทำนี้ว่า "ผิดผี" การผิดผีคือการไม่ปฏิบัติตนตามทำนองคลองธรรม ไม่ปฏิบัติตามจารีตประเพณีที่บรรพบุรุษได้สืบทอดกันมา เช่น สามีภรรยาทะเลาะกัน หนุ่มสาวมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ผีจึงลงโทษให้เจ็บป่วย หากรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันไม่หายแสดงว่าทำผิดร้ายแรง ต้องไปมอหรือดูดวงชะตาเพื่อตรวจสอบดูว่าในร่างกายนั้นมีวิญญาณผีกระทำให้เจ็บป่วยหรือไม่ และตนเองได้กระทำสิ่งใดผิดต่อผีบรรพบุรุษ หลังจากนั้นต้องขอขมาผีโดยการฟ้อนสะเอิงอัญเชิญผีฟ้า ผีแถน ผีแม่มด ให้เข้ามาทรงในร่างกายเพื่อขับไล่วิญญาณผีออกไป (หน้า 5) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เนื้อเรื่องและตัวละครในพิธีกรรมฟ้อนสะเอิง มีตัวละครหลักอยู่ 4 ตัว คือ 1. ท้าวรอดฟ้านางหล้ารอดเมือง เป็นผู้นำในการคล้องช้าง 2. หมอม้า คือหมอแคนหรือคนเป่าแคน หมอม้าเป็นพาหนะของแม่สะเอิงที่ต้องขี่ไปคล้องช้าง 3. หมอช้าง คือหมอโทนหรือคนตบโทน แสดงเป็นช้างที่ท้าวรอดฟ้านางหล้ารอดเมืองไปคล้องได้ในป่า 4. นกกระบานหรือนกหัวขวาน คนตีเสียมแสดงเป็นนกกระบาน เนื้อเรื่องเป็นการจำลองวิถีชีวิตไทยกูยในอดีต การคล้องช้างแต่ละครั้งต้องเซ่นไหว้ผีปู่ตาเพื่อคุ้มครองจากภัยอันตรายต่างๆ และขอโชคลาภในการเดินทาง ผู้นำคล้องช้างมักมีสถานภาพเป็นผู้นำชุมชนนั้นๆ โดยมีคำว่า "ท้าว" นำหน้า ในการคล้องช้างแต่ละครั้งท้าวที่เป็นผู้นำต้องขี่ม้าไป ในฉากละคร ท้าวรอดฟ้านางหล้ารอดเมืองไปคล้องช้างและขี่ช้างไป หมอแคนทำหน้าที่เป็นหมอม้า หมอแคนเดินเป่าแคนนำหน้า แม่หมอหรือครูบาเสมอและหมอโทนต้องแสดงเป็นช้างที่ท้าวรอดฟ้าไปคล้อง หมอช้างต้องเข้าไปอยู่ในป่าที่จำลองด้วยผ้าขาวดิบและต้องถือตุ๊กตาไว้ในมือ เมื่อท้าวรอดฟ้าฯ และคณะเดินทางไปถึงป่า ได้ใช้บ่วงคล้องช้างคล้องที่หัวตุ๊กตาช้างไม้ เพื่อจำลองเสียงนกในป่าจึงให้แม่สะเอิงทำหน้าที่ตีเสียมให้เหมือนเสียงนก นอกจากนี้ยังมีเสียงแคน เสียงโทน ขับขานอย่างคึกคัก เมื่อคล้องช้างมาได้ต้องสู่ขวัญช้างโดยร้องเรียกขวัญและเอาเส้นด้ายผูกคอผูกแขนให้ตุ๊กตาช้างและนำช้างเข้าคอก คอกช้างคือหิ้งผีของเจ้าภาพนั่นเอง หลังจากนั้นก็เป็นฉากทำมาหากินทั่วไป บางครั้งวิ่งหนีปลิง หนีเสือ ยิงนก สลับกับการฟ้อนรอบๆ ปะรำพิธีไปจนสว่าง โองการที่ใช้เรียกวิญญาณผีสะเอิงนั้นเป็นภาษาอีสานทั้งสิ้น ขึ้นต้นด้วยคำว่า โอหรือโอ่ละหน่อ ท่วงทำนองเอื้นเสียงเหมือนการร้องหมอลำ และคล้ายกับบทสูดเรียกขวัญในพิธีสู่ขวัญของชาวอีสานทั่วไป ในกรณีการฟ้อนเพื่อรักษาโรคแม่หมอเป็นผู้ร้องเรียก สำหรับการลงข่วงนั้นแม่หมอและท้ายโฮงเป็นผู้ร้อง โองการที่ใช้เรียกไม่มีถ้อยคำตายตัว ขึ้นอยู่กับความสามารถในด้านการใช้ภาษาเชิงกวีที่คล้องจองกันของผู้ร้อง (หน้า 7 - 8) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กูยเรียกตัวเองในกลุ่มกูยด้วยกันว่า "กูย" มีความหมายว่า "คน" บางพื้นที่ออกเสียงเป็น กวย โกย หรือกุย กูยเมื่อพูดกับคนไทยมักใช้คำว่า "ส่วย" แทนตัวเอง เพื่อย้ำให้รู้ว่าตัวเองพูดภาษาส่วยและเป็นตนส่วย (หน้า 3) |
|
Social Cultural and Identity Change |
งานวิจัยระบุว่าวัฒนธรรมหลักของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยกูยได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา มีวัฒนธรรมประเพณีที่คล้ายคลึงกับคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาโดยทั่วไป |
|
|